สาบสมิง

-

เขียนโดย ลูกคนเดียว

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.

  30 ตอน
  3 วิจารณ์
  26.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่สอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
รำเพยเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์แล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย หล่อนเป็นสาวใหญ่วัยสี่สิบห้าปี รูปร่างภายในชุดที่เรียกกันว่าสองทับหนึ่งอวบอัดเล็กน้อย ยังพอเหลือส่วนเว้าโค้งให้พอได้เห็น หล่อนหาวหวอดเหลือบมองนาฬิกา แปดโมงกว่าแล้ว วันอาทิตย์แบบนี้ ภายในสำนักงานของอุทยานแห่งชาติออกจะเงียบเหงา หล่อนลุกไปชงกาแฟให้ตัวเอง แวะถามหัวหน้าซึ่งนั่งทำงานง่วนอยู่ในห้องแต่ก็ได้รับการปฏิเสธ สาวใหญ่จึงจัดการกาแฟดำของตนเองจนเรียบร้อย เพิ่งจะจิบกาแฟแค่สองอึก สายตาที่กำลังเหม่อจ้องทิวเขาเขียวทะมึนห่างไกลก็ต้องกะพริบถี่ๆ ใบหน้าได้รูปคมเข้มออกไปทางคล้ำของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฎขึ้น ใบหน้านั้นไม่มีสิ่งใดน่าสนใจแต่เป็นรอยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวสะอาดครบทุกซี่ต่างหากที่ทำให้วงหน้าคุ้นเคยนั้นดูมีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างประหลาด เขาเป็นชายหนุ่มร่างสันทัด ซ่อนร่างกำยำอยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำคลุมทับด้วยชุดยีนส์ กางเกงยังคงเป็นยีนส์เช่นกัน กระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่อัดแน่นจนแทบปริขาด นอกจากนั้นมือซ้ายยังหอบหิ้วกระเป๋าใบโตอีกใบมาด้วย ส่วนมือขวากำซองเอกสารไว้แน่น
                “สวัสดีครับพี่รำเพย ผมมาพบหัวหน้าครับ”
                เขาพูดด้วยเสียงห้าวกังวาน รำเพยชะงักชั่วครู่ก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติ หล่อนยิ้มรับแล้วผายมือไปยังห้องทำงาน
                “สวัสดีค่ะผู้ช่วย หัวหน้าอยู่ด้านในค่ะ”
                เขามองตามมือ
                “ขอบคุณครับ”
                ชายหนุ่มคนนั้นเคาะบังตาแล้วผลักบานประตูก้าวสู่ด้านใน
 
                ชายวัยฉกรรจ์ในชุดลายพรางซึ่งกำลังนั่งอ่านเอกสารเงยหน้ามองเล็กน้อยแล้วก้มมองเอกสารในแฟ้มตามเดิม เขาพูดเบาพอได้ยิน
                “นั่งสิชานนท์ ไม่เห็นคุณบอกว่าจะมาวันนี้ จะได้ให้ลูกน้องไปรับ”
                ชานนท์ยกมือไหว้พร้อมทรุดนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่
                “ไม่เป็นไรครับหัวหน้า ผมอยากจะสำรวจเส้นทางด้วยในตัวครับ”
                “อืม วันนี้คงยังไม่มีอะไรให้คุณทำ ผมอนุญาตให้คุณพักหนึ่งวัน เดี๋ยวจะเรียกแม่บ้านมาพาคุณไปบ้านพัก บ้านเก่าหลังเดิมนะ”
                “ขอบคุณครับ”
                “แล้วกินอะไรมาหรือยัง”
                “เรียบร้อยแล้วครับ ผมกินในตัวอำเภอก่อนจะเข้ามานี่ครับ”
                ชายวัยฉกรรจ์พยักหน้า เขาหยุดเซ็นเอกสาร จ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มตรงๆ
                “ยินดีต้อนรับอีกครั้งนะชานนท์ คราวนี้ได้มาเป็นผู้ช่วยที่นี่จริงๆซะที”
                “ครับหัวหน้า ตั้งแต่ตอนมาฝึกงานที่นี่ ผมก็รู้สึกว่าอุทยานนี้ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะครับ”
                “ดี ผมเองก็อยากได้ความคิดของคนรุ่นใหม่ไฟแรงอยู่เหมือนกัน”
                “ผมจะพยายามให้เต็มที่ครับหัวหน้ากัมปนาท”
                กัมปนาทยิ้ม กดออดเรียกรำเพย สาวใหญ่ร่างอวบเดินเข้ามาอย่างฉับไว
                “รำเพย ตามป้าอ้อย แล้วบอกให้พาผู้ช่วยใหม่ไปบ้านพัก”
                “ได้ค่ะ”
                “ขอบใจนะรำเพย” สาวใหญ่ออกจากห้อง กัมปนาทหันมาทางชานนท์อีกครั้ง
                “พักผ่อนก่อนชานนท์ มีอะไรค่อยคุยกันตอนเย็น”
                “ขอบคุณครับหัวหน้า”
                แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเปลี่ยนอิริยาบท เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในชุดลายพรางก็โผล่พรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน
                “ได้เรื่องแล้วครับหัวหน้า เสียงปืนเมื่อคืนนี้ดังมาจากไร่ของเสี่ยจอมพลครับ”
                “ตัวอะไร”
                “หมูป่าครับ”
                “ตรวจสอบแล้วใช่มั้ย”
                “ครับ อยู่นอกเขตอุทยานครับ แล้วก็ไม่มีร่องรอยการล่อหรือพยายามทำอะไรให้มันออกไปจากเขตเราครับ”
                หัวหน้าอุทยานแห่งชาติพยักหน้า เมื่อวานเขาไปทำธุระในจังหวัดเพิ่งจะกลับมาถึงตอนเช้ามืด ทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุได้ยินเสียงปืน กัมปนาทก็สั่งให้ลูกน้องออกตรวจทันที
                “เอายังไงครับหัวหน้า”
                ชายวัยฉกรรจ์นิ่งคิด หมูป่าไม่ได้ขึ้นอยู่ในบัญชีสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง ทั้งยังเป็นการล่านอกเขตอุทยานแห่งชาติ กรณีนี้ผู้ล่าจึงไม่มีความผิดใดๆเกี่ยวกับกฎหมายป่าไม้ แล้วก็ป่วยการที่จะไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่องยิงปืน เล็กน้อยเกินไปสำหรับอิทธิพลของเจ้าพ่ออย่างจอมพล กัมปนาทจึงเอ่ยขึ้น
                “ถึงจะไม่ผิดกฎหมาย เราก็ควรไปดูหน่อย เดี๋ยวคุณไปกับผม ผมอยากจะคุยกับเสี่ยจอมพล”
                “ครับ”
                แล้วกัมปนาทก็หันมาหรี่ตากับชายหนุ่ม
                “เหนื่อยอยู่หรือเปล่าชานนท์”
                “ไม่ครับ”
                “งั้นเดี๋ยวไปกับผม ผมจะพาไปรู้จักกับเสี่ยจอมพล ตอนคุณมาฝึกงานไม่ได้เจอไม่ใช่เหรอ”
                ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ
                “ครับ เคยได้ยินแต่ชื่อ”
                กัมปนาทหัวเราะเบาๆ
                “งั้นถึงเวลารู้จักกับเจ้าพ่อของที่นี่แล้วล่ะ”
 
                บ้านหลังใหญ่โตของเจ้าพ่ออำเภอหนองเสือร้องซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ร่มรื่น ต้นไม้เกือบทุกต้นบริเวณตัวบ้านเกิดมาจากน้ำมือของจอมพลและภรรยาปลูกขึ้นเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ตั้งแต่ทั้งคู่อพยพมาตั้งรกรากยึดที่นี่เป็นเรือนตาย ถึงแม้ว่าในตอนหลังภรรยาของจอมพลจะตายจากไป ต้นไม้ก็ยังคงงอกงามเติบโต ชายในวัยเกือบชรามักหวนคิดถึงอดีต จอมพลชอบออกมานั่งเหม่อมองความเขียวขจีกรุ่นกลิ่นความหลัง โดยเฉพาะแก้วป่าซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนความรักอันหอมหวานของคนทั้งคู่ และในวันนี้ก็เช่นกัน เจ้าพ่อใหญ่ต้อนรับแขกของเขาในสวนร่มรื่นใต้เงาไม้ใหญ่
                “ลมอะไรหอบหัวหน้ามาถึงที่นี่ได้”
                ทันทีที่พบหน้า จอมพลก็ถามยิ้มๆ กัมปนาทยิ้มตอบแล้วทรุดลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่ได้รอคำเชิญของเจ้าของสถานที่ ส่วนชานนท์และวันชัย เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเพียงยืนรออยู่ด้านหลังหัวหน้าของเขาอย่างสงบ
                “คงจะเป็นลมดึกที่พัดเสียงปืนไปหาผมเมื่อคืนนี้กระมัง”
                “งั้นลมคงแรงมากเลยนะหัวหน้า เลยพัดไปจนถึงในตัวจังหวัดได้”
                กัมปนาทเอนหลัง รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า จอมพลมีหูตาอยู่ทั่วสมกับตำแหน่งเจ้าพ่อของหนองเสือร้อง
                “ผมอยากรู้ว่าใครเป็นคนยิง”
                จอมพลยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ กาแฟกับยามเช้าเป็นของคู่กัน
                “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะเป็นเด็กๆยิงนกยิงหนูไปตามเรื่องตามราวละมั้งครับ”
                “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ” หัวหน้าอุทยานแห่งชาติพูดเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “แต่คนของผมบอกว่านายจอมภพเป็นคนยิง”
                “ลูกน้องหัวหน้าเห็นด้วยตาตัวเองเหรอครับ”
                แล้วเจ้าพ่อก็เบือนหน้าไปที่วันชัย สายตากร้าวขึ้น ขณะที่หนุ่มใหญ่หลบสายตา
                “วันชัยเห็นเองเหรอ”
                “เปล่าครับ”
                เขาพยักหน้าช้า
                “แล้วใครเห็นครับหัวหน้า”
                “กล้องดักถ่ายอาจจะเห็นก็ได้นะ”
                กัมปนาทตอบเสียงเรียบ ไม่หลบสายตาคู่นั้น เขาพูดต่อ
                “ผมไม่ได้มาหาเรื่องเสี่ยหรอก แค่อยากจะมาคุยด้วย แล้วก็อยากบอกกับเสี่ยว่า ประเทศนี้ยังมีกฎหมายอยู่ และผมเองก็เป็นพวกที่เคร่งครัดกับกฎหมายซะด้วย เสี่ยควรบอกกับคนของเสี่ยว่าอย่าทำอะไรที่มันไม่ถูกไม่ควรเลย เราจะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด”
                “ผมเข้าใจและเห็นใจหัวหน้าอยู่เหมือนกันในข้อนั้น ผมจะเตือนคนของผมไม่ให้ทำผิดอะไร แล้วก็จะพยายามช่วยหัวหน้าเท่าที่จะช่วยได้ละกันครับ”
                “ขอบคุณเสี่ยมาก ผมขอตัว ไม่อยากรบกวนเสี่ยให้เสียเวลา”
                กัมปนาทลุกขึ้นยืน จอมพลยืนตาม
                “โชคดีครับหัวหน้า ว่างๆมากินข้าวบ้านผมบ้างก็ได้ครับ”
 
                ระหว่างที่รถยนต์กำลังแล่นกลับสำนักงาน กัมปนาทซึ่งนั่งด้านหน้าคู่กับคนขับเอ่ยถามผู้ช่วยของเขาเบาๆ
                “ไงชานนท์ เจ้าพ่อของหนองเสือร้อง”
                ชานนท์ยิ้มขรึม
                “ไม่ธรรมดาเลยครับหัวหน้า”
                “ไม่งั้นเขาจะครองความยิ่งใหญ่มาตลอดหลายสิบปีได้เหรอ” แล้วเหมือนเขาจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดต่อ “อีกเรื่องนะชานนท์ อีกสองอาทิตย์ทางอุทยานเราก็จัดค่ายลูกเสือพิทักษ์ป่ารวมกับโรงเรียนหนองเสือร้อง ผมจะให้คุณเป็นหัวหน้าคอยควบคุมดูแลการจัดค่ายร่วมกับทางโรงเรียน”
                “ได้ครับ”
                “ถือเป็นงานแรกรับน้องใหม่ของคุณละกัน”
 
                ชัชวาลสะพายปืนลูกซองเดินนำหน้า คนงานหนุ่มในไร่อีกสองคนเดินตามหลัง ทั้งหมดเดินเงียบๆไร้เสียงพูดคุย มีเพียงเสียงกรอบแกรบตอนเหยียบใบไม้แห้งเท่านั้น ดวงตะวันสายแผดแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ เกือบครึ่งชั่วโมงพวกเขาจึงมาถึงบ่อน้ำที่หมูยักษ์ล้มอยู่ ชัชวาลปาดเหงื่อชี้ไปยังมุมหนึ่งของบ่อนั้น คนงานทั้งคู่พยักหน้าตรงรี่เข้าไปพร้อมมีดคมกริบ ส่วนตัวเขาเองหลบไปปล่อยน้ำเสียออกจากร่างกายหลังต้นตะคร้ำใหญ่
                ยังไม่ทันจะรูดซิบกางเกงขึ้นดีก็มีเสียงเอะอะโวยวาย ชัชวาลขมวดคิ้ว กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปดูคนงานทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว แล้วภาพเบื้องหน้าก็สะกดให้เขาตัวชาดิก ยืนนิ่งงันอย่างทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ครู่เดียวเท่านั้น คนสนิทของจอมภพก็คุมสติได้ เขาเดินเข้าไปพิจารณาภาพประหลาดอย่างครุ่นคิด
                หมูป่ายักษ์ยังคงล้มเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าร่างของมันถูกลากห่างไปจากจุดเดิมเกือบสิบเมตร ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้หนาทึบ จะเรียกว่าร่างก็คงไม่ถูกต้องนัก ขนาดบอกว่าเป็นซากหมูป่าคนที่มาพบเห็นอาจจะไม่เชื่อด้วยซ้ำ หมูป่ายักษ์เหลือเพียงแค่หนังเท่านั้น หนังที่แผ่กว้างเป็นรูปตัวของมัน ส่วนอื่นทั้งเนื้อ กระดูก หรือเครื่องในหายไปจนหมดสิ้น นอกจากนั้นพอชัชวาลสังเกตอย่างถี่ถ้วน แม้กระทั่งเลือดสักหยดเขาก็ยังไม่เห็น เขาตรวจดูร่องรอยรอบซากนั้นรวมทั้งบริเวณแรกที่มันถูกยิงล้ม ไม่ปรากฎรอยใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าหรือรอยลากซาก เขาเดินตรงกลับมาที่ซากหมูอีกครั้ง ส่วนคนงานทั้งสองยืนนิ่ง หน้าซีดเซียวบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจปนเปกับความหวาดกลัว
                “ตัวอะไรกินมันล่ะนาย”
                ชัชวาลหรี่ตา
                “อาจจะหมาใน”
                “หมาในไม่ลากซากหมูมาไกลขนาดนี้หรอก นอกจากนั้นยังไม่มีทั้งรอยลากแล้วก็รอยตีนของพวกหมาด้วย”
                คนงานคนหนึ่งแย้งขึ้น สายตายังจับจ้องที่ซากหมู
                “ดินมันแข็ง ไม่เห็นรอยหรอก”
                “แต่ที่บ่อน้ำก็ไม่มีรอยตีน ถ้าเป็นหมาในจริง อย่างน้อยก็ต้องมีรอยตีนตอนมันกินน้ำ อีกอย่างแม้แต่เลือดซักหยดก็ไม่มี”
                เขาละสายตาจากซาก มองหน้าคนงาน
                “แล้วแกคิดว่ามันเป็นตัวอะไร เสือเหรอ”
                คนงานสั่นหัว
                “ที่นี่ไม่มีเสือมานานแล้ว”
                “ผี ผีมากิน มีแต่ผีเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้”
                จู่ๆคนงานอีกคนซึ่งเงียบมาตลอดก็โพล่งขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว สิ้นเสียงพูด ป่ารอบด้านเงียบสงบลง แม้แต่ดวงตะวันก็คล้ายก็นำเอาความร้อนแรงของแสงแดดกลับไป ความเยือกเย็นเข้ามาแทนที่อย่างประหลาด ชัชวาลมองบรรยากาศรอบกายแล้วหัวเราะหึ
                “ผีอะไรล่ะ ผีป่าหรือไง”
                คนงานทั้งคู่ไม่ตอบอีก แต่สีหน้ายังคงหวั่นเกรงภัยที่มองไม่เห็น
                “งั้นเอาอย่างนี้ เดี๋ยวพวกแกไปหาซื้อเนื้อหมูป่ามาให้ได้ แล้วก็อย่าบอกใครเรื่องนี้ เข้าใจใช่ไหม”
                “ครับนาย”
                ชัชวาลพยักหน้า ควักเงินแล้วยื่นส่งให้พร้อมทั้งพยักหน้าเดินกลับทางเดิม แวบหนึ่งเขาหันหลังกลับมามองด้วยความสงสัยระคนหวาดกลัวลึกๆในจิตใจ พอถึงจุดที่รถยนต์จอดอยู่ ชัชวาลก็กำชับอีกครั้ง ทั้งสามออกจากท้ายไร่ ทิ้งความสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้ไว้เบื้องหลัง
                หลังจากส่งคนงานทั้งสองให้ไปซื้อเนื้อหมูป่าแล้ว มือขวาของจอมภพก็ตรงดิ่งไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งน่าจะให้คำตอบกับเขาได้ วัดหนองเสือร้อง
 
                หลวงพ่อดำกวาดใบไม้อยู่ที่ลานวัด แม้ว่าท่านจะมีอายุเกือบเจ็ดสิบปีแล้วแต่หลวงพ่อก็ยังคงแข็งแรง ใบหน้าอิ่มเอิบแจ่มใส ภิกษุชราหยุดหายใจเล็กน้อย ท่านเงยหน้ารับอากาศบริสุทธิ์ ถึงจะสายมากแล้วแต่ลานวัดมากด้วยต้นไม้จึงยังคงความร่มรื่นเฉกเช่นยามเช้า ร่างในชุดสีน้ำตาลอ่อนเดินตรงรี่มาอย่างรวดเร็ว พอมาถึงก็จัดแจงก้มลงกราบท่านอย่างคุ้นเคย หลวงพ่อดำยิ้มให้ เอ่ยถามเสียงกังวาน
                “ไอ้ชัช มีธุระอะไรถึงได้มาหาข้าถึงที่นี่ ร้อยวันพันปีไม่เห็นเอ็งจะมาเลย”
                “ผมมีเรื่องจะคุยกับหลวงพ่อครับ”
                ชัชวาลตอบแผ่ว สีหน้ามีแวววิตกกังวล หลวงพ่อดำพอมองออกจึงพยักหน้า
                “ไปคุยกันที่กุฎิ”
 
                กุฎิของหลวงพ่อดำตั้งอยู่ใกล้ชิดริมป่าช้าเก่าแก่ของวัด แม้ว่าในปัจจุบันป่าช้าแห่งนั้นจะถูกปรับปรุงให้กลายเป็นสวนอันร่มรื่นรวมทั้งเป็นสถานที่ปลีกวิเวกบำเพ็ญธรรมของพระบางรูปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงเปล่าเปลี่ยววังเวงเช่นเดิม หลวงพ่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ชัชวาลซึ่งนั่งอย่างสงบจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ ภิกษุชราไม่ได้ขัดหรือพูดแทรกใดๆทั้งสิ้น คงนั่งฟังอย่างสงบเงียบจนจบเรื่องราวทั้งหมดลง
                “หลวงพ่อว่าเหตุการณ์ทั้งหมดคืออะไรครับ”
                หลวงพ่อดำถอนหายใจหนักหน่วง
                “ข้าเองก็ให้คำตอบเอ็งไม่ได้เหมือนกันไอ้ชัช ตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้าไม่เคยเจอเรื่องอะไรแปลกอย่างนี้เลย แต่บอกได้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน”
                ชัชวาลเกาศีรษะ หลวงพ่อดำหรืออดีตพรานดำคืออาจารย์คนแรกที่สอนวิชาพรานให้กับเขาตอนวัยรุ่น หลังจากประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ไม่นาน พรานดำก็เลิกล่าสัตว์ตัดชีวิต หันหน้าบวชเป็นพระภิกษุแสวงหาสัจธรรม ส่วนตัวเขาเองก็เลิกล่าสัตว์เช่นกัน ตั้งแต่หัวหน้ากัมปนาทย้ายเข้ามาควบคุมดูแลพื้นที่อุทยานแห่งชาติ หัวหน้าคนนั้นเอาจริงเอาจัง มาเพียงหกเดือนแรกกลับจับตัวพรานได้ถึงแปดคนด้วยกัน ทำให้คนที่เหลืออยู่หยุดล่าไปโดยปริยายเนื่องจากเกรงกลัวความผิดทางกฎหมาย ชัชวาลจึงทำงานกับจอมภพเพียงอย่างเดียว
                “ผมกลัวว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงน่ะหลวงพ่อ ผมมั่นใจว่าเมื่อคืนต้องมีตัวอะไรย่องตามหลังมาแน่ๆ”
                “ความมืดและความเงียบอาจลวงตาเราได้ เอ็งก็รู้นะชัช ว่าในป่ามักจะมีอำนาจลี้ลับแปลกๆอยู่เสมอ”
                “ผมทราบครับหลวงพ่อ ผมเคยมีประสบการณ์มาบ้าง แต่ถึงยังไงเรื่องนี้มันก็แปลกอยู่ดี ผมสังหรณ์ว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ดีนะครับหลวงพ่อ”
                หลวงพ่อดำนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ท่านพิจารณาใบหน้าของลูกศิษย์คนโปรด
                “ไหนยื่นมือขวามาให้ข้าดูหน่อยสิ”
                ชัชวาลทำตาม อดีตพรานดำคว้ามือเขาพลิกหงาย มองฝ่ามืออยู่เนิ่นนาน คิ้วทั้งคู่ขมวดแน่น แล้วท่านก็เพ่งพิเคราะห์ใบหน้าของชัชวาล ก่อนจะลุกเดินหายเข้าไปด้านในของกุฎิ ค้นเสียงดังกุกกักแล้วเดินออกมานั่งตามเดิม
                “ช่วงนี้เอ็งกำลังมีเคราะห์หนัก เลิกทำบาปแล้วหันมาทำบุญบ้างก็ดี หนักจะได้เป็นเบา เอานี่ไป ติดตัวไว้ตลอด เผื่อจะช่วยเอ็งได้”
                อาจารย์ของเขายื่นตะกรุดไม้เก่าคร่ำมาให้ ชายหนุ่มไหว้แล้วรับมากำไว้ ความร้อนแรงประหลาดถ่ายทอดจาดตัวตะกรุดสู่มือเขาจนเขาสะดุ้ง ครู่หนึ่งจึงกลายเป็นปกติ
                “อย่าให้ห่างตัวแล้วเอ็งจะปลอดภัย”
                หลวงพ่อกำชับมาอีกรอบ
                “แล้วเรื่องแปลกๆนั่นล่ะครับหลวงพ่อ”
                “เรื่องนั้นยังสรุปอะไรไม่ได้ เอ็งต้องจับตาดูต่อไป อาจจะไม่เป็นอย่างที่เอ็งกังวล แต่ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก เอ็งรีบมาหาข้านะไอ้ชัช”
                “ได้ครับหลวงพ่อ ยังไงผมก็ต้องมาหาหลวงพ่ออยู่แล้วครับ”
                ชัชวาลของตัวกลับเพราะต้องไปรับคนงานทั้งสองคนอีก หลวงพ่อดำให้ศีลให้พร รวมทั้งยังย้ำหนักย้ำหนาว่าให้ชายหนุ่มละบาปแล้วทำกุศลบ้าง คนสนิทของจอมภพรับคำแล้วเดินลับไป ภิกษุชรามองตาม ภาพใบหน้าหมองคล้ำอย่างคนที่กำลังจะมีเคราะห์หนักของชัชวาลยังแจ่มชัดในความทรงจำ
                “กรรมของสัตว์นะเจ้าชัช หลวงพ่อก็ช่วยได้เท่านี้”
                ท่านรำพึงออกมาเบาๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา