Soft place to fall

9.7

เขียนโดย หลินไป๋อัน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  13.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เด็กหญิงในตำหนัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
3.เด็กหญิงในตำหนัก
ฮุ่ยหมิ่นได้พำนักอยู่ที่ตำหนักขององค์ชายสามจนกว่าจะหายเป็นปรกติ กิจกรรมที่ได้ทำในแต่ละวันล้วนแล้วแต่องค์ชายสามจะเป็นผู้จัดการให้ แรกๆก็จะเป็นการเขียนอักษร ฮุ่ยหมิ่นต้องเรียนรู้ตัวอักษรโบราณเพิ่มบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลำบากสำหรับคนหัวดีเช่นนาง เพียงไม่นานฮุ่ยหมิ่นก็สามารถอ่านเขียนได้คล่อง สร้างความประหลาดใจให้อาจารย์ผู้สอนเป็นอย่างมาก
เซวียนชงอวี้ถึงกับจุ๊ปาก หาโอกาสมาสอนนางเองยามว่าง
“เขียนถูกซาลาเปาน้อย แต่ลายมือเจ้าต้องปรับปรุง”
คำวิจารณ์ตรงไปตรงมาทำให้เด็กหญิงได้แต่ทำตาปริบๆ
“หม่อมฉันจะพยายามคัดอักษรเพคะ”
กล้ามเนื้อมือเด็กห้าขวบพัฒนามากเสียที่ไหนกันเล่า ฮุ่ยหมิ่นได้แต่แย้ง..อยู่ในใจ ขืนแย้งนอกใจเป็นได้โดนลงโทษ ไม่ใช่ดีดหน้าผากก็เป็นการบีบแก้มนางสองข้าง
ฮุ่ยหมิ่นยามนี้เป็นเด็กอ้วนกลมคล้ายก้อนซาลาเปา แก้มจึงยุ้ยนัก ทำให้คนที่ได้บีบเล่นรู้สึกสาแก่ใจยิ่ง
เมื่อมองดูลายมือของเซวียนชงอวี้แล้วเด็กหญิงก็ได้แต่อิจฉา องค์ชายสามคัดอักษรได้สวยงาม ลายเส้นหนักแน่นมั่นคง สมแล้วที่เกิดในราชสกุล
หมับ!!
“โอ๊ย!!” เด็กหญิงกุมแก้มที่ถูกบีบด้วยความเจ็บปวด พูดไม่ทันขาดคำเลย องค์ชายน้อย อย่าให้มารดาได้เอาคืนเจ้านะ
“เหม่ออะไรซาลาเปาน้อย รีบฝนหมึกเร็วเข้า”
นอกจากการคัดอักษรฮุ่ยหมิ่นก็ได้อ่านตำรับตำราหลายเรื่อง สิ่งที่ได้เห็นแม้นางไม่ใช่นักประวัติศาสตร์แต่ก็พอมองออกว่าหนังสือที่นางมีโอกาสจับต้องนี้ ยามเมื่อกาลเวลาผ่านไปจะมีค่าควรเมืองขนาดไหน
 
พอนางอาการดีขึ้น ร่างกายเริ่มฟื้นฟูจนได้รับอนุญาตให้เดินไปเดินมาภายในตำหนักได้ เด็กชายสูงศักดิ์ก็เริ่มลากนางไปเรียนวรยุทธ์
ใช่ องค์ชายน้อยให้เด็กหญิงวัยห้าขวบเรียนวรยุทธ์ ทั้งที่ยังไม่หายป่วยสนิท ให้เหตุผลว่าเมื่อร่างกายแข็งแรงย่อมหายป่วยเร็วขึ้น
ดีที่หลินฮุ่ยหมิ่นในชาติก่อนเคยเรียนคาราเต้มาจนถึงระดับแข่งขันได้ การเล่าเรียนวรยุทธ์จึงไม่ทรมานเท่าไรนัก ส่วนเวลาอื่นๆ เซวียนชงอวี้ไม่ได้มาคุยเล่นกับนางเป็นพิเศษซึ่งเด็กหญิงก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เซวียนชงอวี้ย่อมมีภาระรับผิดชอบในฐานะองค์ชาย ย่อมต้องเล่าเรียนในแขนงต่างๆอย่างที่เชื้อพระวงศ์พึงเรียน
 
เมื่อเรื่องที่ฮุ่ยหมิ่นเขียนอ่านได้เก่งด้วยวัยเพียงห้าขวบล่วงรู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของฮองเฮา พระองค์จึงปรารถนาจะทอดพระเนตรเด็กน้อยด้วยองค์เองสักครั้ง มีรับสั่งให้มาเข้าเฝ้าที่ตำหนักหงส์เหินอันเป็นตำหนักที่ประทับ
“คุณหนูเฉิงไม่ต้องกังวลไปนะขอรับ ฮองเฮาทรงมีเมตตากรุณาอย่างยิ่ง ทรงรักและเอ็นดูเด็กน้อยมากขอรับ แล้วคุณหนูจะเห็นขอรับ พระองค์แย้มพระสรวลครั้งหนึ่งโลกก็สว่างไสวทีหนึ่ง”
หลี่กงกงกล่าวปลอบใจเด็กน้อยที่รับพระราชเสาวณีย์ตัวเกร็ง
หลี่กงกงเป็นหนึ่งในสองขันทีคนสนิทของเซวียนชงอวี้ อายุราวๆสามสิบกว่าปี รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลามีรอยยิ้มน้อยๆประดับใบหน้าเสมอ บรรยากาศรอบตัวให้ความรู้สึกสบายใจแก่ผู้พบเห็น เขาเห็นเซวียนชงอวี้มาตั้งแต่ประสูติ ติดตามรับใช้ด้วยความจงรักภักดีมาตลอด ยิ่งเซวียนชงอวี้เติบใหญ่ขึ้น ความรักความภักดีที่เขามีให้ก็ยิ่งเพิ่มพูน
“ข้าน้อยกลัวว่าจะทำผิดพลาดจนทำให้ขัดเคืองพระทัยเจ้าค่ะท่านกงกง”
“น้ำพระทัยของฮองเฮากว้างขวางดุจมหาสมุทร ไม่มีทางถือโทษโกรธเคืองเอากับเด็กน้อยเช่นคุณหนูหรอกขอรับ พระองค์คงเพียงอยากทักทายสนทนากับคุณหนูเท่านั้น”
ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด นางเคยอ่านนิยายมาก็มาก หญิงที่อยู่เหนือผู้คนนับแสนแต่อยู่ใต้คนผู้เดียว มีอำนาจปกครองหกตำหนักในจะเป็นหญิงสาวธรรมดาได้อย่างไร
เมื่อเดินมาถึงตำหนักหงส์เหิน หลี่กงกงแจ้งความกับทหารองครักษ์ที่ประจำอยู่หน้าตำหนัก เพียงชั่วประเดี๋ยวก็มีนางกำนัลมารับหลี่กงกงและนางเข้าไปด้านใน ความสวยงามอลังการทำให้เด็กหญิงแอบลอบมองรอบตัวด้วยความตื่นเต้น นี่มันยิ่งกว่าพระราชวังต้องห้ามที่นางเคยไปเที่ยวเสียอีก ถ้านางเป็นนักประวัติศาสตร์คงจะยิ่งอินมากกว่านี้แน่
“หลี่กงกงกับคุณหนูเฉิงโปรดรอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะกราบทูลองค์ฮองเฮาให้ว่าพวกท่านมาถึงแล้ว”
หญิงร่างท้วมวัยสี่สิบกว่าปีกล่าวด้วยรอยยิ้ม นางเป็นนางกำนัลอาวุโสคนสนิทข้างกายฮองเฮา ความตื่นเต้นแบบเด็กๆของฮุ่ยหมิ่นที่พยายามข่มไว้ทำให้นางกำนัลอาวุโสเผยรอยยิ้มเอ็นดู
“รบกวนท่านด้วยขอรับ” หลี่กงกงกล่าวอย่างนอบน้อม
เพียงครึ่งเค่อนางก็ได้พบกับมารดาแห่งแผ่นดิน เด็กหญิงคุกเข่าคำนับ
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ ขอทรงพระเจริญพันปี พันพันปี”
“เงยหน้าขึ้นซิ เฉิงฮุ่ยหมิ่น” สุรเสียงไพเราะตรัสเรียกนาง
เด็กหญิงค่อยๆเงยหน้าขึ้นทีละน้อย ภาพหญิงสาวสูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ฮุ่ยหมิ่นแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ฮุ่ยหมิ่นเพิ่งเข้าใจในวินาทีนั้นเองว่าสิ่งใดคืองามล่มเมือง
ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาหงส์สุกใสฉ่ำน้ำ คิ้วเรียวโก่งได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน พวงแก้มทาไว้ด้วยสีเพียงนิด ริมฝีปากอิ่มแต้มชาดแดง เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชร ทรวงอกในชุดงดงามอวบอิ่ม เอวคอดเล็ก แม้ฉลองพระองค์ที่พระนางสวมใส่จะไม่ได้อวดเรือนร่าง แต่ความงามก็พอจะบอกได้จากภายนอก
ทรงฉลองพระองค์เป็นสีน้ำเงินเข้ม แบบเรียบง่ายแต่ขับผิวพรรณที่ขาวผ่องดังหิมะแรกตกให้สว่างไสว เรือนผมสีดำขลับได้รับการเกล้าเป็นทรงสตรีชาววังทั่วไปแต่ประณีตบรรจง ประดับด้วยปิ่นทรงระย้าสูงค่า
ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันก็ต้องบอกว่าเป็นแบบ Less is more
คงเพราะฮุ่ยหมิ่นเป็นเด็ก ฮองเฮาจึงไม่ทรงต้องการวางพระองค์ให้น่าเกรงขามมากนัก จึงฉลองพระองค์แบบสบายๆ ไม่ได้เป็นทางการ แต่เพียงเท่านี้ก็มากพอจะให้ฮุ่ยหมิ่นลืมหายใจด้วยความงามนั้นแล้ว
ดาราสาวในยุคของนางเทียบไม่ได้เลยสักนิด นั่นน่ะขนาดผ่านการศัลยกรรมแล้วนะ แถมด้วยเครื่องสำอางหลอกลวงตั้งเท่าไหร่ แต่นี่สิคือความงามแท้จริงที่ไม่ต้องปรุงแต่งสิ่งใดมากเลย
ฮองเฮาพระองค์นี้พระชนมายุราวๆสามสิบกว่าชันษา แต่ยังดูเยาว์วัยคล้ายหญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆ เพียงแค่มีบรรยากาศสูงส่งและอำนาจที่แผ่กำจายออกมาเท่านั้น เด็กหญิงดูออกว่าทรงไม่ต้องการให้นางตื่นกลัว จึงพยายามเก็บงำประกายนั้นไว้
ฮองเฮาแย้มพระสรวลน้อยๆ ฮุ่ยหมิ่นเข้าใจสิ่งที่หลี่กงกงบอกแล้ว โลกสว่างไสวจริงๆ
“น่าเอ็นดูจริงเชียว เข้ามาใกล้ๆเปิ่นกงหน่อย”
ฮุ่ยหมิ่นค่อยๆคลานเข่าไปใกล้สตรีสูงศักดิ์
หมับ!
พระหัตถ์ขาวผ่อง นิ้วเรียวยาวดุจลำเทียนคว้าที่แก้มของเด็กหญิงด้วยความรวดเร็ว บีบเม้มน้อยๆด้วยความหมั่นเขี้ยว ไม่ได้รุนแรงจนทำให้เด็กหญิงรู้สึกเจ็บ แต่กระนั้นก็ทำให้ตื่นตกใจไม่น้อย
เซวียนชงอวี้!! พวกท่านแม่ลูกเหมือนกันจริงๆด้วย ฮืออ เห็นแก้มข้าเป็นของเล่นกันหรือไร
“เสด็จแม่!!”
เสียงที่คุ้นเคยที่ดังให้ได้ยินประหนึ่งเสียงที่ปลดปล่อยฮุ่ยหมิ่น ฮองเฮาปล่อยพระหัตถ์จากแก้มนาง หันไปให้ความสนใจกับพระโอรสองค์เล็ก
“อวี้เอ๋อร์ลูกรัก เจ้ามาได้อย่างไร”
“ข้ามาตามเจ้าซาลาเปากลับไปเขียนหนังสือต่อพ่ะย่ะค่ะ” ฮองเฮาขมวดคิ้วด้วยเริ่มขัดพระทัย
“เจ้าเรียกน้องเช่นนี้ได้เยี่ยงไร น้องเป็นสตรีเจ้ารู้หรือไม่ เจ้าพึงให้เกียรติน้อง มิควรเรียกน้องเช่นนั้น”
ฮุ่ยหมิ่นทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมแต่ข้างในกลับสะใจยิ่งนัก เชอะ เจ้าเด็กอวดดี บังอาจเรียกมารดาเป็นซาลาเปา
“ข้าเรียกว่าซาลาเปาก็น่ารักดีออก ข้าเห็นนะว่าเมื่อครู่ท่านบีบแก้มเจ้าซาลาเปาแล้ว นิ่มมือมากใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่” ใบหน้างดงามเรื่อสีขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกพระโอรสจับได้
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็แปลว่าบีบแก้มน้องไปแล้วงั้นรึ”
เซวียนชงอวี้ไม่ตอบแต่ยิ้มรับ
พวกท่านสองแม่ลูกช่วยเลิกสนใจแก้มของข้าทีเถิด โดนบีบจนจะห้อยเป็นหมาบูลด็อกอยู่แล้ว พวกท่านจะรับผิดชอบกับแก้มข้าอย่างไร
“เสด็จแม่ให้ซาลาเปามาหา มีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ก็แค่อยากเห็นเด็กน้อยที่ฉลาดนักหนาที่ในวังร่ำลือกันเท่านั้น”
หลังจากแม่ลูกทักทายกันตามประสา ฮองเฮาก็ให้ฮุ่ยหมิ่นอ่านเขียนให้ทอดพระเนตร ตรัสชมในความเฉลียวฉลาด แล้วพระราชทานกำไลมุกให้เด็กหญิง ตรัสถามถึงบิดานางเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นกิจวัตรประจำวันในวังของนางเสียมากกว่า จากนั้นเซวียนชงอวี้ก็ลากนางกลับตำหนัก
จากวันที่ไปเข้าเฝ้าฮองเฮา ฮุ่ยหมิ่นก็แทบไม่ได้ย่างเท้าออกจากตำหนักของเซวียนชงอวี้ ร่างกายของเด็กหญิงค่อยๆฟื้นตัว เป็นอย่างที่เซวียนชงอวี้พูด ถ้าเรียนวรยุทธ์ร่างกายแข็งแรงก็จะสามารถฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยได้อย่างรวดเร็ว
ทุกเช้าเด็กหญิงจะลุกมาซ้อมวรยุทธ์ขั้นพื้นฐาน อาจารย์คนแรกของฮุ่ยหมิ่นคือเซวียนชงอวี้ เหล่าองครักษ์ที่มีใจเอ็นดูฮุ่ยหมิ่นก็มาให้คำชี้แนะเป็นบางครั้ง พื้นฐานวรยุทธ์ของฮุ่ยหมิ่นจึงก้าวหน้าทีละน้อย
 
เรื่องราวในวังหลวงย่อมแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามคำบอกเล่าของเซวียนชงอวี้ คราแรกเป็นการสรรเสริญองค์ชายผู้มีจิตใจงดงาม ต่อมาเมื่อนางพำนักอยู่ตำหนักองค์ชายสามเป็นเวลาเกือบเดือน เสียงนินทาจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นแม่ทัพเฉิงต้องการผูกสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์จึงไม่มารับตัวนางกลับไป จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงชื่นชมอีกครั้งเมื่อฮองเฮาตรัสชมเชยนาง และต่างคาดเดาไปไกลถึงขั้นว่าฮุ่ยหมิ่นอาจจะเป็นคนที่ฮองเฮาหมายตาให้เป็นพระชายาในอนาคตของเซวียนชงอวี้
ฮุ่ยหมิ่นคิดว่าคนยุคโบราณนี่ประสาทหรือไร คนหนึ่งแปดขวบ อีกคนห้าขวบ จับคู่กันตั้งแต่ตอนนี้นี่บ้าแล้ว
แต่เมื่อฮุ่ยหมิ่นเติบโตขึ้น นางก็จะเริ่มเรียนรู้ว่านี่คือสิ่งที่ผู้คนยุคนี้อยู่กับมันมาและขับเคลื่อนมันต่อไป ..นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง
 
เพราะองค์ไท่จื่อแต่งพระชายาเอกแล้วเมื่อต้นฤดูสารทคือหลัวซานซาน บุตรีคนเล็กวัยสิบหกปีของอัครเสนาบดีหลัวและให้ความโปรดปรานนางเป็นอย่างมาก ผู้อื่นต่างดูออกว่าแม่ทัพเฉิงย่อมไม่ปรารถนาให้บุตรสาวของตนเป็นชายารอง
เฉิงฮุ่ยหมิ่นยังเล็กนัก แต่องค์ชายสามที่กำเนิดแต่ฮองเฮาก็ยังอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ทางราชวงศ์ต้องการอำนาจทางทหาร ฝั่งแม่ทัพต้องการความมั่นคงในสถานะและหลักประกันที่จะยืนยันว่าตระกูลของตนจะไม่ถูกถอนรากถอนโคนในภายหลัง
หากเฉิงฮุ่ยหมิ่นได้แต่งเป็นชายาของเซวียนชงอวี้จริง ยามเซวียนหย่งเต๋อขึ้นเถลิงราชย์ ตำแหน่งท่านอ๋องย่อมเป็นของเซวียนชงอวี้ และด้วยความโปรดปรานที่เซวียนหย่งเต๋อมีต่อน้องชายคนนี้ อำนาจที่เซวียนชงอวี้พึงจะได้รับย่อมไม่น้อยเป็นแน่
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ย่อมเป็นผลดีต่อตัวเฉิงจิ๋นหลี่และสกุลเฉิง
ในอนาคต หากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง การผูกสัมพันธ์ระหว่างเด็กทั้งสองคนย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ทางฮ่องเต้เจิ้งเต๋อและเฉิงจิ๋นหลี่จึงไม่ได้รู้สึกไม่ดีอันใดกับการพำนักในตำหนักองค์ชายสามของเฉิงฮุ่ยหมิ่น
เขาคิดถูกจริงๆที่ยังเลี้ยงดูบุตรสาวไว้ อย่างน้อยเท่าที่เห็น แม้เซวียนชงอวี้จะยังเด็กแต่ก็ไม่ได้รังเกียจบุตรสาวของเขา
แน่นอนว่าเซวียนชงอวี้ที่รู้เท่าทันความคิดของเฉิงจิ๋นหลี่ย่อมเกลียดชังบิดาของเด็กน้อยนัก แต่เขาก็ทำใจเกลียดเจ้าก้อนกลมไม่ได้อย่างที่เฉิงจิ๋นหลี่คิดเสียด้วยสิ
 
เสนาบดีเหอและแม่ทัพเฉิงจิ๋นหลี่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเยี่ยมนางที่กำลังพักฟื้นได้ บิดาของนางมาเยี่ยมเพียงหนึ่งครั้ง และทิ้งแม่นมจิน แม่นมของมารดานางให้อยู่คอยดูแลกับบ่าวรับใช้อีกสองคน ส่วนท่านลุงเสนาบดีของนางกลับแวะมาหาทุกครั้งหลังเสร็จภารกิจเข้าเฝ้าถวายรายงาน หรือการประชุมเช้าที่ท้องพระโรงดังเช่นวันนี้
“เป็นอย่างไรบ้างหลานรัก” เสียงทุ้มที่ทักทายอย่างอ่อนโยนพร้อมมือใหญ่อบอุ่นที่ลูบศีรษะทำให้ฮุ่ยหมิ่นรู้สึกดี รู้ด้วยว่าเจ้าของร่างก็รู้สึกดีเช่นกัน
“ดียิ่งเจ้าค่ะท่านลุง องค์ชายสามเมตตาข้ามากเจ้าค่ะ”
“ถึงแม้องค์ชายจะเมตตาเจ้ามาก แต่เจ้าก็ต้องระมัดระวังการกระทำ อยู่ในระเบียบและเชื่อฟังนะ จึงจะเป็นเด็กดี”
“เจ้าค่ะท่านลุง” เด็กหญิงรับคำเสียงใส นางสังเกตเห็นเงาแห่งความกังวลใจที่เหอซือถงปกปิดไว้ ฮุ่ยหมิ่นพอจะเดาได้ว่าเขากำลังกังวลอะไร และนั่นก็ทำให้นางแน่ใจ ท่านลุงของนางปรารถนาดีต่อนางอย่างแท้จริง
เหอซือถงให้นางเขียนอักษรให้ดู สอนนางอ่านหนังสือบ้าง ได้เวลาพอสมควรแล้วก็ลากลับ ใครบางคนข้างนอกครหาว่าเหอซือถงมาประจบเอาใจเซวียนหย่งเต๋อโดยเข้าทางเซวียนชงอวี้ พวกเขาหารู้ไม่.. เหอซือถงแทบจะไม่ได้เจอเซวียนหย่งเต๋อที่ตำหนักของเซวียนชงอวี้เลย
จากที่พบกับท่านลุงนางในยุคนี้ เหอซือถงนับว่าเป็นขุนนางตงฉินอีกผู้หนึ่ง
ฮุ่ยหมิ่นยิ้มให้ตนเองที่นั่งเล่นอยู่ภายในสวนของจวนองค์ชายสาม หากเซวียนชงอวี้ไม่ช่วยไว้ นางคงไม่ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นและความห่วงใยจากเครือญาติอีกแล้ว
ท่านลุงของนางปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้ใส่ใจทุกรายละเอียดแบบผู้หญิง แต่ก็แสดงออกถึงความสงสารเอาใจใส่เท่าที่ลุงคนหนึ่งพึงจะมีต่อหลานสาวที่กำพร้ามารดา
น่าขันเสียจริง บิดาไร้รักจ้องแต่จะใช้ประโยชน์ ส่วนลุง กลับเมตตาเอ็นดู มิได้คิดหวังผลพลอยได้ใดๆ
ฮุ่ยหมิ่นคาดหวัง
นางคาดหวังให้พระเจ้าแผ่นดินเห็นความดีงามนี้ของเหอซือถง นางมิปรารถนาให้ตระกูลเหอรุ่งเรืองจนเกินไป เพราะนั่นย่อมหมายถึงจุดจบของตระกูลเหอ แต่ต้องการให้พระองค์เห็นถึงความดีนี้และถนอมขุนนางตงฉินผู้นี้ไว้ มิให้คำติฉินใดๆมาสั่นคลอน
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไงบ้างคะ

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา