Believe
-
เขียนโดย หัวใจวาย
วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 15.55 น.
21 ตอน
0 วิจารณ์
19.45K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562 16.13 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) ๑๘ ความเชื่อ – ๑๓
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความเชื่อ – ๑๓
มันเป็นเรื่องปกติของเย็นวันศุกร์แบบนี้ นักเรียนบางส่วนจะโอ้เอ้และไม่ยอมกลับบ้าน เพื่อนร่วมห้องสองสามคนของอาจองก็เช่นกัน พวกเขายังนั่งเล่นอยู่ในห้อง แต่จับกลุ่มพูดคุยกันอยู่อีกมุมหนึ่ง
อาจองเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งประชันหน้าอยู่อย่างว้าวุ่นใจ ไม่บ่อยนักที่เพื่อนสนิทจะจ้องหน้าตรงๆ แบบนี้ มันทำให้อาจองทั้งยินดีและประหม่า ใบหน้าของสหภาพคล้ำเข้มดูดุร้ายเสมอตั้งแต่ที่พบเห็นครั้งแรกเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนนั้นเพื่อนสนิทดูน่ากลัวว่านี้เพราะเขามีรูปร่างผอมซูบ ใบหน้าเซียวคล้ายคนติดยา แต่เพราะสหภาพเป็นคนไม่ค่อยมีปากมีเสียงและยอมรับอะไรง่าย อาจองจึงไม่เคยถูกปฏิเสธเวลาที่ชวนสหภาพเข้ากลุ่มทำงานหรือเล่นจับคู่เล่นกีฬาด้วยกัน
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งปี เพื่อนสนิทกลายเป็นหนุ่มแบบผิดหูผิดตา ร่างกายซูบผอมและใบหน้าเซียวหายไป เขากลายเป็นหนุ่มล่ำที่มีใบหน้าดุดันถมึงทึงในตอนที่อยู่ม.สอง พอถึงม.สาม เพื่อนสนิทก็เกือบจะเป็นโจรป่าเต็มตัวไปแล้ว
แต่อาจองก็ชอบที่จะมองใบหน้าที่ดุร้ายพร้อมไรหนวดเข้มนี้ไม่น้อยเลย…
“มึงคิดว่า...” อาจองเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ตรงหน้า เขาแค่คิดว่าในห้องมันเงียบเกินไปจึงถามแบบไม่ได้คิดอะไรมาก “...ผีตัวอื่นก็จะยืนนิ่งๆ เหมือนนักวิ่งคนนั้นมั้ยวะ?”
“ไม่รู้ว่ะ! ตอบไม่ได้ ต้องเจออีกซักตัว” สหภาพเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางขยับร่างกายหนาล่ำที่ดึงดูดดสายตา “แต่ถ้าเจอแล้วไม่ได้อารมณ์ตื่นเต้นแบบไอ้นักวิ่ง กูก็ไม่อยากเจอว่ะ กลับบ้านไปดูหนังผียังลุ้นกว่า”
“ทำไมมึงถึงอยากโดนผีหลอกนักวะ?”
“ไม่ใช่ๆ กูไม่ได้อยากโดนหลอก แค่อยากรู้ว่าบรรยากาศมันจะเหมือนในหนังมั้ย”
“ใช่เร้อ? กูว่ามึงหาเรื่องเจอผีเพราะอยากจะเอากับผีมากกว่า”
“มึงก็พูดไป ทำไมกูต้องไปรอเอากะผีวะ? หาคนง่ายกว่าเยอะเลย” สหภาพเอ่ยตอบพลางเหยียดยิ้ม เขาตอบตามความจริงที่ตเองคิดและลอบจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนสนิทที่กำลังยิ้มแห้งๆ
แม้ใบหน้าอาจองที่กำลังยิ้มแห้งๆ จะบ่งบอกอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่สหภาพพูด แต่สหภาพก็มองรอยยิ้มนั้นก่อนจะเบี่ยงสายตไปที่อื่น ใบหน้าขาวใสของเพื่อนสนิทยังคงดูหล่อและน่ามอง มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอจนผ่านมาสามปี ใบหน้านี้ก็ยังยิ้มให้อยู่เสมอ สหภาพไม่มั่นใจว่าปีหน้าที่ต้องจากกันไป เขาจะคิดถึงรอยยิ้มนี้มากแค่ไหน
“กูก็ว่างั้น”
เสียงของอาจองดังขึ้นและดึงสติของสหภาพให้กลับมาอยู่กับเหตุการณ์ปัจจุบัน สหภาพมองหน้าของเพื่อนและตัดสินใจขยับเก้าอี้เข้าใกล้เพื่อนและเอ่ยเสียงเบา
“กูถามอะไรหน่อยดิ” สหภาพเอ่ยขึ้น ใบหน้าคล้ำเข้มดูจริงจังจนทำให้อาจองต้องหลุบตาลงทำทีเป็นกดโทรศัพท์ สหภาพจึงกดสายตามองมือขาวของเพื่อน เผื่อว่าเพื่อนกำลังทำอะไรสำคัญอยู่ เขาจะได้ไม่ขัด
“ถามไรวะ?”
อาจองเอ่ยถามกลับในขณะที่กดหน้าจอโทรศัพท์ไปที่กล่องข้อความและเปิดอ่าน เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีข้อความสำคัญเข้ามาแต่เขาไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ที่ไหน เพราะหากยกสายตาขึ้นเพียงนิดเดียวเขาก็จะเห็นเป้ากางเกงที่บวมแน่นเกินเด็กของเพื่อนพร้อมต้นขาคล้ำและมีไรขนรก หากยกขึ้นอีกก็จะมองเห็นช่วงลำตัวหนากับหน้าอกและไหล่กว้างที่เชื่อมไปถึงต้นแขนล่ำ สุดท้ายคือใบหน้าดุร้ายที่อาจองรู้ดีว่าไม่ได้ดุร้ายจริง
ไม่ว่าจะวางสายตาลงตรงไหน มันก็ทำให้อาจองเสียสมาธิได้ทุกที่
“อย่าถามเรื่องยากนะเว้ย กูขี้เกียจคิด” อาจองเอ่ยทำลายความเงียบและตัดสินใจยกสายตาขึ้นมองหน้าเพื่อนสนิท เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเขาชอบใบหน้าคล้ำเข้มที่จ้องตอบกลับมาและไม่อยากดึงสายตาออกเลย
ดวงตาสีน้ำตาลใต้คิ้วยาวที่เลิกสูงขึ้นเล็กน้อยของสหภาพดูสดใสกว่าทุกวัน คงเป็นเพราะสหภาพนั่งหันหน้าออกไปนอกห้องซึ่งมีแสงแดดยามเย็นสาดแสงอยู่ ดวงตาของเขาจึงกระทบแสงจนดูสว่าง ริมฝีปากที่กำลังเหยียดยิ้มนั้นก็ยังดูชั่วร้ายมาตลอดสามปี รอยยิ้มนั้นปรากฏอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลายลงและขยับเอ่ย
“เราเป็นเพื่อนกันมาสามปีแล้วนะเว้ย”
“ใช่”
“มึงอยากเป็นเพื่อนกะกูไปเรื่อยๆ มั้ย?”
นับเป็นคำถามที่ค่อนข้างจริงจังพอสมควร อาจองถึงกับชะงักงันไปอึดใจหนึ่ง แต่ต่อให้คำถามจริงจังแค่ไหนมันก็ดูไร้สาระมากสำหรับอาจอง ไม่มีอะไรมารับประกันได้เลยว่าความสัมพันธ์นี้จะยืดยาว ต่อให้พวกเขาเรียนด้วยกัน แต่ในทีสุดทั้งคู่ก็คงต้องมีทางเดินของตัวเอง
ในอนาคตมันต้องมีอะไรเปลี่ยนไปอีกเยอะ เด็กหนุ่มคิดแบบนั้น
แต่...การจะตอบแบบนั้นมันคงไม่ดีสำหรับเพื่อน
“แน่นอนดิ เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป” อาจองตอบคำถามนั้นและยิ้ม เขาจ้องใบหน้าคล้ำของเพื่อนสนิทจ้องเขม็งกลับมา ใบหน้านั้นดูจริงจังไม่เหมือนเคย
“ตอนนี้กูก็ยังเป็นเพื่อนมึงอยู่ใช่ป่ะ?”
“ใช่ดิ พูดแปลกๆ มีไรป่าววะ?” อาจองเริ่มไม่สบายใจกับถูกตั้งคำถามแบบนี้ เด็กหนุ่มคิดว่าเพื่อนสนิทอยากได้ความจริงบางอย่าง ซึ่งเรื่องนั้นน่าจะป็นความรู้สึกของตัวอาจองเอง แต่เพื่อนสนิทก็เลือกที่จะถามแบบอ้อมค้อม ไม่มุ่งเข้าหาประเด็น
“ปีหน้าพอเราจบไปแล้ว มึงก็ยังจะเป็นเพื่อนกูอยู่ใช่มั้ย?”
“ใช่” อาจองตอบกลับและไม่รอให้เพื่อนสนิทถามต่อ เขายื่นมือไปจับไหล่เพื่อนเขย่าและเอ่ยถามด้วยเสียงจริงจัง “มึงมีอะไรมึงพูดมาเลยดีกว่า ไอ้สหะ!”
สายตาของอาจองที่จ้องเขม็งเป็นสิ่งที่ี่สหภาพคุ้นเคยและรู้ดีว่าเพื่อนกำลังเอาจริง สหภาพเผลอเม้มปากโดยไม่รู้ตัว เขาแสร้งทำทีดึงตัวออกห่างอย่างช้าๆ จนมือของอาจองที่เกาะกุมหัวไหล่หลุดออกเอง
“ไม่มีไร กูก็แค่สงสัยน่ะ กูคงคิดมากไปหน่อย” สหภาพเอ่ยออกมาและลุกขึ้นยืน เขาเดินกลับไปที่โต๊ะและคว้ากระเป๋าขึ้นมาถือ “กลับบ้านก่อนนะโว้ย!”
อาจองไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดออกมานั้นมีนัยยะอะไรซ่อนเร้นอยู่อีกหรือไม่ เขาไม่กล้าถามต่อ เขาจึงแปลเอาเองว่า เพื่อนสนิทไม่อยากเปลี่ยนแปลง ‘สถานะภาพของเพื่อน’ ไปเป็นอย่างอื่น
ถ้าอย่างนั้น การมองหาเป้าหมายใหม่น่าจะดีกว่าเฝ้ารอแบบไม่มีความหวัง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ