ทาสสาวจ้าวดวงใจ

-

เขียนโดย thelittlegirl

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 21.08 น.

  7 ตอน
  2 วิจารณ์
  9,253 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 21.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ทาสสาว:ตอนที่ 3 เด็กกะโปโล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ทาสสาวเจ้าดวงใจ ตอนที่ 3

เด็กกะโปโล

 

               ยามบ่ายคล้อยที่สายลมยังคงอบอวลด้วยไอร้อนจากแสงแดด บนเรือนใหญ่ของท่านเจ้าพระยาปุรงค์เดช สาวน้อยร่างบางกำลังทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างขะมักเขม้น หลังปัดฝุ่นและกวาดขยะเสร็จแล้ว เด็กสาวจึงนำผ้าขี้ริ้วไปชุบน้ำในถังที่เตรียมไว้จนชุ่ม บิดพอหมาดๆ แล้วนำไปถูพื้นเรือน

 

     เรือนใหญ่ของท่านเจ้าพระยานั้น นอกจากยายอิ่มแล้วยังมีทาสหญิงที่ทำงานประจำอยู่อีกสามคน แต่วันนี้ทั้งหมดได้ตามคุณหญิงดาวเรืองออกไปทำธุระข้างนอก เหลือเธอเพียงคนเดียวที่ต้องอยู่ทำความสะอาดและเฝ้าเรือน

 

     “เหนื่อยจังเลย” เด็กสาวนั่งพักหลังจากถูพื้นไปได้เพียงครึ่ง และความเหนื่อยทำให้เธอรู้ซึ้งว่าเรือนหลังนี้ใหญ่โตมากขนาดไหน

 

     ขณะพักเหนื่อยอยู่นั้นเอง หูสองข้างก็แว่วเสียงของบุรุษพูดคุยกันมาจากหน้าเรือน เพียงไม่นานเจ้าของเสียงเหล่านั้นก็ขึ้นเรือนมาให้เห็น เป็นท่านเจ้าพระยาปุรงค์เดชแลบุรุษอายุใกล้เคียงกันที่เดินนำหน้า รั้งท้ายด้วยไอ้เจิดบ่าวคนสนิทของท่านเจ้าพระยา และบ่าวอีกคนที่คงเป็นบ่าวของบุรุษผู้นั้น  

 

     เห็นท่านเจ้าพระยาเชิญแขกให้นั่งลง และเหลียวมองไปทั่วเรือนเหมือนหาบ่าวจะสั่งความ แก้วจึงรีบลุกขึ้น เพราะตอนนี้ตนเองเป็นบ่าวคนเดียวที่อยู่บนเรือน

 

     “ไปไหนกันหมดรึ เรือนถึงได้เงียบเช่นนี้” ท่านเจ้าพระยาที่หันมาเจอแก้วพอดี เอ่ยถามอย่างแปลกใจ

 

     “อะ เอ่อ… คุณหญิงท่านพายายแลบ่าวบนเรือนออกไปทำธุระเจ้าค่ะ แต่ไม่ได้แจ้งไว้ว่าไปทำธุระอันใด” แก้วตอบอย่างประหม่าอยู่บ้าง เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยโดยตรงกับเจ้านายใหญ่ของบ้านนี้

 

     ปุรงค์เดชฟังความแล้วพยักหน้ารับรู้ “งั้นรึ เยี่ยงนั้นเอ็งมีงานใดติดพันก็ไปทำให้เสร็จเสีย” สั่งเช่นนั้นเพราะแลเห็นผ้าขี้ริ้วแลถังน้ำวางอยู่มุมหนึ่ง จึงรู้ว่าหลานยายอิ่มกำลังทำความสะอาดเรือนอยู่

 

     “เอ่อ เจ้าค่ะ” แก้วรับคำแล้วรีบไปทำงานที่คุณหญิงมอบหมายไว้ต่อ พลางคิดในใจว่าโชคดีนักที่ตรงโต๊ะรับแขกนั้น ตนได้ทำความสะอาดเสร็จแล้วพอดี

 

     “ไอ้เจิด เอ็งไปบอกบ่าวข้างล่าง ให้นำน้ำแลขนมมารับรองแขกเสียหน่อยไป” สั่งความกับบ่าวคนสนิทเสร็จก็หันมาต่อบทสนทนากับพระยาวิไชยประสิทธิ์ดำรง ผู้เป็นแขกมาเยี่ยมเรือนในวันนี้

 

     “น้ำและขนมเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ” เป็นนังนิ่ม หลานสาวอีปริกนั่นเอง ที่ยกน้ำใบเตยและขนมจ่ามงกุฎจากโรงครัวมาให้ มันแสนจะตื่นเต้นดีใจนักที่ได้ยินว่าท่านเจ้าคุณกลับมาแล้ว และเรียกหาน้ำแลขนมมารับรองแขก มีโอกาสขึ้นมาบนเรือนใหญ่ตอนที่คุณหญิงและบ่าวบนเรือนไม่อยู่เช่นนี้ มันหรือจะยอมพลาด จึงยัดอัฐใส่มือป้าแม้น แล้วแย่งน้ำกับขนมมาส่งที่เรือนใหญ่เสียเอง ระหว่างจัดวางน้ำใบเตยแลขนมลงบนโต๊ะ นังนิ่มก็ไม่วายทำเล่นหูเล่นตาใส่ท่านเจ้าพระยา รวมทั้งแขกของเจ้าคุณท่านด้วย มาดว่าแม้ไม่ต้องตาท่านเจ้าพระยา แต่ต้องตาแขกท่านนี้เข้าก็ยังดี เพราะบุคคลที่สามารถคบหากับท่านเจ้าพระยาปุรงค์เดชได้นั้น แสดงว่าต้องมียศศักดิ์ไม่ธรรมดาเช่นกัน

 

     ปุรงค์เดชหน้าขรึมที่ทาสทำกริยาไม่งามต่อหน้าแขก ส่งสายตาให้ไอ้เจิดพานังนิ่มออกไป ฝ่ายพระยาวิไชยประสิทธิ์ดำรงยังคงยิ้ม และชวนเจ้าเรือนคุยต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังเข้าประชุมขุนนางร่วมกันเสร็จแล้วนั้น ตนได้ถือโอกาสติดตามมาพูดคุยกับเจ้าพระยาปุรงค์เดชที่เรือน ตามประสาขุนนางผู้ภักดีต่อบ้านเมืองด้วยกัน แลเพื่อกระชับสายสัมพันธ์กับท่านเจ้าพระยา ผู้มียศศักดิ์สูงกว่าพระยาอย่างตนหนึ่งขั้น และสูงส่งที่สุดในหมู่ขุนนาง ไม่ว่าใครก็ตามต้องเกรงบารมีและไว้หน้าท่านอยู่หลายส่วน

 

     ทั้งสองสนทนากันอย่างออกรส ตั้งแต่เรื่องสัพเพเหระไปจนถึงเรื่องกิจการงานต่างๆ ในราชสำนัก ปุรงค์เดชสนทนากับสหายร่วมงานไป แต่ไม่รู้เหตุใดสายตามักหันเหไปทางสาวรุ่น ซึ่งนั่งขัดพื้นอยู่ไกลๆ บ่อยครั้ง คราบที่พื้นนั่นคงจะสกปรกนัก เพราะเขาเห็นเจ้าหล่อนออกแรงขัดเป็นนานสองนาน ยามหล่อนโน้มตัวก็กระไร มักเห็นเนินอวบอิ่มของสาวแรกแย้มโผล่พ้นผ้าคาดอกอยู่วับแวม ลาดไหล่ของหล่อนนวลเนียน ไม่มอมแมมอย่างหนแรกที่เจอหน้า ทำให้เขาอดมองซ้ำสักหลายแวบไม่ได้ ยามทำท่าบั้นท้ายโด่งรุนผ้าถูพื้นปรูดไปปราดมานั่นอีก น่าจับมาตีก้นนัก

 

     แขกผู้มาเยือนสังเกตว่าแม้จะสนทนากับตนอยู่ ทว่าสายตาของเจ้าพระยาเจ้าบ้าน กลับไม่ค่อยมองมาทางตน ด้วยความสงสัยจึงหันไปมองตามสายตาของเจ้าพระยาปุรงค์เดชบ้าง แล้วภาพทาสสาววัยกำดัดนั้น ก็ทำให้เขากระจ่างแจ้งในบัดดล

 

     “สาวใช้บ้านท่านเจ้าพระยาช่างจำเริญตาเสียจริงหนอ ผิวผุดผ่อง หน้าตาพริ้มเพรา ยามกลับจากว่าการมาเจอนางก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เขากล่าวสัพยอกเจ้าพระยาปุรงค์เดชด้วยถ้อยคำสื่อความนัยประสาบุรุษด้วยกัน

 

     ปุรงค์เดชยิ้มรับแต่ส่ายหน้ากล่าวปฏิเสธความนัยนั้น “เพียงเด็กกะโปโลคนหนึ่งดอกท่าน ยังหารู้ความอันใดไม่”

 

     พระยาวิไชยประสิทธิ์ดำรงเองก็ยิ้มเห็นด้วย ไม่ต้องพูดถึงรูปลักษณ์แสนองอาจของเจ้าพระยาปุรงค์เดช เพียงฐานะแลศักดินาที่ท่านมี ถ้าเป็นหญิงอื่นคงชม้อยชายตาให้มิว่างเว้น อย่างเช่นแม่คนที่ยกน้ำยกขนมมาให้นั่นปะไร แต่สาววัยกำดัดคนนี้ ไม่เพียงไม่ได้เหลียวมองมา ยามทำงานยังมีแอบเล่นซุกซนแบบเด็กๆ ท่าทางไม่ประสีประสาอยู่หลายส่วน

 

     คนที่ถูพื้นอยู่ไม่รู้เลยว่าตนเองถูกมองและถูกพูดถึงอย่างไร ยังคงทำท่าก้มโค้งแล้ววิ่งถูพื้นไปมาอย่างสนุกสนาน

 

     “นี่ก็เพลาเย็นมากแล้ว ข้าไม่ขออยู่รบกวนท่านเจ้าพระยาแล้ว” พระยาวิไชยประสิทธิ์ดำรงมองท้องฟ้านอกเรือนแล้วขอตัวกลับ

 

     ปุรงค์เดชเองก็เห็นว่ายามเย็นมาแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยรั้งพระยาวิไชยประสิทธิ์ดำรงไว้ “ไว้ว่างยามใด เชิญมาสนทนากันอีกหนาท่าน เรือนนี้ยินดีต้อนรับทุกเพลา” บอกอย่างมีมารยาท แล้วใช้ให้ไอ้เจิดไปส่งแขกลงเรือน

 

     พอพระยาวิไชยประสิทธ์ดำรงกลับไปแล้ว เขาก็หันมาให้ความสนใจแก่เด็กสาวที่ยังเล่นสนุกไม่เลิก “เมื่อใดเอ็งจักถูเรือนเสร็จฮึ ข้าเห็นเอ็งเล่นซนเสียมากกว่า”

 

     เจ้าพระยาวัยห้าสิบแสร้งดุ ไม่ได้ดุจริง แต่ฝ่ายโดนดุนั้นกลัวจริง ตกใจรีบหิ้วถังน้ำลงจากเรือน เกือบชนกับไอ้เจิดที่กำลังขึ้นบันไดมา

 

     “เห้ย! โอ๊ย!” อารามตกใจทำให้ไอ้เจิดถึงกับล้มหงายหลังดังตึง กว่าจะลุกขึ้นมาได้คนก็ไม่อยู่ให้มันด่าเสียแล้ว จำต้องเดินโขยกเขยกขึ้นบันไดไปหาเจ้านาย และพูดบ่นเรื่องหลานยายอิ่มให้เจ้านายฟัง

 

     มุมปากของปุรงค์เดชกระตุกยิ้ม แต่ไม่ได้บอกว่าต้นเหตุมาจากเขาเอง

 

 

               เวลาหัวค่ำ คุณหญิงดาวเรืองกลับมาทันรับสำรับเย็นพร้อมสามีพอดี

 

     “วันนี้ไปที่ใดมารึ” ปุรงค์เดชเอ่ยถามภริยาที่แต่งงานกันมาหลายปี โดยไม่ได้เงยหน้ามอง

 

     “เอ่อ อิฉันไปเยี่ยมคุณพ่อ แลขากลับจึงแวะเที่ยวตลาดโพล้เพล้ที่กำแพงเมืองเจ้าค่ะ” พ่อของคุณหญิงมะลิเมียคนก่อนและคุณหญิงดาวเรืองเมียคนปัจจุบัน ไม่ได้เป็นคนในพระนครหลวง แต่เป็นพ่อค้าเล็กๆ ของเมืองโกมุทที่อยู่ข้างเคียง

 

     ตอนนั้นเจ้าพระยาปุรงค์เดชยังมียศเพียงพระยา ได้รับช่วงการค้าขายกับพวกฝาหรั่งและเจ๊กต่อจากสกุลฝั่งมารดา ต้องเดินทางไปติดต่อค้าขายยังต่างเมือง เผอิญได้เจอกับคุณหญิงมะลิและตบแต่งเป็นเมียเอก ว่ากันด้วยเรื่องฐานะ หากทั้งเจ้าคุณพ่อและคุณหญิงแม่ของเขายังอยู่ คงไม่ยอมให้เขาแต่งเมียเอกที่มาจากครอบครัวพ่อค้าเล็กๆ แต่เพราะตอนนั้นเขารักคุณหญิงมะลิจึงได้เชิดชูให้เป็นเมียเอก มีหน้ามีตาในวงสังคม ส่วนคุณหญิงดาวเรืองที่เป็นน้องสาวนั้น สนิทกับพี่สาวมากจึงขอตามพี่สาวมาอยู่ที่เรือนนี้ด้วย

 

     “งั้นรึ แล้วพ่อหล่อนเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม” ปุรงค์เดชถามไปตามประสา จะว่าไปแล้วหากไม่ใช่เพราะคุณหญิงมะลิและพ่อตาคนนี้ขอร้อง เขาก็คงไม่รับคุณหญิงดาวเรืองเป็นเมียอีกคน

 

     “สบายดีเจ้าค่ะคุณพี่ เพียงแต่ชรามากแล้ว จึงไม่ใคร่แข็งแรงแบบเมื่อก่อน” หล่อนตอบ

 

     ปุรงค์เดชก็ไม่ได้ว่ากระไรอีก เขาไม่ได้สนิทกับพ่อตาคนนี้นัก ยิ่งหลังจากเมียแรกตายไป ความสัมพันธ์ก็เรียกได้ว่ายิ่งห่างเหินกัน

 

หลังทั้งคู่รับสำรับเสร็จ ป้าแม้นและนางนิ่มที่ยืนคอยอยู่แล้วก็มาเก็บสำรับไป ใบหน้านางนิ่มบูดบึ้งเพราะมันอุตส่าห์ตามป้าแม้นยกสำรับมาให้ท่านเจ้าคุณ แต่ไม่ทันได้ทอดสะพานให้ คุณหญิงดาวเรืองก็กลับมาเสียก่อน

 

     “ยาเจ้าค่ะ คุณหญิง” อีสา บ่าวรับใช้ใกล้ชิดของคุณหญิงยกยาที่ต้มเสร็จใหม่ๆ มาให้

 

     ปุรงค์เดชเหลือบมองยาน้ำสีดำนั้น รู้ทันทีว่าคุณหญิงดาวเรืองยังเจ็บ และคืนนี้จะไม่ปรนนิบัติ ด้วยรู้สึกไม่ได้ดังใจนัก จึงลุกกลับไปห้องของตัวเองเสีย

 

     คุณหญิงดาวเรืองยิ้มขม มองท่านเจ้าพระยาเดินไปทางห้องส่วนตัว ห้องที่หล่อนไม่มีสิทธิเข้าไปก้าวก่าย วันใดที่ไม่ได้ร่วมสังวาสกัน ไม่มีสักครั้งที่สามีจะมาค้างแรมที่ห้องนอนของหล่อน

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา