เทพตกสวรรค์ ภาคทัณฑ์แห่งเทพ

-

เขียนโดย 秋冬夢春

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 00.28 น.

  7 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,579 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 01.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) หน้าที่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เทพผู้สงบนิ่งและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดในโลกธาตุใบนี้ผู้มาพร้อมกับหน้าที่ที่ทรงเกียรติและเป็นหน้าที่ที่มาพร้อมกับรับบาปมหันต์หากเกิดความผิดพลาดบาปที่แสนสาหัสเท่าที่เทพองค์หนึ่งจะได้รับในชีวิต

“การให้ความอารักขาองค์พระโพธิสัตว์ตั้งแต่พระพุทธองค์ปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดาช่วงเวลาแห่งการประสูติของพระพุทธองค์ช่วงเวลาแห่งการตรัสรู้ตลอดจนถึงช่วงเวลาแห่งการปรินิพพานในช่วงพริบตาสุดท้ายของพระพุทธองค์”

นั่นคือหน้าที่ของเทพที่อยู่ภายในผนึกแห่งพุทธะเทพผู้มีชีวิตอมตะนิจนิรันดร์ยามที่โลกปราศจากองค์พระโพธิสัตว์แล้วไซร้เขาก็จะเข้าสู่การคุมขังในส่วนที่ลึกที่สุดของพระราชวังสวรรค์ตลอดระยะเวลา1พุทธันดรที่ว่างเว้น

เร้นกายในเงามืดให้ความอารักขาพระพุทธองค์ตลอดพระชนม์ชีพภูติวิญญาณมารหรืออะไรก็ตามแต่หมายปองร้ายพระพุทธองค์แล้วล่ะก็คมดาบที่แปดเปื้อนเลือดก็พร้อมที่จะฟาดฟันด้วยความบ้าคลั่งและไร้ปราณี

ตั้งแต่เขากำเนิดขึ้นมาให้ความอารักขาพระโพธิสัตว์แล้วทั้งสิ้น26พระองค์ผ่านกาลเวลาอสงไขยอันเป็นนิจนิรันดร์จนประมาณค่ามิได้นับเป็นเนื่องอจินไตยที่ยากจะเข้าใจได้หากอยากจะเข้าใจได้เพียงนิดก็คงต้องยกตัวอย่างมาประกอบด้วย..

หลายพุทธันดรก่อน

ในยามที่พระโพธิสัตว์ทุกพระพุทธองค์กำลังจะตรัสรู้นั้นจะต้องมีพญามารพร้อมด้วยกองทัพมารและภูติบริวารเข้ารุมล้อมเพื่อสกัดกั้นหนทางการตรัสรู้ของพระพุทธองค์

ในนาทีนั้นแม้แต่เหล่าเทพที่แข็งแกร่งที่สุดยังต้องถอยไปสุดขอบจักรวาลแต่ทว่าเบื้องหน้าของพระโพธิสัตว์ที่นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ใต้ต้นมหาโสณะนั้นกลับมีเทพต่างถิ่นองค์หนึ่งยืนนิ่งสงบมิได้หวาดกลัวกองทัพมารตรงหน้าในมือนั้นกำดาบคาตานะเรียวยาวก่อนที่จะวางคาตานะลงและก้มลงกราบพระโพธิสัตว์ด้วยความนอบน้อม

“ข้าแต่องค์พระโพธิสัตว์ผู้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้กระหม่อมผู้เป็นเทพอันต่ำต้อยขอกราบบูชาพระพุทธองค์ขอพระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรต่อไปเถิดพระพุทธเจ้าข้าทางฝั่งกองทัพมารที่มารังควานพระพุทธองค์นั้นโปรดอย่าได้ทรงวิตกหวั่นไหวพระทัยกระหม่อมจักมิให้หัตถ์ของมารตนใดก็ตามแตะต้องวรกายของพระองค์ได้แม้เพียงปลายนิ้วขอพระองค์โปรดจงอย่าได้วิตก”

เทพผู้นั้นกล่าวด้วยสำเนียงแปร่งๆแววตาสีแดงชาดแสดงความเคารพนอบน้อมเฉกเช่นที่ปฏิบัติกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมา

“ดูกรท่านเทพผู้เจริญ~เรามิประสงค์จะให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันแม้แต่กองทัพพญามารกับท่านก็ตามมารเหล่านั้นย่อมทำในสิ่งที่ควรทำและไม่กระทำในในสิ่งไม่ควรกระทำขอท่านจงพิจารณาดูเถิด~”

องค์พระโพธิสัตว์นั้นตรัสกับเทพหนุ่มผู้นั่งคุกเข่าด้วยความสงบอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์

“หากแต่ในครานี้เหล่ามารย่อมกระทำเกินกว่าเหตุขัดขวางการตรัสรู้ของพระองค์โดยใช้ซึ่งกำลังมหาศาลเข้าข่มขู่เหตุอันไม่สมควรและไม่ให้ความเคารพนี้กระหม่อมผู้นี้พิจารณาเห็นว่ามิเป็นการสมควรแก่พระพุทธองค์พระพุทธเจ้าข้า”

เทพหนุ่มผู้นั้นพิจารณาเหตุการณ์ในครั้งนี้เหล่ามารได้ล่วงเกินเหตุในหลายๆด้านเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องกำจัดก่อนที่จะล่วงเกินองค์พระโพธิสัตว์ไปมากกว่านี้

“เช่นนั้น~ท่านจงอย่ากระทำให้ถึงแก่ความตายพวกเขาเหล่านั้นย่อมกระทำไปเพราะความไม่รู้และเบาปัญญาและจิตใจที่มืดบอดชักนำให้กระทำเช่นนั้นหากท่านสังหารพวกเขาแล้วไซร้บาปกรรมที่อุปมาอุปมัยดั่งมหานทีสีทันดรจะโถมใส่ตัวท่านแต่เพียงผู้เดียว”

องค์พระโพธิสัตว์ตรัสกับเทพหนุ่มองค์นั้น

“รับเกล้าด้วยพระพุทธเจ้าข้า!”

เทพหนุ่มองค์นั้นก้มลงกราบองค์พระโพธิสัตว์ที่บัดนี้พระองค์ได้เข้าฌาณบำเพ็ญภาวนาประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์ที่เกิดจากบุญญาธิการของพระองค์นั้น

ก่อนที่ฟ้าทั้งหมดจะสั่นไหวกึกก้องกัมปนาทพญามารสั่งให้สมุนของตนเข้าโจมตีองค์พระโพธิสัตว์ที่ประทับอยู่ใต้ต้นมหาโสณะ

เสียงพสุธาสั่นไหวเมื่อช้างคีรีเมขล์ที่สูงถึง150โยชน์ก้าวเท้าเดินนำขบวนกองทัพมารเสียงแตรสงครามดังลั่นเป็นสัญญาณแห่งการโจมตี

กองทัพมารทั้งหมด10โกฏิเข้ารุมล้อมบัลลังก์ที่ประทับแห่งองค์พระโพธิสัตว์อุปมาอุปมัยดั่งสายธารที่เชี่ยวกรากโถมเข้าพระพุทธองค์โดยมีเทพเพียงองค์เดียวคอยถวายการอารักขาและพระบารมี10ทัศของพระองค์เอง

เทพเพียงองค์เดียวรับการต่อสู้กับกองทัพพญามารอันมหึมามหาศาลอุปมาดั่งมดในโขลงช้างแต่หากเบื้องหลังมีดวงประทีปที่เปรียบเสมือนแสงที่จะส่องสว่างในจักรวาลแห่งนี้ต่อให้เป็นมดเขาก็จะสู้สู้จนกว่าจะตวัดแขนและขาทั้งสองมิไหวกองทัพมารทั้งผองต้องแพ้ภัยอุปมาดั่งมดตัวน้อยแต่มีพิษฤทธิ์การกัดดั่งงูจงอางล้มโขลงช้างได้ทั้งหมด

เวลาผ่านไปจากวินาทีเป็นนาทีจากนาทีเป็นชั่วโมงจากชั่วโมงเป็นวันจากวันเป็นสัปดาห์จากสัปดาห์เป็นเดือนการต่อสู้ก็ยังมิจบลง

แต่แล้วในเดือนที่8 ของการต่อสู้องค์พระโพธิสัตว์ได้ทรงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระปทุมพุทธเจ้า สร้างแสงสว่างมหาศาลรอบๆวรกายของพระพุทธองค์ไปจนถึงสุดขอบจักรวาลสูงขึ้นไปถึงยอดเขาพระสุเมรุลึกลงไปถึงมหาอเวจีขุมนรกเหล่าเทพและสัตว์นรกทั้งหลายต่างกล่าวสรรเสริญองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ที่บังเกิดขึ้นในโลกธาตุแห่งนี้

เพียงไม่นานแสงสว่างก็ค่อยๆเลือนหายไปจนกระทั่งเหลือเพียงจุดเล็กๆหน้าพระพักตร์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ตลอดระยะเวลาแห่งการบำเพ็ญภาวนาของพระพุทธองค์ไม่มีแม้แต่หัตถ์มารตนใดแตะต้องพระวรกายอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ได้เลยและไม่มีมารตนใดได้รับบาดเจ็บจนถึงสิ้นชีวิต

ฉับพลันแสงเล็กๆที่หน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์ก็บังเกิดเป็นมวลน้ำมหาศาลอันเกิดจากการกรวดน้ำทุกครั้งหลังการทำบุญของพระพุทธองค์ในทุกภพทุกชาตินานนับอสงไขยถูกเก็บสะสมไว้ในแสงเล็กๆแห่งนั้นทุกหยดหยาด

มวลน้ำมหาศาลขับไล่กองทัพพญามารจนลอยออกทะเลและอสนีบาตยังฟาดกองทัพอันมหาศาลจนแตกพ่ายไปในที่สุดแม้แต่ช้างคีรีเมขล์ที่สูง150โยชน์ยังมิอาจต้านทานแรงกระแทกของน้ำนั้นไหว

เวลาผ่านไป7วันน้ำจึงเหือดแห้งหายไปทั้งหมดอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ

“บัดนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่พระองค์จะทรงประกาศวางรากฐานแห่งพระพุทธศาสนากระหม่อมขออัญเชิญพระองค์เถิดพระเจ้าข้า!”

เทพหนุ่มผู้นั้นวางดาบลงก่อนจะคุกเข่าวิงวอนให้พระพุทธองค์ประกาศพระศาสนาให้หยั่งรากลึกลงณโลกธาตุใบนี้

“ตถาคตทราบแล้ว~”

องค์พระปทุมพุทธเจ้าทรงตรัสกับเทพที่อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระองค์

“เช่นนั้นหากพระองค์มิมีกิจธุระอันใดแล้วกระหม่อมขอตัวลาไปก่อนพระพุทธเจ้าข้า~”

เทพหนุ่มผู้นั้นก้มลงกราบแทบพระยุคลบาทของพระปทุมพุทธเจ้าก่อนที่ตัวของเขาจะค่อยๆสลายหายไปเร้นกายในเงามืดทำหน้าที่อารักขาองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป

 

หลายพุทธธันดรต่อมา(ก่อนการประสูติของพระโพธิสัตว์องค์ปัจจุบัน1เดือน)

เทพหนุ่มที่ถูกกักขังได้รับคำสั่งจากสวรรค์ให้ทำหน้าที่อารักขาองค์พระโพธิสัตว์ที่จะประสูติในกาลอันใกล้นี้

เขาจึงออกเดินทางออกจากสรวงสวรรค์แห่งแดนอาทิตย์อุทัยเร่งเดินทางมายังชมพูทวีปอันเป็นทวีปแห่งการประสูติของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ตามกำหนดที่ถูกมอบหมายมานั้นพระองค์จะประสูติในเดือนข้างหน้าและจะตรัสรู้เมื่อพระชนม์มายุ 35 พรรษา

สิ่งที่เขาแปลกใจคือการปรินิพพานของพระพุทธองค์พระองค์จะปรินิพพานเมื่อพระชนม์มายุ 80 พรรษาซึ่งเมื่อเทียบกับพระโพธิสัตว์พระองค์อื่นๆในอดีตกาลที่ผ่านมานับว่าพระองค์มีพระชนมายุที่สั้นมากๆ

แต่จะเป็นเช่นไรหน้าที่ของเขาย่อมเป็นหน้าที่การพิทักษ์พระมารดาของพระโพธิสัตว์ในยามที่พระองค์อยู่ในพระครรภ์คือหนึ่งในหน้าที่ของเขาเช่นกัน

เขาเข้ารายงานตัวกับเทพประจำชมพูทวีปเฉกเช่นที่เคยทำมาในอดีตกาลเมื่อครั้นอารักขาพระโพธิสัตว์พระองค์อื่นๆ

ในที่สุดเขาก็ถึงพระราชวังอันเป็นที่ประทับของพระมารดาของพระโพธิสัตว์ที่จะประสูติในกาลข้างหน้า

เขาไม่รอช้าที่จะแฝงกายลบตัวตนออกจากสายตามนุษย์ธรรมดาและแฝงกายในเงามืดคอยเวลาการประสูติของพระโพธิสัตว์อย่างอดทน

วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วล่วงเข้าชันษาที่ 29 ของพระโพธิสัตว์ในคืนนี้พระองค์วางแผนจะหลบหนีออกจากพระราชวังในยามค่ำคืนเมื่อทรงรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตทางโลกและเมื่อพระองค์เจอเทวฑูตทั้งสี่ยิ่งทำให้จิตของพระองค์หันเหเข้าสู่ทางธรรมมากขึ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์กระทำอยู่ในสายตาของเทพผู้เร้นกายในเงามืดอยู่ตลอดแม้กระทั่งตอนที่พระองค์เผชิญมารตรงประตูเมืองขับไล่ไม่ให้พระองค์ออกจากเมืองเขาเกือบจะสังหารมารที่บังอาจแตะต้องวรกายของพระองค์เสียแล้ว

ติดเสียว่ามารนั้นยอมถอยไปเสียง่ายๆง่ายจนเขาเองก็แปลกใจน่าจะเป็นแผนของมารนั้นแน่ๆต่อจากนี้เขาคงต้องเพิ่มความระมัดระวังและคอยอารักขาพระพุทธองค์อยู่ตลอด

ตลอดเวลาที่พระองค์ออกบวชมีเหล่าสาวกทั้งห้าคอยปรนนิบัติพระองค์อยู่ตลอดพระองค์บำเพ็ญทุกรกริยาจนผ่ายผอมตลอดหกปีที่พระองค์ทรงเสียไป

อาจจะเป็นบาปข้อเล็กๆของพระพุทธองค์ที่ในสมัยของพระกัสปพุทธเจ้า(องค์ที่3 ในภัทรกัลป์นี้ พระมหาบุรุษกำลังจะเป็นองค์ที่4)

พระองค์ได้กล่าวล่วงเกินพระพุทธองค์ไปเลยทำให้พระองค์เสียเวลาไปถึงหกปีซึ่งนับว่านานมากในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทั้งหมดที่ล่วงมา

ในที่สุดท้าวสักกะเทวราชได้ชี้ทางสว่างให้พระพุทธองค์เห็นถึงการกระทำที่ตึงและหย่อนไปโดยการดีดพิณให้ฟังพระองค์จึงให้ฟังพระองค์จึงหลุดพ้นมาได้และหันมาบริโภคอาหาร

เหล่าสาวกนั้นได้ทิ้งพระองค์ไปแต่ทว่าเทพผู้ถวายการอารักขาพระโพธิสัตว์อย่างเขายังคงเร้นกายอยู่ไม่ห่างจากพระวรกายของพระพุทธองค์

พระพุทธองค์นั้นได้บำเพ็ญเพียรต่อไปจนกระทั่งวันที่เขาคาการณ์ก็มาถึงเฉกเช่นกับพระโพธิสัตว์พระองค์อื่นๆก่อนจะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมมีพญามารมาผจญขัดขวางการตรัสรู้

กองทัพมหาศาลของพญามารนั้นกรีฑาทัพเข้ามาใกล้รัตนบัลลังก์ของพระพุทธองค์แต่ด้วยบุญบารมีของพระพุทธองค์นั้นกองทัพมารมิอาจเข้าใกล้พระพุทธองค์ได้

ในครานี้เขามิต้องกระทำอันใดต่อกองทัพพญามารนั้นไม่ทันจะได้โจมตีใส่พระพุทธองค์แต่ทว่าโดนพระแม่ธรณีบิดมวยผมหลั่งน้ำที่เกิดจากการกรวดน้ำของพระพุทธองค์ทำให้กองทัพพญามารแตกพ่ายกลับไปเป็นว่าเขาไม่ต้องทำอะไรใดๆทั้งสิ้น

ในคืนนั้นเองโลกได้บังเกิดพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่นาม

“พระสมณโคดมพุทธเจ้า”

และตามธรรมเนียมที่เขาปฏิบัติมาเมื่อพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้เขาจึงแปลงกายออกมาจากความมืดเข้ากราบพระพุทธองค์ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตัวพระองค์เอง 

“นมัสการพระพุทธเจ้าข้า~ข้าแต่องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากระหม่อมขอกราบกรานและบูชาพระพุทธองค์ขอท่านจงแสดงธรรมโปรดเหล่าสัตว์ผู้หลงผิดและยังสามารถเข้าใจพระธรรมของพระองค์ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

เทพหนุ่มกล่าวด้วยความนอบน้อมต่อพระพุทธองค์

“ดูกรท่านผู้เจริญ~ ตถาคตทราบถึงจุดประสงค์ของท่านดีแต่ ณ บัดนี้ตถาคตจักต้องรอการมาถึงของท้าวมหาพรหมทั้งหลายที่ทราบถึงข้อคำนึงของตถาคตเสียก่อน”

พระพุทธองค์ตรัสกับเทพหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระองค์

“ถ้าเป็นเช่นนั้นกระหม่อมได้ฟังพระองค์ตรัสเช่นนั้นย่อมเบาความหนักอึ้งภายในดวงหทัยของข้าพระองค์ แลย่อมกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณพระองค์พระพุทธเจ้าข้าและจะขอถวายการอารักขาพระชนม์ชีพของพระพุทธองค์ไว้ด้วยชีวิตของกระหม่อมผู้นี้พระพุทธเจ้าข้า!”

เทพหนุ่มพูดก่อนจะก้มกราบพระพุทธองค์

“ดูกรท่านเทพผู้เจริญ~ ตถาคตล่วงรู้ได้ด้วยญาณว่าท่านนั้นได้ผ่านการอารักขาปกปักษ์พิทักษ์พระพุทธเจ้าในอดีตมานับไม่ถ้วนพระองค์หากจะชี้แจงแถลงไขให้บุคคลทั่วไปทราบนั้นนับเป็นเรื่องอจินไตยเกินความสามารถท่านได้ผ่านกาลเวลาพุทธันดรมานับครั้งไม่ถ้วนผู้อยู่เหนือกฏแห่งวัฏสงสารอันเป็นสัจธรรมที่มิมีใครหลุดพ้นท่านจึงมิกลัวความตายและใช้ชีวิตอย่างประมาทหากแต่มิมีใครหนีพ้นความดับสูญได้แม้กระทั่งท่านหรือแม้แต่ตถาคตเองวันใดวันหนึ่งย่อมพบกับการแตกดับเช่นนั้นท่านจะพะวงในชีวิตตถาคตมากจนเกินไปด้วยเหตุใดกันเล่า~”

พระพุทธองค์ตรัสกับเทพผู้ที่นั่งรับฟังธรรมจากพระองค์

“ข้าแต่พระองค์ด้วยตัวของกระหม่อมนั้นมีบาปติดตัวบาปนั้นจึงมีหน้าที่นำกระหม่อมมาเพื่อถวายการอารักขาพระพุทธองค์โดยเฉพาะพระองค์อย่าได้เป็นกังวลพระพุทธเจ้าข้ากระหม่อมจะถวายการอารักขาพระพุทธองค์เฉกเช่นที่เคยปฏิบัติมาพระพุทธเจ้าข้าและจักบำรุงพระศาสนาให้คงอยู่ตราบจนพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปบังเกิดในโลกพระพุทธเจ้าข้าแต่หากใครก็ตามคิดปองร้ายแก่พระศาสนาหรือพระวรกายของพระองค์ข้าพระองค์ขอพระบรมพุทธานุญาติจากพระพุทธองค์จัดการตามสมควรได้หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า?”

เทพหนุ่มกล่าวกับพระพุทธองค์ด้วยความนอบน้อม

“ดูกรท่านเทพผู้เจริญ~หากเขามิได้ทำครุกรรมทั้งสามข้อตถาคตมิประสงค์ให้ท่านทำอะไรแก่เขาผู้นั้นแต่หากเขาผู้นั้นทำครุกรรมข้อใดข้อหนึ่งแล้วไซร้ตถาคตประสงค์ให้ท่านกระทำการตักเตือนในระดับพอประมาณอุปมาอุปมัยพวกเขาเหล่านั้นดั่งบัวสี่เหล่าฉันใดฉันนั้น~”

พระพุทธองค์ตรัสกับเทพผู้ที่ทำหน้าที่อารักขา

“ทราบแล้วพระพุทธเจ้าข้า”เทพหนุ่มก้มกราบพระพุทธองค์ก่อนที่ร่างกายของเขาจะค่อยๆสลายหายไปเมื่อยามแสงแห่งอรุณมากระทบ

ตลอดพระชนม์ชีพของพระพุทธองค์นั้นเขาได้ถวายการอารักขาในเงามืดตลอดมาแม้กระทั่งตอนที่พระองค์โดนลอบปลงพระชนม์จากพระเทวทัตจนทำให้เกิดครุกรรมอันทำให้จิตของพระเทวทัตดิ่งลงสู่ขุมนรกอเวจีนั้นเขาเกือบจะลงมีสังหารพระเทวทัตด้วยโทสะแต่ทว่าสัจธรรมที่ฝังอยู่ในจิตส่วนลึกกลับฉุดรั้งเอาไว้มิให้พลาดพลั้งทำบาปมหันต์

และเมื่อเวลาผันผ่านไปมีเกิดย่อมมีวันเติบใหญ่ล้มป่วยและร่วงโรยราสัจธรรมแห่งโลกอันไม่เที่ยงแท้ใบนี้ทุกสิ่งมีชีวิตมิอาจหลีกพ้นได้แม้กระทั่งองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตามเวลาช่างผันผ่านไปอย่างรวดเร็วนับจากวันนั้นพระบรมครูแห่งสัตว์โลกทั้งปวงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานณเมืองกุสินาราใต้ต้นสาละท่ามกลางความเศร้าโศกอันยิ่งใหญ่ของเหล่าเทพและหมู่พุทธสาวกทั้งปวง

ในขณะเดียวกันนั้นเทพผู้คอยอารักขาองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นยืนมองเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงบนยอดต้นไม้แห่งหนึ่งห่างจากพระแท่นพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสรีระของพระพุทธองค์พอสมควรหากกล่าวว่าผู้ใดที่เศร้าโศกามากที่สุดในโลกนั้นคงอาจกล่าวได้เต็มวาจาว่าคงไม่มีใครในโลกใบนี้โศกเศร้าได้เท่าเทพพระองค์นี้กระมัง

เทพผู้เห็นการประสูติตรัสรู้ปรินิพพานของพระพุทธองค์ในอดีตผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วนผ่านหลายพุทธันดรศึกษาพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์จนแตกฉานหากแต่มิมีโอกาสมิได้ลิ้มรสพระนิพพานเพียงเพราะบาปเศษเสี้ยวหนึ่งที่เคยว่ากล่าวดูหมิ่น

พระตัณหังกรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้เป็นพระบรมครูในกาลก่อนเมื่อสี่อสงไขยหนึ่งแสนกัปที่แล้วมา

“การที่ท่านตรัสรู้นั้นมิได้หมายความว่าท่านจะต้องเป็นบรมครูแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย”

การกล่าวดูหมิ่นด้วยความไม่ตั้งใจของเขาในคราวนั้นบาปที่เกิดทำให้เขากลายเป็นเทพาผู้มีชีวิตอมตะนิรันดร์ชักนำให้ทำหน้าที่อารักขาองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์นานนับอสงไขยมิมีวันโรยราแม้ไฟบรรลัยกัณฑ์จะแผดเผาทำลายทุกสรรพสิ่งแม้เทพจากพรหมโลกจะจุติลงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแม้องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประสูติมาหลายพระองค์บาปแห่งเขาจะนำพาให้เขาจะยังคงคอยทำหน้าที่อารักขาสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้อยู่เรื่อยไปนานนับอสงไขยจนเขาเริ่มชินชาเคว้งคว้างทำหน้าที่อย่างไร้จุดหมายคิดวนเวียนในหัวอยู่เพียงสิ่งเดียวคือการถวายการอารักขาให้องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่หากละซึ่งกิเลสไม่ได้ความโศกาย่อมเกินขึ้นได้กับทุกคนถึงแม้เขาจะชินชาเช่นไรทุกๆครั้งที่สมเด็จภควันต์ที่เขาถวายการอารักขาเสด็จปรินิพพานบัดนั้นน้ำตาแห่งความโศกาจักพรั่งพรูออกมาราวกับน้ำพุ

และเมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันที่เขาถวายการอารักขาเสด็จปรินิพพานกระนั้นสิ่งเขาทำได้แค่เพียงรำพึงภายในใจอย่างโศกเศร้า

ทำไมข้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย!”

แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆหายไปกับบรรยากาศแห่งความโศกศัลย์เดินทางหวนคืนสู่แดนอาทิตย์อุทัยรายงานตัวต่อองค์เทพีอมาเตระสุผู้เป็นมารดรและเศษแห่งบาปอีกเสี้ยวหนึ่งในครานั้นทำให้เขาจะต้องถูกจองจำอยู่ในส่วนลึกที่สุดของราชวังสวรรค์

เพื่อรอวันที่องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยลงมาเพื่อโปรดเวไนยสัตว์นับจากนี้ในอีกหนึ่งอสงไขยเศษหลายพันกัปแล้วโลกจะเวียนเข้าครบหนึ่งภัทรกัลป์พอดีเมื่อนั้นไฟประลัยกัลป์จักแผดเผาทุกสิ่งอย่างรวมถึงเทพทุกพระองค์เว้นแต่เขา….

เมื่อรายงานหน้าที่เสร็จเขาก็เดินลงมายังโถงใต้ดินของพระราชวังสวรรค์เข้าสู่ห้องขังของตนจากนั้นโซ่เหล็กที่ลงอาคมเริ่มมัดบริเวณและขาของเขาคาตานะถูกปิดผนึกเป็นการชั่วคราวเและแยกห่างกันผนึกสีใสเริ่มงอกขึ้นมาตามกายแลดูน่ากลัวจากนั้นเพียงไม่นานผนึกสีใสก็คลุมจนมิดกายขององค์ชายบัดนั้นการรับรู้ขององค์ชายก็มืดสนิทปิดการรับรู้ของจิตทั้งปวง

โลกธาตุใบนี้ยังคงหมุนไปเรื่อยๆองค์ชายจะถูกกักขังเพื่อรอวันที่องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมาประสูติที่โลกธาตุใบนี้อีกครั้ง

งจดจำข้าไว้เทพผู้คอยอารักขาแห่งองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปกปักษ์แลพิทักษ์องค์พระศาสดาภูติมารวิญญาณตนใดก็ตามหากปองร้ายพระองค์ข้าจักสงเคราะห์คมดาบคืนสนองให้แก่มันจงจดจำข้าไว้นามแห่งข้า

(อมาเตระสึ) โอโรจิ ยูเมะ!

และการที่องค์ชายถูกกักขังมาอย่างยาวนานนับอสงไขยประกอบกับความโศกาที่ต้องพบเจอทำให้จิตใจขององค์ชายเริ่มจะปั่นป่วนจิตที่เคยปกติกลับแปรปรวนกัดกินพระธรรมที่คุ้มครองจิตให้แปรเปลี่ยนไปเป็นความบ้าคลั่ง

และในอีกไม่ช้าพระธรรมทั้งหลายที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาจะหมดไป

ปลุกสัญชาตญาณดิบของเขาขึ้นมาอีกครั้ง ถึงเวลานั้นเขาจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในระหว่างพุทธันดร!!!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา