Believe

-

เขียนโดย หัวใจวาย

วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 15.55 น.

  21 ตอน
  0 วิจารณ์
  19.45K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562 16.13 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ​๘ ความเชื่อ - ๖​

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ความเชื่อ - ๖
 
     ข่าวการเสียชีวิตของคนรู้จักทำให้อาจองตัดสินใจออกนอกบ้านแม้จะค่ำแล้วก็ตาม เด็กหนุ่มเลือกชุดสีดำอย่างง่ายๆ ขึ้นมาหนึ่งชุด มันเป็นเสื้อคอกลมแขนยาวกับกางเกงยีนส์สีดำทรงสกินนี่ที่อวดรูปร่างเพรียวของเด็กหนุ่มให้ชัดมากขึ้น
     หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็เดินออกจากบ้านและตรงไปที่ถนนในขณะที่โทรศัพท์คุยกับพ่อไปพร้อมๆ กัน
อาจองไล่นึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กที่เขาเคยวิ่งตามชายที่เขาเรียกว่าพี่ชูต้อยๆ ในขณะที่รถแท๊กซี่พาเขาออกสู่ถนน เขาใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็มาถึงวัดที่ตั้งศพ
     เด็กหนุ่มยืนมองประตูใหญ่ตั้งทะมึนอยู่ในความมืด แม้มีแสงไฟอยู่หลายจุด แต่มันก็แทบไม่ได้ช่วยขับไล่ความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วลานวัดให้ลดน้อยลงได้ เสียงสวดมนต์ที่มีลักษณะลากยานแว่วออกมาจากมุมหนึ่งของวัด มันชวนให้ยะเยือกหนักเข้าไปอีก
     อาจองกวาดตาฝ่าความมืดไปโดยรอบก่อนจะตัดสินใจเดินตรงเข้าไปจนใกล้ศาลาที่สว่างที่สุด เมื่อถึงระยะที่มองเห็นป้ายใหญ่สีขาวที่ตั้งอยู่หน้าศาลา เขาก็รู้ว่ามาถึงที่แล้ว
     ร.ต.ชูเกียรติ เหมหาญ์ ร.น.
 
     อาจองยืนนิ่งอยู่ห่างๆ ในความมืดในขณะที่รอพระสวดมนต์ เป็นช่วงเดียวกับที่เพื่อนสนิทส่งข้อความมาถามเรื่องรองเท้าวิ่ง เขาจึงต้องครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้คุยแบบเป็นเรื่องเป็นราวเสียงสวดก็หยุดลงเสียก่อน เขาจึงต้องพักเรื่องรองเท้าไว้และเดินเลาะฝูงชนไปที่ศาลา ตอนนั้นเองที่อาจองเห็นลุงเชิด ชายผู้เป็นพ่อของชูเกียรติกำลังใช้มือตีโลงศพเบาๆ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหา
     “หวัดดีครับลุงเชิด ผมเพิ่งรู้ข่าวจากลุงภพ”
     “อืม! พี่เอ็งเขาไปดีแล้วล่ะ ไปไหว้พี่เขาซะซิ อาจ”
     “ครับ เอ่อ...เมื่อกี๊ลุงเคาะโลงเหรอครับ? มันคืออะไรครับ?”
     “ก็ทักเรียกบ้าง คุยบ้าง คุยไปเรื่อยน่ะ”
     “ลุงเชิดคิดว่าพี่ชูจะได้ยินเหรอครับ?”
     “ได้ยินซิ เขายังอยู่แถวนี้แหละ เอ็งเชื่อมั้ยล่ะ?”
     “ไม่รู้ซิครับ” เด็กหนุ่มไม่มั่นใจว่าควรจะตอบในสิ่งที่ตนคิดเหรือไม่ เขาไม่เคยคิดว่าผีจะวนเวียนอยู่ใกล้ตัว แต่การตอบแบบนั้นอาจจะทำให้ลุงเชิดเศร้าใจมากไปกว่าเดิม เขาจึงเลี่ยงที่จะตอบ “ผมไปไหว้ศพดีกว่า”
     “ไปคุยกับเขาซิ เขาคงดีใจที่เอ็งมาคุยด้วย”
 
     อาจองถูกฝ่ามือใหญ่ของลุงเชิดผลักดันให้เดินตรงไปที่โลงสีขาวที่ฉลุอย่างสวยงามด้วยลวดลายสีทอง เขามองโลงนั้นพลางกลั้นหายใจเป็นช่วงๆ กลิ่นของอะไรหลายอย่างลอยตลบอยู่โดยรอบและมันไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไร
     เด็กหนุ่มวางมือที่โลงเบาๆ ตามคำแนะนำของลุง ภาพชายที่ชื่อชูเกียรติในชุดกะลาสีสีกากีปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ภาพนั้นคือภาพสุดท้ายที่อาจองจำได้
 
     “พี่ชู ผมเสียใจนะพี่ พี่จากไปเร็วขนาดนี้ ผม...”
     เด็กหนุ่มหยุดครู่หนึ่ง เขาอยากจะพูดให้คนที่ล่วงลับไปแล้วรู้ถึงความรู้สึกลึกๆ ที่เก็บอยู่ในใจ แต่มันคงไม่ดีแน่หากพูดต่อหน้าคนอื่น แม้มันจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะได้พูดใกล้ชิดแบบสองต่อสองแบบนี้ หลังจากนี้ไปชายที่ชื่อพี่ชูก็จะมีอยู่แค่ในความทรงจำของคนที่รู้จักเท่านั้น เด็กหนุ่มชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง
     อาจองเลื่อนสายตาขึ้นจ้องเขม็งราวกับมันสามารถทะลุเข้าไปถึงชายที่นอนอยู่ในโลงไม้ได้
     “...พี่ยังไม่ได้คืนเลโก้ชุดใหญ่ของผมเลย คืนนี้ผมจะไปเอาคืนนะ”
 
     อาจองคุยกับลุงเชิดเพื่อขออนุญาตไปรื้อห้องของราชนาวีหนุ่ม ลุงเชิดยื่นกุญแจบ้านให้ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
     “ห้องมันอยู่ด้านหลัง รกหน่อยนะ ลุงยังไม่ได้เข้าไปจัด ได้แต่ปิดมันไว้อย่างนั้น...” ชายร่างใหญ่เอ่ยกับเด็กหนุ่มอย่างอ่อนล้า “...ถ้าเอ็งเจออะไรที่ชอบที่ถูกใจ เอ็งก็หยิบไปนะ ดีกว่าตั้งทิ้งไว้เฉยๆ พี่เอ็งเขาไม่ว่าหรอก”
     “ขอบคุณครับ” อาจองตอบและยิ้มให้ลุงเชิดที่หมุนตัวเดินจากไป
     การจากไปของลูกชายคนเล็กที่อยู่ด้วยกันมาตลอดคงจะทำให้ลุงเชิดเหงาพอสมควร แต่พี่ชูในช่วงวัยรุ่นก็สร้างปัญหาให้ลุงเชิดอยู่แทบทุกวัน อาจองจึงไม่มั่นใจว่าตอนนี้ลุงเชิดรู้สึกอย่างไร
 
     “แกจะไปบ้านพี่เหรอ? ไอ้ตัวเล็ก”
     เสียงกวนประสาทที่คุ้นหูของชายคนหนึ่งดังขึ้น อาจองแทบไม่ต้องใช้เวลามากมายในการทบทวนเขาก็จำได้ เขาคือกอบเกียรติ ลูกชายคนโตผู้เอาถ่านของลุงเชิด ลูกชายที่ดีและขยันขันแข็งมากกว่าลูกชายคนเล็กอย่างที่ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกันให้ระคายเคือง
     เขาดีทุกอย่าง ติดแค่ว่าเขาชอบใช้ปากหาเรื่องอาจอง
     “ระวังเจอไอ้ชูนะ มันชอบนั่งอยู่ในห้องคนดียวมืดๆ”
     “ไร้สาระน่าพี่กอบ! พี่ชูไม่อยู่แล้ว...”
     “แกไม่รู้เหรอว่าการที่เราเดินไปเคาะโลงคุยกับศพน่ะ...” กอบเกียรติเอ่ยแทรกด้วยเสียงจริงจังและจ้องใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนเล่นน้องชายผู้ไม่เอาไหน “...มันแสดงว่าเราเชื่อว่าคนตายยังไม่ไปไหนนะโว้ย พ่อพี่ยังเคยบอกเลยว่าเห็นไอ้ชูมันยังเดินไปมาในบ้าน”
     “อย่ามาอำ! ที่ผมไปคุยกับโลง ผมแค่ทำตามที่ลุงเชิดขอร้องเท่านั้นแหละพี่” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยใบหน้าขุ่นเคือง แต่กอบเกียรติกลับยิ้มร่าที่ถูกโต้ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจจบศึก “ผมกลับล่ะ จะไปธุระต่อ หวัดดีครับ”
     แม้กอบเกียรติจะชอบหาเรื่องอยู่เสมอ แต่อาจองก็ยังคิดว่าเขาดีเกินไป ด้วยเหตุนี้อาจองจึงไม่เคยคุยกับกอบเกียรติได้นานเกินห้านาที ผิดกับน้องชายที่ล่วงลับไปแล้ว รายนั้นเป็นเด็กหนุ่มเกเรและเข้าใกล้คำว่าเท่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด อาจองจึงชอบและติดตามต้อยๆ ตั้งแต่ยังเด็ก
 
error loaded

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา