สืบสู้ผี ภาค เมฆาคนล่าผี
6.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 04.55 น.
26 ตอน
2 วิจารณ์
22.65K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ว่านผีสิง Part 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหญิงสาวผู้ลึกลับถึงกับมีสีหน้าที่ซีดเผือดจนแทบจะไร้สีเลือดเมื่อเห็นความแปรเปลี่ยนบนนิ้วนางของตัวเองไปอย่างแทบไม่น่าเชื่อ...!
เพราะจากตอนแรกที่เธอก็ได้มองเห็นแล้วว่า แหวนที่ส่องประกายล้อแสงไฟวิบวับวูบวาบนั้นน่าจะเป็นแหวนเพชรจริงๆ หรืออย่างน้อยก็อาจจะเป็นอัญมณีบางอย่างที่ดูน่าจะมีราคาค่างวดอยู่บ้าง แต่ทว่าบัดนี้หลังจากที่มันได้ถูกสวมลงบนนิ้วนางของเธอไปเรียบร้อยแล้ว ไฉนมันจึงได้แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นแหวนหินสีดำ ที่ดำสนิทราวกับเป็นนิลไปทั้งวงอย่างนี้ไปได้กันล่ะ?
"พี่รูปหล่อ...." หญิงสาวเรียกเขาขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาหวิว "พี่เล่นกลอะไรกับน้องหรือเปล่าคะ... แหวนเพชรของพี่น่ะ ทำไมถึงได้กลายเป็นแหวนหินดำๆไปได้ล่ะคะตอนนี้? "
แล้วรอยยิ้มอันแสยะน่าเกลียดก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเมฆา
"เล่นกลรึ...? " เขาทวนคำเสียงสูง แล้วพยักหน้าช้าๆ "อืม... ใช่แล้วล่ะน้องคนสวย เพราะถ้าหากพี่ไม่เล่นกลหรือใช้กลนี้ขึ้นมา พี่ชายสุดหล่อของน้องคนนี้ก็คงได้กลายเป็นไอ้แก่ไร้วิญญาณ ที่นอนทอดร่างตายซากหรือกลายเป็นศพไหลตายโดยที่ไม่มีใครรู้สาเหตุอยู่ภายในห้องนี้ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้แน่ๆ! "
สิ้นคำพูดประโยคนี้ ร่างของหญิงลึกลับถึงกับดีดตัวออกไปจากเตียงราวสายฟ้าแล่บ เธอถลาลงไปยืนอยู่ที่กลางพื้นห้องด้วยดวงตาที่ลุกโพลงอย่างตื่นตะลึง
"แก... นี่แกรู้แต่แรกแล้วรึ? " เธอถามออกมาด้วยเสียงเคืองๆ แล้วอารมณ์โกรธของเธอก็ค่อยๆ ปะทุขึ้นมา จนเมฆาเห็นร่างกายของเธอถึงกับสั่นระริก
"ก็รู้แต่แรกน่ะสิ นังผีหื่น! ไม่อย่างนั้นฉันจะซ้อนกลแกได้รึ เหอๆ ๆ " เมฆาตอบออกไปด้วยเสียงหลอนๆ ขณะที่เขาขยับลงมานั่งที่ขอบเตียง
หญิงสาวผู้ที่ถูกเรียกว่านังผีหื่นถึงกับแยกเขี้ยวคำรามออกมาอย่างน่ากลัวโดยที่ไม่เหลือซึ่งความเป็นลูกแมวยั่วสวาทใดๆ อีกต่อไป เธอเริ่มเกร็งข้อมือและกรงเล็บที่เริ่มจะงอกยาวและมีสีเขียวดุจใบของต้นว่านออกมา!
แต่เมฆากลับนั่งมองเธอด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ราวกับไม่อนาทรร้อนใจกับสีหน้าและร่างกายของเธอที่ได้แปรเปลี่ยนเป็นปิศาจร้ายที่กำลังจะเข้าสู่โหมดโจมตีในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
แล้วหัวคิ้วของปิศาจสาวก็อดจะเลิกขึ้นสูงไปนิดหนึ่งไม่ได้ "แกนิ่งมาก... แกคงไม่ใช่คนธรรมดาสินะ? "
"ก็คนธรรมดาๆ นั่นล๊ะ" เมฆาตอบยวนๆ
"แกคงเป็น... หมอผี! ที่ไอ้แว่นอ้วนนั่นส่งมาสินะ? "
"ก็ใกล้ๆ เคียงๆ กับอย่างนั้นล่ะจ๊ะคนสวย" เขายักคิ้วตอบ
"หน้าเสี่ยวๆ ของแกดูไม่น่าจะเป็นคนมีน้ำยาเท่าไร..." ปิศาจสาวเชิดปากพูด แต่สีหน้าของเมฆาถึงกับกระตุกไปครั้งหนึ่ง
"ฮิฮิฮิ คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ สินะ? " เธอฉีกยิ้มหลอนๆ
"ก็ใช่นะ... ที่จริงฉันก็ไม่ค่อยมีน้ำยาสักเท่าไรหรอก" เมฆาว่า
"บอกชื่อของแกมาหน่อยซิ ข้าอยากรู้? "
"เมฆา... เมฆาผู้สุดหล่อ จากดินแดนกัมพูชา" เขาเชิดหน้าบอก
"อ้อ... คนเขมรหรอกรึ ถึงว่าสำเนียงออกจะประหลาดๆ "
"ประหลาด...? ประหลาดยังไงงั้นรึ? "
"ก็มัน... ก็มันน่าหัวเราะน่ะสิ ฮิฮิฮิ" แล้วปืศาจสาวก็แหงนหน้าหัวเราะออกมาอีกยาวเหยียด
ส่วนสีหน้าของเมฆาก็ถึงกับกระตุกไปอีกครั้ง เขาจึงเมินหน้าไปทางอื่น
และจังหวะนั้น... ก็เป็นโอกาสของนังปิศาจสาว!
เธอหันกลับมาสบัดมือสองข้างพุ่งมาทางเมเฆา พร้อมกับดีดตัวใส่เขาทันที!
โครมมมมม!!
ร่างที่อยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนของปิศาจสาวกลับล้มลงตรงหน้าของเมฆา! และกว่าเธอจะรู้ตัวว่าเรี่ยวแรงการจู่โจมของเธอเมื่อกี้มันหมดสิ้นซึ่งประสิทธิภาพไปเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว เธอก็ต้องมาล้มลงสิ้นฤทธิไปแบบแทบจะกราบเท้าของเมฆาในขณะนี้
ปิศาจสาวลุกไม่ขึ้น เธอแหงนหน้ามองเมฆาที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนขอบเตียงและมองหน้าเธอยิ้มๆ
"แก... ไอ้เขมรดง! แกทำอะไรกับข้า?! " เสียงของปิศาจสาวดังอย่างตื่นตระหนก
"ไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด... เมื่อกี้พี่ก็แค่สวมแหวนหมั้นสวยๆ ลงบนนิ้วของเธอเท่านั้นเองนะจ๊ะคนสวย ฮิฮิฮิ" เมฆาจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะอย่างล้อเลียน
"แหวน...? " ปิศาจสาวเอะใจ แล้วค่อยๆ ยกนิ้วนางที่มีแหวนขึ้นมาดู
แล้วเธอก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นว่านิ้วที่ได้สวมแหวนสีดำอยู่นั้นกำลังเปลี่ยนเป็นสีดำมากขึ้นๆ และรัศมีของสีดำนั้นก็เริ่มขยายลงมาที่มือทั้งมือและช่วงแขนข้างนั้นของเธอในครู่ต่อมา
ปิศาจสาวเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของเธอกำลังอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่ส่วนของแขนข้างซ้ายที่ได้กลายเป็นสีดำไปเกือบทั้งแขนนั้นถึงกับไม่มีความรู้สึกอะไรเลย
"นี่มัน... นี่มันอะไรกันนี่! ช่วยด้วย... ช่วยฉันด้วย!! " นังปิศาจกลับเรียกร้องการช่วยเหลือจากเมฆา ขณะที่ก็กำลังใช้มือข้างขวาพยายามดึงแหวนสีดำนั้นออกมาจากมือซ้ายอย่างสุดกำลังที่มี แต่ก็ดูท่าจะไร้ผล เมื่อแหวนนั้นไม่มีที่ท่าว่าจะหลุดจากนิ้วนางของมือซ้ายเธอแต่อย่างใด
เมฆาลุกขึ้นจากขอบเตียง และเดินวนไปรอบๆ ร่างของปิศาจสาว
"คนสวย..." เขาพูดขึ้นขณะยังเดินไปรอบๆ เธอ "หนทางในการช่วยให้เธอพ้นทุกข์ของพี่น่ะก็พอมีนะเออ... แต่เธอเองก็คงยังไม่รู้สินะ ว่าไอ้แหวนสีดำที่เธอดันตาถั่วมองว่าเป็นแหวนเพชรในตอนแรกนั้น มันคืออะไรกันแน่? "
ปิศาจสาวพยายามเงยหน้ามองตามร่างของเขา "มัน... มันคืออะไร... งั้นรึ...? " น้ำเสียงของเธอดูอ่อนล้าลงไปราวกับจะใกล้สิ้นใจ ในขณะที่ลำตัวซีกซ้ายของเธอก็เริ่มกลายเป็นสีดำขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เมฆาเดินวนมาถึงฝั่งด้านซ้ายของตัวเธออีกรอบหนึ่งแล้วก็หยุดเดินทันที สายตาแห่งความพึงพอใจของเขามองลงไปที่แหวนสีดำที่อยู่บนนิ้วนางของแขนข้างซ้ายของเธอที่ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวหรือกระดุกกระดิกได้อีกต่อไปแล้ว
"แหวนศิลาอาคมแห่งพิมาลายัณห์คือชื่อของแหวนวงนี้" เมฆาเอียงคอยบอกเธอ "เธออาจไม่เคยได้ยินชื่อ แต่พี่จะขอบอกคุณสมบัติของแหวนวงนี้สักหน่อยว่า เมื่อเธอได้สวมมันแล้วมันจะค่อยๆ ดูดรูปวิญญาณของเธอไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอไม่สามารถจะฟอร์มรูปร่างของเธอขึ้นมาใหม่ได้อีกต่อไปในมิติของโลกใบนี้ แต่... แต่ก็ไม่ใช่ว่าจิตวิญญาณของเธอจะสูญสลายแตกดับไปหรอกนะคนสวย แค่ตอนนี้เธออาจจะรู้สึกเหมือนอย่างนั้น แต่พออีกสักพักที่รูปวิญญาณของเธอในขณะนี้ได้กลายเป็นสีดำไปทั้งหมดแล้ว ร่างนี้ก็จะค่อยๆ สลายหายไปโดยที่จิตของเธอจะเข้าไปอยู่ในแหวนสีดำวงนี้ ตอนนั้นเองเธอจะค่อยๆ รู้สึกสบายขึ้นไม่มีความเจ็บปวดหรืออ่อนแรงเหมือนในตอนนี้อีก แต่ว่าเธอเองก็จะถูกกักขังอยู่ในพื้นที่อันจำกัดหรือในมิติอันไม่ใหญ่โตนักของแหวนวงนี้ แต่พี่ก็คิดว่ามันก็คงจะกว้างขวางกว่าในตะเกียงของอาละดินล่ะนะ ฮ่าๆ ๆ "
ปิศาจสาวค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองเมฆาอย่างยากลำบาก "ฉัน... ฉันไม่ชอบอยู่ในที่... แคบๆ หรอก... นะ" สายตาของเธอส่อแวววิงวอน "ไม่ว่ามันจะกว้างกว่าใน... ตะเกียง... อาละดิน หรือไม่ก็... ตาม ได้โปรดช่วย... ฉัน..." แล้วมือขวาของเธอที่ยังพอขยับได้ก็เอื้อมไปจับที่ชายขากางเกงยีนของเมฆาอย่างสั่นเทา
จิตใจของเมฆาในยามนี้ถึงกับปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย โดยนิสัยที่แท้จริงของเขานั้น ที่จริงมีความเมตตาต่อสรรพสัตว์และจิตวิญญาณอันบริสุทธิเป็นที่ตั้ง เขาเองจริงๆ แล้วก็ไม่เชื่อว่า ปิศาจสาวตนนี้จะมีจิตอันเลวร้ายมาแต่แรก เขากลับชื่อว่าเธอน่าจะตกเป็นเครื่องมือของคนเลว หรือพวกที่มีจิตวิญญาณฝ่ายต่ำซะมากกว่า และบุรุษลึกลับที่สวมหมวกทรงสูงที่ประดับไปด้วยใบหน้าของปิศาจต่างหากที่น่าจะเป็นผู้บงการหรืออยู่เบื้องหลังของความชั่วร้ายที่ปิศาจสาวผู้นี้ต้องกระทำขึ้นมา
"ฉันอยากจะช่วยเธอ และต้องช่วยเธออย่างแน่นอน" เมฆาบอก " ฉันไม่เคยคิดจะทำลายจิตวิญญาณของเธอให้แตกดับ และไม่ต้องการที่จะกักขังเธอให้ได้รับความทุกข์ทรมานแต่อย่างใด แม้ว่าเธอเองจะเคยได้กระทำกับจิตวิญญาณอื่นๆ เพราะฉันเชื่อว่าแต่เดิมเธอน่าจะไม่ได้มีความชั่วร้ายใดๆ มาแต่เก่าก่อน แต่เธอ... จะต้องช่วยฉันบางอย่างด้วย เธอ... จะต้องตอบคำถามของฉันบางข้อก่อน ตกลงไม๊คนสวย? "
ในดวงตาทั้งคู่ของปิศาจสาวในขณะนี้นั้นเหมือนจะมีประกายของน้ำตาแห่งจิตวิญญาณสะท้อนออกมาให้เห็น แล้วปืศาจสาวก็ก้มหน้าลงวูบหนึ่ง ราวกับละอายใจกับการกระทำที่ชั่วร้ายของตัวเองที่ได้กระทำมาก่อนหน้านี้ เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองเมฆาอีกครั้ง แต่แล้วเมฆาก็ทรุดลงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าของปิศาจสาว เพราะที่จริงเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองจะอยู่สูงกว่าใคร เขาและจิตวิญญาณทั้งที่มีร่างสังขารหรือไม่มีร่างสังขารนั้นที่จริงล้วนเท่าเทียมกัน
"คำถามข้อแรกของฉันคือ..." เมฆากล่าวขึ้น "เมื่อเธอได้ดูดวิญญาณของคนต่างๆ แล้ว เธอได้เอาวิญญาณของเขาเหล่านั้นไปเก็บไว้ที่ต้นว่านใช่ไหม? "
ปิศาจสาวมองหน้าของเมฆา แต่ดูเหมือนว่าเธอจะเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาได้ยากทุกขณะแล้ว เมื่อร่างกายทั้งซ้ายและขวาของเธอเริ่มจะกลายเป็นสีดำจนเกือบจะทั้งหมดแล้ว
"ขอโทษนะ... ฉันลืมไปว่าร่างวิญญาณของเธอเคลื่อนไหวได้ยากลำบากแล้ว" เมฆาส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างยิ้มๆ "เอาล่ะ จะว่าเป็นการวัดดวงก็ไม่เชิง ฉันจะใช้อาคมถอดแหวนนั้นออกมา และฉันก็เชื่อว่าเธอจะศรัทธาในความศรัทธาของฉันที่มีต่อความดีลึกๆ ในตัวของเธอ"
จากนั้นไม่นานหลังจากที่เมฆาได้ใช้อาคมปลดแหวนศิลาอาคมออกมาแล้ว ร่างวิญญาณของปิศาจสาวก็ค่อยคืนกลับมาเป็นปกติ แต่ปิศาจสาวนางนี้ก็ไม่มีท่าทีที่จะคุกคามเมฆาแต่อย่างใดอีก และอาจจะกล่าวได้ว่า ศรัทธาของเมฆาได้ดึงศรัทธาแห่งความดีที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตของเธอออกมาได้สำเร็จ
"คำถามที่พี่เมฆาได้ถามมาข้อแรกนั้น ก็ต้องตอบว่าใช่อย่างที่พี่ได้ว่าไว้นั่นแหล่ะค่ะ" ปิศาจสาวเริ่มพูดได้โดยไม่ติดขัด " วิญญาณของคนเหล่านั้น ฉันได้ดึงไปเก็บไว้ที่ต้นว่านเหล่านั้น เพราะว่าฉันเป็นผีต้นว่าน ฉันจึงมีพลังในการทำอย่างนั้นได้ค่ะพี่เมฆา"
เมฆาพยักหน้าช้าๆ "อืม... แล้วจากนั้นล่ะ วิญญาณที่เอาไปกักไว้ที่ต้นว่านนั้นได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากต้นว่านเหล่านั้นได้อย่างไร? "
"พี่เมฆาดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วนะคะ ว่าวิญญาณเหล่านั้นจะต้องถูกเคลื่อนย้ายไปยังที่อื่น" ปิศาจสาวตั้งข้อสังเกตุ "แต่ก็ใช่นะคะ วิญญาณเหล่านั้นได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจริงๆ และฉันก็ไม่ทราบว่าได้มีการเคลื่อนย้ายกันอย่างไร พูดถึงตรงนี้พี่เมฆาก็คงรู้แล้วสินะว่า การดูดวิญญาณอย่างที่ฉันกระทำนี่ เป็นการทำตามคำสั่งของท่านผู้นั้นอีกที? "
เมฆาพยักหน้า "ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ ลำพังแค่วิญญาณของเธอจะเอาวิญญาณของคนอื่นไปทำอะไร ฉันรู้อยู่แล้วว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำอันเลวร้ายเช่นนี้ ฉันบอกได้เลยว่า มันก็คือ ผู้ชายสูงอายุคนหนึ่งที่มักจะสวมหมวกทรงสูงที่มีรูปหน้าของปิศาจอยู่รอบๆ หมวกใช่ไม๊ นี่คือคำถามอีกข้อที่ฉันต้องการคำยืนยันจากเธอ? "
ปิศาจสาวถึงกับสั่นสะท้านไปถึงก้นบึ้งแห่งจิตวิญญาณของเธอ
"ใช่... ใช่แล้ว เขานั่นล่ะ..." เธอก้มหน้าตอบเบาๆ ราวกับกลัวใครคนอื่นจะมาได้ยิน แต่ฉัน... ไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร เขาแค่บอกกับฉันว่า เขาคือเจ้านายของฉัน และฉันต้องทำตามคำสั่งของเขา ฉันเข้าๆ ออกๆ อยู่ในต้นว่านมาสักพักใหญ่แล้ว และฉันจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านั้นฉันเคยเป็นอะไรหรือว่าอยู่ที่ไหนมา ส่วนใหญ่ฉันจะรู้สึกหลับๆ ตื่นขณะอยู่ในต้นว่าน และเมื่อมีเหยื่อที่เป็นคนปรากฏขึ้นมา ฉันก็จะรู้สึกเหมือนมีเสียงกระซิบมาปลุกให้ฉันตื่นขึ้น เพื่อจะได้ไปทำงานตามที่ฉันได้รับมอบหมายน่ะ"
เมฆาพยักหน้าเข้าใจ "ถ้างั้นในตอนที่มีการเคลื่อนย้ายวิญญาณของผู้คนต่างๆออกไปจากต้นว่าน เธอก็คงอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นสินะ ถึงจำไม่ได้เลยว่าได้มีการเคลื่อนย้ายดวงวิญญาณกันอย่างไร และอย่างนี้แล้วเธอก็คงจะไมู่รู้ว่าสุดท้ายดวงวิญญาณเหล่านั้นได้ถูกนำไปจัดเก็บไว้ที่ไหนเป็นลำดับต่อไปใช่ไหม ? "
ปิศาจสาวพยักหน้า "ใช่แล้วค่ะพี่เมฆา ในตอนนั้นแม้ว่าฉันจะอยู่ในต้นว่านนั้นด้วย แต่ก็รู้สึกสลึมสลือราวกับว่ากำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น และก็จำอะไรแทบไม่ได้เลย พอรู้สึกตัวอีกที เหล่าวิญญาณพวกนั้นก็ได้ถูกเคลื่อนย้ายกันไปหมดแล้วล่ะค่ะ อืม... และในบางครั้งฉันก็ได้เห็นหน้าของชายคนที่สวมหมวกทรงสูงได้ปรากฏตัวขึ้นมาให้ฉันเห็นในช่วงนั้นด้วยนะคะ บางครั้งเขาจะพูดว่า 'ดีมาก เธอทำงานได้ดีมากที่รัก...' ประมาณนี้ล่ะค่ะพี่เมฆา
"แต่ในครั้งนี้... เธอกลับทำงานได้ไม่ดีเลยนะ...! " เสียงพูดครั้งนี้กลับไม่ใช่คำพูดของใครคนใดในทั้งสอง
แต่มันกลับดังมาจากตรงริมระเบียง มันเป็นคำพูดที่แหบๆ เล็กๆ และน่าขนลุก และมันก็ทำให้ปิศาจสาวผู้นี้ถึงกับมีสีหน้าที่ตื่นตระหนกจนซีดเผือด!
"ใคร... ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ! " เมฆากระโดดลุกขึ้นจากท่านั่ง
แล้วเขาก็ทะยานตรงไปที่ประตูหลังห้องที่นำไปสู่ระเบียงด้านหลังทันที
ถัดจากประตูหลังห้องไปเล็กน้อย เมฆาก็ได้มองเห็นต้นว่านขนาดย่อมอยู่ในกระถางใกล้ๆ กับระเบียง แต่สิ่งที่กำลังเกาะอยู่ที่ขอบของกำแพงริมระเบียงนั้น มันกลับเป็น...
นกเค้าแมว...?!!
ไม่... ไม่ใช่... ที่จริงมันก็คือ นกแสกต่างหาก นกแสกตัวใหญ่ นกแสกที่คนโบราณส่วนใหญ่ต่างก็เชื่อกันว่า มันเป็นนกที่นำความตายมาให้ผู้คน...!
นกปิศาจ... นกอาถรรพ์... หรือนกผีจากนรกที่ได้อยู่ในตำนานเรื่องเล่าอาถรรพ์ของหลายๆ ประเทศทั่วโลก !
แต่ทว่า... นกแสกตัวนี้กลับมีความแปลกประหลาดแตกต่างจากนกแสกตัวใดๆที่เมฆาได้เคยพบเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด...!
ก็เพราะนกแสกตัวนี้ดันมีขนที่ใบหน้าเป็นสีแดง แดงราวกับเลือด...! และลูกตาสีดำทั้งคู่ของมันที่อยู่บนพื้นใบหน้าสีแดงนั้น ก็กำลังจ้องเขม็งมาราวกับเป็นดวงตามรณะคู่หนึ่งที่โผล่ผุดขึ้นมาจากหน้ารูปหัวใจสีเลือด...!!
(โปรดติดตามตอนจบของ "ว่านผีสิง" ในเร็วๆ นี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ