สาบสมิง
เขียนโดย ลูกคนเดียว
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) บทที่สิบเอ็ด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอากาศภายในป่ายามค่ำคืนค่อนข้างเย็นถึงแม้ว่าจะยังไม่ดึกมากนักก็ตาม จอมภพนั่งจับตามองพร้อมเปิดโสตประสาทรับฟังทุกเสียง แต่นอกจากเสียงแมลงกลางคืนรวมทั้งนกตบยุงแล้ว เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ทั้งเขาและชัชวาลขึ้นมานั่งหลบหลังบังไพรบนห้างตั้งแต่หลังห้าโมงเย็นเล็กน้อย แต่นอกจากซากวัวซึ่งเริ่มส่งกลิ่นเหม็นอับแล้วพวกเขาก็ยังไม่พบเห็นสิ่งมีชีวิตใดอีก จอมภพเอนหลังพิงกระบกใหญ่ เขากระซิบบอกกับชัชวาลว่าของีบสักครู่ หลังจากนั้นก็เงียบไป ชัชวาลมองเจ้านายของตัวเองก่อนจะหันกลับมองรอบด้านอีกครั้ง
ซากวัวยังคงสงบนิ่งเป็นเงาตะคุ่ม นอกจากว่าครั้งหนึ่งชายหนุ่มได้ยินเสียงใบไม้ถูกเหยียบแต่เขาไม่มั่นใจนัก ชัชวาลไม่ได้เอาไฟฉายส่องเพราะกลัวว่าจะเป็นมัน อยู่ดีๆเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะลูบคลำตะกรุดของหลวงพ่อดำ เขายังจำถึงคำทำนายเรื่องเคราะห์กรรมของตัวเองได้ดี หลวงพ่อมีสีหน้าหนักใจ เขาเองก็ค่อนข้างจะแน่ใจว่าเคราะห์ครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดา ก่อนที่จิตใจจะฟุ้งซ่านมากกว่านี้ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าต่อให้เบาสักขนาดไหนก็ยังดังเสมอในดงดิบ เสียงแมลงกลางคืนเงียบลงกะทันหัน กลิ่นสาบสางลอยอวลจนจอมภพตื่นโดยไม่ต้องปลุก เจ้านายของเขาเบิกตาโพลง มือที่กำปืนสั่นเล็กน้อย ถึงจะล่าสัตว์ป่ามาเยอะ แต่เจ้าป่าอย่างเสือโคร่ง จอมภพยังไม่เคยเห็นในป่าจริงๆด้วยซ้ำ เขาเคยเห็นแค่พวกเสือผอมในสวนสัตว์กับแค่เคยฟังเรื่องเล่าอำนาจของเจ้าป่าเท่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น อีกอย่างเขาเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเสือตัวนี้จะเป็นแค่เสือธรรมดาหรือเสือผีตามคำเล่าลือ
แล้วทั้งคู่ก็ไม่ต้องคอยนาน ร่างสีเหลืองลายดำเดินอย่างสง่าผ่าเผย เสือตัวนั้นไม่ได้มีท่าทีระมัดระวังเช่นสัตว์ป่าทั่วไป มันเดินตรงเข้าไปที่ซากของวัวอย่างไม่รอช้าแล้วภาพอันน่าตื่นตกใจที่สุดในชีวิตของทั้งคู่ก็ปรากฏขึ้น
ปราสาทราชมณเฑียรสร้างด้วยทองคำทั้งหลังตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางระหว่างขุนเขาใหญ่ อาณาบริเวณโดยรอบสอดแทรกด้วยบ้านเรือนรูปทรงแปลกตา หลังเล็กใหญ่สลับกัน ถัดจากนั้นออกมามหากำแพงใหญ่ทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งยังสูงตั้งชันประหนึ่งจะท้าทายอำนาจแห่งขุนเขา หญิงสาวผู้หนึ่งในชุดสีดำทะมัดทะแมงปกปิดทั้งใบหน้าเหลือเพียงดวงตาพลิกตัวลงจากหลังม้าสีดำปรอดหน้าอาคารมหาวิหารใหญ่โต รูปปั้นเสือสลักจากหินแกร่งตั้งอย่างสง่าสะดุดตาหน้าประตูทางเข้าใหญ่ หล่อนเดินผ่านโดยไม่เหลียวมอง ตรงดิ่งเข้าภายห้องโถงกว้างสูง เบื้องหน้าคือแท่นบูชามหาเทพขนาดยักษ์ พระองค์ทรงนั่งอยู่บนหลังพยัคฆ์ มือขวาคล้ายประทานพรแก่ผู้เคารพพระองค์ หญิงสาวทรุดตัวนั่งทำความเคารพองค์เทพ พอลุกขึ้นยืนก็ก้าวยาวผ่านแท่นบูชาผลักบานประตูเล็กซึ่งซ่อนอยู่ออก หล่อนเจอบานประตูอีกสามชั้นก่อนจะได้พบกับบุคคลที่ต้องการ
เขายังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เค้าหน้ามีแววเหี้ยมหาญ บุรุษผู้นั้นนั่งสวดภาวนาคาถาพึมพำอยู่หน้าเทวรูปองค์เทพองค์เดิมเพียงแต่มีขนาดย่อมกว่า กลิ่นควันธูปอบอวล หญิงสาวยืนอย่างสงบนิ่งไม่ไหวติง ร่างของบุรุษนั้นสวดคาถาอีกเกือบสิบนาทีจึงหยุดแล้วหันมาเผชิญหน้ากับหล่อน ดวงตาของเขาแววขึ้น
“ว่ามา”
“ท่านแม่ทัพนำกองทัพหลวงออกไปปราบกฏบที่ชายแดนแล้ว เหลือเพียงทหารรักษาเมืองกับกองราชองครักษ์”
“ราชองครักษ์หรือ สำคัญนัก ทหารกองนี้ไม่เคยรบพ่ายแก่ผู้ใด องค์กฤษณะช่างดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท”
“แล้วท่านจะมีคำบัญชาอย่างไรต่อไป”
“กองทัพหลวงเพิ่งเคลื่อนพล ยังคงอยู่ใกล้กับพระนครนัก ช่วงเวลานี้ยังไม่สะดวก เราต้องรอเวลาต่อไป อีกอย่างอาคมข้ายังไม่กล้าแข็งพอ”
“แต่ข้าเกรงว่าจะไม่ทัน เหมือนราชองครักษ์เริ่มจะระแคะระคาย”
หญิงสาวพูดอย่างร้อนรน บุรุษผู้นั้นเงยมองหล่อน
“อรชุนละสิ”
“ใช่ ท่านอรชุนเพ่งเล็งสงสัยข้าแล้ว”
เขาหัวเราะออกมา
“ยากนักที่จะตบตาอรชุนได้ แต่ยังไงบุรุษก็ต้องเสียทีอิสตรีอยู่ร่ำไป เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล อรชุนจะยังคงสงบนิ่งตราบใดก็ตามที่มันไม่มีหลักฐานแน่ชัด เจ้ายังคงแสดงละครของเจ้าได้ต่อไป”
“แต่ข้าหวั่นเกรงท่านอรชุนยิ่งนัก”
“หวั่นเกรงหรือว่ารักมันกันแน่ จำไว้ให้เถิดระกา เจ้าอย่าได้ตกลงไปในหลุมพลางของตัวเอง งานใหญ่ข้างหน้ายังรอเจ้าอยู่”
ระกาก้มหน้า
“เจ้าต้องสืบเสาะหาจุดอ่อนของอรชุน อาคมของมันกล้าแกร่งนัก”
“แต่ก็น้อยกว่าท่าน ในสุวรรณนครหามีผู้ใดทรงกฤติยามนต์เทียบเท่ากับท่านศารทูล หัวหน้านักบวชของมหาวิหารพยัคฆา”
“ยากนักจะเจ้าจะยกยอข้า” ศารทูลหัวเราะด้วยความผยอง “ใช่ ทุกผู้ทุกคนในสุวรรณนครล้วนอ่อนแอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม องค์กฤษณะกลับมีอาคมบางอย่างปกป้องคุ้มตัว”
“อาคมอันใด”
“ข้าเองก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้ หากแต่ว่าหลังจากที่องค์กฤษณะทรงละเลิกบูชาท่านพยัคฆา หันไปเคารพกับศาสนาต่างถิ่นที่เพิ่งเข้ามานั้นได้ไม่นานนัก ก็เหมือนจะมีเกราะบางอย่างคุ้มองค์”
“ศาสนาแห่งองค์พุทธะ”
“ถูกต้อง นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องก่อการนี้ หากศาสนาใหม่แพร่ไปในวงกว้าง พวกเราชาวพยัคฆาก็ยากที่จะดำรงตนอย่างเดิม เจ้าคงเริ่มเห็นศาสนาสถานของศาสนาพุทธแล้ว”
ระกาผงกหัวรับ
“ข้าเห็นแล้วนายข้า”
“นั่นคือจุดเริ่มของสงครามอย่างแท้จริง ระกา เจ้าต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
ศารทูลมองหญิงสาวด้วยดวงตาเรืองอำนาจคู่นั้น ระกามึนงงเมื่อจ้องมอง พอควบคุมตัวเองได้ หล่อนก็หลบตาเพื่อให้หลุดพ้นจากอำนาจประหลาดซึ่งเริ่มคุกคามหล่อน
“ข้าจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง ใกล้จะถึงวันเวลาที่สุวรรณนครจะมีผู้ปกครองใหม่แล้ว”
หัวหน้านักบวชเพียงยิ้ม แผนการของเขาเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนตั้งแต่เห็นระกา เขาเก็บเด็กหญิงมาจากครอบครัวยากจน ระกาเกิดมาในช่วงเวลาที่ส่งเสริมให้ดวงชะตากล้าแข็ง กล้าแกร่งพอจะส่งผลให้แผนการล้มล้างราชบัลลังก์ของเขาสำเร็จ ศารทูลคร่ำเคร่งฝึกสอนหล่อนรวมทั้งฝึกปรือวิชาอาคมจนกระทั่งสามารถกล่าวได้เต็มปากว่าเขาคือผู้เรืองวิทยาคมที่สุดในพระนคร ส่วนระกาก็ไม่แตกต่างจากเขามากนัก หล่อนเรียนรู้มนตราเกือบทุกอย่างจากเขา นอกจากนั้นยังเรียนรู้เชิงอาวุธจากอดีตราชองครักษ์คนเก่าจนช่ำชองชำนาญ ยากนักที่ในสุวรรณนครจะมีผู้ที่ดวลเพลงดาบกับระกาได้เกินสามท่า ศารทูลมองหญิงสาวอีกครั้ง หลังจากงานใหญ่สำเร็จ เขาจะยกหญิงสาวให้ปกครองสุวรรณนครร่วมกันกับเขา
“กลับได้แล้วระกา เจ้าจงหาทางกำจัดอรชุน แล้ววันเพ็ญหน้า เราจะผลัดแผ่นดินสุวรรณนคร จำไว้จงระมัดระวังตัวเองทุกฝีเก้า อย่าประมาทอรชุน”
“ได้นายข้า ข้าจะระวังตัว ข้าขอลานายข้า”
หล่อนทำความเคารพแล้วถอยออกจากห้องบูชา ระกากลับไปที่ม้าก่อนจะดึงผ้าสีดำปกปิดใบหน้าของตนลง ท่ามกลางแสงสว่างของเวลากลางวัน ดวงหน้าของหญิงสาวเมื่อพันปีก่อนจะเห็นชัดถนัดในสายตาของจอมขวัญซึ่งแทบจะกรีดร้องออกมา นั่นมันคือใบหน้าของหล่อนเอง
เสือตัวนั้นกินเหยื่อของมันอย่างรวดเร็ว เสียงฉีกกระชาก เคี้ยวเหยื่อดังก้องในความมืด แม้ว่าบรรยากาศโดยรอบมืดมนเพียงใด ทั้งคู่ก็ยังเห็นร่างของเสือตัวนั้นราวกับว่าผิวหนังของมันเรืองแสง สิ่งที่สะกดสายตาของทั้งคู่คืออีกร่างหนึ่ง สัณฐานลักษณะคล้ายกับมนุษย์แต่ว่าดำสนิท ร่างนั้นโผล่พรวดทะลุหลังของเจ้าสัตว์ร้ายขึ้นมาอย่างเชื่องช้า มันค่อยเหยียดกายออกจาเสือร้ายทีละน้อย จนกระทั่งหลุดออกมายืนอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นเงาดำนั้นก็ก้มลงบริเวณลำคอของซากวัว มันก้มอยู่นานเกือบสิบนาทีจึงลุกขึ้น ชัชวาลเพิ่งสังเกตเห็นว่าซากวัวตัวนั้นดูซีดเซียวลงทันที มันทำอะไร ปิศาจตัวนั้นทำอะไรกับซากวัว
“เลือดยังไงล่ะ เลือดทำให้เรี่ยวแรงของข้าฟื้นฟู”
เสียงแหบดังอยู่ในหัวเพื่อตอบคำถามเขา ชัชวาลผงะหงายหลังจนจอมภพตกใจ
“อะไรชัช” เจ้านายเขากระซิบร้อนรน ลูกน้องคนสนิทหน้าซีดเผือด ปากท่องคาถาพึมพำก่อนตอบ
“ไม่มีอะไรครับนาย”
“อาคมของเจ้าแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าในยุคสมัยนี้ยังคงเหลือผู้ทรงวิทยาคมเช่นเจ้าอยู่อีก”
เสียงนั้นสอดแทรกเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง ชัชวาลเหลือบมองร่างเงานั้น แต่ทั้งเงาดำและเสือร้ายไม่ได้มองมาทางห้างเลย พวกมันยังคงปกติ ลูกศิษย์พรานดำอดไม่ได้ที่จะกำตระกรุดแน่น เขามั่นใจว่าตราบใดที่ยังคงมีตระกรุดอยู่ ร่างสยองทั้งสองร่างก็ยังคงทำอะไรกับเขาไม่ได้ เขาลองท่องอาคมเพื่อกำราบเงาดำนั้น ทว่าตัวของเขาเองกลับรู้สึกถึงอากาศรอบตัวที่เหมือนจะกดดันจนหายใจไม่ออก ยิ่งท่องคาถา ร่างก็คล้ายจะระเบิดออก แม้แต่จอมภพเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทั้งคู่เหงื่อชุ่มโชกทั้งที่อากาศหนาวเย็น เสียงหัวเราะอย่างสนุกดังแว่วมาตามลม ไอ้ปิศาจกล้าแกร่งยิ่งนัก ชัชวาลหยุดท่องคาถา มวลอากาศรอบกายผ่อนคลายลง ยกแรกเจ้าเงาดำเป็นฝ่ายชนะ
คนอย่างชัชวาลไม่เคยยอมสยบให้กับใคร ยิ่งในด้านคาถาอาคมเขายิ่งไม่ยอมแพ้ แล้วชายหนุ่มก็หวนนึกถึงมนต์บทหนึ่งซึ่งใช้ปราบปรามภูติผีวิญญาณร้ายมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เขาทบทวนความทรงจำแล้วเริ่มท่องในใจช้าๆ มวลอากาศเริ่มกดดันอีกครั้งแต่เพียงครู่เดียวก็เหมือนจะหมดสิ้นแรงลง ชัชวาลยังคงสวดต่อเรื่อยๆ อากาศยิ่งโปร่งจนทั้งคู่หายใจอย่างสะดวก จอมภพถึงกลับกระชากปืนขึ้นประทับไหล่เมื่อเห็นว่าพยัคฆ์ตัวนั้นเดินผละจากเหยื่อ เจ้าเสือร้ายเดินด้วยลักษณะอาการหงุดหงิด บางครั้งมันก็คำรามก้องอย่างน่ากลัว ส่วนเงาดำปริศนากลายเป็นร่างโปร่งแสงและคล้ายจะเลือนลางจางลง ชัชวาลเป่าลมหายใจพรวดเมื่อเขาท่องคาถาจนครบเก้าครั้ง เงาดำนั้นกระดอนกลับเข้าสิงสู่ในตัวของเสือร้าย คราวนี้ชายหนุ่มตะโกนบอกเจ้านายตัวเองลั่น
“ยิงมันนาย ก่อนที่มันจะแข็งแกร่งอีกครั้ง”
จอมภพเหนี่ยวไกปืน แต่ แชะ แชะ แชะ กระสุนทั้งสามนัดกลับมาทรยศในช่วงวินาทีคับขัน เจ้าสัตว์ร้ายเงยหน้ามองมาทางห้างแล้ววิ่งเต็มฝีเท้าเข้าใส่ จอมภพผงะหลัง ปืนหลุดไปกองบนพื้นไม้หยาบนั้น ชัชวาลคว้าขึ้นประทับไหล่ เหนี่ยวไกแบบไม่ต้องเล็ง แต่ผลก็เหมือนกัน มีเพียงเสียงแชะเท่านั้นที่กังวานในความเงียบ แล้วเสือร้ายก็กระโจนไต่ขึ้นมาตามลำต้นของกระบกด้วยความปราดเปรียว มันกระโจนสองสามครั้งก็พุ่งตัวเข้าหาทั้งคู่ได้แล้ว ห้างซึ่งชัชวาลทำไว้อย่างแข็งแรงรับน้ำหนักและแรงกระโดดของเจ้าสัตว์ร้ายไม่ไหวพังพินาศลง ทั้งหมดจึงตกลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง
ลูกศิษย์พรานดำไม่ทิ้งลายเก่า มือเหนียวปานตุ๊กแกคว้ากิ่งไม้ขนาดใหญ่ไว้ได้ทัน จอมภพเองก็ว่องไวพอสมควร เขาจับกิ่งไม้เกือบจะล่างสุดของลำต้นเอาไว้ก่อนจะกระแทกพื้นดิน ชายหนุ่มอยู่ในสภาพห้อยต่องแต่ง แต่เสือปิศาจกลับหล่นโครมลงไปนอนหมอบนิ่งอยู่บนพื้น มันไม่มีท่าทางว่าจะได้รับอาการบาดเจ็บแต่อย่างใดเลย เสือร้ายมองขึ้นมาด้วยดวงตาที่แดงฉานยิ่งกว่าเลือด มันเหลือบมองชัชวาลอย่างอาฆาต แล้วมาหยุดสายตาอยู่ที่ร่างซึ่งอยู่ต่ำกว่า จอมภพเห็นดวงตาของมันแล้วก็เย็นทั้งไขสันหลัง แน่นอน ไอ้เสือปิศาจเลือกเหยื่อของมันแล้ว จนใจที่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ในสภาพแบบนี้ ปืนคู่มือก็ตกลงสงบนิ่งอยู่โคนต้น ลูกชายคนโตของจอมพลกัดฟันแน่น รอรับพญามัจจุราชที่กำลังกระโจนขึ้นมา
ชัชวาลมองเห็นภาพนั้นอย่างถนัดชัดเจน เขาทั้งร้อนใจด้วยความเป็นห่วงและหมดหนทางไม่รู้ว่าจะลงมือช่วยเหลือเจ้านายอย่างไร เขาพยายามตะโกนเพื่อเบนความสนใจพร้อมกันนั้นก็ค่อยไต่ลงมาแต่เหมือนจะช้าเกินไป เจ้าเสือตะบบร่างของจอมภพร่วงลงไปนอนกองบนพื้นแล้ว มันคำรามใส่หน้าของชัชวาลก่อนจะเดินตรงไปหาเหยื่อซึ่งนอนนิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหว ชัชวาลลงมาจนกระทั่งถึงกิ่งที่จอมภพห้อยเมื่อครู่ เขาหมดหนทางแล้ว ทำได้เพียงนั่งรอดูความตายของนายจ้างเท่านั้น
อีกเพียงเมตรเดียวเขี้ยวเงาวับก็จะกัดกระชากวิญญาณของจอมภพ มือของเขาก็กระทบถูกเข้ากับตะกรุดหลวงพ่อดำ ชัชวาลนึกได้ในทันทีนั้น เขากระชากจนเชือกร่มห้อยตะกรุดขาดจากกัน ชายหนุ่มยกมือขึ้นจบเหนือหัวแล้วขว้างอย่างแรง ตระกรุดไม้กลายเป็นแสงสว่างพุ่งวาบเข้าหาเจ้าสัตว์ร้าย แสงนั้นเจิดจ้าจนเขาต้องหยีตา มีเสียงคล้ายระเบิดดังสนั่น ร่างของเสือปิศาจกระเด็นสามสี่ตลบแล้วหยุดนิ่ง ขาทั้งสี่สั่นกระตุกบนพื้น ชัชวาลทิ้งตัวลงจากต้นกระบกแล้วใช้แรงทั้งหมดลากร่างอันไร้สติของจอมภพมาพิงไว้ที่โคนไม้ ตัวเขาหยิบปืนตรงดิ่งหวังจะเผด็จศึก ร่างเสือปิศาจลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มันดูสะบักสะบอมมาก ร่างกายอันใหญ่โตเหมือนจะฉีกขาดแต่น่าแปลกที่ไม่มีแม้แต่เลือดซักหยดเดียว มันคำรามใส่เขาด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม
“อย่าอยู่เลยมึง”
เขาเหนี่ยวไก แต่กระสุนยังคงด้านเช่นเดิม ชัชวาลคำรามอย่างโมโห เขาเปลี่ยนปืนเป็นกระบองแล้วตรงเข้าไปหวังจะฟาดเสือร้ายให้ตาย แต่เหมือนมีพลังงานบางอย่างตรึงสองขาของเขาไว้ ไอ้เงาผี เขาคิดในใจก่อนจะบริกรรมคาถาบ้าง ร่างกายเริ่มจะกลับมาเป็นของเขา แต่ร่างเสือร้ายเดินโซเซหายไปในเงามืดเสียแล้ว ชายหนุ่มหลุดจากอำนาจนั้น เขาทำได้เพียงมองทางที่มันหายไป ลูกศิษย์พรานดำถอนใจแล้วเดินกลับมาที่ลูกพี่เขา
“นาย นาย นายครับ”
เขาเขย่าเรียก จอมภพลืมตาอย่างมึนงง
“มันล่ะชัช ตายหรือยัง”
“มันหนีไปแล้วครับนาย”
เขาดึงตัวลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวเร่าๆ สติสัมปชัญญะเริ่มคืนกลับมา
“หนีเหรอ”
“ครับนาย มันโดนตระกรุดของหลวงพ่อหนีไปแล้ว”
“เราต้องตามล่ามันชัช อย่าปล่อยมันไป”
ชัชวาลส่ายหัว
“อันตรายเกินไปครับนาย อีกอย่างเราไม่มีตระกรุดแล้ว”
“แต่ตอนนี้มันกำลังอ่อนแอ ฉันอยากจะยิงมันด้วยมือฉันเอง”
ลูกน้องเขานิ่งคิดอยู่ครู่
“ขอเวลาให้ผมสักนิดเถอะนายแล้วเราค่อยล่ามันกัน ผมรับรองมันหนีเราไม่พ้นหรอกครับ”
“ได้ชัช ฉันจะให้เวลาแกถึงพรุ่งนี้เที่ยง หลังจากนั้นเราจะออกล่ามันกัน”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ