สาบสมิง
เขียนโดย ลูกคนเดียว
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) บทที่ยี่สิบเจ็ด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความจอมขวัญได้สติเพราะเสียงน้ำไหล หล่อนลุกขึ้นนั่งแล้วกะพริบตาอย่างงงๆเมื่อพบว่ารอบกายไม่ใช่ผนังห้องนอนอันคุ้นตา ต้นไม้ใหญ่โตขึ้นอย่างแน่นทึบ แสงแดดลอดใบไม้ลงมาเล็กน้อย แล้วหล่อนก็มองเห็นลำห้วยเล็กไหลรินเอื่อยๆ อีกฝั่งของลำห้วย ชัชวาลนั่งอยู่บนก้อนหิน กำลังมองหล่อนด้วยแววตาแข็งกระด้าง
“ฉันอยู่ที่ไหน” หล่อนถามพร้อมก้มมองดูตัวเอง จอมขวัญยังอยู่ในชุดเดิมที่หล่อนเข้านอน เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสีฟ้าอ่อน แต่ในขณะนี้มีรอยเปื้อนเศษดินเป็นดวง
“เจ้าอยู่ในป่า และกำลังจะไปในสถานที่เจ้าควรจะไปนานแล้ว” กังวานเสียงนั้นไม่ใช่ชัชวาลอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะเป็นคนเอ่ยออกมา จอมขวัญหันมองขวับ ขนทั่วทั้งตัวลุกซู่ หล่อนจำเสียงแบบนั้นได้ ไม่ว่าจะกี่ภพที่ผันผ่าน เสียงของเจ้าปิศาจร้ายยังคงประทับแน่นในความทรงจำ
“ศารทูล”
เขาหัวเราะร่าพร้อมทั้งลุกขึ้นยืน
“ในที่สุดเจ้าก็จำเรื่องราวทั้งหมดได้เสียทีนะระกา เอาละถึงเวลาที่เจ้าจะต้องไปต่อแล้ว”
“แกจะพาฉันไปไหน”
“ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้”
“วิหารพยัคฆา”
“ถูกต้องระกา เจ้าจะต้องไปที่นั่นเพื่อปลดปล่อยวิญญาณส่วนใหญ่ของข้า แล้วหลังจากนั้นข้าจะพิพากษาโทษของเจ้าด้วยต้วข้าเอง”
“ฉันไม่ไป”
ศารทูลหัวเราะอย่างขบขัน ร่างเลือนลางของเขาเริ่มปรากฏซ้อนอยู่ในร่างกายของชัชวาล
“เจ้าไม่ไป ช่างน่าขันนัก ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องไป เจ้าไม่เคยสงสัยถึงอาการประหลาดที่เจ้าเป็นประจำเกือบทุกค่ำคืนหรือไงระกา”
“ทำไม”
ศารทูลยิ้มพราย
“เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าจะฉลาดอยู่แต่เพียงผู้เดียว ตลอดเวลาหลายภพหลายชาติที่เจ้ากำเนิดเกิดใหม่ วิญญาณส่วนหนึ่งของข้าอยู่กับเจ้าตลอดมา วิญญาณซึ่งพยายามที่จะพาเจ้ากลับสู่มหาวิหารอยู่ทุกวัน”
“แกหมายความว่ายังไง”
หญิงสาวแข็งใจถามทั้งที่พอจะเข้าใจบางอย่างแล้ว โรคนอนละเมอซึ่งไม่ทราบสาเหตุของหล่อนเกิดจากวิญญาณชั่วช้าดวงนี้เอง
“ส่วนหนึ่งข้าอยู่กับเจ้ามาตลอดตั้งแต่วันที่เจ้ากักขังข้า ข้าส่งวิญญาณเสี้ยวหนึ่งติดไปกับดวงจิตของเจ้า เพื่อรอวันนี้ ไปเถิดระกา จงกลับไปหานายของเจ้า ไปเพื่อปลดปล่อยนายของเจ้า ไปเพื่อรับโทษทัณฑ์ที่เจ้าเป็นผู้ก่อ”
จอมขวัญรู้สึกวูบวาบแล้วหล่อนก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ร่างกายของหล่อนถูกควบคุมด้วยวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของศารทูล หญิงสาวเดินตามหลังของชัชวาลอย่างเชื่องช้า จุดหมายปลายทางของหล่อนก็คือมหาวิหารพยัคฆาอันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด
ชุดค้นหาและกู้ภัยลูกสาวของตระกูลจอมถูกแบ่งออกเป็นสามชุดด้วยกัน แต่ละชุดจะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าสี่คนรวมกับทหารอีกสามคนรวมเป็นชุดละเจ็ดคน ยกเว้นชุดของชานนท์ซึ่งมีตัวเขาเองกับจอมภพเพิ่มมาอีกสองคนทำให้เป็นเก้าคน ทั้งสามชุดแยกกันออกค้นหาในจุดที่คิดว่าหญิงสาวน่าจะหายตัวไป นอกจากนั้นด้วยอำนาจบารมีของจอมพล เฮลิคอปเตอร์อีกลำหนึ่งบินวนเวียนช่วยค้นหาทางอากาศเพิ่มเติมอีกด้วย ชุดเดินภาคพื้นดินจะติดต่อกันด้วยวิทยุสื่อสารหากว่าพบตัวหญิงสาวแล้ว
หลังจากเดินมาได้ประมาณหนึ่งกิโลเมตร ชานนท์กับทีมลาดตระเวณของเขาก็หลุดเข้าสู่เขตป่าที่ค่อนข้างทึบมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางจอมภพซึ่งเดินอยู่ไม่ห่างมากนัก พี่ชายของจอมขวัญยังคงเดินด้วยท่าทางสบายๆ ด้านหน้าของเขา วันชัยกำลังก้มลงมองหาร่องรอยตามพื้นดินอยู่ ช่วงหนึ่งชานนท์ผ่อนฝีเท้าจนกระทั่งจอมภพเดินทัน
“คุณพอจะรู้มั้ยว่าชัชวาลจะพาคุณขวัญไปไหน”
“ถ้าผมรู้คงไม่ต้องพึ่งคุณ”
ชานนท์โคลงหัวเล็กน้อย
“ผมหมายความว่าในป่านี้คุณกับชัชวาลชอบไปล่าสัตว์แถวไหนกัน”
จอมภพหัวเราะหึ
“อย่าหาคุกหาตะรางให้ผมเลยน่าคุณผู้ช่วย ผมกับชัชวาลไม่เคยเข้ามาล่าสัตว์ในนี้”
“ผมแค่ถามไปยังงั้นเอง เพื่อคุณมีที่ประจำ”
แล้วชานนท์ก็เร่งฝีเท้าเดินนำหน้าขึ้นไปอีก เขาเดินตามจนทันวันชัยแล้วกระซิบถาม
“ได้เรื่องมั้ยพี่ชัย”
“ยังเลยครับผู้ช่วย”
“พยายามหน่อยนะครับพี่”
“ไม่ต้องห่วงครับผู้ช่วย ผมเต็มที่”
ทั้งหมดเดินบุกดงรุกแล้ววกขึ้นตามสันเขาก่อนจะตัดลงหุบฝั่งตรงข้ามเมื่อวันชัยพบเจอร่องรอยบางอย่าง แต่พอพวกเขาตามไปได้สักสองกิโลเมตร รอยนั้นก็หายไป ตอนนี้พวกเขากำลังพักอยู่ตีนเขาลูกหนึ่ง อากาศยามเที่ยงร้อนระอุแต่ยังดีที่มีใบไม้ให้ความร่มรื่น เที่ยงตรงพวกเขาจึงหยุดพักกินข้าว
“พี่ชัยว่าชัชวาลจะพาคุณขวัญไปไหน”
“ตอบยากครับผู้ช่วย มีทางออกไปได้หลายทาง” เขาตอบพร้อมกับเคี้ยวข้าว “ไม่แน่อาจจะพาออกไปทางชายแดนครับ”
“หุบสมิงอยู่ไกลจากที่นี่หรือเปล่าพี่” อยู่ดีๆชานนท์ก็ถามขึ้น วันชัยหยุดกินข้าวทันที
“ทำไมครับ”
“แค่อยากรู้น่ะพี่”
“ถ้าเดินเร็วๆก็น่าจะสองวันถึงครับ”
“สองวันเหรอ”
“ครับผู้ช่วย”
ชานนท์นิ่งเงียบไป เขากำลังคิดถึงความเป็นไปได้ที่ชัชวาลจะพาจอมขวัญไปที่นั่น อะไรสักอย่างบอกเขาอย่างนั้น อาจจะเป็นลางสังหรณ์กระมัง หรือไม่ก็สัญญาณจากอดีตชาติ
บ่ายคล้อยพวกเขาจึงเริ่มออกเดินทางท่ามกลางแสงแดดจัดอีกครั้ง วันชัยพาทั้งคณะลัดเลาะขึ้นตามแนวสันเขา ผ่านดงไผ่ แล้วจึงตัดวกลงยังหุบเขาอีกด้านหนึ่ง ทุกคนช่วยกันสอดส่ายสายตาหาร่องรอยแต่ก็ไม่พบสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งหมดกำลังเดินลุยข้ามลำห้วยกว้างประมาณห้าเมตรตอนที่ฝนเม็ดแรกตกลงมา มันเป็นฝนหลงฤดูน่าประหลาดที่ตกลงมาทั้งที่แดดยังแผดจ้า มันตกหนักจนกระทั่งมองกันแทบไม่เห็น รอบด้านกลายเป็นฝ้าขาวไปหมด วันชัยรีบโบกมือให้ทุกคนตะกายขึ้นมาฝั่งตรงข้ามอย่างเร่งร้อน น้ำในลำห้วยเริ่มเปลี่ยนสีกลายเป็นแดงขุ่นทั้งที่ฝนเพิ่งจะตกราวกับว่ามันคือฝนที่เกิดจากอำนาจอาถรรพ์บางอย่าง เสียงฝนแทบจะกลบเสียงตะโกน
“เร็วครับ เร็ว น้ำป่ากำลังจะมาแล้ว”
วันชัยตะโกนบอกพลางปีนป่ายขึ้นไปยังที่สูง ทุกคนก็เริ่มได้ยินเสียงน้ำครึกโครม นอกจากนั้นยังเริ่มรู้สึกว่าน้ำในห้วยเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว ชานนท์ปีนตลิ่งขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายพอดีกับที่น้ำป่าระรอกแรกซัดมาถึงพอดี มวลน้ำแดงเข้มหอบเอาท่อนไม้ขนาดต่างกันมากมาย เสียงน้ำดังสนั่นจนน่ากลัว ทุกคนมองภาพนั้น กึ่งฉงนกึ่งหวาดกลัว
“ไปต่อครับ ตรงนี้ไม่ปลอดภัย”
วันชัยบอกแล้วพาทุกคนขึ้นที่สูงขึ้นไปอีก ดินเหลวลื่นเป็นอุปสรรคในการพาตัวเองขึ้นไป ทั้งหมดใช้ทั้งมือเท้าตะกุย เกาะ ลากตัวเองขึ้นไปเรื่อย เสียงน้ำดังสนั่น เสียงต้นไม้ล้มหักโค่น วันชัยหยุดยืนมองเมื่อขึ้นถึงยอดเนินลูกนั้น ฝนยังคงตกหนักเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทุกคนขึ้นมายืนหอบตัวเปียกโชก ชานนท์ในฐานะหัวหน้าชุดจึงเอ่ยปาก
“หาที่หลบฝนก่อนพี่ชัย ไปต่อไม่ไหวหรอก อันตราย”
พิทักษ์ป่าหยุดครุ่นคิด
“ห่างจากที่นี่ประมาณสองร้อยเมตรมีถ้ำตื้นๆพอจะหลบฝนได้อยู่ เราไปหลบที่นั่นแล้วค่อยคิดกันต่อว่าจะเอายังไงนะผู้ช่วย”
“ได้พี่ นำทางเลยครับ”
วันชัยพาทุกคนเดินลัดเลาะหลบกิ่งไม้พุ่มไม้จนกระทั่งอีกไม่เกินห้าสิบเมตรก็ถึงถ้ำที่ว่า กิ่งไม้ขนาดใหญ่กิ่งหนึ่งหักร่วงอย่างรวดเร็ว ชานนท์กระโดดหลบได้แต่นายทหารที่เดินถัดจากเขาหลบไม่พ้น กิ่งไม้นั้นฟาดใส่หลังจนเขาลงไปนอนครวญครางอย่างเจ็บปวด ผู้ช่วยหนุ่มปรี่เข้าไปดูทันที จากสายตาเบื้องต้นนายทหารคนั้นบาดเจ็บไม่มากนัก ปลายกิ่งไม้เพียงฟาดหลังเขา ชายหนุ่มพยุงให้เขาลุก ทุกคนห้อมล้อม สีหน้าเป็นกังวล
“แข็งใจเดินหน่อยครับ เดี๋ยวเราไปพักกันตรงนั้น”
วันชัยออกนำหน้าอีกครั้ง ทั้งหมดใช้เวลาเกือบสิบนาทีจึงพากันมานั่งใต้เงาของถ้ำ ฝนฟ้ายังคงกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มิหนำซ้ำทหารคนนั้นก็เริ่มเจ็บบาดแผล เห็นทีว่าการค้นหาในวันนี้อาจจะต้องยุติลงเพียงเท่านี้ ลูกน้องของชานนท์อีกคนรวมทั้งทหารวิทยุพยายามจะติดต่อกับชุดอื่นหรือศูนย์บัญชาการ แต่สัญญาณต่างๆกลับขาดหาย ชานนท์เดินออกมาหยุดยืนมองฝนที่หน้าถ้ำตื้น วันชัยเดินตามออกมาสูบบุหรี่
“เอาไงครับผู้ช่วย”
“คืนนี้คงจะต้องพักที่นี่แหละพี่ ฝนไม่ท่าทีจะหยุดเลย”
เขาตอบแล้วมองสายฝนซึ่งยังตกหนักเท่าเดิม เสียงฟ้าร้องครั่นครืนสลับแลบแปรบ
“น่าแปลกนะครับ อยู่ดีๆฝนก็ตกหนักขนาดนี้”
“ฝนหลงฤดูน่ะพี่ ไม่มีอะไรหรอก”
วันชัยพ่นควันเป็นทางยาวแล้วหัวเราะหึ
“คงใช่ครับ แต่ลึกๆแล้วผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ”
“แปลกยังไงพี่”
“ยังกับอาถรรพ์ หรือมีบางอย่างไม่อยากให้เราตามตัวคุณจอมขวัญพบ”
ชานนท์งันไป ไม่ใช่ว่าเขาเองจะไม่คิด นั่นคือความรู้สึกแรกเลยทีเดียวเมื่อเม็ดฝนหยดแรกหยดใส่หัว ชายหนุ่มยิ้มนิดๆ
“เหลวไหลน่ะพี่ ไปจัดเตรียมแคมป์สำหรับคืนนี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวเราอาจจะต้องมีการปรับแผนการค้นหาเล็กน้อย”
แล้วเขาก็เดินกลับเข้าไปรวมกลุ่ม ทิ้งให้วันชัยยืนสูบบุหรี่อยู่คนเดียว
ชัชวาลยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าราบบนเนินเขาเตี้ยๆ เขามองทางด้านที่ฟ้ามืดดำน่ากลัวและยิ้มแสยะน้อยๆ ส่วนจอมขวัญนั่งนิ่งอย่างไม่รับรู้เรื่องราวอะไรอยู่บนหินก้อนหนึ่ง เจ้าปิศาจร้ายหันมามองหล่อนแล้วพูดต่ำๆ
“เจ้าอรชุนกำลังนำพาตัวเองมาสู่ความฉิบหาย อีกไม่นานมันจะต้องตาย ถึงพายุจะทำอะไรมันไม่ได้แต่เจ้าสมิงทำได้” เขาหยุดพูดเล็กน้อย “มองดูสิระกา ดูความพินาศของมัน ข้าสั่งให้เจ้าดู”
หญิงสาวเงยหน้ามองทางเดียวกับเขา แต่ใบหน้าสวยงามได้รูปนั้นว่างเปล่า ปราศจากความรู้สึก
“อีกไม่นานเมื่อเจ้าปลดปล่อยข้าแล้ว ข้าจะปลุกกองทัพของข้าขึ้นมา ข้าจะทำให้สุวรรณนครกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งเหมือนเช่นอดีต”
แล้วเขาก็ละสายตาจากหมู่ก้อนเมฆดำทะมึน
“เราไปกันเถอะระกา หนทางยังอีกไกลนัก”
จแมขวัญเดินตามร่างของชัชวาลช้าๆ หล่อนเดินเหมือนกับหุ่นยนต์ ไม่มีความรู้สึกใดเป็นของตัวเองทั้งสิ้น
ฝนซาเม็ดเกือบหกโมงเย็น บรรยากาศบริเวณหน้าถ้ำมืดสนิท ส่วนในถ้ำมีแสงจากโคมไฟส่องสว่างสองดวง รวมทั้งยังมีกองไฟขนาดเล็กที่ถูกจุดไว้เพื่อให้ความอบอุ่นอีกด้วย นายทหารบาดเจ็บนอนหลับสนิทโดยมีเพื่อนอีกคนคอยดูแล ส่วนนายทหารสื่อสารพยายามใช้วิทยุสนามติดต่อกับศูนย์บัญชาการตลอดเวลาแต่ก็ได้ยินเพียงเสียงครืดคราดเท่านั้น ชานนท์นั่งดื่มชาร้อนอยู่ข้างกองไฟ ส่วนวันชัยพาลูกน้องอีกคนออกไปหาฟืนมาเพิ่มเติมสำหรับค่ำคืนนี้ จอมภพนั่งมองกองไฟอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
“ชาร้อนหน่อยมั้ยครับคุณจอมภพ”
พี่ชายจอมขวัญมองแล้วสั่นหัว
“ไม่ดีกว่า”แล้วเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง “นายว่าเราจะเจอยายขวัญมั้ย”
“เจออยู่แล้วครับ คุณจอมภพไม่ต้องเป็นกังวลไป”
เขาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน
“ฉันไปนอนก่อน รู้สึกหนาวๆร้อนๆแปลกๆ”
“คุณควรกินยากันเอาไว้”
จอมภพมองหน้าแต่ไม่ได้ตอบอะไร เขาเดินไปทรุดตัวนอนอยู่เกือบชิดริมฝั่งด้านในสุดติดกับผนังถ้ำ พักเดียวชานนท์ก็ได้ยินเสียงหายใจดังสม่ำเสมอ ชายหนุ่มจิบชาที่เหลืออยู่จนหมด วันชัยกับลูกน้องก็แบกไม้ฟืนท่อนใหญ่มาหลายท่อน
“เปียกขนาดนั้นจะจุดไฟติดเหรอพี่ชัย”
“คงต้องลองถากเอาเปลือกออกครับ ด้านในน่าจะเปียกไม่มาก แต่รับรองไม่ได้ว่าคืนนี้จะสำลักควันตายกันหรือเปล่า” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มแล้วลงมือถากเปลือกไม้ ไม้ฟืนเปียกสร้างควันได้มากเสมอ ชานนท์ลุกไปจัดที่นอนของตัวเอง ชายหนุ่มเลือกมุมหนึ่งของถ้ำอยู่เกือบจะริมนอกสุด ตัวถ้ำมีขนาดไม่กว้างมากนัก ทุกคนจึงค่อนข้างจะนอนอย่างใกล้ชิดกัน
มีเสียงช้างร้องดังก้องมาห่างๆ ชานนท์หยุดชะงักเล็กน้อย มองฝ่าความมืดออกไปด้านนอก ตอนนี้สีดำปกคลุมจนมองอะไรแทบไม่เห็นแล้ว วันชัยเองหยุดมือ สีหน้าของพิทักษ์ป่าหนุ่มใหญ่ดูเป็นกังวล
“ก่อกองไฟดักหน้าถ้ำไว้เห็นจะไม่มีอะไรนะพี่”
“ครับผู้ช่วย นอกจากช้างแล้วก็คงจะมีแต่เสือสมิงตัวนั้นแหละครับที่น่ากลัว ไม่รู้ว่ามันจะแอบตามเรามาด้วยหรือเปล่า”
หลังจากนั้นวันชัยกับลูกน้องก็ช่วยกันก่อกองไฟ ใช้เวลาและเทคนิคอยู่นานพอสมควร ไม้ชื้นจึงเริ่มติดไฟ ควันโขมงจนมีคนไอออกมา วันชัยเดินมาหยุดหน้าเขา
“ผู้ช่วยกับมั่นเฝ้ายามแรกนะครับ พอถึงสี่ทุ่มก็ปลุกผมแล้วกันครับ”
“ได้พี่ พี่นอนพักก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วง”
“ระวังนะครับผู้ช่วย ผมว่าคืนนี้มันวังเวงพิกล” เขาลดเสียงจนเป็นเสียงกระซิบ “ผู้ช่วยไม่สังเกตเหรอครับว่าคืนนั้นเงียบเกินไป ขนาดแมลงยังไม่ได้ยินเสียงเลย”
ชานนท์ตาสว่างในบัดดล เขากำลังนึกอยู่ว่าเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ คืนนี้ป่าเงียบเกินไป เงียบจนกระทั่งแทบจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง เขาใจเต้นระทึกรู้ดีว่าเจ้าเสือร้ายอยู่บริเวณใกล้เคียงแน่นอน สาบเสือของมันสะกดข่มทุกชีวิตให้เงียบงัน
จอมขวัญรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต หล่อนแทบจะล้มตัวลงนอนทันทีที่ความรู้สึกกับมาเป็นของหล่อนอีกครั้ง หล่อนมองทางชัชวาลซึ่งถูกครอบงำด้วยวิญญาณชั่วร้ายอย่างชิงชัง ทั้งคู่อยู่บนสันเขาตอนหนึ่งห่างจากพวกของชานนท์ประมาณห้ากิโลเมตร
“เจ้านึกชิงชังข้า”
“ใช่ แกมันน่ารังเกียจ”
“เจ้าเองทำให้ข้าเป็นแบบนี้ ข้าต้องทรมานจากมนต์ของเจ้าหลายร้อยปี”
“แกทำตัวแกเองทั้งนั้น แกก่อการกบฎ ฆ่าคนมากมาย เวรกรรมถึงเล่นงานแก”
“กรรมเหรอ” ศารทูลหัวเราะ “ข้าไม่เคยเห็นตัวกรรมที่เจ้าว่าเลยสักครั้ง”
หญิงสาวไม่ตอบเพียงมองหน้าด้วยสายตาเคียดแค้น
“แค้นข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ดูนี่ดีกว่า ข้าจะให้เจ้าดู ดูความพินาศพ่ายแพ้อีกครั้งของอรชุน”
ศารทูลนิ่งไปครู่ ริมฝีปากขยับพึมพำคล้ายท่องมนต์อะไรสักอย่างแล้วมันก็ชี้ไปที่กองไฟลุกโชนเบื้องหน้า เปลวไฟคล้ายพวยพุ่งสูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เสียงตะโกนของมันดังขึ้น
“จงดู ดูความตายของเจ้าอรชุน”
ท่ามกลางเปลวไฟบิดเบี้ยว ภาพสั่นพร่าปรากฎขึ้นก่อนจะค่อยๆชัดเจนจนมองออกว่าอะไรเป็นอะไร จอมขวัญเบิกตากว้าง
“ชานนท์”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ