เทพตกสวรรค์ ภาคทัณฑ์แห่งเทพ

-

เขียนโดย 秋冬夢春

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 00.28 น.

  7 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,548 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 01.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) พระผู้มีพระภาค พระองค์ที่ 1 ในการอารักขา : พระนาม พระสรณังกรพุทธเจ้า (ประสูติกาล)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
“(กึ่ก!)(ครืดดดดด!!) ค่อก!!” องค์ชายที่หลุดออกจากผนึกเป็นครั้งแรกกระอักเลือดออกมากองโต ด้วยการหลับไหลอันแสนยาวนานนับครึ่งกัลป์
ในกาลนั้น สาส์นจากชมพูทวีปได้ถูกส่งมายังจอมเทวีอมาเตระสึ ใจความว่า
 
“ตราทัณฑ์อสงไขยที่บุตรชายของท่านได้รับเมื่อครั้นสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า ตัณหังกรนั้น
ท้าวมหาพรหมจึงใคร่ให้ขอให้ท่านส่งตัวเทพองค์ดังกล่าว มาโดยเร็ว เพราะในกาลบัดนี้ พระนิยตโพธิสัตว์ เสด็จประทับลงในพระครรภ์ของพุทธมารดาเป็นที่แน่ชัดแล้ว
หาไม่แล้วนั้น บุตรชายของท่าน จักได้รับความทุกข์ทรมานที่มิอาจคาดถึง”
 
เมื่อทอดพระเนตรสาส์นเสร็จ องค์ชายที่เดินขึ้นมาจากส่วนลึกที่สุดของพระราชวังก็เดินทางมาถึงโถงหลักของสภาแห่งเหล่าเทพพอดี
เป็นปกติที่เทพหรือเทพีทุกพระองค์ ที่ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากมวลมนุษย์หรือเทพในสวรรค์ทวีปอื่น จักต้องเข้ารายงานตัวต่อองค์เทพีอมาเตระสึ ที่โถงหลักของสภาแห่งทวยเทพ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เมื่อองค์ชายย่ำเท้าเข้าสู่สภาแห่งเทพ เสียงสนทนาก็เงียบลงในบันดล
 
“เจ้าจงไปเถิด ไปยังชมพูทวีปเพื่ออารักขาแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ที่จักบังเกิดในกาลไม่ช้านี้! ทีนี้เจ้าจงไปได้แล้ว!”
 
เทพีอมาเตระสึตรัสขึ้นพร้อมกับโบกพระหัตถ์ขับไล่องค์ชายที่เป็นบุตรชายสายเลือดแท้ๆของพระองค์ ด้วยพระอาการรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
“เทพตกสวรรค์แห่งแดนอาทิตย์อุทัย ขอรับคำสั่งแห่งเทวาผู้สูงส่ง!” องค์ชายค้อมหัวพร้อมกับเดินออกมาจากสภาแห่งเทพ
 
เสียงตรัสเมื่อครู่สร้างความเจ็บช้ำให้แก่องค์ชายเป็นอันมาก เมื่อเดินออกมาจากสภาแห่งเทพเสียงสนทนาก็กลับมาดังสนั่นอีกครั้ง ซึ่งส่วนมากก็เป็นเกี่ยวกับการเสียดแทงองค์ชายที่กลายเป็นเทพตกสวรรค์
ใครกันหนอจะเห็นหยาดน้ำตาขององค์ชายผู้อาภัพผู้นี้บ้าง เทพผู้ยอมสละชีวิตของตนเพื่อสนองคำสั่งของเหล่าเทพ ให้เปิดทางให้องค์พระบรมศาสดาเสด็จลงมาตรัสรู้ แต่ทว่าผลที่ตอบแทนที่ได้นั้น สร้างความเจ็บปวดให้แก่เขาเป็นอันมาก
 
ไม่ไกลจากสภาแห่งเทพนัก องค์ชายปาดน้ำตาของตนออกมาอย่างไม่อายเทพพระองค์อื่นใด ทำไมหนอ? ทำไมกัน? เขาจึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย?
“องค์ชายเพคะ! องค์ชาย!” เสียงหวานใสของเทพีองค์หนึ่ง เรียกความสนใจของเขาที่กำลังโศกเศร้า
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับเทพีองค์หนึ่งที่มีสีผมราวกับแสงอาทิตย์จ้า ดวงตาสีน้ำตาลกลมโต อยู่ในชุดกิโมโนสีขาวแดง ที่ศรีษะกลัดผมด้วยปิ่นรูปนกกระสา ชุดที่ใส่เป็นชุดทางการของราชสภา อันเป็นสัญลักษณ์ของสมาชิกสภาแห่งเทพ แต่ที่เตะตาเขามากที่สุดก็คงจะไม่พ้นหูจิ้งจอกสีส้มที่สะบัดเบาๆ
“เทพีอินาริ? มีอะไรกับข้างั้นหรือขอรับ?” องค์ชายกล่าวพร้อมกับฝืนยิ้มทั้งน้ำตา
ถึงตรงหน้าจะเป็นแค่เพียงเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อเทียบกับตัวตนของเขา ที่กลายเป็นเทพตกสวรรค์ผู้แปดเปื้อนแล้ว เขาจึงจำเป็นที่จักต้องเว้นระยะห่างเอาไว้มิให้เทพีตรงหน้าเอื้อมแตะต้องกายถึง
เพราะหาไม่แล้ว เทพีอินาริจักโดนความแปดเปื้อนจนอาจโดนเนรเทศออกจากสวรรค์
“ข้าน้อยเพียงแต่จักนำคำอวยพร ให้แด่องค์ชายเพียงเท่านั้นเพคะ~” เทพีอินาริตรัสกับองค์ชายที่พยายามสะกดน้ำตาของตนเองไว้อยู่
“ข้ามิต้องการมันหรอกขอรับ! ข้าเป็นเพียงเทพตกสวรรค์ที่ไม่สมควรได้รับมัน!”
องค์ชายตอบกลับเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ความน้อยใจ ปนเปไปหมด
“เอาเถิดเพคะ! ถึงกระนั้น ข้าน้อยก็ขออวยพรให้ท่านทำหน้าที่ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีนะเพคะ~(หมับ!!!!)”
เทพีอินาริกล่าวคำอวยพรให้แด่องค์ชายผู้กลายเป็นเทพตกสวรรค์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดหลังจากที่เทพีอินาริตรัสจบ ก็เอื้อมมือที่บริสุทธิ์เข้ากอดองค์ชายตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
“………!!!!....ทะ…ทะ…เทพีอินาริขอรับ!.....ทะ…ท่าน…มะ…มิเหมาะสมที่จะแตะต้องตัวข้านะขอรับ!!!”
องค์ชายพูดละล่ำละลัก ความโศกเศร้าเมื่อครู่หายไปจนสิ้น หลงเหลือเพียงแค่ความตระหนกและความเขินอาย
“ทำไมจะมิเหมาะเล่าเพคะ? ในเมื่อท่านเองก็ยังถือสิทธิ์ว่าเป็นเทพผู้มีจิตใจเฉกเช่นเทพทั่วไป ข้าน้อยมิเห็นว่าผิดแปลกเฉกเช่นที่เสด็จแม่ของพระองค์กล่าวมาเลย?”
เทพีอินาริตรัสเสียงหวานใสใส่องค์ชาย พลางคลายอ้อมกอดลงมิให้องค์ชายอึดอัด
“ตะ…ตะ…แต่ว่า…!!!” องค์ชายกำลังจะพูดตอบโต้ แต่ทว่าเทพีก็ตรัสห้ามไว้เสียก่อน
“มิมีแต่หรอกเพคะ! ข้าน้อยจักให้พระองค์ยืมไหล่ของข้าน้อยเป็นที่พักพิงได้ชั่วครู่ยาม มิต้องกังวลถึงสิ่งใด ปลดปล่อยมันออกมาเถิดเพคะ ความโศกเศร้าของพระองค์ ข้าน้อยจักรับมันไว้เองเพคะ!”
เทพีอินาริตรัสจบเพียงเท่านั้น น้ำตาแห่งความโศกเศร้าขององค์ชายที่สะกดไว้ก็พลันหลั่งไหลออกมาจนชุ่มไหล่ขวาของเทพีอินาริ
 
ผ่านไปหลายสิบนาที
บัดนี้องค์ชายกำลังยืนอยู่หน้าประตูของพระราชวังสวรรค์แดนอาทิตย์อุทัย ด้านหน้าอีกไกลโพ้นคือแดนพุทธประสูติ ด้านหลังมีเพียงเทพีพระองค์เดียวที่มาคอยส่ง
“ข้าขอขอบพระคุณ~ในความใจกว้างของเทพีอินาริด้วยขอรับ!” องค์ชายพูดเบาๆ
“โชคดีนะเพคะ~” เทพีอินาริตรัสกล่าวคำอำลา
ในชั่วพริบตา ร่างกายขององค์ชายก็สลายกลายเป็นฝุ่นผง มุ่งไปยังแดนพุทธประสูติเพื่อทำการอารักขาพระนิยตโพธิสัตว์ ที่จะประสูติในการข้างหน้า โดยมีสายตาของเทพีอินาริมองส่งไปจนลับสายพระเนตร
“ข้าก็มิค่อยแปลกใจเท่าใดหรอกนะ! นิสัยเจ้าก็โอบอ้อมอารีต่อทุกคน~” เสียงของเทพพระองค์หนึ่งตรัสขึ้นด้านหลังของเทพีอินาริ
“เป็นท่านเองหรือ? เทพยูเกะ โมชิ? ก็นะ! องค์ชายช่างน่าสงสาร ถูกพระมารดาขับไล่ตั้งแต่อายุยังเยาว์เพียงนี้~ข้าเพียงแค่ให้พระองค์ได้ยืมหัวไหล่ของข้าระบายอารมณ์ ข้ามิเห็นจักเสียหายในส่วนใดเลย?”
เทพีอินาริตรัสตอบเทพผู้เป็นคู่ครองของพระองค์
“เอาเถอะๆ ข้าก็มิได้จักตำหนิเจ้าในส่วนใดหรอก~แต่ทว่าอย่าให้เรื่องนี้ถึงพระกรรณขององค์เทพีอมาเตระสึเชียว~ มิเช่นนั้นเจ้ากับข้าคงมิอยู่เป็นสุขเป็นแน่”
เทพียูเกะ โมชิตรัสกับเทพีอินาริถึงเรื่องเมื่อครู่ ถ้าหากถึงพระกรรณของเทพีอมาเตระสึเมื่อใดแล้วล่ะก็ พระองค์มิอยากคาดคิดถึงผลที่จะตามมาแม้เพียงนิด
“มิต้องเป็นห่วง~เรื่องนี้มิมีวันแพร่งพรายเป็นแน่~” เทพีอินาริตรัสยิ้มๆ
 
ตัดกลับไปทางองค์ชาย ที่บัดนี้เริ่มเข้าสู่อาณาเขตพุทธประสูติ
 
ณ พระนครสุวิปุละ ชมพูทวีป
ในยามค่ำคืน ในห้องบรรทม ลมเพยรำพัดให้เย็นกาย สบายพระหฤทัย
พระนางยสะเทวีบรรทมประทับอยู่บนพระแท่นบรรทม ภายในพระครรภ์มีพระนิยตโพธิสัตว์ อันจะประสูติในไม่ช้านี้
เทวาทั้งสี่ที่เข้าอารักขาพระโพธิสัตว์ในยามที่ประทับอยู่ในพระครรภ์ ทันทีที่เห็นเทพผู้มีตราทัณฑ์อสงไขย ต่างรับรู้ได้ทันท่วงทีว่า บัดนี้เทพพระองค์นี้จักอารักขาพระโพธิสัตว์แทนพวกตน จึงพยักหน้าและหลีกทางให้เทพผู้มีตราทัณฑ์อสงไขย
 
“พวกข้าขอฝากพระองค์ไว้กับท่านด้วยนะ~ หากมีขาดตกบกพร่องประการใดก็เรียกหาพวกข้าได้ทุกเมื่อนะท่าน~”
 
หนึ่งในเทพสี่องค์ที่อารักขาพระโพธิสัตว์พูดกับองค์ชายที่เริ่มเข้าสู่การอารักขา
“ได้ขอรับ~ข้าจะทำให้ดีที่สุด~” องค์ชายพูดตอบกลับไป อย่างน้อยที่นี่ก็ต้อนรับเขาดีกว่าแดนกำเนิดที่จากมา
จากนั้นเทวาทั้งสี่จึงลอยหายไปยังทิศประจิม เหลือเพียงองค์ชายและสายลมเบาๆในยามค่ำคืน
ตามกำหนดพระนิยตโพธิสัตว์ เสด็จลงมาประทับที่พระครรภ์พระมารดาได้ 8เดือนเศษ อีกมินานเกินคอย พระองค์จักประสูติในสวนที่มิใกล้มิไกลจากเมืองแห่งนี้เท่าใดนัก
ที่เขาทำได้ก็มีเพียงแค่รอคอยอย่างอดทนกับกาลเวลาที่ผันผ่านไปอย่างเชื่องช้า
 
ค่ำคืนหนึ่ง ในเดือนวิสาขะ
แสงจันทร์สีขาวนวลกระจ่าง ลมเย็นๆที่พัดโชยมา หวนให้องค์ชายผู้พลัดถิ่นคิดถึงแดนที่จากมา
นี่คงเป็นครั้งแรกของเขา ที่เดินทางมาอารักขาองค์โพธิสัตว์ เทพประจำชมพูทวีปจึงส่งเทวาทั้งสี่มาคอยดูอยู่ห่างๆ นี่ก็เข้าสู่ช่วงเดือนที่9 แล้ว เหล่าเทพเทวาและเหล่ามนุษย์ต่างยินดีปรีดากับการเสด็จมาถึงของพระมหาบุรุษ
ในค่ำคืนนี้ ขบวนของพระมารดาของพระพุทธองค์ เสด็จออกจากพระนครสุวิปุละ เพื่อเสด็จกลับพระนครของพระมารดา ตามธรรมเนียม
องค์ชายผู้พลัดถิ่น ย่อมต้องติดตามไปด้วย เพราะระหว่างทางมีภูติและมารมากมายที่มนุษย์มองไม่เห็น อาจจะเป็นอันตรายแด่พระวรกายของท่านพุทธมารดาหรือพระครรภ์ก็เป็นได้
แต่สิ่งที่องค์ชายไม่คาดคิดมาก่อนคือ เหล่าเทพทั้งหลายต่างออกมาต้อนรับขบวนอย่างล้นหลามจนแสงสว่างนั้นสว่างไสวมากกว่าดวงประทีปนับแสน ท่าทีขององค์ชายจึงผ่อนคลายลงไปอย่างมาก
ขบวนหยุดพักที่สวนแห่งหนึ่งระหว่างเมืองสุวิปุละและเมืองของพระพุทธมารดา ในยามรุ่งสาง
พระองค์ปราถนาที่จะแวะเพื่อชมความงดงามของสวนแห่งนี้ เสียงนกขับเห่กล่อม เสียงธารน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก สร้างความสบายพระหฤทัยของพระมารดาเป็นอันมาก
เหล่าสิงสาราสัตว์เมื่อรับรู้ถึงพระบารมีของพระมหาบุรุษ ต่างออกมาต้อนรับขับสู้ หาผลหมากรากไม้ออกมาถวายแด่พุทธมารดา
แต่ทันใดนั้น!!! พระครรภ์ก็พลันประชวร(ในที่นี้หมายถึงเจ็บ) เหล่าพระพี่เลี้ยงที่ตามเสด็จวิ่งกันจ้าละหวั่น วิ่งกั้นราวผ้าเพื่อสำหรับเป็นที่ประสูติชั่วคราว
ในครานั้นองค์ชายที่กำลังตื่นตะลึง สังเกตุเห็นท้าวมหาพรหมทั้งสี่เสด็จลงมายังสถานที่ประสูติชั่วคราว พร้อมกับเหล่าเทพยดานับหมื่นแสน
เพื่อกระทำการต้อนรับการเสด็จมาถึงของพระมหาบุรุษ และชำระพระวรกายด้วยตาข่ายทองก่อนถึงมือเหล่ามนุษย์
และแน่นอน เมื่อมีเทพยดาเสด็จมา ย่อมมีมารทั้งหลายที่จ้องทำร้ายพระวรกายอันบริสุทธิ์ มิสนแม้ท้าวมหาพรหมทั้งสี่ ที่ประทับอยู่รอการเสด็จมาถึงของพระโพธิสัตว์
ทันใดนั้น!!!!
“ชีวิตนั้น!! ต้องเป็นของข้า!!!” อสูรกายตนหนึ่งที่จู่ๆก็โผล่มาโดยที่เหล่าเทพมิทันได้ระวัง มุ่งหมายปองร้ายองค์โพธิสัตว์และพระมารดา
“(ชิ้ง!!)(ฉวัะ!!!) หากข้าอยู่แล้วไซร้ ก็จงอย่าได้หวัง! แม้เศษปลายเล็บข้าก็จักมิยอม!!”
ในครานั้นคมดาบคาตานะที่ถูกตีขึ้นเป็นพิเศษได้ทำงานของมันเป็นครั้งแรก ลิ้มรสหยาดเลือดของอสูรกายตนนั้น ผู้ที่กระทำ คือองค์ชายผู้พลัดถิ่นนั่นเอง
“.........เจ้าชายประสูติแล้วเพคะ!!! เจ้าชายประสูติแล้ว!!!” เสียงตะโกนของเหล่าพี่เลี้ยง ระงมไปทั่วสวนแห่งนั้น
บัดนั้น โลกธาตุนับหมื่น ได้สั่นไหว เหล่าเทพยดาทั่วทุกสรรพจักรวาล แซ่ซ้องสาธุการดังก้องสนั่นไปทั่วทั้งจักรวาล
และแล้วการก้าวพระบาททั้ง 7 ก้าวของพระพุทธองค์ก็บังเกิดขึ้น!!
 
“เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก
การเกิดของเราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว”
 
เป็นเสียงตรัสที่มิน่าจะได้ยินเกิน 20 วา แต่ทว่าพระสุรเสียงนั้นดังสนั่นไปทั่วทุกโลกธาตุอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เหล่าเทพยดาแซ่ซ้องสาธุการอีกคราดังสนั่นไปทั่วโลกธาตุนับหมื่น
ขบวนเสด็จจึงยกเลิกการกลับพระนครของพระนางยสะเทวี เสด็จกลับสู่พระนครดังเดิม
เสียงแตรระงมเป่าบรรเลงขับขาน ต้อนรับการมาถึงของขบวนเสด็จ เหล่าเทพเทวาประจำพระนครต่างหมอบกราบถึงการมาถึงของพระมหาบุรุษ
ขณะที่ถึงพระนคร เวลาก็ล่วงเข้าวันที่สองเสียแล้ว
องค์ชายผู้พลัดถิ่นนั้นมิได้เดินทางมาในขบวนเสด็จด้วย หากแต่ต้องขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวัสวัตตี เพื่อสังเกตุความเคลื่อนไหวของพญามาร
เป็นดังคาด เหล่ามารเตรียมทัพเพื่อขัดขวางพระโพธิสัตว์ หากเพียงแต่ว่ายังมิถึงกาลที่จะต้องลงมาเพียงเท่านั้น
 
“เริ่มแล้วงั้นหรอกหรือ? นี่ก็เพียงสองวันนับจากพระองค์ประสูติ มารทั้งหลายก็จัดเตรียมทัพแล้วงั้นหรือ?”
 
องค์ชายพึมพำเบาๆ ถึงอย่างไรก็ดีตอนนี้ยังมิถึงกาลอันสมควรที่จะกระทำอันใดได้
เช่นนั้นเขาควรจะปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน จนกว่าจะมีคำสั่งจากทางเบื้องบนลงมาให้เขาสังหารมารพวกนี้ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกผนวช หรือความเห็นตามสมควรก็มิอาจทราบได้
ไม่นาน ร่างของเทพพลัดถิ่นก็พลันมลายหาย เหลือเพียงแค่สายลมหอมจางๆของกลิ่นดอกไม้สวรรค์ ที่นับวันจักต้องแห้งเหี่ยว
กลอนอันไพเราะขับขานไปเรื่อยๆตามสายลม เชยชมเจ้าดอกไม้สวรรค์
 
“โรยราปลิดทิ้งร่วง ลงสู่รางพสุธา
โอ้เจ้าดอกพฤกษา ช่อเฉยแต้มเคยเชยชม
อีกมินานเจ้าคง- จะเหี่ยวลงโรยสายลม
ใครหนอช่างสุขสม ที่เจ้าตรมดอกไม้เอย~”
กาพย์ยานี 11 
ผู้ประพันธ์ -秋冬夢-
 
กลับไปทางพระนครสุวิปุละ
 
เหล่าเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพารต่างเข้าเฝ้าถวายพระพรพระราชกุมาร ที่พึ่งประสูติ โดยมีพระเจ้าสุมาเลราชา และพระนางยสะเทวี ผู้เป็นพุทธบิดาและพุทธมารดา เคียงข้างพระกุมาร
ในกาลนั้นฤาษีผู้มากด้วยตบะจากแดนไกลโพ้นทราบข่าวจากเทวาชั้นพรหม ว่าพระพุทธองค์ผู้มากด้วยพระปัญญายิ่ง เสด็จจุติลงมาโปรดสัตว์โลกยังพระนครสุวิปุละ แผ่นดินชมพูทวีป
ทราบได้ดังนั้น จึงออกจากฌาณแล้วตรงดิ่งมายังพระนครสุวิปุละ อย่างมิรอช้า หมายจะตรวจสอบให้แน่ใจแจ่มชัดด้วยตาทั้งสองข้างของตน ว่าจริงเท็จประการใด
“ถวายพระพร~มหาบพิตรเจ้า!” ฤาษีกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าสุมาเลราชา
“โอ~! พระอาจารย์! เชิญเถิดท่าน เชิญนั่งเถิดขอรับ!” พระเจ้าสุมาเลเห็นดังนั้นก็ดีพระทัย ตรัสรับสั่งให้เตรียมที่นั่งสำหรับพระอาจารย์ของตน
“ช้าก่อน~มหาบพิตร! อาตมาทราบข่าวมาว่าพระชายาของพระองค์ประสูติพระราชกุมาร อาตมาจึงอยากจะถวายพระพรแด่พระราชกุมาร พระองค์ทรงข้องพระทัยหรือไม่ ประการใด?”
ฤาษีกล่าวกับพระเจ้าสุมาเลราชา เพราะต้องการทราบถึงบุญญาธิการของพระราชกุมาร
“ได้สิขอรับ! เชิญท่านทางนี้ขอรับ พระอาจารย์” พระเจ้าสุมาเลราชา สั่งให้นำพระราชกุมารออกสู่ท้องพระโรงเพื่อให้ฤาษีถวายพระพร
องค์ชายผู้เร้นกายในเงามืดก็ติดตามพระราชกุมารอย่างใกล้ชิด มิห่างแม้เพียงคืบ
ทันทีที่ได้เห็น ฤาษีก็มิรอช้าที่จะตรวจสอบตามตำรา มหาปุริสลักขณะ ว่าตรงหรือไม่
ผลปรากฏว่าทุกสิ่งอย่างตรงต้องตามตำราโบราณประเพณีไม่มีผิดเพี้ยน!!
แน่ชัดแล้วว่าพระราชกุมาร จักต้องเติบใหญ่เป็น ผู้ประหารกิเลส และเป็นพระบรมศาสดา อย่างมิมีใครเทียบเทียมได้เป็นแน่แท้
“พระอาจารย์! เหตุใดท่านจึงร้องไห้เช่นนั้นหรือขอรับ? มีสิ่งใดที่จะมาข้องแวะอันตรายแก่โอรสของศิษย์เช่นนั้นหรือ?”
พระเจ้าสุมาเลราชาเห็นฤาษีผู้เป็นอาจารย์หลั่งน้ำตา ก็แปลกพระทัย จนตรัสถาม
“หามิได้ มหาบพิตรเจ้า สิ่งใดๆในโลกล้วนมิสามารถแผ้วพานโอรสของพระองค์ได้ อาตมาเพียงแต่คิดถึงอนาคตที่โอรสของพระองค์ จักได้ตรัสรู้พระธรรมอมตะ เป็นผู้ประหารกิเลส เป็นผู้ดีเลิศอย่างหาใครเทียบเทียมมิได้ แต่ทว่าชีวิตของอาตมากลับชราภาพมากแล้ว มิมีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ เป็นเหตุให้น้ำตามิอาจยับยั้งได้”
ฤาษีตอบพระเจ้าสุมาเลราชา พลางอุ้มพระกุมารขึ้นเหนือศรีษะให้ปลายพระบาทสัมผัสศรีษะของตน แค่นี้นับเป็นบุญวาสนามากแล้ว
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปมากพอสมควร ฤาษีจึงขอลากลับไปยังอาศรมของตนในป่าหิมพานต์
ตลอดเวลาที่ฤาษีและพุทธบิดาของพระพุทธองค์สนทนากัน องค์ชายผู้พลัดถิ่นเฝ้าดูอยู่ไม่ห่างเท่าใดนัก สายตาโลหิตสีแดงชาดจับจ้องไปยังพระกุมารด้วยความเคารพนอบน้อม
ยังคงอีกนานไกลโขนับหมื่นปี กว่าที่พระองค์จักถึงกำหนดเสด็จออกผนวช หน้าที่อันแสนยาวนานขององค์ชายเกินกว่าจักจินตนา เหนือความเข้าใจทั่วไป
แต่ถึงแม้นจักยากลำบากเพียงใด แม้นจักยาวนานสักเพียงไหน เทพผู้พิทักษ์องค์สมเด็จพระบรมศาสดาชินสีห์ จักมิยอมรามือหากแม้นมิถึงคราวปรินิพพาน.
___________________________________________________________________________________________________________
บทที่2 : พระผู้มีพระภาค พระองค์ที่1 ในการอารักขา : พระนาม พระสรณังกรพุทธเจ้า
ตอนที่2.1 : ประสูติกาล (เปิดม่านแห่งหน้าที่)
อนึ่ง พุทธประวัติ ทั้งหมด มิได้ปรากฏในพระไตรปิฏกแม้นแต่อย่างใด หากแต่ผู้แต่งได้จินตนาการขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยพุทธประวัติขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาชินสีห์ พระองค์ปัจจุบันในการอ้างอิงและจินตนาขึ้นมา และข้อมูลจากวิกิพีเดีย ในการอ้างอิงหลักเกณฑ์
หากแม้มีข้อผิดพลาด หรือไม่ถูกใจเช่นไร ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
____________________________________________________________________________________________
อนึ่ง ชีวิตมนุษย์ในสมัยของสมเด็จพระผู้มีพระภาคพระนาม สรณังกรพุทธเจ้า
มนุษย์มีอายุขัยที่ 60000 ปี
พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานตอนพระชนม์มายุ 60000 ชันษา
พระชนม์มายุมากกว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาค พระนาม โคตมะพุทธเจ้า(องค์ปัจจุบัน)
ถึง 59920 ปี
____________________________________________________________________________________________
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา