วันนี้เป็นวันแรกที่ข้ามาเข้าสังกัดผู้พิทักษ์แห่งคาลเว่น
ที่นี่เป็นบ้านหลังเล็กๆ แถมยังรกไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่กระจัดกระจาย
เต็มไปหมด นี่ยังไม่รวมความเก่าแก่ของไม้ที่ใช้สร้าง
แต่ก็เอาเถอะ
คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการเดินทางในเมืองใหญ่ที่กำลังคึกคักไปด้วยผู้คนอีกแล้ว
มาถึงข้าก็เจอคู่หูอย่างคอร์ลินกำลังยืนคุยกับเพื่อนสมาชิกอยู่เลย
แถมเขาดูจะเข้ากับคนได้เร็วมาก ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่หรอกนะ
พวกชาวบันย่าที่ข้ามมาจากผืนทะเลทรายค่อนข้างจะเป็นมิตรที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ
คอร์ลินดูสนิทสนมกับชายเคราดกที่เขากำลังคุยด้วยคนนั้นเป็นพิเศษ
หน้าตาหมอนั่นรวมไปถึงเคราสีแดงๆแบบนั้น
คงเป็นพวกชาวเดนส์ไม่ผิดแน่ แถมตัวอย่างกับยักษ์เลยล่ะ
ข้าเองก็ไม่รู้จะเริ่มสนทนาอะไรกับใครก่อนดี
นั่นเพราะข้าไม่ใช่คนเข้ากับชาวบ้านง่ายๆซักเท่าไหร่นัก
แถมถ้าข้าเข้าไปทักคอร์ลินก็คงจะเด่นเป็นแน่ หมอนั่นเล่นไปยืนคุยอยู่กลางวงแล้วก็ดูเด่นสุดเลย
ไม่ใช่การแต่งตัวหรอกนะ แต่เพราะที่นี่มีแต่คนผิวสีขาว
มองเจ้านั่นไปข้าก็อดยิ้มให้ไม่ได้ เขาแต่งตัวดูดีมากสำหรับวันแรก
ใส่ชุดสีดำทมิฬทั้งเสื้อทั้งกางเกง ยิ่งไปกว่านั้น มันดูใหม่เอี่ยม
คงเพราะเพิ่งจะซื้อไม่นานนี้ล่ะมั้ง แล้วก็..
ถึงจะดูเป็นคนทึ่มๆแต่หมอนี่ก็ชอบทำตัวดูดีเวลาเข้าสังคมเสมอล่ะ
แต่ขณะนั้นเอง คู่หูผู้ร่าเริงของข้าก็หันมาเจอข้าเข้าพอดี
"อ้าว ไงลัวร์ ทำไมเจ้ามาช้านักล่ะ" เขาเอ่ยปากทักข้าด้วยท่าทางที่ดูเยาะเย้ย
หลังเห็นเสื้อผ้าที่ดูมอมแมมของข้า แต่จะให้ทำไงได้ เก็บเงินไว้ค่าอาหารจะดีกว่า
"ก็ไอ้การเปิดตัวเรือเหาะลำใหม่นั่นน่ะ คนออกมาดูกันเต็มไปหมดเลย
กว่าข้าจะฝ่ามาได้ก็เกือบชั่วโมงนึง :( "
ข้าตอบเขาไปแบบหงุดหงิดนิดๆ เพราะเมื่อเช้าตอนข้าออกมาจากใต้สะพาน
เจ้าด็อกเตอร์มิโตะอะไรนั่นดันประกาศเปิดตัวเรือเหาะไอน้ำลำใหม่ของเมืองน่ะ
ที่จริงข้าเคยอ่านเรื่องราวของเขาอยู่เหมือนกัน หนุ่มแว่นหน้าตาดูทึ่มๆแต่ฉลาดเป็นกรดคนนี้มาจากแคว้นโชกุนแห่งเพียวโตะฝั่งตะวันออกนู่น
เห็นว่าเขาเดินทางมาถึงนี่ก็เพราะอยากทดสอบสิ่งประดิษฐ์ของตนเอง
ก็ไอ้เรือเหาะที่บินอยู่เต็มฟ้าพวกนี้นี่แหละ มันเป็นเพราะเจ้านักวิทยาศาสตร์นั่น
ดันติดใจกับดินแดนแห่งนี้ เขาก็เลยกวาดซื้อที่ดินแล้วก็ตั้งตัวใหม่
แต่หนังสือบอกว่าการก่อตั้งบริษัทของเขาก็เจอการต่อต้านจากชาวคาลโพรเทียอยู่บ้าง คงเพราะคนที่นี่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมเสียส่วนมากเลยไม่ค่อยเปิดใจอะไรใหม่ๆกันเลยล่ะ
สงสัยล่ะสิ ข้าเอาหนังสือมาจากไหนในเมื่อข้าเป็นขอทาน
ใช่แล้วล่ะ.. ข้าเป็นขโมย คือ.. แค่งานอดิเรกหลังเที่ยงคืนน่ะ
ข้ามีฝีมือพอจะบุกรุกห้องสมุดได้ในยามดึกเพราะงั้นจึงได้อ่านหนังสือบ่อยๆ
ส่วนทำไมต้องตอนกลางคืนน่ะหรอ ก็ขอทานตัวเหม็นอย่างข้า
ใครจะให้เข้าไปใช้บริการร่วมกับชาวเมืองกันล่ะ
กลับมาที่เรื่องการเข้าสังกัดครั้งแรก ที่นี่ก็ดูเป็นมิตรดีนะ
แต่ละคนก็มีคู่สนทนาของตนเอง บรรยากาศก็เหมือนการประชุมทั่วๆไป
บางคู่ยืนพิงผนังคุยกัน บางคู่นั่งกันที่พื้น ดูๆไปแล้วคงเป็นสมาชิกใหม่กันหมด
แต่จู่ๆก็มีเสียงปรบมือดังมาจากหลังบ้าน
พร้อมกับทุกๆคนที่เริ่มหยุดคุยและหันไปมองตามเสียง
ไม่นานเจ้าของเสียงก็ค่อยๆปรากฏตัวออกมาจากเงามืด
อาจจะดูเท่ไปหน่อย แต่ตาแก่คนนี้แหละที่ชวนพวกเรามา
"ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ทุกท่าน
ผมคือประธานองค์กรปราบปรามผู้กระทำผิดระหว่างประเทศ เอียน แมคคลอว์
กลุ่มผู้พิทักษ์แห่งคาลเว่นคือสาขาหนึ่งในองค์กรของเราซึ่งกระจายอยู่ทั่ว แกรน เทอร์ร่า
จากนี้ไปพวกคุณคือผู้ตรวจหาการกระทำผิดและจัดการกับมันซะ หากมีอะไรสงใส ก็ถาม"
เสียงของเขาเย็นมาก ใบหน้าที่เหี่ยวย่นอันสุดแสนจะไร้อารมณ์ประกอบกับผมขาวๆที่น่าจะร่วงหมดหัวในอีกไม่นาน ทำให้เขาดูผ่านอะไรมามากมาย
"พวกคุณทุกคนล้วนเป็นขอทาน คนจรจัด คนไร้บ้าน แต่นับจากนี้ไป พวกคุณจะได้รับเงินเดือนกับสวัสดิการตลอดชีวิตการทำงานให้กับเราของคุณ"
ตาแก่พูดเสริม ซึ่งมันก็ทำให้ข้ารู้ว่าเจ้าพวกที่อยู่ในห้องนี้ล้วนเคยทำอาชีพเดียวกัน
คราวนี้แหละ ข้าก็พอจะยืดอกคุยกับชาวบ้านได้บ้าง
แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรกันต่อ ตอนนั้นจู่ๆก็มีแสงไฟสาดเข้ามาทางหน้าต่าง พร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้คนด้านนอก
"รีบหนีออกไปให้ห่างๆจากบริเวณนี้!"
"ไฟไหม้! เรือเหาะกำลังร่วงลงมา!"
พวกชาวบ้านเริ่มตะโกน ผู้คนด้านนอกวิ่งกันอย่างอลม่าน
ขณะที่พวกเราพากันมุงดูผ่านหน้าต่าง ภาพที่ข้าเห็น มันคืออุบัติเหตุที่ร้ายแรงมาก
เรือเหาะลำเมื่อเช้านี้กำลังถูกไฟครอก แถมมีคนกระโดดลงมาจากบนนั้นให้เพียบเลย
ไม่ช้าพวกเราทั้งหมดก็ตัดสินใจพากันวิ่งออกจากบ้าน เพื่อไปช่วยคนเจ็บกัน
มันเท่สุดๆไปเลย มาวันแรกก็มีงานให้ว่าที่ผู้พิทักษ์ได้ลองทำกันทันที
หนำซ้ำ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ทำอะไรดีๆกับเขาบ้าง..
แต่ข้าก็สังเกตุเห็นชายแก่คนนั้น ไม่ได้แสดงท่าทางแตกตื่นอะไรเลยขณะที่พวกเรากรูกันออกไปจากบ้าน ซึ่งหากมองในแง่ดีเขาอาจลองทดสอบพวกเราอยู่เหมือนกันมั้ง
ยังไงก็เถอะ พวกเราก็มาถึงจุดเกิดเหตุภายในเวลาเพียงครู่เดียว เนื่องจากจุดเกิดเหตุอยู่
ห่างไปเพียงไม่กี่หลังนับจากสำนักงาน ซึ่งภาพที่ข้าเห็นในวันนั้นยังติดตาข้ามาถึงวันนี้
ข้าเห็นผู้คนล้มลงไม่ไกลนักจากที่ข้ายืน ข้าจึงพยายามจะเข้าไปช่วย
ทว่า เรือเหาะลำนั้นได้ร่วงลงมาทับร่างของพวกเขาต่อหน้าข้าพร้อมแผดเผาบริเวณใกล้เคียงจนราบคาบไม่เหลือชิ้นดี
ข้าเองก็ล้มลงเพราะรัศมีความร้อนพรางใช้มือป้องใบหน้าจากสะเก็ดไฟ
จากนั้นพวกนักเวทย์ก็แห่กันมาให้เพียบจากวิหารใกล้ๆ
จะว่าไปคนพวกนี้ก็มีจิตอาสาเหมือนกันนะเนี่ย นึกว่าจะเป็นพวกคลั่งลัทธิน่ากลัวๆซะอีก
พวกเขาร่ายคาถาน้ำเพื่อดับไฟ ทว่า น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเป็นธรรมดา
พวกเขาไม่สามารถดับมันได้ ทำได้เพียงบรรเทามันลง
แต่แล้ว ก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ชายผู้นี้สวมเสื้อคลุมยาวสีแดงพร้อมฮู้ด
เขาดึงเอาน้ำที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งของเมืองถาโถมเข้าใส่ซากเรือเหาะ
ด้วยการค่อยๆชูมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมสวดบางอย่าง
และเปลวไฟก็มอดลงภายในไม่กี่นาทีหลังจากนั้น..
ข้าแอบเอะใจเล็กๆ ว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ช่วยชีวิตข้า เขาช่างดูคล้ายคลึง
ชนิดที่ข้าเองก็รู้สึกเหมือนจะจำได้เลย
กระนั้น ข้าก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรได้นานนัก
ด้านหลังข้าดันเกิดการชุลมุนขึ้นอีก ทำให้ข้าเบี่บงความสนใจไปที่กลุ่มคนด้านหลัง
ดูสิ ใครโดนใส่กุญแจมือ เจ้าด็อกเตอร์มิโตะผู้ฉลาดเป็นกรดคนนั้นไงล่ะ
"เราจะส่งตัวคุณไปฝากขังที่เรือนจำกลางแห่งคาลโพรเทีย
อ่อ.. แต่ถ้าคุณขัดขืน บางทีเราอาจจะขอความร่วมมือ
จากจักรวรรดิเทอร์เมลอตฝากขังที่คุกดัลดอนซะเลย"
นายตำรวจของเมืองกล่าวข่มขู่หมอนั่น ที่กำลังนั่งจ๋อยอยู่กลางกลุ่มคน
แต่ก็ดูแปลกๆนะ เหมือนเขาไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลย เขานั่งพรึมพรำคนเดียวอยู่อย่างนั้น
ใบหน้าดูเศร้าสลดกับอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่เกิดจากผลงานตนเอง
"คุณว่าไงนะ? พรึมพรำอะไรอยู่ได้" ตำรวจคนเดิมถามพร้อมกับเอาหูไปใกล้ๆ
ดูๆแล้วคนพวกนี้ไม่ค่อยจะชอบด็อกเตอร์นี่สุดๆ แต่นั่นก็ดูจะไม่แปลกอะไร
ทันใดนั้นหมอนั่นก็หันหน้าไปหานายตำรวจผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยสีหน้าที่เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ ซึ่งนายตำรวจก็แสดงอาการตกใจเล็กน้อย
"นี่เป็นผลงานที่ผมตั้งใจสร้างมาอย่างดี มันไม่มีทางเป็นแบบนี้ได้ ก่อนปล่อยเราตรวจสอบทุกจุดอย่างละเอียดแล้ว ละ.. แล้วเราก็มีช่างฝีมือดีหลายคนบนนั้นด้วย
เว้นแต่...." หมอนั่นเริ่มพูดกับตำรวจด้วยน้ำเสียงที่ดูรนๆ
"หืม? เว้นแต่อะไร?" นายตำรวจถามต่อ
"เว้นแต่จะมีคนวางแผนบางอย่างเพื่อก่อวินาศกรรม"
นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องกล่าวต่อพร้อมทั้งเม็ดเหงื่อที่ท่วมหน้าไปหมด