ห้าดรุณี (ลงเว็บนี้กับเว็บเด็กดี)
เขียนโดย ณัฐพล
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 21.21 น.
แก้ไขเมื่อ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562 21.38 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่ 1 มิตรแท้ที่ดีต่อกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ17 ปีต่อมา วังนภาธรในตอนนี้เป็นรั้วเก่าๆ แต่มีการทาสีเพื่อเพิ่มเติมใหม่ ตอนนี้ คุณชายภาคิไนยอายุห้าสิบกว่าปี ส่วนหม่อมหลวงธนากร อายุแค่24 ปี สวมเสื้อกั๊ก กับกางเกงตัวเก่ง เหลืออีกไม่กี่เดือนเขาจะเข้าเป็นข้าราชการทหาร ส่วนหม่อมหลวงภาวินี อายุแค่22 เพราะเรียนจบแค่วุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) คณะบริหารธุรกิจ เขาทำงานเป็นพนักงานบัญชีของร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน เขานั้นตั้งใจทำงาน ในตอนนี้เขาใช้สมุดบัญชีรายรับ-รายจ่ายขึ้นมาแล้วลงใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ก่อนจะยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งอยู่ไม่ไกล
“พี่ตาล อย่าลืมเอาเอกสารไปให้พี่ปุ๊ด้วยนะคะ”
“ค่ะคุณน้อง” เพื่อนร่วมงานของปิ่นเอ่ยตอบ
ปิ่นชะเง้อคอยพี่ชายของตน ในตอนนี้หม่อมหลวงธนากร นภาธร เดินเข้ามาที่ทำงานของน้องสาว
“พี่กรอะ มาช้ามากๆเลย น้องรอพี่อยู่นะคะ” ปิ่นบอกพร้อมทำสีหน้าไม่สบอารมณ์
“น้องปิ่น พี่มายังไม่ทันไรก็ว่าให้เป็นชุดๆนี่ขนาดทำงานแล้วยังทำตัวเหมือนลิงอีก”
“พี่กร น้องจะไปฟ้องแม่ว่าพี่แกล้งหนู”
“พี่ขอโทษปะกลับกันได้แล้วเดี๋ยวพ่อว่าอีก”
กรและปิ่นกลับบ้านในขณะเดียวกันสายฝนโปรยกระหน่ำประกอบกับเสียงฟ้าร้อง
“ครืนๆ เปรี้ยง”
“ว๊าย พี่กรน้องกลัว”
“นี่ปิ่น น้องกลัวผีกับฟ้าร้องหรอ ฟ้าร้องแค่นี้เอง”
“พี่กรคะ หนูกลัวฟ้าจะผ่าตายต่างหาก ส่วนผีนะหนูกลัวมากๆ เพราะหม่อมยายเคยเล่าเรื่องน่ากลัวหนูก็เลยกลัวค่ะ”
ทั้งสองรีบเดินเข้าไปในรถพร้อมเคลื่อนรถออกจากที่ทำงาน
ในตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันที่วังนภาธร ภูธเนศมองค้อนไปที่บิดา หม่อมหลวงธนากรพึ่งเดินทางมาถึงพร้อมกับน้องสาวของตนที่ตอนนี้กำลังขับรถเข้ามาในวังนภาธร หม่อมราชวงศ์ ภาคิไนย กับหม่อมราชวงศ์หญิง เปลวกนกมายืนรออีกฝ่าย
“สวัสดีครับพ่อ”
“สวัสดีค่ะพ่อ แม่ คือว่าพ่อแม่รอนานไหม พอดีหนูพึ่งเลิกงาน”
“ไม่หรอกลูก หิวมากไหม”เปลวถามบุตรสาว
“ไม่ค่ะแม่ พี่กรนั่นแหล่ะมาช้า”ปิ่นมองค้อน
“อ้าว ก็พี่รอช่วยแม่ทำอาหารนี่”
“พี่กรอะ น้องนะก็แค่มาทำงานสำนักงานนี่คะพี่”
ภาวินีตอบ
“พ่อว่าเราเข้าบ้านกันก่อน”ภาคิไนยบอก
ทั้งสี่คนเดินเข้ามาในวัง และในทันใดนั้นมีรถเคลื่อนเข้ามาก่อนจะเป็นใครมาหา
“เปลว เปลว”เสียงหวานร้องตามหลัง
“อ้าวน้องหญิงยอ สบายดีไหม”คุณหญิงเปลวถามอีกฝ่าย
“สบายดีไม่ได้เจอกันนานฉันคิดถึง”
คุณชายภาโอบกอดคุณชายภู หนุ่มสวมแว่นตา สวมชุดกาวน์สีขาว เขายกมือไหว้อีกฝ่าย
“สวัสดีครับคุณลุง”
คุณชายภาเหลือบมองหนุ่มชุดกาวน์
“นี่ใช่เล็กใช่ไหม”
“ครับคุณลุง”หม่อหลวงภูธเนศตอบ
“ไม่ได้เจอกันนานหน้าเหมือนไอ้ภูเลย”
“ครับคุณลุง”
“ว่าแต่เรียนจบหรือยังละ”ภาคิไนยถามอีกฝ่าย
“ยังครับผมต้องไปเรียนเฉพาะทางที่ลอนดอนอีกนานครับกว่าจะกลับมาที่นี่”
“หลานชายเราสมแล้วที่ทำตามฝันตัวเองฮ่าๆ”
ชายภาตบไปที่บ่าของภูเล็ก เขากำลังเหลือบมองหาอีกฝ่าย
“ยัยนีไม่มาหรอไอ้ภู”
“มาสิคะ คงไปเล่นกับปิ่น” หญิงยอตอบ
“จริงด้วย ปิ่นนี่สนิทกับยัยนีมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ปล่อยให้สองคนนั้นได้คุยกันตามประสาเพื่อนกัน”
ชายภามองไปรอบก่อนบ่นพึมพำในสภาพอากาศที่เข้าสู่ฤดูร้อน
ปิ่นในวัยยี่สิบสองปี ดูแก่นแก้วพร้อมความมั่นใจ วันนี้สวมกางเกงขาสั้น เสื้อลายสก็อตแขนสั้น กำลังเดินมาเพื่อจะปีนขึ้นต้นไม้หามะม่วงมากิน
“เราต้องเอาลูกนั้นไปให้แม่กินดีกว่า”
ปิ่นรีบปีนขึ้นต้นไม้เพื่อที่จะหยิบลูกมะม่วงแต่มะม่วงหล่นใส่หัวของอีกฝ่าย
“โอ๊ย เจ็บนะ ใครเอามะม่วงมาใส่หัวฉัน”นีบ่น
ปิ่นรีบลงมาจากต้นไม้ ก่อนจะเอ่ยขอโทษอีกฝ่าย
“อ้าว นี เป็นอะไรมากหรือเปล่าเจ็บตรงไหนไหม”
“ไม่ค่ะ ปิ่นขึ้นไปทำอะไรตรงนั้นหรอ”
“จะเอามะม่วงไปให้แม่กินไง นีสบายดีไหมแล้วพี่ชายขี้เก๊กไม่มาหรือ ดีสมน้ำหน้าคนบ้าอะไร อวดหล่อจนสาวๆกริ๊ด ชิหล่อลากดิน”
อีกฝ่ายหัวเราะขึ้นมาในทันใด
“นี่ปิ่น ทำตัวดูไม่น่ารักเลย”นีส่งเสียงดุ
“
“ นี่นีพ่อกับแม่เธอมาหาพี่กับแม่ฉันหรอ”
อีกฝ่ายพยักหน้า
“งั้นฉันไปก่อนนะรีบเอามะม่วงไปให้แม่ของฉันด้วยนะ”
ปิ่นรีบวิ่งไปหาอาภู ส่วนนีเดินตามหลังมา
“สวัสดีค่ะอาภู อาหญิงยอ” อีกฝ่ายยกมือไหว้ก่อนจะทำหน้าบึ้งใส่ จูเนียร์ก่อนจะขึ้นเสียง
“ไอ้พี่หมอ มาทำไมวะ” ปิ่นบอก
เปลวทำสีหน้าดุพร้อมตำหนิบุตรสาว
“ไม่น่ารักเลยปิ่น เอานิสัยแบบนี้มาจากใคร”
ปิ่นทำหน้าบึ้งก่อนจะเดินเลี่ยงขึ้นไปบนห้องนีมองตามหลังปิ่น ปิ่นรีบปิดประตูห้อง
“ชิไอ้พี่หมอ ฉันเกลียด”
เปลวกนกออกมาขอโทษ
“ต้องขอโทษยัยปิ่นด้วยนะคะ แกคงไม่ชอบคุณหมอ”
“ไม่เป็นไรครับ”
หมอภูธเนศผ่อนลมหายใจเบาๆ
“พ่อครับ แม่ครับ ผมกับยัยนีจะพากันไปนั่งเล่นข้างนอกม้านั่งสนามหญ้ากันนะครับ”
“เห้ยไอ้ภู เราไปด้วย”ธนากรร้องขึ้นตามหลังก่อนออกไป
ตอนนี้ทั้งสามคนเดินมาถึงลานพักผ่อนมีม้านั่งอยู่ทั้งสามเดินมาถึงแล้วนั่งลง
“พี่กร น้องสาวพี่นี่เขาเป็นอะไรทำไมถึงไม่ชอบผมในหน้าที่การงานอาชีพก็ดี แต่ดูแล้วเขาไม่ชอบเราเลยเราคิดแค่น้องสาวอีกคนหนึ่งนะ” ภูธเนศบอก
“ไม่รู้สิ สงสัยแม่คงอบรมสั่งมาไม่หมดเลยเกลียดนายเข้าไส้มั๊ง” ธนากรตอบแบบเรียบๆ
“จริงสิ พี่กรตอนนี้มีสาวๆมาแอบชอบหรือยังครับ เห็นได้ข่าวว่าอีกไม่นานจะรับการเป็นทหารหรอ”
ธนากรสั่นหัวพร้อมตอบ
“ยังเลยคงอีกนาน แล้วนายคิดอะไรกับน้องสาวข้าละ”
ภูธเนศลังเลก่อนตอบไปแบบใยดี
“ไม่ได้คิดแบบคนรักซะหน่อยคิดแค่พี่น้องกัน พี่อย่าลืมนะว่าผมเป็นหมอ ผมมีแฟนเป็นพยาบาล สวย ใจดี แค่นี้ก็ดีกว่ายัยปิ่นน้องสาวนายอีก”
“ขอให้นายพูดจริงเถอะพี่จะรอดูวันแต่งงาน”ธนากรตอบ
“ครับพี่กร พี่กรยัยปิ่นนี่เคยมีแฟนด้วยหรอ”
“เห็นว่ามีนะแต่เป็นคนภาคอีสานนะ”ธนากรตอบ
“แสดงว่าปิ่นมีแฟนที่นั่นสินะคะ”
“ใช่เห็นว่าเคยเห็นหน้ากันแล้วนะแต่แม่ถูกกีดกันความรัก”ธนากรตอบ
ภูธเนศเหลือบมองไปที่นาฬิกาข้อมือเป็นเวลาสิบนาฬิกา เขานั้นคุยกับธนากรเรื่องธนพไปขยายดูแลกิจการสาขาทางภาคเหนือและอีสาน
“แล้วพักนี้ได้ข่าวธนพไหม”
อีกฝ่ายเริ่มปฎิเสธ
“ไม่เลยนะ เห็นว่าเศรษฐกิจไปได้ดี”
ภูธเนศบอก
“แล้วน้องๆของธนพละไปทำงานที่ไหนหรอ”
“คงเรียนอยู่นะ ยังเรียนไม่จบเลย สายังเรียนไม่จบ ส่วนยัยตานี่เห็นว่ากำลังเรียน ครูเอกปฐมวัยนะ ส่วนดานี่เห็นว่ากำลังนิติศาสตร์อยู่นะแต่ก็พอได้พูดคุยกันด้วย
“หรอ วันนี้ร้อนมากๆเลยนะ”
“ใช่ๆ พี่กรน้องเองก็คิดนะคะว่าทำไมปิ่นถึงเกลียดพี่จูเนียร์”นีถามด้วยความสงสัย
“เขาคงอาจจะเกลียดเพราะเหม็นขี้หน้ามั๊งฮ่าๆ” กรตอบพร้อมหัวเราะ
นีกับหมอหนุ่มรูปหล่อตามฉบับเชื้อสายจีนจ้องเขม็งอีกฝ่ายก่อนกรเปลี่ยนอริยาบท
ปิ่นเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์มาเพื่อที่จะคุยกับเรนโบว์เพื่อนสมัยเรียนของตนเขาลืมนึกไปว่า เรนโบว์นั้นทำงานอยู่โรงแรมแห่งหนึ่งเขาจึงไม่อยากคุยกับใคร แต่เขาเลือกที่จะเปิดไฟล์ที่เขียนว่า ‘รูปสมัยยังเด็ก’ เขาคลิกเข้าไปมีรูปสมัยยี่สิบกว่าปีมาแล้ว เธอจึงเปิดลิ้นชัก ในนั้นมีโปสการ์ดลายดอกไม้สวยๆ จึงหยิบมาอ่าน
“สวัสดีน้องปิ่นนี่พี่เล็กนะพี่เองก็อยากมีโอกาสพูดคุยตามประสาพี่น้องกัน ยัยนีบอกว่าคิดถึงอยู่นะแล้วไอ้กรสบายดีหรือเปล่าละ พี่ฝากถามมันหน่อยนะว่า มันสบายดีหรือเปล่า พี่คิดถึงนะ จากเล็ก”
ปิ่นวางโปสการ์ดลงบนโต๊ะในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาปิ่นเคยดุหมอเล็ก พร้อมเดินชะโงกหน้าไปทางหน้าต่างเห็นสามคนกำลังนั่งคุยกันอยู่
“พี่หมอเล็ก”เธอบอก
ก่อนจะเบี่ยงและออกจากห้องนอนแล้วลงมายังข้างล่างในตอนนี้พ่อแม่ของเธอกำลังคุยกระหนุงกระหนิงกันและรีบออกไปหาทั้งสามคน
“พี่หมอเล็ก”
“พี่กร ยัยปิ่นมานั่นแล้วค่ะ”
ปิ่นรีบเดินจ้ำอ้าวตรงมายังที่ทั้งสามคนนั่งอยู่
“พี่หมอเล็ก”
ปิ่นทำสีหน้าดูกังวลใจ
“มีอะไรหรอน้องปิ่น”เสียงเข้มถาม
“ปิ่นขอโทษเรื่องก่อนหน้านี้ปิ่นเองเข้าใจนะคะว่าพี่หมอเคยเขียนโปสการ์ดเมื่อหลายปีก่อน”
อีกฝ่ายอมยิ้ม
“ไม่เป็นไรพี่ก็แค่รักน้องปิ่นแค่พี่น้องกันไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น”
“ปิ่นดีใจมากๆเลยค่ะ”
“ปิ่นหายโกรธแล้วหรอ”
“ใช่ๆ น้องหญิงยอกับคุณแม่เขาก็รักใคร่กลมเกลียวกันนี่ พี่เล็กเคยหยอกและสอนหนูนี่ตอนยังเด็กนะ”
“ใช่พี่เคยสอนยังจำได้นี่ปิ่น”
“เออ พี่กรพี่จะคัดเลือกทหารวันไหนหรอเดี๋ยวฉันจะบนบานให้พี่ติดทหาร”
“พี่คิดว่าเดือนเมษานะ ถ้าพี่เป็นทหารพี่ก็เป็นพลทหารก่อน ถึงค่อยสิบตรี”
“หรอคะ พี่กร พี่หมอเล็กคะวันนี้ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลหรอคะ”ปิ่นถามอีกฝ่าย
ในทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หมอหนุ่มรับสายปรากฎว่าเสัยงปลายสายเป็นเสียงหวาน เธอเป็นคุณหมอเหมือนกัน
“ฮัลโหล”
“หมอเล็กแย่แล้วคนไข้ที่ป่วยเป็นภาวะน้ำท่วมปอดอยู่ห้องไอซียูรีบมาด่วนเลยนะคะ”
“ครับเดี๋ยวจะไป แค่นี้นะจ๋า”
หมอหนุ่มวางสายโทรศัพท์ธนากรรีบเอ่ยถาม
“งานด่วนหรอหมอเล็ก”
“ครับพี่กร”
หมอเล็กรีบสะพายกระเป๋าพร้อมเอ่ยชวนอีกฝ่ายซึ่งเป็นน้องสาวกลับ
“ปะยัยนี กลับ”
อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่สบอารมณ์
“พี่เล็กอะ แบบนี้ทุกทีเลย เอะอะก็งานด่วน”
“นี่ถ้าลองเป็นพ่อของพวกเราป่วยและจากไปใครจะรักษา ไปเรากลับกันได้แล้ว”
“ก็ได้ ไปหาป๋ากะม๋ากัน”
นีกับหมอเล็กรีบเดินออกไปจากที่สองพี่น้องกำลังนั่งมอง
“พี่กร ไอ้พี่หมอนี่มันก็ขัดใจน้องสาวตัวเองเนอะ”
ธนากรมองน้องสาวที่แต่งตัวดูเป็นสาวห้าว ปิ่นเป็นนักมวยหญิงเพราะเธออยากเรียน
“นี่ปิ่น เธอคิดอะไรกับพี่หมอเล็ก”
“เปล่านี่คะ คิดแค่พี่น้องกันจริงๆ ส่วนแฟนเรานะคือจ่อยต่างหาก เขาเป็นคนอีสานก็จริงแต่เขากตัญญูต่อพ่อแม่มากๆ เลยนะคะ”
ธนากรเหลือบไปที่หน้าจอโทรศัพท์ เป็นรูปชายหนุ่มผิวสีแทน และดูบึกบึน
“แล้วเขาเป็นคนจังหวัดไหนหรอ”
“เห็นว่าเขาคนกาฬสินธุ์นะคะ ทางบ้านเขานะมีไร่นาสัก 500ไร่ เขาเป็นคนดีแต่เขาทำงานเป็นลูกจ้างภาครัฐด้วยนะคะ”
ธนากรเหลือบมองรูปนั้นอีกครั้ง
“แล้วแฟนพี่กรละจะเป็นไหนนะ ว่าที่พี่สะใภ้”
ทั้งสองอมยิ้มให้กัน
“ยังไม่รู้สิ หรือไม่ก็ลูกสาวทหารพี่คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นมั๊ง”
ทั้งสองพี่น้องก็เดินออกจากม้านั่งไปที่ เปลวกนกกับภานั่งอยู่
“อ้าวลูกๆ คุยอะไรกันอยู่หรอสองพี่น้องคู่นี้”
“คุยเรื่องแฟนค่ะแม่แล้วแม่กับพ่อเจอกันยังไงหรอคะ” ปิ่นถามอีกฝ่าย
“คือว่าแม่นะปีนไปเก็บมะม่วงแต่แม่พลาดเลยตกลงมา พ่อแกเลยคอยรับแม่ไว้นะ”
“เหมือนในละครเลยแม่ แม่คะ แม่เคยไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือไหมคะ”
เปลวกนกส่ายหน้า
“ไม่เคยนี่ลูก แต่เคยได้ยินนะว่าที่นั่นหน้าร้อนคงแห้งแล้งมากๆ เลย แม่เองเคยมีน้องสาวไปอยู่ที่ชัยภูมินะป่านนี้เงียบหายไปเลยถ้าแม่เจอเขาอีกครั้งคงดีใจมากๆเลย” เปลวกนกตอกเพราะคิดถึงปริกน้องสาวของตน
“น้าปริกหรอคะแม่ พักนี้เงียบไปนะคะสงสัยคงขายก๋วยเตี๋ยวละมั๊งคะ”
“แม่คิดว่าถ้าลูกเจอน้าก็โทรมาหาแม่นะ”
“ค่ะแม่ หนูชอบกินก๋วยเตี๋ยวอยู่พอดี”ปิ่นตอบก่อนจะลุกไปหาภาคิไนยซึ่งเป็นบิดาของตน เสียงไลน์ดังขึ้น ปิ่นยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะเป็นใครส่งมา
“สวัสดีครับคุณปิ่น สบายดีหรือเปล่าครับ ผมคิดถึงเหลือเกิน”
ปิ่นอ่านข้อความในไลน์แล้วอมยิ้ม ตอนนี้หน้าแดงก่ำเหมือนผลมะเขือเทศ หญิงเปลวผู้เป็นมารดามองค้อนมาอีกฝ่าย
“ยิ้มอะไรหรอยัยปิ่นหรือว่าคนรักส่งไลน์มาละ”
ปิ่นได้แต่เก้อๆเขินๆแล้วพยักหน้า เปลวกนกพ่นลมหายใจอยู่เฮือกใหญ่
“คนที่อยู่กาฬสินธุ์หรอลูก”
“ค่ะแม่”
เปลวกนกเริ่มเข้าใจแล้วว่าบุตรสาวคนเล็กนั้นคิดถึงอีกคนที่ห่างไกลกัน เทคโนโลยีสมัยนี้มีไลน์ Facebook ปิ่นนั้นเล่นและแลกไลน์ให้เพื่อนๆได้คุยกัน
ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมสั้นเหมือนทรงทหาร หน้าตาดี ผิวสีแทนถึงสองสี หุ่นล่ำสมส่วน วันนี้สวมชุดตัวเก่งของเขา เขามากับเพื่อนสาวของเขาคือ “แอม” แอมมีคนที่ชอบชื่อ”สม”
“เฮ็ดอิหยังบักจ่อย”น้ำเสียงหวานดุเพื่อนชาย
“ก็คุยกับคุณปิ่นนี่แล้ว ข่อยเคยเห็นกันอยู่เด้ตอนสมัยมัธยมนะ แอมแล้วบ่คุยกับผู้บ่าวติ”จ่อยถามอีกฝ่าย
“บ่ดอก เพิ่นบอกว่าบ่ว่างต้องเฮ็ดงานอีก แล้วคุณปิ่นนี่เพิ่นอยู่ไส”
“เห็นบอกว่าอยู่กรุงเทพฯ เพิ่นเป็นราชนิกุลผู้ดี แต่ข่อยนี่สิสามัญชนธรรมดา แต่เพิ่นมักข่อย ข่อยเองก็คงสิมักเพิ่นนะ”จ่อยบอกพร้อมผ่อนลมหายใจ
“บ่เป็นหยังนี่ ถ้าหากว่าจ่อยมักเขาเฮาสิเอาใจซ่อยโต”แอมตอบ
“ขอบใจเด้อเสี่ยวข่อยก็คงคิดว่าสิไปหาเพื่อนฮอดวังนภาธร”
“หา วังนภาธรคือสิใหญ่คือป่านในละครเนอะ ขนาดวังจุฑาเทพก็ยังบักใหญ่ อันนี้วังนภาธรคงสิใหญ่บักหลายเนอะ”
จ่อยพ่นลมหายใจพร้อมกับบอกว่า
“คงสิคือแนวนั้นมั๊ง เฮาสิไปผู้เดียวหรือว่าสิไปกับบักโอมก็ได้”จ่อยบอก
“แล้วข่อยเดะ”
“เจ้าไปอยู่กับแฟนเลย ข่อยสิเอิ้นบักโอมไปเอง”
จ่อยบอกพร้อมเดินจากไปมุ่งตรงไปหาบ้านของโอมเพื่อนชายอีกคน
“โอมอยู่บ่ โอม”จ่อยเรียกอีกฝ่าย
“อ้าว นึกว่าไผ๋ที่แท้จ่อยเป็นแนวใด๋วะหมอมีเรื่องอิหยัง”โอมถามผู้ที่มาเยือน
“โอมเคยไปเมืองกรุงแม่นบ่”
โอมอึ้งไปครู่หนึ่ง
“เคยไป สิไปหายัยปิ่นติ”
จ่อยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ
“ว่าแต่สิไปมื้อใด๋ละ”
“คิดว่าสิไปมื้ออื่นนี่แหล่ะ โตไปส่งเฮาละกันเด้อ”
“ใช้ระยะเวลาในการเดินทาง7ชั่วโมง”
“มื้ออื่นออกเดินทางได้”
จ่อยรีบกลับบ้านแล้วเตรียมเก็บเสื้อผ้าจนเสร็จเช้ามืดเขาก็ออกเดินทาง เพื่อมุ่งหน้าไปกทม โดยที่ไม่ได้ส่งไลน์ไปหาหนูปิ่นเลยสักครั้ง
เขารีบเข้านอนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปสู่เมืองกรุงเทพฯ
เช้าวันจันทร์ปิ่นแต่งตัวเพื่อที่จะไปทำงานที่officeของบริษัทไม่ไกลบ้านวันนี้กรพี่ชายของเขาก็ต้องไปเตรียมตัวเข้ารับราชการทหาร
“พี่กรวันนี้มาดูหล่อจังเลยพี่”ปิ่นเอ่ยชมอีกฝ่าย
“พี่จะไปเกณฑ์ทหารนะวันนี้สำคัญกับพี่มากๆ ถ้าได้เป็นพี่คงโชคดี ถ้าไม่ได้เป็นพี่คงหาทำไร่ทำสวนแทน”กรบอกพร้อมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
เปลวเดินตรงมาหาทั้งสองคน
“สองพี่น้องกำลังคุยอะไรกันอยู่หรอ”
“ก็คุยกันเรื่องพี่จะไปเกณฑ์ทหารสิคะ”
เปลวถามบุตรชายคนโต
“ตากรลูกอยากเป็นทหารหรือเปล่าละ”
ธนากรอ้ำอึ้งก่อนจะพยักหน้ารับ
“สู้ๆนะลูกถ้าพ่อกับแม่มีธุรกิจถึงค่อยลาออกนะ”
“ครับแม่หรือไม่ก็ทำทั้งสองอย่าง”
ธนากรโผลเข้ากอดมารดาของตนก่อนไป
“ผมไปก่อนนะครับแม่”
“โชคดีลูก”
ทั้งสองขึ้นรถคันที่จอดอยู่ธนากรส่งน้องสาวถึงที่ส่วนตนเองไปศาลากลางจังหวัดในกลุ่มนั้นมีผู้ชายสักหกสิบคน กำลังยืนรอพร้อมถอดเสื้อ ธนากรจอดรถแล้วลงไปเข้าไปต่อแถวชายหนุ่มในกลุ่มต่างพูดคุยกันเหมือนไม่ได้พบเจอกัน ธนากรเองก็ต่อแถวพร้อมก้มหน้าก้มตา ทหารอีกนายเขียนตัวเลขบนแขน พร้อมแยกประเภท ชายอีกคนทำท่าว่าจะเรียกธนากร
“กร นั่นกรใช่ไหม”เสียงเข้มของอีกฝ่ายเรียก
ธนากรหันไปตามเสียงเรียกเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเขา
“ดนัยเป็นยังไงสบายดีหรือเปล่า”
“สบายดีแล้วนายละสบายดีไหม”
“สบายดีนายคิดว่าวันนี้จะได้เป็นทหารไหมวะ”
ชายอีกคนบอกก่อนที่จะนายทหารอีกรายจะเรียกไปตรวจร่างกาย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ