สาบสมิง
เขียนโดย ลูกคนเดียว
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) บทที่สิบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความร่างใหญ่ยักษ์เห็นถนัดชัดเจนในแสงไฟฉาย ตัวของมันใหญ่กว่าเสือปกติเล็กน้อย ปืนพกที่เหน็บเอวดูจะกลายเป็นไม้จิ้มฟันไปเลย แต่ถึงอย่างนั้นชานนท์ก็กระชากขึ้นมากำแน่นแม้จะรู้ดีว่าแทบไม่มีประโยชน์ จอมขวัญยังคงนอนหลับสนิทด้วยท่ายืนคอพับอยู่ด้านหลังเขา หล่อนไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมารับรู้เหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤตนี้เลย เหงื่อท่วมตัวทั้งที่รอบกายเย็นจัด เขากับมันจ้องกันนิ่ง ดวงตาแดงฉานประหนึ่งเลือดผิดจากสัตว์ป่าธรรมดาทำให้เขาสยิวกายอย่างหวาดกลัว รูปร่างลักษณะภายนอกของมันก็เหมือนกับเสือโคร่งปกติธรรมดา กล้ามเนื้อเป็นมัดเห็นได้ชัด ลายสีดำเข้มตัดบนพื้นขนหลืองเข้มจัด ผิวหนังของมันคล้ายกับเรื่อเรืองแสงได้ แล้วชานนท์ก็ต้องขมวดคิ้วอย่างงุนงงเมื่อพบว่าบางขณะเสือใหญ่ตัวนั้นก็ดูเลือนลางลงอย่างประหลาดเหมือนกับว่ามันเป็นแค่เงาพร่ามัว หรือว่ามันคือเสือผีที่ชาวบ้านร่ำลือถึง
เกือบสิบนาทีที่ไม่มีฝ่ายใดขยับร่างกาย แม้ลมดึกจะพัดรุนแรงขนาดไหนก็ตาม แล้วเหมือนว่าเจ้าสัตว์ร้ายจะหมดความอดทน มันขยับย่างสามขุมตรงดิ่งเข้ามาจนเหลือเพียงสองเมตรจะถึงร่างกายเขา ชานนท์กัดฟันเหนี่ยวไกปืน เสือตัวนี้จะเป็นสัตว์ป่าตัวแรกในชีวิตการปกป้องผืนป่าที่เขาลั่นไกสังหาร แต่คุณพระช่วย ปืนพกคู่มือกลับบอดสนิท แม้เขาจะกดยิงซ้ำเพียงใดมันก็ยังคงไม่ทำงานอยู่นั่นเอง เขามั่นใจว่าได้ตรวจเช็คอาวุธคู่กายด้วยมือตัวเอง ลูกปืนทุกนัดอยู่ในสภาพใหม่ที่สุดเท่าที่จะใหม่ได้แล้ว แต่ขณะนี้กระสุนทั้งหมดกลับทรยศเขา เจ้าเสือร้ายยังคงย่างเข้ามา ผู้ช่วยหนุ่มก็ยังคงพยายามเหนี่ยวไกปืน
“มีอะไรหรือเปล่าครับผู้ช่วย”
เสียงตะโกนถามดังขึ้นทำเอาเจ้าเสือประหลาดหยุดชะงัก แสงไฟฉายวูบวาบเข้ามาใกล้พร้อมทั้งเสียงเดินเร็ว ไอ้ลายคำรามเหมือนบ่นแล้วกระโจนกลับหายไปในความมืดทั้งที่ความจริงมันสามารถจะกระโจนเข้ามาขย้ำตัวเขาแล้วลากหายไปกับมันด้วยได้ พละกำลังมันมากเกินพอ แต่ด้วยเหตุผลลึกลับบางอย่างมันกลับเลือกที่จะไม่ทำ เสียงหัวเราะแผ่วเบาลอยตามลมจากความมืดมิดของส่วนลึกในป่านั้น
“ยังไม่ถึงเวลา ช่างเป็นดวงชะตาที่กล้าแข็งจริงๆ”
กลิ่นสาบสางหมดทันทีที่วันชัยยืนนิ่งอยู่ข้างกายเขา พิทักษ์ป่าหนุ่มใหญ่กวาดไฟฉายไปมา
“มีอะไรหรือเปล่าครับผู้ช่วย ผมเห็นผู้ช่วยยืนตรงนี้นานเลยเป็นห่วง”
ชานนท์ฝืนยิ้ม เรื่องราวที่เขาพบเจอยังไม่สามารถที่จะบอกใครได้ในตอนนี้ ยังไม่มีหลักฐาน มันเลื่อนลอยเกินกว่าจะน่าเชื่อถือ แม้แต่ตัวเขาเองที่ประสบพบเจอก็ยังไม่อยากที่จะเชื่อ
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ชัย พอดีผมเห็นคุณจอมขวัญเดินออกมาจากเต็นท์เลยตามมาดู”
วันชัยเหลือบมองหญิงสาวซึ่งยังคงหลับไม่รู้เรื่องแล้วขมวดคิ้ว
“คุณจอมขวัญละเมอเดินอีกแล้วเหรอครับ”
“ใช่ พี่ชัยรู้ด้วยเหรอ”
“ครับ เกือบทุกคนรู้ว่าเธอเป็นโรคประหลาดนี้ครับ คุณจอมขวัญเป็นโรคนี้มานานมากแล้วครับ”
เขาพยักหน้ารับ
“ผมวานพี่ชัยช่วยตรวจตราให้เรียบร้อยด้วยนะพี่ เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณขวัญก่อน”
“ได้ครับ ผู้ช่วยพักผ่อนได้เลยครับ”
“ขอบคุณครับพี่”
ชานนนท์จูงแขนหญิงสาวมุ่งหน้ากลับเต็นท์ ตลอดทางเขามองหล่อนสลับกับการทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอสดๆร้อนๆ เสือโคร่งตัวนั้นกับเงาลึกลับนั่น แน่นอนว่าทั้งสองอย่างย่อมเป็นสิ่งพิศวงสำหรับป่าผืนนี้ แต่นอกจากความน่ากลัวแล้วเขายังรู้สึกถึงความคุ้นเคยกับเงาร่างนั้น เป็นความรู้สึกที่อธิบายยากเย็น ส่วนเสือโคร่งนั้น นอกจากขนาดตัวที่ใหญ่โตกับดวงตามุ่งร้ายหมายขวัญแล้ว เขายังรู้สึกได้ถึงความอำมหิตสอดแทรกด้วยความทุกข์ทรมานอย่างบอกไม่ถูก เรื่องนี้ต้องมีอะไรซับซ้อนมากกว่านี้อีกมาก แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้ชานนท์ก็สามารถตอบคำถามกับตัวเองได้แล้วว่าขณะนี้มีเสือใหญ่ออกอาละวาดทำร้ายสัตว์เลี้ยงต่างๆอย่างแน่นอน และที่สำคัญเหมือนมันจะเป็นเสือผีแบบที่คนทั้งอำเภอพูดกับด้วย แต่กับเรื่องนั้นเขายังคงต้องพิสูจน์ต่อไปเพราะถึงยังไงเท่าที่ตาเห็น มันก็เป็นแค่เสือโคร่งตัวมหึมาเท่านั้น
“ถ้าแกยังเป็นสัตว์ป่าอยู่ ฉันก็มีวิธีการจัดการกับแก”
ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองเมื่อเขาหยุดยืนอยู่หน้าเต็นท์ของจอมขวัญพอดี เขาเรียกสุพรอยู่สามสี่รอบถึงมีเสียงอู้อี้ตอบรับ หลังจากนั้นแค่นาทีเดียวหัวยุ่งๆของครูสาวก็โผล่ออกมาจากเต็นท์ หล่อนอ้าปากหาวก่อนมองอย่างสงสัยไปยังร่างของเพื่อนสนิทที่ยืนคอพับคออ่อนอยู่ข้างชานนท์
“อาการป่วยของคุณขวัญกำเริบน่ะครับ พอดีผมออกเดินตรวจเลยพบเข้า”
สุพรพรวดออกมาจากเต็นท์จับแขนเพื่อนสาวพยายามปลุกพลางถามเขา
“เจอที่ไหนคะ”
ชานนท์ชี้ไปทางชายป่าโปร่งซึ่งวันชัยกำลังส่องไฟฉายไปมา
“ก่อนเข้าป่านิดเดียวครับ”
“ตายละ โชคดีที่คุณนนท์ไปพบเข้า ไม่งั้นขวัญจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”
นั่นสิ ถ้าหากว่าเขาไม่บังเอิญพบเห็นเหตุการณ์ จอมขวัญอาจจะหายสาปสูญเลยก็ได้
“คุณพรพาคุณขวัญพักผ่อนเถอะครับ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่นครับ”
เมื่อเห็นว่าเป็นจริงอย่างที่เขาบอก สุพรก็เอ่ยปากขอบคุณเขาก่อนจะพาหญิงสาวเข้าเต็นท์ ผู้ช่วยหนุ่มยืนรออีกสักครู่แล้วจึงสาวเท้ากลับไปหาวันชัย
“มีอะไรหรือครับพี่ชัย”
“ไม่รู้ตัวอะไรมันหลบแสงไฟไปครับผู้ช่วย ผมมองไม่ทัน”
ชายหนุ่มกวาดไฟฉายผ่านความมืดอีกครั้ง ทุกสิ่งยังคงปกติ
“ถ้ายังไงผมฝากพี่ชัยด้วยนะพี่”
“ได้ครับ ไม่ต้องห่วง ผู้ช่วยพักผ่อนเถอะครับ”
ชานนท์เดินกลับไปนานแล้ว แต่วันชัยยังควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพร้อมส่องแสงไฟฉายบริเวณป่านั้นอีกครั้ง รอจนบุหรี่หมดมวนก็ยังไม่มีอะไรโผล่ออกมา เขายักไหล่แล้วเดินตรวจตราต่อไป
วันรุ่งขึ้นชัชวาลออกสืบเสาะหาข่าวเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเจ้าสัตว์ร้ายตามสถานที่ต่างๆเพื่อใช้ในการวางแผนล่าของจอมภพ แต่ก็เหลว ทุกอย่างยังปกติจนกระทั่งตอนเกือบสิบโมงเขาจึงได้ข่าวที่ต้องการ
“วัวผมหายไปห้าตัวเลยนะคุณ ห้าตัวในคืนเดียว”
หนุ่มใหญ่คนนั้นบอกเขาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“หายไปได้ยังไง”
“ไม่รู้สิ พอตื่นมาก็หาไม่เจอแล้ว เมื่อคืนพวกมันก็ไม่ได้ร้องแสดงอาการตกใจอะไรเลย แต่พอตอนเช้าหายหมด”
“โจรขโมยหรือเปล่า”
“ผมไม่ทราบ แต่ก็ไม่เห็นจะมีร่องรอยอะไร”
เจ้าของวัวมีท่าทางวิตกทุกข์ร้อน
“แล้วคอกวัวอยู่ไหน”
เขาถามพลางสอดส่ายสายตามองหา
“อยู่หลังครัวติดกับแนวป่านั่น”
หนุ่มใหญ่คนนั้นชี้ ชัชวาลเดินตามคำบอกจนมาหยุดยืนลูบคางพิจารณาคอกวัว แล้วเขาก็เห็นรอยลากจางๆบนพื้นดิน นอกจากนั้นยังมีรอยตีนสมบูรณ์ห่างออกจากคอกวัวประมาณยี่สิบเมตร รอยตีนนั้นอยู่บนดินนุ่มตอนหนึ่ง อุ้งเท้าขนาดใหญ่มีรอยนิ้วตีนห้านิ้วเด่นชัด มันแน่นอน ไอ้เสือร้าย เขาออกแกะรอยเรื่อยๆจนเกือบเที่ยงจึงพบซากวัว สี่ตัวเหมือนกับหมูป่าใหญ่ตัวนั้นมีเพียงหนังกระจัดกระจาย ส่วนอีกตัวยังไม่มีร่องรอยของการกิน ชัชวาลเงยหน้าดูรอบด้านเพื่อหาจุดที่เหมาะสมสำหรับการผูกห้าง ยังไงเสือก็ไม่ทิ้งเหยื่อ คืนนี้เจ้าวายร้ายต้องกลับมาจัดการอาหารของมัน แล้วเขาก็มองเห็นคาคบต้นกระบกใหญ่อยู่สูงจากพื้นราวสิบเมตร ใหญ่พอจะขึ้นไปขัดห้าง แล้วก็สูงพอสำหรับเสือกระโดดไม่ถึง เขาเหลียวมองรอบด้าน ต้องรีบแล้ว ไอ้เสือผีอาจจะกลับมาได้ทุกเมื่อ ชัชวาลรีบวิ่งกลับไปที่รถ เขาหยิบมีดพร้าออกมาแล้วเผ่นกลับเข้าป่าเริ่มทำงานอย่างขะมักเขม้น จนเกือบบ่ายสามโมงงานของเขาจึงสำเร็จลง ห้างบังไพรสถิตอยู่บนคาคบกระบก ลูกน้องคนสนิทของจอมภพเดินออกมาหาชายเจ้าของวัวอีกครั้ง เขายื่นส่งเงินให้จำนวนหนึ่งแล้วพูดว่า
“วัวของนายถูกเสือลากไปกิน”
ชายคนนั้นผงะ หน้าซีดด้วยความกลัว
“ทั้งห้าตัวเลยหรือครับ”
“ใช่ เงินนี่ฉันให้นายเป็นค่าปิดปากเรื่องที่เสือเอาวัวนายไป อย่าเพิ่งไปบอกใคร”
“ทำไมครับ”
เขาสงสัยแต่กับเงินของชัชวาล
“ฉันกับเจ้านายจะออกล่ามัน ถ้านายไม่อยากเดือดร้อนก็ขอให้อยู่เฉยๆแล้วจะดีเอง”
หนุ่มใหญ่พยักหน้ารับ เขาพอจะรู้อยู่ว่าชัชวาลเป็นคนของใคร อิทธิพลของจอมพลแผ่กว้างปกคลุมทั้งอำเภอเล็กนั้น
“ครับ ผมจะไม่บอกใคร”
“หลังจากจัดการเสือตัวนั้นเสร็จ ฉันจะจ่ายค่าวัวให้นายเอง แต่ถ้าหากมีใครแม้แต่คนเดียวรู้เรื่องนี้ นายคงรู้นะว่าจะเป็นยังไง”
หนุ่มใหญ่เจ้าของวัวผงกหัวติดต่อกันหลายครั้ง ชัชวาลกำชับจนแน่ใจแล้วเขาจึงรีบกลับบ้านเพื่อปรึกษากับจอมภพโดยเร็ว
วันนี้ทั้งวันจอมขวัญค่อนข้างที่จะอ่อนเพลียและเหมือนจะมีไข้เล็กน้อย หญิงสาวรู้เรื่องราวอาการประหลาดของตนเองที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้จากสุพร หล่อนกล่าวคำขอบคุณชานนท์ที่ช่วยหล่อนไว้ได้ก่อนจะเดินหายเข้าไปในป่าทึบ ผู้ช่วยหนุ่มยิ้มรับก่อนจะบอกให้หล่นพักผ่อนให้มากเข้าไว้แล้วเขาก็ผละจากไปช่วยควบคุมกำกับดูแลกิจกรรมของลูกเสือ จอมขวัญทำค่ายได้เพียงครึ่งวันก็รู้สึกหน้ามืด สุพรพาหล่อนไปพักในห้องพยาบาลของอุทยานแห่งชาติ ตลอดบ่ายหญิงสาวหลับพักอยู่ที่นั่น จอมขวัญฝันเห็นภาพของเงาดำทะมึนหัวเราะอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เห็นภาพของเสือตัวมหึมากระโจนแวบไปมาหลังม่านป่าไม้ แล้วหล่อนก็เห็นภาพของนครโบราณอันรุ่งเรืองแวดล้อมด้วยขุนเขาสูงตระหง่าน ผู้คนที่นั่นยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วต่อมาก็เป็นภาพของการทำพิธีในมหาวิหารของนักบวช ก่อนจะกลับกลายเป็นฉากสงครามใหญ่ ทหารมากมายรบฆ่าฟันกัน ภาพทั้งหลายวนเวียนอยู่ในความฝันอันวกวนของหล่อนจนกระทั่งหล่อนมองเห็นภาพของผู้ที่เป็นหัวหน้าของนักบวชกลุ่มนั้นอย่างชัดเจน เขายืนหัวเราะอยู่หน้าแท่นบูชาบางอย่างซึ่งมองเห็นไม่ถนัดนัก เสียงหัวเราะอันคุ้นเคย เจ้าปิศาจตนนั้น ลูกสาวของจอมพลผวาตื่นกรีดร้องดังลั่น ชานนท์ซึ่งกำลังสอบถามอาการของหล่อนอยู่ถึงกับวิ่งพรวดเข้ามา เขามองเห็นจอมขวัญนั่งกอดขาตัวสั่นอยู่บนเตียง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณขวัญ” น้ำเสียงนั้นแสดงอาการร้อนรน ครูสาวสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติ
“ไม่มีอะไรค่ะคุณนนท์ ขวัญแค่ฝันร้ายค่ะ”
“แน่ใจนะครับ”
คราวนี้เหมือนจอมขวัญจะควบคุมตัวเองได้แล้ว หล่อนมองสบตาเขา นัยน์ตาคู่นั้นมีแววหวาดกลัวซ่อนอยู่ลึกๆ
“แน่ใจค่ะ นั่นเวลาเท่าไหร่แล้วคะ”
“สี่โมงกว่าแล้วครับ”
“งั้นขวัญคงต้องขอตัวไปเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมรอบกองไฟคืนนี้ก่อนนะคะ”
“ถ้าคุณขวัญไม่ไหว พักก่อนก็ได้ครับ”
หล่อนยิ้มเซียวๆให้เขา
“ไม่เป็นไร ขวัญไหวค่ะ”
ผู้ช่วยหนุ่มพยักหน้ารับ เขาเดินไปส่งหล่อนที่เต็นท์ มองด้วยสายตาที่เป็นกังวลจนหล่อนเข้าเต็นท์ไป
เวลาผ่านเรื่อยจนกระทั่งถึงกิจกรรมรอบกองไฟ หลังจากพิธีการเริ่มขึ้นจนกระทั่งเด็กๆเริ่มออกมาแสดงแล้ว จอมขวัญยังไม่มีอาการผิดปกติใดทั้งสิ้นท่ามกลางการลอบสังเกตอย่างถี่ถ้วนของชานนท์ซึ่งเขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงได้เป็นห่วงหล่อนมากขนาดนี้ เขาถอนหายใจเล็กน้อย ชานนท์เริ่มจะแน่ใจว่าอาการประหลาดของจอมขวัญอาจจะมาจากเรื่องพิศวงที่เขาพบเจอเมื่อคืน
จอมขวัญนั่งมองดูการแสดงของเด็กด้วยความสนุกสนาน หล่อนเกือบจะลืมเรื่องราวต่างๆที่ได้เผชิญมาตลอดหลายวันหรือแม้แต่ฝันกลางวันนั่น แต่แล้วหญิงสาวก็ขนลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุ หล่อนแว่วเสียงหัวเราะนั้นอีกครั้ง มันลอยมาตามลมเหมือนทุกที จอมขวัญหันรีหันขวางจนสุพรสะกิดถาม
“เป็นอะไรไปขวัญ”
“แกได้ยินเสียงหัวเราะหรือเปล่า”
“ได้ยินสิ ก็หัวเราะกันตั้งหลายคน”
“ไม่ใช่ เป็นเสียงหัวเราะแหบๆฟังสิ มันหัวเราะอีกแล้ว”
สุพรเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินอะไร
“ไม่มีเสียงอะไรเลย แกหูแว่วละมั้ง”
ครูสาวไม่ตอบ หล่อนกำลังจ้องมองเข้าไปในแสงของพระเพลิงเบื้องหน้า ท่ามกลางกองไฟร้อนแรงนั้น ร่างหนึ่งยืนตะหง่านอยู่ที่นั่น แสงไฟลามเลียทั่วทั้งร่างแต่เหมือนว่าจะไม่มีผลกับเงาร่างนั้น มันชี้มือมาทางหล่อน หญิงสาวไม่สามารถละสายตาจากมันได้ประหนึ่งถูกสะกดเอาไว้ แล้วร่างมันก็ค่อยเลือนหายไป ภาพที่สร้างความประหลาดใจบังเกิดแทนที่ หล่อนเบิกตาโพลงเมื่อเห็นภาพนั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ