Soft place to fall

9.7

เขียนโดย หลินไป๋อัน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 19.54 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  13.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 18.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) จะเป็นชาตัวไหนของเจ้าก็ได้ แต่ชาเหมยกุ้ยตัวนี้ไม่ได้!!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


9. จะเป็นชาตัวไหนของเจ้าก็ได้ แต่ชาเหมยกุ้ยตัวนี้ไม่ได้!!


ยามเย็นหลังเลิกเรียนวันหนึ่งเซวียนชงอวี้มีคำสั่งให้นางไปทานอาหารที่เรือนของเขา ฮุ่ยหมิ่นมาเป็นแขกประจำจนคนครัวขององค์ชายผู้นี้จำรสที่ฮุ่ยหมิ่นชอบได้แล้วด้วยซ้ำ กับข้าวยังคงเลือกตามที่เซวียนชงอวี้ชอบแต่ก็เป็นกับข้าวที่ฮุ่ยหมิ่นกินด้วยได้ อย่างไหนที่ฮุ่ยหมิ่นไม่กินหรือไม่ชอบก็จะไม่ถูกจัดขึ้นโต๊ะ


ระเบียบของชั้นชนสูงบางครั้งก็ชวนอึดอัดนัก ยามกินไม่สนทนา ทั้งที่ความจริงแล้วในมุมมองของฮุ่ยหมิ่นยามที่เราได้กินข้าวพร้อมหน้ากับคนในครอบครัว นั่นล่ะคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพูดคุยกัน กินไปคุยไป ช่างเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นนัก โชคดีที่เซวียนชงอวี้ไม่ใช่คนเคร่งครัดธรรมเนียมเท่าไหร่ บนโต๊ะอาหารจึงไม่ได้มีเพียงเสียงตะเกียบจนวังเวงใจ


เด็กชายสูงศักดิ์จ้องมองเด็กหญิงตัวกลมที่ตั้งหน้าตั้งตากิน ดูอารมณ์ดียิ่ง เรียวปากบางเผยรอยยิ้มน้อยๆ


อดไม่ได้ที่จะแกล้งเย้า


“แม่ครัวของข้าดีใจทุกครั้งที่เจ้ามาที่นี่”


คำพูดของเซวียนชงอวี้ทำให้ฮุ่ยหมิ่นที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆต้องเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีไม้เหอเถากะพริบปริบๆแทนคำถาม เด็กชายดูจะเข้าใจฮุ่ยหมิ่นดีจึงพูดต่อ


“เจ้าจัดการเรียบทุกอย่าง แม่ครัวของข้าปลื้มปริ่มยิ่งนัก”


เด็กหญิงทำหน้างอทันควัน ไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขาจึงเสไปพูดเรื่องอื่นแทน


“วันนี้ท่านเรียกข้ามามีสิ่งใดรึเปล่าเจ้าคะ”


น้ำเสียงของเด็กน้อยแข็งขึ้นมาสองส่วนทำให้เซวียนชงอวี้หัวเราะในใจ เจ้าซาลาเปาตรงหน้ากำลังขู่เขาให้รีบๆพูดธุระมาเสีย มิเช่นนั้นได้เห็นดีกัน แต่องค์ชายสามก็ไม่ได้ใส่ใจนัก รู้ดีว่านี่ยังห่างไกลขีดจำกัดของนางอยู่มาก


ท่าทางสดใสร่าเริงของเด็กหญิงในช่วงหลายเดือนมานี้ทำให้องค์ชายน้อยรู้สึกดีใจยิ่งที่ตอนนั้นเข้าไปแทรกแซงจัดการให้นาง


หากเขาไม่ดึงนางออกมาจากที่นั่นก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะต้องได้ยินข่าวการฆ่าตัวตายของคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพ เขาช่วยนางไว้ได้หนึ่งครั้ง แต่ถ้าสภาพรอบตัวยังคงเป็นแบบเดิม ครั้งหน้าถ้าไม่มีเขา นางก็คงทำได้สำเร็จจริงๆ ยิ่งฮุ่ยหมิ่นเป็นเด็กฉลาดด้วยแล้วการจะวางอุบายหลอกบ่าวไพร่เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนาย่อมไม่ใช่เรื่องยาก อีกอย่างเซวียนชงอวี้ที่เติบโตมาในวังหลวงย่อมรู้ดีถึงเล่ห์เหลี่ยมของสตรี เด็กหญิงเพียงคนเดียวไร้ร่มเงามารดาให้พึ่งพิงในตระกูลใหญ่ บิดาไม่รัก ซ้ำเบื้องบนยังมีมารดาเลี้ยง ยากนักที่จะเติบโตได้อย่างปลอดภัย


องค์ชายเพิกเฉยคำขู่ที่แฝงมาเมื่อสักครู่ของเด็กหญิงอย่างสมบูรณ์แบบ ยังก่อกวนเด็กน้อยไม่เลิกรา


“เจ้าอ้วนขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่ ซาลาเปาน้อย”


เซวียนชงอวี้ทักไปพลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาดึงแก้มข้างหนึ่งของฮุ่ยหมิ่น เด็กหญิงทำตาขุ่นขวางใส่เขาทันที จนเมื่อเขายอมปล่อยมือกลมอวบอ้วนจึงยกขึ้นลูบแก้มตัวเองบรรเทาความเจ็บ ..อันที่จริงเซวียนชงอวี้ไม่ได้บีบแรง แต่นางจะมารยาเสียอย่าง ใครจะทำไม


“บุรุษมิพึงถามหรือเอ่ยถึงรูปร่างของสตรีเช่นนี้เจ้าค่ะ”


ถ้อยคำเจรจาเกินวัยที่พูดราวกับตนเป็นสตรีเติบโตแล้วนางหนึ่งทำให้นางกำนัลและขันทีต่างก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม


เซวียนชงอวี้โคลงศีรษะให้กับวาจาที่ไม่เข้ากับสภาพก้อนซาลาเปาของเด็กหญิง ตัดสินใจพักการหยอกไว้ก่อน แล้วกลับเข้าเรื่องเป็นการเป็นงาน


ที่เซวียนชงอวี้เรียกนางมาพบวันนี้เป็นเพราะต้องการสอบถามความเป็นอยู่และความต้องการของฮุ่ยหมิ่น เพราะอีกสามวันก็จะเป็นวันหยุดปีใหม่แล้ว เซวียนชงอวี้จำเป็นต้องกลับวัง เขาไม่ทราบว่านางจะเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมกันหรือไม่


ฮุ่ยหมิ่นทำเพียงยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าปฏิเสธองค์ชายจอมป่วน ระหว่างที่นางอยู่ที่นี่จนจะครบเจ็ดเดือน มีเพียงจดหมายจากผู้เป็นลุงที่เขียนถึงนางมาเดือนละครั้ง ถามไถ่สุขภาพความเป็นอยู่ บางคราวยังส่งข้าวของจิปาถะมาด้วย กระทั่งญาติผู้พี่ของนางที่เคยพบหน้าเพียงครั้งหรือสองครั้งยังมีน้ำจิตน้ำใจส่งของเล่นเด็กสำหรับเด็กวัยเช่นนางมาให้ ส่วนป้าสะใภ้ก็จัดส่งชุดสวยงามที่ตัดจากผ้าเนื้อดีมาให้อีกเช่นกัน ในขณะที่ไม่มีการติดต่อใดๆจากจวนแม่ทัพ


หากนางกลับไป ก็จำเป็นต้องกลับไปจวนแม่ทัพที่เขาไม่ยินดีต้อนรับนาง การไปค้างจวนเสนาบดีเหอผู้เป็นลุงฝั่งมารดาก็จะเป็นการเสียมารยาทต่อครอบครัวฝั่งบิดา ซ้ำยังทำให้นางกลายเป็นเด็กอกตัญญูทำให้บิดาต้องเสื่อมเกียรติ


สรุปแล้ว การอยู่ที่นี่จึงจะดีต่อทุกคนมากที่สุด โดยเฉพาะตัวนางเอง อีกอย่างหากนางขาดเหลือสิ่งใด ภายในสำนักศึกษานี้มีร้านค้าย่อยๆอยู่สองสามร้าน หรือนั่งรถม้าออกไปประมาณหนึ่งชั่วยามก็จะถึงตัวเมือง ถึงของที่ขายจะไม่ทันสมัยหรือมีหลากหลายเฉกเช่นเมืองหลวง แต่เพราะเป็นเมืองท่าที่มีการติดต่อกับต่างแคว้นจึงได้เห็นของแปลกๆอยู่เนืองๆ ทั้งหมดนี้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตของนางและบ่าวไพร่แล้ว นับว่าไม่กันดารโดยแท้

 


ฮุ่ยหมิ่นสอบถามคนในสำนักศึกษาที่เป็นชาวเมืองที่นี่เพื่อหาร้านหลอมโลหะ หลายคนต่างสงสัยว่าฮุ่ยหมิ่นจะอยากรู้เรื่องร้านหลอมโลหะไปเพื่ออะไรแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ให้มากความ เด็กหญิงเห็นว่าไหนๆก็เป็นช่วงวันหยุด นางไปเองเลยน่าจะเป็นการดี


ฮุ่ยหมิ่นเรียกบ่าวไพร่มาซักซ้อมคำพูดคำจาก่อน นางไม่ต้องการเปิดเผยตัว จะทำตนเป็นแค่หญิงรับใช้ของลูกหลานขุนนางบ้านหนึ่งที่มาว่าจ้างทำของที่เจ้านายประสงค์


เมื่อวันหยุดมาถึง ฮุ่ยหมิ่นว่าจ้างรถม้าที่จอดรอผู้โดยสารอยู่ด้านหน้าสำนักศึกษาเพื่อออกเดินทางมายังตัวเมืองกับหว่านอิ๋นและเฟิ่งอิง แจ้งสถานที่ที่จะไปกับคนขับรถม้า ชายชราผงกศีรษะอย่างเข้าใจ เขารู้ดีว่าโรงหลอมโลหะที่นี่ตั้งอยู่ที่ไหน


เลยจากใจกลางเมืองที่แสนคึกคักมาเพียงหนึ่งเค่อ โรงหลอมโลหะก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า แม้จะเรียกเป็นโรงหลอม แต่จริงๆแล้วก็มีขนาดเพียงบ้านของชาวบ้านทั่วไปสองหลังติดกันเท่านั้น มองจากด้านนอกเข้าไปเห็นเครื่องไม้เครื่องมือหลายอย่างแต่ฮุ่ยหมิ่นไม่รู้จัก เพราะในชาติก่อนไม่ค่อยได้สนใจประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีนัก จริงๆแล้วถ้าฮุ่ยหมิ่นในชาติก่อนเรียนมาทางนี้ ยามมาอยู่ยุคนี้อาจจะอินมากก็ได้


ทว่าฮุ่ยหมิ่นยามเรียนและทำงานด้านศัลยกรรมย่อมอยู่กับความรู้ งานวิจัยและเทคโนโลยีสมัยใหม่ตลอดเวลา เมื่อต้องมาอยู่ในยุคที่ไม่มีสิ่งคุ้นเคยให้ใช้จึงค่อนข้างอึดอัด เลยต้องดิ้นรนหาทางทำเท่าที่ทำได้


ฮุ่ยหมิ่นเดินลงไปแนะนำตัวกับชายผู้เป็นเจ้าของ คราแรกเขาแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่คิดสิ่งใดมากเมื่อนางบอกว่ารับคำสั่งเจ้านายมาอีกที เด็กหญิงบอกความต้องการพร้อมทั้งวางแผนภาพของอุปกรณ์ที่นางต้องการให้เขาทำขึ้นมาให้ดู


ชายวัยกลางคนผู้นั้นดูตกใจด้วยไม่เคยเห็นสิ่งของเหล่านี้มาก่อน


“แม่นางน้อย ข้าไม่เคยทำของหน้าตาประหลาดเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่”


“ขอแค่เพียงท่านลองช่วยข้ากับเจ้านาย แม้ไม่สำเร็จเจ้านายของข้าก็ยินดีจ่ายค่าแรงให้ท่าน แต่หากสำเร็จ ข้าเชื่อว่าเจ้านายของข้าย่อมต้องตอบแทนท่านไม่น้อย”


เป็นโชคดีของฮุ่ยหมิ่น เพราะงานโรงหลอมไม่ได้มีมาตลอดเวลา เขาเองต้องการรายได้ นางเองก็ต้องการชิ้นงาน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งของที่ทำขึ้นจะไปใช้ประโยชน์อันใด แต่ก็คิดว่าย่อมไม่ใช่ของทั่วไปเป็นแน่ หากมันใช้ได้หรือขายได้ราคาขึ้นมา เขาเองก็เป็นผู้ผลิตรายแรก หรือหากไม่สำเร็จ ก็คิดค่าต้นทุนค่าแรงค่าเสียเวลาเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เสียประโยชน์นัก


เด็กหญิงกางแบบแต่ละแบบให้เจ้าของโรงหลอมโลหะดู พร้อมกับอธิบายแต่ละจุดและความต้องการต่อชิ้นงานนั้นๆอย่างละเอียด


นางให้ช่างหลอมเหล็กทำสิ่งใดน่ะหรือ .. ชุดอุปกรณ์เย็บแผลและหัตถการขนาดเล็กของแพทย์แผนปัจจุบันอย่างไรเล่า

 


หลังจากเสร็จธุระแล้วก่อนกลับนางก็ให้สาวใช้สองคนพาไปเดินเล่นยังตลาดใจกลางเมือง ฮุ่ยหมิ่นเพียงเดินเล่นชมของไปตามทางเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรที่นางอยากได้เป็นพิเศษ แต่เลือกซื้อปิ่นปักผมลวดลายน่ารักที่ราคาไม่แพงนักให้หว่านอิ๋นและเฟิ่งอิงคนละอัน แล้วเลือกผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้มและม่วงเข้มลวดลายสุภาพมาอย่างละพับ เอาไปฝากเหม่ยเย่และแม่นมจิน ส่วนของหรงผิง นางมอบเป็นถุงเงินพร้อมด้วยเงินก้นถุงอีกเล็กน้อย


นางยังไม่มีรายได้ ของขวัญที่จะมอบให้บ่าวในวันปีใหม่จึงได้เพียงเท่านี้ แต่ใจจริงของบ่าวห้าคนแล้ว นี่ก็เป็นการแสดงออกที่มากเพียงพอ พวกนางตามรับใช้คุณหนูมาไม่เคยจิกหัวตบตีด่าทอเช่นผู้อื่น นั่นพอบอกได้ว่าเพราะฮุ่ยหมิ่นยังเล็กนัก แต่เด็กหญิงก็ไม่เอาแต่ใจอาละวาด หรือเขวี้ยงปาข้าวของ ไม่แสดงกิริยาเหยียดหยามดูหมิ่น แต่ปฏิบัติกับพวกนางเช่นคนในครอบครัว ในสังคมข้าเจ้าบ่าวนายแล้ว การกระทำของฮุ่ยหมิ่นที่มาจากยุคปัจจุบันสามารถซื้อใจคนไว้ได้อย่างง่ายดาย


ยังมีผ้าลายสดใสคุณภาพขนาดกลางที่ฮุ่ยหมิ่นซื้อมาให้ตนเองหัดเย็บผ้า ไหนๆอยู่ที่นี่นางก็ไม่ได้วุ่นวายอย่างตอนเรียนหมอ หัดเย็บปักถักร้อยไว้บ้างก็ดี จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายพวกของกระจุกกระจิกไปได้ ชาติก่อนในบรรดางานฝีมือนางทำเป็นแค่ปักครอสติชเท่านั้นเอง


สำหรับบุคคลอื่นๆนางมีแผนการที่จะให้ของที่นางทำได้ด้วยตนเอง สำหรับฮองเฮา องค์ไท่จื่อ จวนท่านลุงเสนาบดี เหล่ากงกงของเซวียนชงอวี้และบรรดาอาจารย์ นางจัดเตรียมชาดอกเหลียนฮวาที่ผสมสมุนไพรช่วยลดความเครียดที่นางปรับปรุงสูตรขึ้นมาไว้ให้ ส่วนเซวียนชงอวี้เป็นชาดอกเหมยกุ้ยเช่นเดิมแต่ปรับส่วนสมุนไพรเล็กน้อย คราก่อนเป็นแบบฟื้นฟูกำลังวังชา ให้สดชื่นกะปรี้กะเปร่า ครั้งนี้เป็นแบบช่วยให้ใจสงบ ยามนอนหลับสามารถหลับได้สนิท สำหรับจวนแม่ทัพนางส่งชาเหลียนฮวาแบบธรรมดาไปให้

 


สิบห้าวันที่เป็นวันหยุดปีใหม่ สิบห้าวันที่นางไม่ได้เจอเซวียนชงอวี้ นางรู้ว่าเด็กชายคงอยู่ระหว่างการเดินทาง ฮุ่ยหมิ่นใช้เวลาสิบห้าวันนี้ไปกับการทบทวนตำราที่ได้ร่ำเรียนจากสำนักหย่งฉือ จดบันทึกความรู้การผ่าตัดแผนปัจจุบัน ลองปรุงสมุนไพรใหม่ๆ ดัดแปลงทำเป็นชาไว้ด้วย หัดเย็บปักกับแม่นมจิน ใช้เวลาช่วงเย็นของทุกวันฝึกซ้อมวรยุทธ์


วันนี้เป็นวันหยุดวันสุดท้าย ฮุ่ยหมิ่นออกจากสำนักมาเพื่อตรวจสอบชิ้นงานที่สั่งให้โรงหลอมโลหะทำ เขาทำออกมาได้ใกล้เคียงมากเลยทีเดียว ลองขยับใช้ดูอย่างตอนใช้งานจริง นางพบว่าบางจุดคล้ายจะหลวมไปสักหน่อย บางจุดหนาไป มีสองสามชิ้นที่สามารถใช้งานได้เลย ชี้แจงกับเถ้าแก่ว่านางต้องการปรับลดเพิ่มตรงจุดใดแล้วขอให้เขาช่วยปรับให้ เด็กหญิงส่งตั๋วเงินในกระเป๋าให้ตามจำนวนที่เถ้าแก่เรียกราคามา


ฮุ่ยหมิ่นนิ่วหน้าคิด นี่เป็นเงินจำนวนไม่น้อย นางไม่มั่นใจว่าบิดาแม่ทัพใหญ่และฮูหยินรองนั้นจะหาเรื่องตัดเงินนางในวันใด อีกทั้งการหวังรับเงินจากท่านลุงเหอหรือเอาของที่ได้รับมาไปขายเพื่อหาเลี้ยงปากท้องก็คงจะไม่ดีนักหากมีใครรู้เข้า จะทำให้ท่านลุงรู้สึกไม่ดีและนางจะเข้าหน้าเขาไม่ติดเปล่าๆ เด็กหญิงคิดในใจว่าคงต้องหาทางขยับขยายทำอะไรสักอย่างเพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง


เพราะไม่รู้จะปรึกษาใครดี หากเป็นแม่นมหรือเหม่ยเย่ พวกนางสองคนคงต้องหาทางบอกเรื่องนี้กับท่านลุงแน่นอน เฟิ่งอิงกับหว่านอิ๋น แม้จะอายุสิบห้าแล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอ


ความจริงแล้ว..เซวียนชงอวี้..เป็นชื่อแรกที่ปรากฎขึ้นในห้วงคำนึงยามที่นางต้องการคำปรึกษา กับเฟิ่งอิงและหว่านอิ๋น นางเห็นทั้งคู่เป็นเด็ก แต่กับเซวียนชงอวี้ที่เด็กกว่าแท้ๆ นางกลับรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่พึ่งได้


คิดอีกที เพราะนางแน่ใจว่าเซวียนชงอวี้ไม่ใช่เด็กอย่างที่ตาเห็นล่ะมั้ง ถึงได้คิดเช่นนี้

 


เมื่อเหม่ยเย่มาส่งข่าวว่าเซวียนชงอวี้กลับมายังสำนักศึกษาแล้ว ฮุ่ยหมิ่นก็กระวีกระวาดจัดของที่เคยเตรียมไว้ให้เป็นระเบียบอีกครั้ง จัดแจงว่าหีบห่อใดสำหรับผู้ใด จากนั้นจึงนำสาวใช้สองคนช่วยกันขนของไปที่เรือนพักของเซวียนชงอวี้ ใช้เวลาเพียงครึ่งเค่อฮุ่ยหมิ่นก็เดินมาถึงเรือนพัก ทหารองครักษ์ที่เฝ้ายามอยู่ด้านหน้าล้วนรู้จักฮุ่ยหมิ่นดี เด็กหญิงยิ้มทักทายแล้วกล่าวคารวะ หนึ่งในนั้นเข้าไปแจ้งเซวียนชงอวี้ที่อยู่ด้านใน ชั่วครู่เดียวหนานกงกงก็ออกมาต้อนรับพาฮุ่ยหมิ่นเข้าเรือน


ฮุ่ยหมิ่นเพิ่งได้สังเกตว่าเรือนของเขาเจือไปด้วยกลิ่นชาปนเปกับกลิ่นดอกเหมยกุ้ย คิ้วเรียวสีจางขมวดเข้าหากันอย่างฉงน มันไม่ได้อวลหนักอย่างพวกกำยานเครื่องหอม แต่เป็นกลิ่นที่ฝังลึกจากการเจือแบบซ้ำๆ เพียงไม่นานก็นึกออก


หรือว่านางส่งชาดอกเหมยกุ้ยมาให้เขาบ่อยเกินไปนะ กลิ่นติดฝังตามเรือนไปหมดแล้ว ของในวันนี้ก็ยังเป็นดอกเหมยกุ้ยเช่นเดิมเสียอีก


ภาพตรงหน้าคือสิ่งที่ฮุ่ยหมิ่นเห็นจนคุ้นตายามมาที่เรือนแห่งนี้ เซวียนชงอวี้ในชุดสีน้ำเงินเข้มรวบผมด้วยผ้าไหมสีเดียวกันนั่งไขว่ห้าง ในมือมีถ้วยชาและมีตำราทหารอยู่ข้างตัว วางมาดแก่กว่าเด็กชายวัยแปดขวบไปมาก บรรยากาศรอบตัวของเขาที่แผ่ออกมา ฮุ่ยหมิ่นรู้สึกได้จริงๆว่ามันไม่ธรรมดา


“ฮุ่ยหมิ่นคารวะองค์ชายสามเนื่องในวันปีใหม่เพคะ”


เด็กหญิงคุกเข่าคารวะตามระเบียบอย่างเรียบร้อยพอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องเห็นคนที่ปกติชอบวางมาดนิ่งทำหน้าปุเลี่ยนๆ


“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมาพิธีรีตองกับข้ามาก ข้าไม่ชินที่ซาลาเปาน้อยทำแบบนี้ใส่ข้า เจ้าเรียบร้อยเกินไป ข้าทำตัวไม่ถนัด”


ฮุ่ยหมิ่นต้องพยายามไม่ให้คิ้วกระตุก คุมริมฝีปากให้แย้มยิ้มเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืน


องค์ชายเพคะ ปีใหม่แล้วก็หยุดกวนประสาทหม่อมฉันเถิดเพคะ ถ้าพระองค์ตกลงหม่อมฉันยินดีจะเคารพนบนอบท่านจนถึงที่สุด


“ขอบพระทัยเพคะ ฮุ่ยหมิ่นนำชาสมุนไพรมาถวายพระพรปีใหม่องค์ชายเพคะ” เดินนำของในมือไปหยุดอยู่ห่างออกมาจากเบื้องหน้าองค์ชายน้อย หนานกงกงผู้เดิมเป็นคนมารับชาดอกเหมยกุ้ยผสมสมุนไพรไปเก็บ


คิ้วเข้มเรียวโก่งของเซวียนชิงอวี้แทบจะผูกเป็นปมได้ องค์ชายน้อยลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ตัวยาวที่นั่งอยู่แล้ว ลาก นางให้ขึ้นไปนั่งด้วยกัน ฮุ่ยหมิ่นแอบมองรอบตัว ให้ตายเถอะบรรดาคนของเซวียนชงอวี้ต่างพากันก้มหน้าอมยิ้ม นี่นึกว่าเป็นเด็กสองคนเล่นกันหรืออย่างไร ไม่เห็นเหรอว่าองค์ชายของพวกเจ้ากำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม


“จากนี้ไปเจ้าไม่ต้องใช้คำพูดราชาศัพท์นอบน้อมแบบนั้นกับข้าอีก”


ฮุ่ยหมิ่นนิ่วหน้า พระองค์จะเล่นอะไรอีก จะประทานข้อหาหลบหลู่เบื้องสูงให้สกุลเฉิงหรือเพคะ


“หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่เหมาะสมเพคะ”ใบหน้าสวยที่เริ่มบึ้งของเซวียนชงอวี้กระตุ้นให้นางพูดต่อ


“หม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชน ไม่สมควรกระทำการล่วงเกินเชื้อพระวงศ์เพคะ”


นิ้วเรียวดีดเข้าที่หน้าผากเด็กหญิงไม่แรงนัก


“ข้าเดินทางมาเหนื่อยๆแทนที่จะตามใจข้า เจ้าซาลาเปาโง่งม”


องค์ชาย ท่านจะช่วยหาเหตุผลที่มันฟังขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่


เมื่อเห็นฮุ่ยหมิ่นทำหน้าตาประท้วง องค์ชายผู้เอาแต่ใจเลยใช้วิธีวางอำนาจแทน


“จากนี้ไปข้า สั่ง ให้เจ้าพูดกับข้าอย่างปกติ ไม่ต้องพูดราชาศัพท์ พูดเหมือนตอนข้าอาศัยขบวนเดินทางมากับเจ้า”


“เพคะ แต่.. เวลาอยู่ต่อหน้าธารกำนัล หม่อมฉันขอใช้คำราชาศัพท์แบบเดิมนะเพคะ”ฮุ่ยหมิ่นทำอะไรไม่ได้นอกจากอ้อมแอ้มรับคำ


“อืม ถ้ากับข้าหรือคนของข้า เจ้าก็พูดกับข้าได้ แต่กับคนนอกค่อยกลับไปพูดแบบเดิม”


“เจ้าค่ะ”


เมื่อเห็นว่าฮุ่ยหมิ่นยอมรับปากเซวียนชงอวี้จะเปลี่ยนเรื่องคุย พี่ใหญ่ของเขาฝากของขวัญมาให้ฮุ่ยหมิ่นด้วย เป็นถุงใส่เงินที่ตัดเย็บอย่างประณีตโดยกองช่างตัดเย็บของวังหลวง พร้อมทั้งใส่เงินก้นถุงมาด้วยห้าตำลึง


ไม่ผิดจากที่เขาคิด ฮุ่ยหมิ่นตาวาววับทันทีที่รู้ว่านางก็ได้รับของขวัญ ช่วยไม่ได้จริงๆที่เขาจะอดใจไม่ไหว เอาหนังสือข้างตัวเคาะหน้าผากของเด็กหญิงตัวกลม


“แก่แดดแก่ลมจริงนะเจ้า”


“ข้าเปล่าซักหน่อย”ตอบพลางทำปากยื่น โอเค ตอนนี้นางเป็นเด็กห้าขวบ ก็จะแสดงให้สมบทบาทที่สุด


เซวียนชงอวี้หัวเราะ แล้วหยิบของอีกชิ้นออกมา


“เอ้า ข้าให้”


สิ่งที่เซวียนชงอวี้นำมาให้ฮุ่ยหมิ่นเป็นพู่กันและแท่งหมึกพร้อมที่ฝนหมึก มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าราคาคงมิใช่น้อย หนำซ้ำ ถ้าฮุ่ยหมิ่นดูไม่ผิด ด้ามของพู่กันที่เขาจะมอบให้นางนั้นไม่ใช่ไม้ไผ่ แต่เป็นด้ามที่ทำจากหยกขาว


“จะรับไปดีๆหรือไม่” เสียงเด็กชายเริ่มแข็งขึ้นมาเมื่อเห็นฮุ่ยหมิ่นมีท่าทางลังเล


“มันน่าจะแพงนะเจ้าคะ”


“ทีตอนรับถุงเงินของพี่ชายข้านี่คว้าเชียวนะ”


อะไรกัน นี่นางดูหน้าเงินขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่น่านะ


“ข้าได้มันมาอีกทีหนึ่ง ไม่ได้ซื้อหา ข้ามีชุดที่ใช้ประจำอยู่ ชุดนี้ข้าไม่ได้ใช้อยู่แล้ว เก็บไว้ก็คงเสียเปล่า เจ้าเป็นคนชอบเขียนอยู่กับเจ้าคงจะคุ้มค่ากว่า”


“เจ้าค่ะ”


เมื่อเห็นว่าของตรงหน้าคงไม่ได้ทำให้คนมอบเสียเงินไปมากเด็กหญิงจึงรับมาแต่โดยดี


“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ด้ามพู่กันนี่สวยมาก”

 


สำหรับอาหารค่ำของวันนี้ ฮุ่ยหมิ่นก็ได้ฝากท้องที่เรือนของเซวียนชงอวี้อีกตามเคย อาหารเป็นเนื้อสองอย่างผักหนึ่งอย่าง ไม่ต้องมีโต๊ะยาวใหญ่กับอาหารที่ตั้งเป็นแนว แค่สามอย่างง่ายๆพอคนก็พอแล้ว ส่วนน้ำชา ตอนนี้ชาประจำเรือนขององค์ชายสามเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นชาดอกเหมยกุ้ย หากแต่ตัวชาเหมยกุ้ยผสมสมุนไพรบำรุงเป็นสิทธิขาดของเซวียนชงอวี้ที่ไม่ว่าแขกคนใดก็ไม่มีโอกาสลิ้มรส


ฮุ่ยหมิ่นลอบสังเกตเขาเงียบๆ นี่เขาใช้ชานี้จนชินแล้วจริงๆ ถ้ากลิ่นชาเหมยกุ้ยจะซึมลึกไปทั้งเรือนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ระหว่างกินข้าววันนี้มีเรื่องให้นางกับเซวียนชงอวี้คุยกันไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นเขาถามแล้วนางตอบ ฮุ่ยหมิ่นนึกลังเลอยู่ในใจว่าจะปรึกษาเขาดีไหม


“มีอะไร ซาลาเปาน้อย” ไม่ทันจะได้ถามเขาก็ดูนางออกเช่นเคย


ฮุ่ยหมิ่นตัดสินใจเล่าไปโดยไม่ปกปิด อย่างไรเสียการที่นางพึ่งตัวเองได้ย่อมดีกว่าการแบมือขอจากบิดาหรือญาติฝั่งมารดา เซวียนชงอวี้รับฟังเงียบๆ นางรู้ว่าเขากำลังใช้ความคิด เด็กสาวก้มหน้ามองถ้วยชาในมือ


เดี๋ยวสิ นางยังมีสิ่งนี้นี่นา


“องค์ชาย ข้าคิดว่า...”


“หยุด! จะเป็นชาตัวไหนของเจ้าก็ได้ แต่ชาเหมยกุ้ยตัวนี้ไม่ได้!!”


“เอ๋?” เด็กหญิงเอียงคอสงสัย เขารู้ว่านางคิดอะไร แล้วยังห้ามเสียอีก


องค์ชาย ท่านเป็นอับดุลกลับชาติมาเกิดหรือไร เหตุใดล่วงรู้ทุกอย่างราวภูติผีเช่นนี้


ใบชานี้ฮุ่ยหมิ่นรับซื้อมาจากชาวบ้านที่ปลูกชาในเมืองฉางเจียงแล้วนำมาปรับปรุงสูตรให้มีกลิ่นและมีสมุนไพรบำรุงอีกทีหนึ่ง เด็กหญิงจึงไม่จำเป็นต้องมีไร่ชาเป็นของตนเอง แค่ให้แม่นมจินเป็นคนติดต่อซื้อมายามเก็บเกี่ยวก็เพียงพอแล้ว


“หากเจ้าคิดจะทำชาบำรุงร่างกายขาย ข้าจะร่วมลงทุนด้วย แต่ข้อแม้เดียวคือห้ามเป็นชาดอกเหมยกุ้ยทุกตัวที่ผ่านเรือนข้า”


ฮุ่ยหมิ่นพยักหน้าอย่างเข้าใจ เช่นนี้นี่เอง หากทำขายด้วยของที่เหมือนขององค์ชาย มันจะไม่เป็นการหมิ่นเกียรติของเซวียนชงอวี้หรอกหรือ


นานอีกเป็นนานกว่าที่ความเข้าใจผิดของฮุ่ยหมิ่นในเรื่องนี้จะได้รับการแก้ไข น่าจะอีกสิบห้าปีให้หลังกระมัง


“ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ข้ายังไม่เคยลองทำขายมาก่อน เกรงว่าอาจจะขาดทุนได้นะเจ้าคะ”


“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า หากได้กำไรก็ดีกับตัวข้าเช่นกัน”


ฮุ่ยหมิ่นยิ้มอย่างถูกใจ จริงๆแล้วหากเซวียนชงอวี้มาเป็นหุ้นส่วน ย่อมลดทอนปัญหาไปได้หลายทาง


“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”


“งั้นเรื่องอื่นๆที่นอกเหนือไปจากการทำชาข้าจะเป็นฝ่ายจัดการให้ พวกวางขายตามร้าน การจัดส่ง เช่นนี้ดีหรือไม่”


“ดียิ่งเจ้าค่ะ เช่นนั้น ส่วนแบ่งกำไรจะเป็นเจ็ดสิบต่อสามสิบนะเจ้าคะ ท่านเจ็ดสิบ ข้าสามสิบ”


เซวียนชงอวี้ทำตาโตกับอัตราส่วนที่นางบอกไป


“ข้ามิใช่คนหน้าเลือดนะฮุ่ยหมิ่น”


“ข้าทราบเจ้าค่ะ แต่ท่านลงแรงทุกอย่างแล้ว ข้าทำเพียงแค่ผลิตชาเท่านั้น ไม่ได้เหนื่อยยากสิ่งใดเลย อีกทั้งข้าไม่ได้ต้องการเงินมากมายขนาดนั้นเจ้าค่ะ”เด็กห้าขวบถ้าถือเงินเยอะเกินไปย่อมอันตราย


“ห้าสิบห้าสิบได้หรือไม่”


“ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการเอาเปรียบท่าน”


“เช่นนั้น หกสิบสี่สิบเป็นเช่นไร” ฮุ่ยหมิ่นนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง


“ท่านหกสิบข้าสี่สิบ ตกลงเจ้าค่ะ”


หนานกงกงที่ยืนรอรับใช้อยู่แทบจะกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหว เหตุใดเจ้านายน้อยของเขาและคุณหนูท่านนี้จึง..ไร้เดียงสากันเพียงนี้ ทำการค้ามีอย่างที่ไหน แข่งกันเอาส่วนแบ่งที่น้อยกว่า


เซวียนชงอวี้มอบหมายให้คนของเขาไปจัดการร่างสัญญาทุกอย่างให้เรียบร้อย เพราะยังเยาว์ เพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นในภายภาคหน้าเอกสารทุกอย่างจึงต้องส่งให้องค์ไท่จื่อผู้เป็นผู้ปกครองโดยตรงขององค์ชายสามเป็นผู้รับทราบ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คิดว่าเรื่องนี้เป็นยังไงบ้างคะ

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา