เทพตกสวรรค์ ทัณฑ์นิรันดร์กาล
9.3
เขียนโดย 秋冬夢春
วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.05 น.
14 ตอน
2 วิจารณ์
20.09K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2565 18.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ฝันร้ายกลายเป็นดี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ นับตั้งแต่วันที่ได้ปะทะกับอินุกิ เวลาผันผ่านไปนานนับสัปดาห์ คฤหาสน์ได้รับการซ่อมแซมส่วนที่พังเสียหาย สื่อต่างๆประโคมข่าวว่าเป็นเหตุแก๊สระเบิดขนาดใหญ่ที่ตระกูลเก่าแก่ของเมือง ทั้งนี้ก็เพราะเพื่อปกปิดความลับของตระกูลทาวะระ
ส่วนทางด้านนาการะยังคงสลบโดยที่ยังไม่ได้สติอยู่ บาดแผลภายนอกนั้นแทบจะหายเป็นปกติด้วยพลังของเทพีอมาเตระสึ หากแต่บาดแผลภายในนั้นยังคงบอบช้ำ ต้องใช้เวลาอีกสักพัก กว่าที่บาดแผลทั้งหมดจะหายดี คิสึเนะเองนางก็คอยเฝ้าไข้ชายหนุ่มชนิดที่ไม่ห่างกายไปไหน กระทั่งเวลาที่แพทย์ของตระกูลทาวะระเข้ามาดูอาการของชายหนุ่ม นางก็ยังคงนั่งเฝ้าอยู่เช่นนั้นไม่ไปไหน
“อาการส่วนมากเข้าสู่ระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลแล้วขอรับนายหญิง…” แพทย์รายงานกับคิสึเนะ “ข้าน้อยจะจัดยาประคบไว้ให้เช่นเดิมนะขอรับ”
“อืม…ขอบใจเจ้ามาก” คิสึเนะกล่าว
หลังจากที่แพทย์ออกไปแล้ว คิสึนะจึงนั่งลงข้างๆเตียงที่นาการะนอนอยู่ ก่อนจะเปิดหนังสืออ่านต่อจากที่ค้างไว้ งานอดิเรกช่วงที่นั่งเฝ้าเขาของนางคือการนั่งอ่านหนังสือ ซึ่งตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา นางอ่านหนังสือไปแล้วรวมกว่า 20 เล่ม
“เมื่อไหร่เจ้าจะฟื้นกันนะ?” หญิงสาวบ่นพึมพำ
นางอ่านหนังสือฆ่าเวลาไปเรื่อย จนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงกลางคืน จึงละสายตาจากหนังสือที่อ่าน เพื่อลุกไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัว แต่ก่อนไปได้เรียกอายากะออกมาเพื่อคอยดูนาการะแทนนาง
“อายากะ เจ้าจงดูแลชายผู้นี้แทนข้า” ปิ่นปักษาของนางกลายร่างเป็นภูติตัวจิ๋วที่กำลังลอยอยู่เบื้องหน้า
“เจ้าค่ะนายหญิง” อายากะรับคำ
จากนั้นจึงเดินไปอาบน้ำชำระกาย ภายหลังนางอาบน้ำเสร็จจึงเรียกอายากะกลับมาดังเดิม แล้วจึงนั่งลงที่ประจำ เพื่อเฝ้าดูอาการของชายหนุ่ม นางนั่งมองใบหน้าของเขา จะว่าไปเองนาการะเองก็ดูดีไม่แพ้ชายใดที่เคยพบ ปอยผมสีส้มสว่างนั้นบดบังใบหน้าบางส่วน แต่กลับไม่ได้ปกปิดความหล่อเหลาที่ซุกซ่อนอยู่เลยแม้เพียงนิด ริมฝีปากนั่นสักวัน……
“……” คิสึเนะส่ายหน้าไล่ความคิดของตน “นี่ข้าคิดอะไรของข้าอยู่กันเนี่ย…” หญิงสาวคิดในใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปปัดปอยผมให้ชายหนุ่ม
“อึก! อือ!” นาการะเริ่มมีปฏิกิริยาเคลื่อนไหว สร้างความตื่นตกใจให้แก่คิสึเนะในคราแรก แต่ไม่นานนักกลับถูกแทนที่ด้วยความยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ หางทั้งเก้าของนางส่ายอย่างควบคุมมิได้
“น…น้ำ” เขาเอ่ยคำแรกในรอบหลายวัน แต่คอแห้งผากราวกับผืนดินในคิมหันต์ฤดู
“ระ……รอเดี๋ยว!!” คิสึเนะรีบวิ่งไปเอาน้ำมาให้ชายหนุ่มดื่มทันที
นางค่อยๆป้อนน้ำให้จิบโดยไม่ให้ดื่มเร็วเกินไป เพราะเกรงว่าเขาจะสำลักได้ หลังป้อนน้ำเสร็จ หญิงสาวจึงมีเวลาพูดคุยเล็กน้อยกับชายหนุ่ม
“เจ้าสลบไปตั้งสัปดาห์นึง ข้าเป็นห่วงแทบแย่” คิสึเนะพูดพร้อมกับยิ้มเล็กๆ
“ข้า…หลับไปนานขนาดนั้นเชียวหรือ?” นาการะพึมพำเบาๆ “เจ้าเองก็พักผ่อนเถิด เจ้าเหนื่อยมามากพอแล้ว”
“อืม…เจ้าเองก็นอนพักเถิด จะได้หายไวๆ” นางอมยิ้มน้อยๆ “อีกประเดี๋ยวข้าก็จะนอนพักผ่อนแล้วเช่นกัน”
นาการะไม่ตอบประการใด หากแต่ค่อยๆปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งของตนลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความฝันไปในที่สุด เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มหลับสนิทแล้ว คิสึเนะจึงปิดไฟและเข้านอนตามไปในที่สุด
รุ่งสาง
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนก็เป็นคิสึเนะที่รู้สึกตัวก่อน นางรู้สึกนอนไม่ค่อยสบายตัวเท่าใดนัก จึงลุกจากที่นั่งข้างเตียงมาเป็นคนแรก นางหันไปมองนาการะ ชายหนุ่มกำลังนอนหลับเฉกเช่นเดิม ด้วยเพราะพิษของความอ่อนล้าที่ถาโถมหลังอาการบาดเจ็บ
“เอาล่ะ…วันนี้ข้าจะทำอะไรดีนะ?” คิสึเนะกล่าวหลังจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ
“ขออนุญาตเจ้าค่ะ……” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่นอกประตูห้องพัก น้ำเสียงที่คิสึเนะคุ้นเคยเป็นอย่างดี นางจึงรีบใช้เวทย์ปกปิดตัวตนเพื่อซ่อนหางและใบหูของนาง
“เข้ามาได้” คิสึเนะกล่าวอนุญาต “มีธุระอันใดหรือมิยาเอะ??” เป็นนายหญิงของตระกูลทาวะระนั่นเอง
“ข้านำยาประคบมาให้เจ้าค่ะ ให้ประคบบาดแผลของท่านรุ่นที่สอง จะช่วยให้บาดแผลสมานเร็วขึ้นเจ้าค่ะ” มิยาเอะพูด พร้อมกับมอบถาดที่มียาประคบวางอยู่ ในนั้นประกอบด้วยสมุนไพรกลิ่นหอมหลายชนิด
“ขอบใจเจ้ามากนะ มิยาเอะ…” คิสึเนะรับถาดนั้นมาไว้ในมือของตนเอง
“เอ่อ……ข้าขอเสียมารยาทนะเจ้าคะ” มิยาเอะพูดขึ้น “ท่านเป็นคนจากที่ราบแดนสวรรค์จริงๆหรือเจ้าคะ?” นายหญิงแห่งตระกูลทาวะระเอ่ยถามคิสึเนะ
“อืม…จะเรียกว่าข้ามาจากที่นั่นก็ไม่ผิดซะทีเดียวหรอกนะ” หญิงสาวกล่าวตอบ
“งั้นท่านก็เป็นเทพเจ้าใช่ไหมเจ้าคะ?” มิยาเอะถามต่อ
“ข้าน่ะเป็นจิ้งจอกเก้าหางผู้รับใช้เทพเจ้า มิใช่เทพหรอกนะ…” นางพูด
“ข้าขอเห็นได้ไหมเจ้าคะ ว่าแท้จริงแล้วจิ้งจอกเก้าหางเป็นเช่นไร?” มิยาเอะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนทำให้คิสึเนะเริ่มรู้สึกเอ็นดูนางขึ้นมา
นางจินตนาการว่าจิ้งจอกเก้าหางต้องเป็นภูติที่มีอำนาจสูงสุดในหมู่ภูติพราย และเป็นภูติที่นางรู้สึกชอบมากที่สุดในบรรดาเรื่องเล่าของภูติทั้งหมด เมื่อจิ้งจอกเก้าหางตัวจริงเสียงจริงมาอยู่ตรงหน้า มันก็อดทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้
“พวกข้าก็มีรูปจำแลงเหมือนพวกเจ้านี่แหละ เพียงแต่ว่าพวกข้าจะมีหางและหูงอกออกมาผิดแผกจากมนุษย์ทั่วไปก็เพียงเท่านั้น” คิสึเนะตอบ ก่อนจะถอนเวทย์ปกปิดตัวตน ซึ่งเผยให้เห็นใบหูที่ดูนุ่มนิ่มและหางทั้งเก้าที่ฟูฟ่อง สยายไปทั่วทุกทิศ
“………” มิยาเอะตกตะลึงไปชั่วขณะกับภาพที่เห็นตรงหน้า
จนกระทั่งคิสึเนะใช้เวทย์ปกปิดตัวตน นางถึงจะดึงสติกลับมาได้
“ขอบคุณสำหรับความกรุณาเจ้าค่ะ…” นายหญิงของตระกูลทาวะระกล่าวขอบคุณ เพราะอย่างน้อยสักครั้งนึงในชีวิตนี้ก็ได้เห็นภูติที่ตัวเองใฝ่ฝันอยากจะเห็นมาตั้งแต่ตอนเด็กๆอยู่ตรงหน้าแล้ว “เช่นนั้น ข้าขอตัวนะเจ้าคะ” มิยาเอะคำนับพร้อมกับหันหลังเดินออกไปนอกห้อง
หลังจากที่นางจากไปแล้ว คิสึเนะจึงเริ่มนำสมุนไพรไปประคบตามบาดแผลให้แก่นาการะที่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง เมื่อนางปลดเสื้อของนาการะออกก็เผยให้เห็นร่องรอยบาดแผลอันมากมายของชายหนุ่ม ทั้งใหม่และเก่า ซึ่งครั้งแรกที่เห็นนางยังตกใจถึงบาดแผลที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้ มันมากพอที่จะฆ่ามนุษย์คนนึงให้ตายอย่างทุกข์ทรมานได้เลย
“เจ้าคง…ผ่านอะไรมาเยอะสินะ…” คิสึเนะกล่าวพึมพำ
ในระหว่างนั้นเอง นาการะที่หลับอยู่กลับโดนชักนำสู่ห้วงแห่งภวังค์ของใครบางคน
“ที่นี่? ที่ใด?” นาการะเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสภาพรอบข้างมีแต่ความดำมืด และตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น
“ฤดูกาลผันเปลี่ยน…” เสียงของใครบางคนดังขึ้น
“นั่นใคร?” นาการะตอบกลับเสียงนั้น พลางเดินตามหาแหล่งที่มาของเสียง
“เหตุใด? ท่านแม่จึงโหดร้ายกับข้านัก” ในท่ามกลางความมืด นาการะสังเกตเห็นคนนั่งคุกเข่าหันหลังอยู่ไกลๆ จึงเดินเข้าไปหา
“เจ้าเป็นใคร?” นาการะเอ่ยถามเมื่ออยู่ในระยะที่ประชิดพอที่จะได้ยินเสียงกัน “แล้วที่นี่มันที่ใดกัน?” ชายหนุ่มถามอีกคำถาม หากแต่สิ่งที่ชายคนนั้นตอบกลับมามีเพียงสะอื้นไห้ราวกับทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส
“เจ้าเป็นใคร?” นาการะถาม แต่ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ “ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร?” เขาถามย้ำอีกครั้ง แต่ผลยังคงเป็นเหมือนเดิม คือมีแต่เสียงสะอื้นไห้
นาการะที่เริ่มหมดความอดทนจึงเอื้อมมือไปสัมผัสชายคนนั้น มันได้ผล ชายผู้นั้นเริ่มหันหน้ามาหาชายหนุ่ม แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ชายผู้ผ่านมหาสงครามภูติและประสบการณ์ต่างๆเกี่ยวกับวิญญาณมานักต่อนักถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ คือการที่ชายผู้นั้นไร้ซึ่งดวงตา คงไว้แต่เพียงความมืดสุดจะหยั่งถึง ราวกับจ้องมองไปยังความว่างเปล่า ก่อนที่จะทันกระโดดออกไปตั้งหลัก ชายผู้นั้นก็หันมากอดรัดนาการะไว้แน่นเสียจนหายใจไม่ออก “อึ่ก!……อ๊ากกก” นาการะเริ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ชั่วพริบตาที่สติของชายหนุ่มกำลังจะดับลงอีกครั้ง
ทันใดนั้น……..
“เฮือก!!!!” นาการะสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เมื่อลืมตาตื่นก็พบกับสีหน้าอันตื่นตระหนกของคิสึเนะ มือเรียวยาวสีไข่มุกกำลังลูบไล้ใบหน้าของชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ?” นางเอ่ยถาม เมื่อเห็นนาการะมีท่าทีที่ทุกข์ทรมานจึงปรี่เข้ามาดูอาการ
“ข้าเพียงแต่ฝันร้ายเท่านั้น…” นาการะตอบ พร้อมกับสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกสติ
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าแผ่นหลังของตนชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความตื่นตระหนก ฝันนั้นมันเหมือนจริงมากจนเกินไป สัมผัสของชายผู้นั้นยังติดอยู่ในหัว ทั้งใบหน้า น้ำเสียง มันคุ้นเคยเสียจนนาการะเองก็ยังแปลกใจ เหมือนเคยพบชายผู้นี้มาก่อน
“คงเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวมากเลยใช่หรือไม่?” คิสึเนะถามด้วยความเป็นห่วง
“……” นาการะจ้องลึกลงไปยังดวงตาสีฟ้าใสของนาง ก่อนจะเอ่ยออกมา “ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก อย่าได้เป็นกังวลไปเลย” ด้วยกลัวนางจะเป็นห่วง
“ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” หญิงสาวกุมมือนาการะที่นอนอยู่
“ขอบคุณนะ……” นาการะกล่าวขอบคุณ พลางปิดเปลือกตาลงเบาๆ อย่างน้อยในตอนนี้ เขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป แต่สัมผัสแปลกๆที่หน้าผากเป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อดวงตาทั้งสองเปิดออกก็พบกับภาพที่คิสึเนะค้อมตัวลงมาจุมพิตหน้าผากของตน
“เจ้า……กำลังทำอะไร?” ชายหนุ่มที่นอนอยู่เอ่ยถามนางขึ้นมา
“ข้าทำไปเพียงเพราะอยากให้เจ้าใจเย็นลงบ้างก็เพียงเท่านั้น” คิสึเนะตอบพร้อมกับเอามือลูบหัวนาการะประหนึ่งปลอบเด็กน้อยที่กำลังผวาจากฝันร้าย
“…” นาการะไม่ตอบ หากแต่ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงหัวใจของตนที่กำลังเต้นระรัวเฉกเช่นเมื่อคืนนั้น
“ข้าในฐานะนายหญิงแห่งตระกูลของเจ้า นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำให้เจ้าได้ในเวลานี้…” คิสึเนะกล่าวพลางอมยิ้ม “นั่นคือการอยู่เคียงคู่เจ้าไม่ว่ายามทุกข์หรือสุข” ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ
การเป็นนายหญิงหมายถึงเช่นนี้ใช่หรือไม่? เพราะหลายวันที่ผ่านมานางได้มีโอกาสนั่งคุยกับมิยาเอะที่เป็นนายหญิงของตระกูลทาวะระ นางได้สอนอะไรหลายๆอย่างให้แก่คิสึเนะ รวมไปถึงหน้าที่ของนายหญิงที่พึงกระทำเมื่อคราวที่คู่ของตนประสบปัญหา แต่ในตอนนี้นางทำถูกแล้วใช่หรือไม่?
“ข้า……มิได้เป็นอะไรมากหรอก…” นาการะกล่าว ก่อนจะยกมือข้างขวาลูบไล้ใบหน้าของนาง นางผู้ที่พึ่งเจอได้ไม่นาน ก็เข้ามาอยู่ในหัวใจของชายหนุ่มอย่างถอนตัวไม่ขึ้นนับตั้งแต่คืนที่ถูกเหย้าแหย่ คราแรกที่พบกับนางอาจจะมีฉุนเฉียวกับทีเล่นทีจริงของนางไปบ้าง หากแต่ตอนนี้ชายหนุ่มเลือกที่จะฟังเสียงของหัวใจตน ในช่วงเวลาที่ชีวิตเข้าใกล้เส้นแบ่งของความเป็นและความตาย นางคือผู้เดียวที่ชายหนุ่มปราถนาอยากได้นางมาเป็นคู่ครอง
“ย่อมเป็นการดี…” คิสึเนะพูดพร้อมกับพยักหน้าลงอย่างเชื่องช้า “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ามิได้เป็นอะไรมาก ข้าก็ย่อมวางใจ” นางกล่าวพร้อมกับลุกขึ้น
“เจ้านอนพักเถิด เพื่อจะได้พักฟื้นร่างกาย ปล่อยให้พลังขององค์เทพีรักษาเจ้า” คิสึเนะกล่าว “ข้าจะทำงานของข้าต่อ”
จากนั้นนางจึงปล่อยให้นาการะได้นอนหลับพักผ่อน ส่วนตัวนางจึงลุกไปทำความสะอาดห้องต่อ ตามประสาของจิ้งจอกที่มักจะไม่เคยอยู่นิ่ง ต้องหาบางสิ่งบางอย่างทำตลอด หากแต่ในชั่วขณะหนึ่ง นาการะได้ถูกวังวนแห่งความฝันดึงดูดลงไปอีกครั้ง หากแต่คราวนี้กลับเป็นสถานที่ที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
“ที่นี่……พระราชวังสวรรค์?” นาการะเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อพบว่าตนเองยืนอยู่หน้าสถาปัตยกรรมอันสวยงาม “ข้ามาที่นี่ได้เช่นไร?” เขาตกอยู่ในความสับสน
“เดินไป!” เสียงหนึ่งดังขึ้นอยู่หลังกำแพง ทำให้นาการะต้องซ่อนตัวหลังเสาต้นหนึ่ง
“ตึก! ตึก! ตึก!” เสียงฝีเท้าดังขึ้นหลังสิ้นเสียงนั้น นาการะที่กำลังซุ่มมองอยู่เห็นตัวตนของชายผู้เป็นต้นเสียงของฝีเท้านั้น ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเทพอารักษ์สององค์ บุรุษผู้มีสีหน้าหมองคล้ำ มือและเท้านั่นถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนราวกับนักโทษที่ต้องโทษร้ายแรง ดวงตาสีแดงสดเลื่อนลอยราวกับไร้ซึ่งชีวิต หากแต่ทว่าสิ่งที่ทำให้นาการะต้องเอะใจ คือใบหน้าที่คล้ายคลึงกับตนราวกับแกะ
“นั่นมัน…ข้านี่?……ไม่สิ…ผู้ใดกัน?” ชายหนุ่มคิด
นาการะสะกดรอยตามทั้งสามไปจนสุดเขตพระราชวังสวรรค์ชั้นนอก และกำลังจะก้าวเข้าสู่เขตพระราชฐานขององค์เทพีอมาเตระสึ ทั้งสามนั้นเดินหายเข้าไปยังประตูด้านใน
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะตามไปนั้น ชั่วพริบตานั้นมิติแห่งความฝันนั้นก็พังทลายลง เหวี่ยงให้เขาตกลงอย่างไร้จุดหมาย ราวกับถูกโยน รู้สึกตัวอีกทีก็มายืนอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งเสียแล้ว เบื้องหน้าของนาการะ ณ ตอนนี้มีแท่งผลึกแก้วขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ภายในปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งถูกจองจำอยู่ภายในนั้น เป็นคนเดียวกันกับที่ชายหนุ่มเห็นเมื่อครู่ไม่ผิดเป็นแน่
“นี่มัน……อะไรกัน?” นาการะกล่าว หากจะว่าเป็นฝัน มันกลับเหมือนจริงจนเกินไปที่จะบอกว่าเป็นเพียงความฝัน
“……” เขาเดินวนสำรวจรอบแท่งแก้วนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าด้านหลังของแท่งแก้วมีชื่อสลักอยู่ นามว่า “อมาเตระสึ โนะ ยูเมะ”
“มัน……..มาได้เช่นไรกัน?” ภายในใจของนาการะตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัยและแปลกใจ “แล้วที่นี่มันที่ใดกัน?”
“……” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสแท่งแก้วอันนั้น “อมาเตระสึ โนะ ยูเมะ? เป็นชื่อของผู้ใดกัน?” เขาคิดในใจ
เมื่อนาการะแตะแท่งแก้ว ทันใดนั้นแท่งแก้วก็เปล่งประกายแสงออกมา จนชายหนุ่มต้องยกมือขึ้นมาป้องสายตาของตนเอาไว้ เมื่อแสงสงบลงแล้ว เบื้องหน้าพลันปรากฏบุรุษผู้หนึ่งยื่นอยู่ แววตาสีโลหิตที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายอัดแน่นอยู่ภายใน กำลังจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขา
“เจ้าเป็นใคร?” นาการะถามพลางถอยออกห่าง เพราะสัมผัสได้ว่าชายผู้นี้อันตรายกว่าที่เห็นหลายเท่านัก
“……” ในมือของชายตรงหน้ามีพลังงานสีเวทย์สีขาวบริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ในมือ ก่อนที่เขาจะสาดใส่นาการะอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ฟึ่บ!” นาการะพุ่งหลบในทันใด แต่ด้วยความเร็วของมันเกือบทำให้นาการะหลบไม่ทัน
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!” นาการะตะโกนถามอีกครั้ง พลางกระโดดถอยหนีไปด้วย
“……” ชายตรงหน้าไม่ตอบ ทำเพียงย่างเท้าเข้ามาหานาการะอย่างเชื่องช้า หากแต่การก้าวย่างในแต่ละทีนั้นมันยิ่งเข้าใกล้นาการะมากขึ้นทุกทีๆ
“ก็ได้! หากจะต้องใช้กำลัง ข้าก็จะจัดให้!” นาการะพูด ก่อนจะทำท่าดึงคาตานะด้วยความเคยชิน หากแต่ชายหนุ่มลืมไปว่านี่เป็นเพียงความฝัน ย่อมไม่มีอาวุธประจำกาย และอีกไม่กี่ก้าวชายปริศนาก็จะถึงนาการะแล้ว บีบให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากใช้พลังเวทย์สุริยันต์ ในการต่อสู้แทน
“……” ชายปริศนาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยปากออกมา “เจ้ามีพลังนั่นได้เช่นไร?”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจำเป็นจะต้องรู้!” นาการะกล่าว ก่อนจะซัดคลื่นพลังโต้กลับชายปริศนา แต่เขากลับหลบมันได้อย่างง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เพียงชั่วพริบตาชายตรงหน้าก็ซัดพลังเวทย์สีขาวบริสุทธิ์ขนาดมหึมาสวนพุ่งเข้าใส่นาการะ ชายหนุ่มทำได้เพียงกระโดดหลบ แต่มันก็เกือบจะไม่ทันอีกครั้ง
“ยังไม่หมด” ชายปริศนาพูด ครานี้มันมาพร้อมกันถึงสองลูก บีบให้นาการะต้องหนีอีกครั้ง
“……” ภายใต้แววตาสีแดงสดที่เย็นชานั้น ปรากฏกระแสแห่งความเกลียดชังอันเข้มข้นอัดแน่นอยู่ข้างใน เขาเกลียดชังพลังที่นาการะนั้นครอบครองอยู่ เกลียดชังเสียจนอยากจะฉีกมันเป็นพันชิ้น
“ตายเสีย!” ไม่นานนักก้อนพลังงานขนาดมหึมานับสิบลูกก็พุ่งเข้าจู่โจมนาการะที่กำลังหลบหนี
ชั่วพริบตาที่พลังจะปะทะกับชายหนุ่ม แววตาสีฟ้าครามเบิกโพลงกว้าง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกัมปนาทดังสนั่น
“ตู้ม!!!”
เมื่อควันจางลง บุรุษปริศนาจึงสบถออกมา “ชิ! หนีไปได้งั้นเหรอ”
ด้านนอก
นาการะก็ได้สะดุ้งตัวตื่นขึ้นในตอนเย็นของวัน แผ่นหลังของเขาเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง ฝันที่เขาพบนั้นมันสมจริงจนเกินไป เสมือนมันเกิดในโลกแห่งความเป็นจริงเสียมากกว่า หากว่าโดนพลังนั่นในความฝันมันอาจทำเขาหมดลมหายใจจริงๆเลยก็เป็นได้
เมื่อมองออกไปรอบห้องเขากลับไม่เห็นคิสึเนะอยู่ภายใน ทั้งๆที่ปกตินางมักจะอยู่ไม่ห่างจากตัวเขาเสมอ
“คิสึเนะ?” นาการะตะโกนเรียกหานาง แต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบ
ในตอนนี้พลังของเทพีอมาเตระสึช่วยรักษาร่างกายของเขา จนพอที่จะสามารถลุกเดินได้เป็นปกติแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกเดินออกตามหาคิสึเนะ ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูนั้น
“แกร๊ก!” เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างระหงที่กำลังหอบข้าวของเดินเข้ามาภายใน ก่อนที่จะชนกับร่างของนาการะที่ยืนอยู่หน้าประตู
“โอ๊ะ! เจ้าตื่นแล้วหรือ?” คิสึเนะกล่าวหลังซวนเซไปครู่หนึ่ง พลางมองร่างกายของชายหนุ่ม เมื่อกลางวันชายตรงหน้ายังต้องนอนติดเตียง หากแต่พอตกเย็นกลับลุกขึ้นมาเดินได้ นับว่าพลังการฟื้นฟูขององค์เทพีนั้นหาสิ่งใดเทียบเทียมยากนัก
“อืม…ข้าตื่นเพราะฝันร้ายเหมือนเดิม” นาการะกล่าวกับนาง
“……ข้าอยู่ตรงนี้นะ…” นางลูบหัวปลอบชายหนุ่มอีกครั้ง ครั้งนี้มันทำให้นาการะรู้สึกดีขึ้นมาก
“อืม……ข้ารู้” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ
ก่อนที่คิสึเนะจะเดินไปที่โต๊ะเพื่อเตรียมทำอาหารค่ำ เหตุเพราะนางสั่งห้ามมิให้คนของตระกูลทาวะระเข้ามาในห้องรวมไปถึงการเสิร์ฟอาหาร ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนชายหนุ่ม จึงทำให้นางต้องเตรียมอาหารเองทั้งหมดในทุกมื้อ
“เจ้าตื่นมาก็ดีแล้ว เจ้าอยากทานอะไรเป็นมื้อค่ำเล่า?” คิสึเนะเอ่ยถาม
“ข้าทานอะไรก็ได้ที่เจ้าเป็นคนทำ” เขากล่าวพลางมองนางที่กำลังล้างผัก
“งั้นเอาเป็นข้าวต้มแล้วกัน” นางพูด ข้าวต้มน่าจะเหมาะกับคนที่พึ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ
ในระหว่างที่นางกำลังประกอบอาหารนั้น นาการะก็ได้เดินเข้ามาทางด้านหลัง ก่อนจะสวมกอดนางอย่างแผ่วเบา
“ว้าย!! เจ้าทำอะไรน่ะ!” คิสึเนะอุทานเบาๆ เมื่อชายหนุ่มกอดตัวนางจากทางด้านหลัง “ข้าตกใจหมด!”
“ข้าขอกอดเจ้าหน่อยได้หรือไม่?” นาการะออดอ้อน “เขาว่าคนที่พึ่งฝันร้าย การกอดจะช่วยปัดเป่าฝันร้ายได้” ชายหนุ่มกล่าว ทีแรกนางจะปฏิเสธ หากแต่เมื่อเห็นสายตาที่ออดอ้อนของชายหนุ่มทำให้หัวใจนางอ่อนยวบในทันที
“โถ่……ก็ได้ เห็นแก่เจ้าที่บาดเจ็บหรอกนะข้าถึงยอม แต่ข้าให้เพียงแค่ 10 นาทีนะ ข้าจะเร่งทำอาหารมื้อค่ำ” คิสึเนะพูดพลางกุมมือนาการะอย่างแผ่วเบา เอาจริงๆใช่ว่านางเองจะรังเกียจแบบนี้เสียเมื่อไหร่
“ย่อมได้” นาการะอมยิ้มน้อยๆ พลางเกยคางบนไหล่ของหญิงสาว
ไออุ่นกับกลิ่นหอมจากตัวของนางช่วยทำให้ชายหนุ่มใจเย็นลงได้บ้าง ในที่สุดจังหวะหัวใจของนาการะจึงกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
เมื่อนาการะกลับไปนั่งยังที่ของตนเองแล้ว คิสึเนะจึงเริ่มลงมือทำอาหารค่ำต่อ หลังแล้วเสร็จก็อาจกล่าวได้ว่ามื้อค่ำนี้เป็นมื้อที่นาการะมีความสุขที่สุด เพราะนับตั้งแต่ไฟสงครามได้พรากชีวิตบิดามารดาเขาไป ชายหนุ่มก็ไม่เคยสัมผัสกับความสุขอีกเลย ยกเว้นเสียแต่เพียงค่ำคืนนี้กับสตรีตรงหน้าเพียงเท่านั้น………..
ส่วนทางด้านนาการะยังคงสลบโดยที่ยังไม่ได้สติอยู่ บาดแผลภายนอกนั้นแทบจะหายเป็นปกติด้วยพลังของเทพีอมาเตระสึ หากแต่บาดแผลภายในนั้นยังคงบอบช้ำ ต้องใช้เวลาอีกสักพัก กว่าที่บาดแผลทั้งหมดจะหายดี คิสึเนะเองนางก็คอยเฝ้าไข้ชายหนุ่มชนิดที่ไม่ห่างกายไปไหน กระทั่งเวลาที่แพทย์ของตระกูลทาวะระเข้ามาดูอาการของชายหนุ่ม นางก็ยังคงนั่งเฝ้าอยู่เช่นนั้นไม่ไปไหน
“อาการส่วนมากเข้าสู่ระดับที่ไม่น่าเป็นกังวลแล้วขอรับนายหญิง…” แพทย์รายงานกับคิสึเนะ “ข้าน้อยจะจัดยาประคบไว้ให้เช่นเดิมนะขอรับ”
“อืม…ขอบใจเจ้ามาก” คิสึเนะกล่าว
หลังจากที่แพทย์ออกไปแล้ว คิสึนะจึงนั่งลงข้างๆเตียงที่นาการะนอนอยู่ ก่อนจะเปิดหนังสืออ่านต่อจากที่ค้างไว้ งานอดิเรกช่วงที่นั่งเฝ้าเขาของนางคือการนั่งอ่านหนังสือ ซึ่งตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา นางอ่านหนังสือไปแล้วรวมกว่า 20 เล่ม
“เมื่อไหร่เจ้าจะฟื้นกันนะ?” หญิงสาวบ่นพึมพำ
นางอ่านหนังสือฆ่าเวลาไปเรื่อย จนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงกลางคืน จึงละสายตาจากหนังสือที่อ่าน เพื่อลุกไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัว แต่ก่อนไปได้เรียกอายากะออกมาเพื่อคอยดูนาการะแทนนาง
“อายากะ เจ้าจงดูแลชายผู้นี้แทนข้า” ปิ่นปักษาของนางกลายร่างเป็นภูติตัวจิ๋วที่กำลังลอยอยู่เบื้องหน้า
“เจ้าค่ะนายหญิง” อายากะรับคำ
จากนั้นจึงเดินไปอาบน้ำชำระกาย ภายหลังนางอาบน้ำเสร็จจึงเรียกอายากะกลับมาดังเดิม แล้วจึงนั่งลงที่ประจำ เพื่อเฝ้าดูอาการของชายหนุ่ม นางนั่งมองใบหน้าของเขา จะว่าไปเองนาการะเองก็ดูดีไม่แพ้ชายใดที่เคยพบ ปอยผมสีส้มสว่างนั้นบดบังใบหน้าบางส่วน แต่กลับไม่ได้ปกปิดความหล่อเหลาที่ซุกซ่อนอยู่เลยแม้เพียงนิด ริมฝีปากนั่นสักวัน……
“……” คิสึเนะส่ายหน้าไล่ความคิดของตน “นี่ข้าคิดอะไรของข้าอยู่กันเนี่ย…” หญิงสาวคิดในใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปปัดปอยผมให้ชายหนุ่ม
“อึก! อือ!” นาการะเริ่มมีปฏิกิริยาเคลื่อนไหว สร้างความตื่นตกใจให้แก่คิสึเนะในคราแรก แต่ไม่นานนักกลับถูกแทนที่ด้วยความยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ หางทั้งเก้าของนางส่ายอย่างควบคุมมิได้
“น…น้ำ” เขาเอ่ยคำแรกในรอบหลายวัน แต่คอแห้งผากราวกับผืนดินในคิมหันต์ฤดู
“ระ……รอเดี๋ยว!!” คิสึเนะรีบวิ่งไปเอาน้ำมาให้ชายหนุ่มดื่มทันที
นางค่อยๆป้อนน้ำให้จิบโดยไม่ให้ดื่มเร็วเกินไป เพราะเกรงว่าเขาจะสำลักได้ หลังป้อนน้ำเสร็จ หญิงสาวจึงมีเวลาพูดคุยเล็กน้อยกับชายหนุ่ม
“เจ้าสลบไปตั้งสัปดาห์นึง ข้าเป็นห่วงแทบแย่” คิสึเนะพูดพร้อมกับยิ้มเล็กๆ
“ข้า…หลับไปนานขนาดนั้นเชียวหรือ?” นาการะพึมพำเบาๆ “เจ้าเองก็พักผ่อนเถิด เจ้าเหนื่อยมามากพอแล้ว”
“อืม…เจ้าเองก็นอนพักเถิด จะได้หายไวๆ” นางอมยิ้มน้อยๆ “อีกประเดี๋ยวข้าก็จะนอนพักผ่อนแล้วเช่นกัน”
นาการะไม่ตอบประการใด หากแต่ค่อยๆปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งของตนลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความฝันไปในที่สุด เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มหลับสนิทแล้ว คิสึเนะจึงปิดไฟและเข้านอนตามไปในที่สุด
รุ่งสาง
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนก็เป็นคิสึเนะที่รู้สึกตัวก่อน นางรู้สึกนอนไม่ค่อยสบายตัวเท่าใดนัก จึงลุกจากที่นั่งข้างเตียงมาเป็นคนแรก นางหันไปมองนาการะ ชายหนุ่มกำลังนอนหลับเฉกเช่นเดิม ด้วยเพราะพิษของความอ่อนล้าที่ถาโถมหลังอาการบาดเจ็บ
“เอาล่ะ…วันนี้ข้าจะทำอะไรดีนะ?” คิสึเนะกล่าวหลังจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ
“ขออนุญาตเจ้าค่ะ……” เสียงหนึ่งดังขึ้นที่นอกประตูห้องพัก น้ำเสียงที่คิสึเนะคุ้นเคยเป็นอย่างดี นางจึงรีบใช้เวทย์ปกปิดตัวตนเพื่อซ่อนหางและใบหูของนาง
“เข้ามาได้” คิสึเนะกล่าวอนุญาต “มีธุระอันใดหรือมิยาเอะ??” เป็นนายหญิงของตระกูลทาวะระนั่นเอง
“ข้านำยาประคบมาให้เจ้าค่ะ ให้ประคบบาดแผลของท่านรุ่นที่สอง จะช่วยให้บาดแผลสมานเร็วขึ้นเจ้าค่ะ” มิยาเอะพูด พร้อมกับมอบถาดที่มียาประคบวางอยู่ ในนั้นประกอบด้วยสมุนไพรกลิ่นหอมหลายชนิด
“ขอบใจเจ้ามากนะ มิยาเอะ…” คิสึเนะรับถาดนั้นมาไว้ในมือของตนเอง
“เอ่อ……ข้าขอเสียมารยาทนะเจ้าคะ” มิยาเอะพูดขึ้น “ท่านเป็นคนจากที่ราบแดนสวรรค์จริงๆหรือเจ้าคะ?” นายหญิงแห่งตระกูลทาวะระเอ่ยถามคิสึเนะ
“อืม…จะเรียกว่าข้ามาจากที่นั่นก็ไม่ผิดซะทีเดียวหรอกนะ” หญิงสาวกล่าวตอบ
“งั้นท่านก็เป็นเทพเจ้าใช่ไหมเจ้าคะ?” มิยาเอะถามต่อ
“ข้าน่ะเป็นจิ้งจอกเก้าหางผู้รับใช้เทพเจ้า มิใช่เทพหรอกนะ…” นางพูด
“ข้าขอเห็นได้ไหมเจ้าคะ ว่าแท้จริงแล้วจิ้งจอกเก้าหางเป็นเช่นไร?” มิยาเอะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนทำให้คิสึเนะเริ่มรู้สึกเอ็นดูนางขึ้นมา
นางจินตนาการว่าจิ้งจอกเก้าหางต้องเป็นภูติที่มีอำนาจสูงสุดในหมู่ภูติพราย และเป็นภูติที่นางรู้สึกชอบมากที่สุดในบรรดาเรื่องเล่าของภูติทั้งหมด เมื่อจิ้งจอกเก้าหางตัวจริงเสียงจริงมาอยู่ตรงหน้า มันก็อดทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้
“พวกข้าก็มีรูปจำแลงเหมือนพวกเจ้านี่แหละ เพียงแต่ว่าพวกข้าจะมีหางและหูงอกออกมาผิดแผกจากมนุษย์ทั่วไปก็เพียงเท่านั้น” คิสึเนะตอบ ก่อนจะถอนเวทย์ปกปิดตัวตน ซึ่งเผยให้เห็นใบหูที่ดูนุ่มนิ่มและหางทั้งเก้าที่ฟูฟ่อง สยายไปทั่วทุกทิศ
“………” มิยาเอะตกตะลึงไปชั่วขณะกับภาพที่เห็นตรงหน้า
จนกระทั่งคิสึเนะใช้เวทย์ปกปิดตัวตน นางถึงจะดึงสติกลับมาได้
“ขอบคุณสำหรับความกรุณาเจ้าค่ะ…” นายหญิงของตระกูลทาวะระกล่าวขอบคุณ เพราะอย่างน้อยสักครั้งนึงในชีวิตนี้ก็ได้เห็นภูติที่ตัวเองใฝ่ฝันอยากจะเห็นมาตั้งแต่ตอนเด็กๆอยู่ตรงหน้าแล้ว “เช่นนั้น ข้าขอตัวนะเจ้าคะ” มิยาเอะคำนับพร้อมกับหันหลังเดินออกไปนอกห้อง
หลังจากที่นางจากไปแล้ว คิสึเนะจึงเริ่มนำสมุนไพรไปประคบตามบาดแผลให้แก่นาการะที่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง เมื่อนางปลดเสื้อของนาการะออกก็เผยให้เห็นร่องรอยบาดแผลอันมากมายของชายหนุ่ม ทั้งใหม่และเก่า ซึ่งครั้งแรกที่เห็นนางยังตกใจถึงบาดแผลที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้ มันมากพอที่จะฆ่ามนุษย์คนนึงให้ตายอย่างทุกข์ทรมานได้เลย
“เจ้าคง…ผ่านอะไรมาเยอะสินะ…” คิสึเนะกล่าวพึมพำ
ในระหว่างนั้นเอง นาการะที่หลับอยู่กลับโดนชักนำสู่ห้วงแห่งภวังค์ของใครบางคน
“ที่นี่? ที่ใด?” นาการะเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสภาพรอบข้างมีแต่ความดำมืด และตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่านั้น
“ฤดูกาลผันเปลี่ยน…” เสียงของใครบางคนดังขึ้น
“นั่นใคร?” นาการะตอบกลับเสียงนั้น พลางเดินตามหาแหล่งที่มาของเสียง
“เหตุใด? ท่านแม่จึงโหดร้ายกับข้านัก” ในท่ามกลางความมืด นาการะสังเกตเห็นคนนั่งคุกเข่าหันหลังอยู่ไกลๆ จึงเดินเข้าไปหา
“เจ้าเป็นใคร?” นาการะเอ่ยถามเมื่ออยู่ในระยะที่ประชิดพอที่จะได้ยินเสียงกัน “แล้วที่นี่มันที่ใดกัน?” ชายหนุ่มถามอีกคำถาม หากแต่สิ่งที่ชายคนนั้นตอบกลับมามีเพียงสะอื้นไห้ราวกับทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส
“เจ้าเป็นใคร?” นาการะถาม แต่ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ “ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร?” เขาถามย้ำอีกครั้ง แต่ผลยังคงเป็นเหมือนเดิม คือมีแต่เสียงสะอื้นไห้
นาการะที่เริ่มหมดความอดทนจึงเอื้อมมือไปสัมผัสชายคนนั้น มันได้ผล ชายผู้นั้นเริ่มหันหน้ามาหาชายหนุ่ม แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ชายผู้ผ่านมหาสงครามภูติและประสบการณ์ต่างๆเกี่ยวกับวิญญาณมานักต่อนักถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ คือการที่ชายผู้นั้นไร้ซึ่งดวงตา คงไว้แต่เพียงความมืดสุดจะหยั่งถึง ราวกับจ้องมองไปยังความว่างเปล่า ก่อนที่จะทันกระโดดออกไปตั้งหลัก ชายผู้นั้นก็หันมากอดรัดนาการะไว้แน่นเสียจนหายใจไม่ออก “อึ่ก!……อ๊ากกก” นาการะเริ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ชั่วพริบตาที่สติของชายหนุ่มกำลังจะดับลงอีกครั้ง
ทันใดนั้น……..
“เฮือก!!!!” นาการะสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เมื่อลืมตาตื่นก็พบกับสีหน้าอันตื่นตระหนกของคิสึเนะ มือเรียวยาวสีไข่มุกกำลังลูบไล้ใบหน้าของชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“มีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือ?” นางเอ่ยถาม เมื่อเห็นนาการะมีท่าทีที่ทุกข์ทรมานจึงปรี่เข้ามาดูอาการ
“ข้าเพียงแต่ฝันร้ายเท่านั้น…” นาการะตอบ พร้อมกับสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกสติ
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าแผ่นหลังของตนชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความตื่นตระหนก ฝันนั้นมันเหมือนจริงมากจนเกินไป สัมผัสของชายผู้นั้นยังติดอยู่ในหัว ทั้งใบหน้า น้ำเสียง มันคุ้นเคยเสียจนนาการะเองก็ยังแปลกใจ เหมือนเคยพบชายผู้นี้มาก่อน
“คงเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวมากเลยใช่หรือไม่?” คิสึเนะถามด้วยความเป็นห่วง
“……” นาการะจ้องลึกลงไปยังดวงตาสีฟ้าใสของนาง ก่อนจะเอ่ยออกมา “ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก อย่าได้เป็นกังวลไปเลย” ด้วยกลัวนางจะเป็นห่วง
“ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” หญิงสาวกุมมือนาการะที่นอนอยู่
“ขอบคุณนะ……” นาการะกล่าวขอบคุณ พลางปิดเปลือกตาลงเบาๆ อย่างน้อยในตอนนี้ เขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป แต่สัมผัสแปลกๆที่หน้าผากเป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อดวงตาทั้งสองเปิดออกก็พบกับภาพที่คิสึเนะค้อมตัวลงมาจุมพิตหน้าผากของตน
“เจ้า……กำลังทำอะไร?” ชายหนุ่มที่นอนอยู่เอ่ยถามนางขึ้นมา
“ข้าทำไปเพียงเพราะอยากให้เจ้าใจเย็นลงบ้างก็เพียงเท่านั้น” คิสึเนะตอบพร้อมกับเอามือลูบหัวนาการะประหนึ่งปลอบเด็กน้อยที่กำลังผวาจากฝันร้าย
“…” นาการะไม่ตอบ หากแต่ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงหัวใจของตนที่กำลังเต้นระรัวเฉกเช่นเมื่อคืนนั้น
“ข้าในฐานะนายหญิงแห่งตระกูลของเจ้า นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำให้เจ้าได้ในเวลานี้…” คิสึเนะกล่าวพลางอมยิ้ม “นั่นคือการอยู่เคียงคู่เจ้าไม่ว่ายามทุกข์หรือสุข” ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ
การเป็นนายหญิงหมายถึงเช่นนี้ใช่หรือไม่? เพราะหลายวันที่ผ่านมานางได้มีโอกาสนั่งคุยกับมิยาเอะที่เป็นนายหญิงของตระกูลทาวะระ นางได้สอนอะไรหลายๆอย่างให้แก่คิสึเนะ รวมไปถึงหน้าที่ของนายหญิงที่พึงกระทำเมื่อคราวที่คู่ของตนประสบปัญหา แต่ในตอนนี้นางทำถูกแล้วใช่หรือไม่?
“ข้า……มิได้เป็นอะไรมากหรอก…” นาการะกล่าว ก่อนจะยกมือข้างขวาลูบไล้ใบหน้าของนาง นางผู้ที่พึ่งเจอได้ไม่นาน ก็เข้ามาอยู่ในหัวใจของชายหนุ่มอย่างถอนตัวไม่ขึ้นนับตั้งแต่คืนที่ถูกเหย้าแหย่ คราแรกที่พบกับนางอาจจะมีฉุนเฉียวกับทีเล่นทีจริงของนางไปบ้าง หากแต่ตอนนี้ชายหนุ่มเลือกที่จะฟังเสียงของหัวใจตน ในช่วงเวลาที่ชีวิตเข้าใกล้เส้นแบ่งของความเป็นและความตาย นางคือผู้เดียวที่ชายหนุ่มปราถนาอยากได้นางมาเป็นคู่ครอง
“ย่อมเป็นการดี…” คิสึเนะพูดพร้อมกับพยักหน้าลงอย่างเชื่องช้า “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ามิได้เป็นอะไรมาก ข้าก็ย่อมวางใจ” นางกล่าวพร้อมกับลุกขึ้น
“เจ้านอนพักเถิด เพื่อจะได้พักฟื้นร่างกาย ปล่อยให้พลังขององค์เทพีรักษาเจ้า” คิสึเนะกล่าว “ข้าจะทำงานของข้าต่อ”
จากนั้นนางจึงปล่อยให้นาการะได้นอนหลับพักผ่อน ส่วนตัวนางจึงลุกไปทำความสะอาดห้องต่อ ตามประสาของจิ้งจอกที่มักจะไม่เคยอยู่นิ่ง ต้องหาบางสิ่งบางอย่างทำตลอด หากแต่ในชั่วขณะหนึ่ง นาการะได้ถูกวังวนแห่งความฝันดึงดูดลงไปอีกครั้ง หากแต่คราวนี้กลับเป็นสถานที่ที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
“ที่นี่……พระราชวังสวรรค์?” นาการะเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อพบว่าตนเองยืนอยู่หน้าสถาปัตยกรรมอันสวยงาม “ข้ามาที่นี่ได้เช่นไร?” เขาตกอยู่ในความสับสน
“เดินไป!” เสียงหนึ่งดังขึ้นอยู่หลังกำแพง ทำให้นาการะต้องซ่อนตัวหลังเสาต้นหนึ่ง
“ตึก! ตึก! ตึก!” เสียงฝีเท้าดังขึ้นหลังสิ้นเสียงนั้น นาการะที่กำลังซุ่มมองอยู่เห็นตัวตนของชายผู้เป็นต้นเสียงของฝีเท้านั้น ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเทพอารักษ์สององค์ บุรุษผู้มีสีหน้าหมองคล้ำ มือและเท้านั่นถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนราวกับนักโทษที่ต้องโทษร้ายแรง ดวงตาสีแดงสดเลื่อนลอยราวกับไร้ซึ่งชีวิต หากแต่ทว่าสิ่งที่ทำให้นาการะต้องเอะใจ คือใบหน้าที่คล้ายคลึงกับตนราวกับแกะ
“นั่นมัน…ข้านี่?……ไม่สิ…ผู้ใดกัน?” ชายหนุ่มคิด
นาการะสะกดรอยตามทั้งสามไปจนสุดเขตพระราชวังสวรรค์ชั้นนอก และกำลังจะก้าวเข้าสู่เขตพระราชฐานขององค์เทพีอมาเตระสึ ทั้งสามนั้นเดินหายเข้าไปยังประตูด้านใน
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะตามไปนั้น ชั่วพริบตานั้นมิติแห่งความฝันนั้นก็พังทลายลง เหวี่ยงให้เขาตกลงอย่างไร้จุดหมาย ราวกับถูกโยน รู้สึกตัวอีกทีก็มายืนอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งเสียแล้ว เบื้องหน้าของนาการะ ณ ตอนนี้มีแท่งผลึกแก้วขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ภายในปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งถูกจองจำอยู่ภายในนั้น เป็นคนเดียวกันกับที่ชายหนุ่มเห็นเมื่อครู่ไม่ผิดเป็นแน่
“นี่มัน……อะไรกัน?” นาการะกล่าว หากจะว่าเป็นฝัน มันกลับเหมือนจริงจนเกินไปที่จะบอกว่าเป็นเพียงความฝัน
“……” เขาเดินวนสำรวจรอบแท่งแก้วนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าด้านหลังของแท่งแก้วมีชื่อสลักอยู่ นามว่า “อมาเตระสึ โนะ ยูเมะ”
“มัน……..มาได้เช่นไรกัน?” ภายในใจของนาการะตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัยและแปลกใจ “แล้วที่นี่มันที่ใดกัน?”
“……” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสแท่งแก้วอันนั้น “อมาเตระสึ โนะ ยูเมะ? เป็นชื่อของผู้ใดกัน?” เขาคิดในใจ
เมื่อนาการะแตะแท่งแก้ว ทันใดนั้นแท่งแก้วก็เปล่งประกายแสงออกมา จนชายหนุ่มต้องยกมือขึ้นมาป้องสายตาของตนเอาไว้ เมื่อแสงสงบลงแล้ว เบื้องหน้าพลันปรากฏบุรุษผู้หนึ่งยื่นอยู่ แววตาสีโลหิตที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายอัดแน่นอยู่ภายใน กำลังจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขา
“เจ้าเป็นใคร?” นาการะถามพลางถอยออกห่าง เพราะสัมผัสได้ว่าชายผู้นี้อันตรายกว่าที่เห็นหลายเท่านัก
“……” ในมือของชายตรงหน้ามีพลังงานสีเวทย์สีขาวบริสุทธิ์ไหลเวียนอยู่ในมือ ก่อนที่เขาจะสาดใส่นาการะอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ฟึ่บ!” นาการะพุ่งหลบในทันใด แต่ด้วยความเร็วของมันเกือบทำให้นาการะหลบไม่ทัน
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!” นาการะตะโกนถามอีกครั้ง พลางกระโดดถอยหนีไปด้วย
“……” ชายตรงหน้าไม่ตอบ ทำเพียงย่างเท้าเข้ามาหานาการะอย่างเชื่องช้า หากแต่การก้าวย่างในแต่ละทีนั้นมันยิ่งเข้าใกล้นาการะมากขึ้นทุกทีๆ
“ก็ได้! หากจะต้องใช้กำลัง ข้าก็จะจัดให้!” นาการะพูด ก่อนจะทำท่าดึงคาตานะด้วยความเคยชิน หากแต่ชายหนุ่มลืมไปว่านี่เป็นเพียงความฝัน ย่อมไม่มีอาวุธประจำกาย และอีกไม่กี่ก้าวชายปริศนาก็จะถึงนาการะแล้ว บีบให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากใช้พลังเวทย์สุริยันต์ ในการต่อสู้แทน
“……” ชายปริศนาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยปากออกมา “เจ้ามีพลังนั่นได้เช่นไร?”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจำเป็นจะต้องรู้!” นาการะกล่าว ก่อนจะซัดคลื่นพลังโต้กลับชายปริศนา แต่เขากลับหลบมันได้อย่างง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เพียงชั่วพริบตาชายตรงหน้าก็ซัดพลังเวทย์สีขาวบริสุทธิ์ขนาดมหึมาสวนพุ่งเข้าใส่นาการะ ชายหนุ่มทำได้เพียงกระโดดหลบ แต่มันก็เกือบจะไม่ทันอีกครั้ง
“ยังไม่หมด” ชายปริศนาพูด ครานี้มันมาพร้อมกันถึงสองลูก บีบให้นาการะต้องหนีอีกครั้ง
“……” ภายใต้แววตาสีแดงสดที่เย็นชานั้น ปรากฏกระแสแห่งความเกลียดชังอันเข้มข้นอัดแน่นอยู่ข้างใน เขาเกลียดชังพลังที่นาการะนั้นครอบครองอยู่ เกลียดชังเสียจนอยากจะฉีกมันเป็นพันชิ้น
“ตายเสีย!” ไม่นานนักก้อนพลังงานขนาดมหึมานับสิบลูกก็พุ่งเข้าจู่โจมนาการะที่กำลังหลบหนี
ชั่วพริบตาที่พลังจะปะทะกับชายหนุ่ม แววตาสีฟ้าครามเบิกโพลงกว้าง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกัมปนาทดังสนั่น
“ตู้ม!!!”
เมื่อควันจางลง บุรุษปริศนาจึงสบถออกมา “ชิ! หนีไปได้งั้นเหรอ”
ด้านนอก
นาการะก็ได้สะดุ้งตัวตื่นขึ้นในตอนเย็นของวัน แผ่นหลังของเขาเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง ฝันที่เขาพบนั้นมันสมจริงจนเกินไป เสมือนมันเกิดในโลกแห่งความเป็นจริงเสียมากกว่า หากว่าโดนพลังนั่นในความฝันมันอาจทำเขาหมดลมหายใจจริงๆเลยก็เป็นได้
เมื่อมองออกไปรอบห้องเขากลับไม่เห็นคิสึเนะอยู่ภายใน ทั้งๆที่ปกตินางมักจะอยู่ไม่ห่างจากตัวเขาเสมอ
“คิสึเนะ?” นาการะตะโกนเรียกหานาง แต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบ
ในตอนนี้พลังของเทพีอมาเตระสึช่วยรักษาร่างกายของเขา จนพอที่จะสามารถลุกเดินได้เป็นปกติแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกเดินออกตามหาคิสึเนะ ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูนั้น
“แกร๊ก!” เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างระหงที่กำลังหอบข้าวของเดินเข้ามาภายใน ก่อนที่จะชนกับร่างของนาการะที่ยืนอยู่หน้าประตู
“โอ๊ะ! เจ้าตื่นแล้วหรือ?” คิสึเนะกล่าวหลังซวนเซไปครู่หนึ่ง พลางมองร่างกายของชายหนุ่ม เมื่อกลางวันชายตรงหน้ายังต้องนอนติดเตียง หากแต่พอตกเย็นกลับลุกขึ้นมาเดินได้ นับว่าพลังการฟื้นฟูขององค์เทพีนั้นหาสิ่งใดเทียบเทียมยากนัก
“อืม…ข้าตื่นเพราะฝันร้ายเหมือนเดิม” นาการะกล่าวกับนาง
“……ข้าอยู่ตรงนี้นะ…” นางลูบหัวปลอบชายหนุ่มอีกครั้ง ครั้งนี้มันทำให้นาการะรู้สึกดีขึ้นมาก
“อืม……ข้ารู้” ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ
ก่อนที่คิสึเนะจะเดินไปที่โต๊ะเพื่อเตรียมทำอาหารค่ำ เหตุเพราะนางสั่งห้ามมิให้คนของตระกูลทาวะระเข้ามาในห้องรวมไปถึงการเสิร์ฟอาหาร ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนชายหนุ่ม จึงทำให้นางต้องเตรียมอาหารเองทั้งหมดในทุกมื้อ
“เจ้าตื่นมาก็ดีแล้ว เจ้าอยากทานอะไรเป็นมื้อค่ำเล่า?” คิสึเนะเอ่ยถาม
“ข้าทานอะไรก็ได้ที่เจ้าเป็นคนทำ” เขากล่าวพลางมองนางที่กำลังล้างผัก
“งั้นเอาเป็นข้าวต้มแล้วกัน” นางพูด ข้าวต้มน่าจะเหมาะกับคนที่พึ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ
ในระหว่างที่นางกำลังประกอบอาหารนั้น นาการะก็ได้เดินเข้ามาทางด้านหลัง ก่อนจะสวมกอดนางอย่างแผ่วเบา
“ว้าย!! เจ้าทำอะไรน่ะ!” คิสึเนะอุทานเบาๆ เมื่อชายหนุ่มกอดตัวนางจากทางด้านหลัง “ข้าตกใจหมด!”
“ข้าขอกอดเจ้าหน่อยได้หรือไม่?” นาการะออดอ้อน “เขาว่าคนที่พึ่งฝันร้าย การกอดจะช่วยปัดเป่าฝันร้ายได้” ชายหนุ่มกล่าว ทีแรกนางจะปฏิเสธ หากแต่เมื่อเห็นสายตาที่ออดอ้อนของชายหนุ่มทำให้หัวใจนางอ่อนยวบในทันที
“โถ่……ก็ได้ เห็นแก่เจ้าที่บาดเจ็บหรอกนะข้าถึงยอม แต่ข้าให้เพียงแค่ 10 นาทีนะ ข้าจะเร่งทำอาหารมื้อค่ำ” คิสึเนะพูดพลางกุมมือนาการะอย่างแผ่วเบา เอาจริงๆใช่ว่านางเองจะรังเกียจแบบนี้เสียเมื่อไหร่
“ย่อมได้” นาการะอมยิ้มน้อยๆ พลางเกยคางบนไหล่ของหญิงสาว
ไออุ่นกับกลิ่นหอมจากตัวของนางช่วยทำให้ชายหนุ่มใจเย็นลงได้บ้าง ในที่สุดจังหวะหัวใจของนาการะจึงกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
เมื่อนาการะกลับไปนั่งยังที่ของตนเองแล้ว คิสึเนะจึงเริ่มลงมือทำอาหารค่ำต่อ หลังแล้วเสร็จก็อาจกล่าวได้ว่ามื้อค่ำนี้เป็นมื้อที่นาการะมีความสุขที่สุด เพราะนับตั้งแต่ไฟสงครามได้พรากชีวิตบิดามารดาเขาไป ชายหนุ่มก็ไม่เคยสัมผัสกับความสุขอีกเลย ยกเว้นเสียแต่เพียงค่ำคืนนี้กับสตรีตรงหน้าเพียงเท่านั้น………..
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ