Reincarnation ข้ามเวลามารักเธอ
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 15.34 น.
1 ตอน
1 วิจารณ์
2,811 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 มกราคม พ.ศ. 2562 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“รู้สึกอย่างไรบ้าง คิริเอะคุง”
อายาโนะฟังเสียงเม็ดฝนกระทบหน้าต่างอย่างเหม่อลอย เบนสายตาไปยังเสียงนั้นด้วยใบหน้าซึมเศร้า ผู้ชายสูงวัยในชุดขาว รูปร่างสมส่วนแต่ไม่ได้สูงมากนัก เขาจ้องมองอายาโนะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชายผู้แนะนำตัวเองว่าเป็นหัวหน้าสถาบันวิจัยของอาคารแห่งนี้ เรียกอายาโนะว่าคิริเอะอย่างต่อเนื่องไม่ลดละ ช่วงแรกเธอแก้ทุกครั้งที่เขาเรียก แต่พักนี้เบื่อจนไม่ปฏิเสธแล้ว
“ยังแย่สุดๆ เหมือนเดิม”
ไม่ว่าอายาโนะจะทำกิริยาเลวร้ายกี่ครั้ง แต่ผู้ชายท่าทางสุขุมคนนี้ก็เอาแต่ยิ้มอย่างสบายๆ แล้วทำเมินไป ความหยิ่งทะนงไม่แคร์ความคิดใครนั้นคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแมดไซแอนทิสต์กระมัง ถ้าเป็นตนเองละก็คงจะหงุดหงิดกับการถูกผู้หญิงอายุน้อยกว่าทำเย็นชาใส่อย่างต่อเนื่องเป็นแน่
“ได้เวลาให้นมแล้วนะ เด็กร้องไห้คิดถึงแม่จะแย่แล้ว”
โกหก อยากตะโกนออกไปอย่างนั้น แต่ที่ยังอดทนไม่ทำอยู่ได้ ก็เพราะเด็กทารกอายุสามเดือนที่พยาบาลส่งมาให้จ้องมองตนเองแล้วยิ้มอย่างร่าเริง
การปฏิเสธรอยยิ้มบริสุทธิ์อันไร้เดียงสาอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากสำหรับมนุษย์ก็เป็นได้ โดยเฉพาะกับตัวเธอ ผู้เป็นแม่ที่ต้องตายจากทารกน้อยซึ่งเพิ่งคลอดได้เพียงสองเดือน
ตอนนั้นเอง อายาโนะผุดรอยยิ้มที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง พยาบาลที่ส่งทารกน้อยมาให้รู้สึกถึงสีหน้าเช่นนั้นจึงขมวดคิ้วอย่างสงสัย หันไปถามชายคนนั้น
“เป็นอะไรไปนะ”
“ก็ไม่นี่”
——แค่คิดจะเอ่ยปากพูดเรื่องตายจากกัน แต่ตัวเราที่ตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ นึกๆ แล้วก็เหมือนโครงเรื่องละครลึกลับอย่างไรอย่างนั้น
อยากจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่อย่างไรเสียผู้ชายคนนั้นก็คงยิ้มแล้วทำเมินไม่สนใจอยู่ดี เธอจึงไม่ได้พูดอะไร
อายาโนะรับเด็กทารกมาแล้วหันหลังให้พวกเขา ปลดด้านหน้าของชุดผู้ป่วยออกแล้วป้อนนมให้ทารก เมื่อได้เห็นเด็กทารกดูดนมอย่างร่าเริงแล้วก็ให้รู้สึกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์พัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่พฤติกรรมเอาชีวิตรอดของมนุษย์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป ความรู้สึกที่ถูกดูดนมอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น จะสมัยก่อนหรือตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน
ของเหลวสีขาวผุดเป็นฟองแล้วไหลออกมาจากริมฝีปากแดงเล็กของทารก ในอนาคตตอนนี้นับจากที่ตนเองตายไปได้เกือบหนึ่งร้อยปี ไม่ว่าการให้นมแบบสังเคราะห์จะพัฒนาไปถึงไหน แต่การให้นมแม่นั้นยังคงได้รับการสงวนอยู่
เธอฟื้นคืนชีพขึ้นมาในยุคนี้ยังไม่ถึงสี่วัน แต่อายาโนะเข้าใจสภาพโดยคร่าวๆ ของยุคนี้แล้ว ถึงเธอจะไม่รู้รายละเอียดดี แต่ก็พอจะดึงเอาข้อมูลจากสมองของคิริเอะได้ สมองที่มีข้อมูลเก็บไว้เป็นจำนวนมากช่วยให้คำตอบในสิ่งที่เธอสงสัยเท่าที่มันจะสามารถทำได้ คิริเอะคงจะเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากทีเดียว
อายาโนะให้เด็กทารกดูดนม พลางเบนสายตามองเหม่อครุ่นคิดไปยังนอกหน้าต่าง ต่อให้บอกว่าร่างเนื้อที่เก่งกว่าตัวเองมากร่างนี้คือเหลนของตนเอง แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
※※※※
ชายสูงวัยที่อายาโนะเรียกว่าแมดไซเอนทิสต์นั้นถามเธอเช่นนี้เมื่อได้พบกันครั้งแรก
‘ที่ฉันอยากรู้ก็คือเธอสามารถใช้มันสมองของโอกาซาวาระคุง——คิริเอะคุงได้หรือเปล่า เข้าใจไหม? เธอเข้าใจยุคนี้หรือเปล่านะ?’
ไม่เข้าใจเลยว่าคำถามนั้นหมายความว่าอย่างไร——คิริเอะนี่ใครกัน แล้วมันสมองเล่า กับคำว่ายุคนี้อีก
ปากที่พยายามจะถามกลับนั้นแข็งทื่อขึ้นมากะทันหัน เพราะจู่ๆ ข้อมูลต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวโดยอัตโนมัติ
ปัจจุบันคือปี 2114 เป็นอนาคตอันห่างไกลจากปี 2017 ที่ตนเองใช้ชีวิตอยู่ ในยุคนี้มีโรคประหลาดที่ร่างกายยังสมบูรณ์แข็งแรง แต่วิญญาณกลับตายไประบาดอยู่ วิธีที่จะช่วยให้รอดพ้นจากโรคนี้เพียงวิธีเดียว ก็คือการปลูกถ่ายวิญญาณจากคนอื่น——
ความรู้ที่ไม่น่าจะมีอยู่นั้นกลายเป็นน้ำตกกลืนกินอายาโนะ อาการปวดอย่างรุนแรงเข้าปะทะกับศีรษะ——ราวกับถูกทุบด้วยค้อน——แต่ไม่ได้ถูกทุบในความเป็นจริง เธอร้องครางพลางกดใบหน้าลงไปกับเตียงแล้วดึงทึ้งศีรษะ
การคิดอะไรมากเกินไปกว่านี้จะเป็นอันตราย ระหว่างที่เธอพยายามหยุดคิดนั้น ถึงความรู้จะยังไม่หยุดเหมือนคลื่นที่ซัดโถมเข้าหาหาดทราย แต่อาการปวดหัวแทบตายนั้นเริ่มหายไป
เมื่อเห็นท่าทางทรมานของอายาโนะ ชายชุดขาวก็ถอนหายใจ
‘ดูเหมือนเธอจะใช้มันสมองได้ไม่ค่อยดีนะ เธอน่าจะต้องใช้เวลายอมรับชีวิตของคิริเอะคุง จงพักผ่อนเสียเถอะ’
อายาโนะคิดได้ในภายหลังอย่างจริงจังว่าน่าจะเหวี่ยงคำพูดถากถางใส่เขาตอนหันหลังเดินกลับไปสักคำหนึ่งก็ยังดี ตอนนั้นเธอยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงทำได้เพียงแค่ร้องครางแล้วมองเขาเดินจากไป
หลังจากนั้นมา อายาโนะก็ถูกขังเอาไว้ในห้องสีขาวไร้ชีวิตชีวาห้องนี้ นอกจากให้นมเด็กทารกลูกของคิริเอะตามเวลาที่กำหนด และรับการตรวจวันละครั้งแล้ว ทุกวันเธอจะดึงเอาความทรงจำออกจากสมองแล้วเรียนรู้เรื่องราวในยุคนี้
เพียงแต่หากข้อมูลที่เธอดึงออกมาในหนึ่งครั้งมีปริมาณมากเกินไป สติของเธอจะหลุดลอย เพราะฉะนั้นเธอจึงย่อยความรู้อย่างละเอียด กลืนลงไปแล้วดูดซับมันราวกับกำลังลิ้มรสชาติอย่างช้าๆ ถึงแม้เธอจะยังไม่เข้าใจรายละเอียด แต่ก็ไม่มีคำถามว่า ‘ที่นี่คือที่ไหน? แล้วตัวฉันเป็นใคร?’ อีกแล้ว
ช่วงเวลาแบบนี้สำหรับอายาโนะที่ไม่ชอบการเรียนแล้วมันคือความทรมาน แต่น่าประหลาดที่ผ่านไปสักพักก็เกิดความรู้สึกดีใจที่ได้เรียนรู้ จากที่แมดไซเอนทิสต์อธิบาย ดูเหมือนว่าสมองของคิริเอะที่เคยเป็นนักวิจัยของสถาบันวิจัยนี้ จะมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของอายาโนะด้วย
“ระดับมันสมองมันต่างกันน่ะสิ น่าอิจฉาจัง” อายาโนะรู้สึกอคติเล็กน้อย พลางดึงเอาความทรงจำในสมองออกมาอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างนั้นเอง ที่เธอเริ่มต้องการการปลอบประโลมจากโคสึเอะ ลูกสาวของคิริเอะ
ในชาติที่แล้ว อายาโนะเป็นแม่ของเด็กทารกหญิงอายุสองเดือน ลูกของคิริเอะนั้น นอกจากจะเป็นลูกสาวเหมือนกันแล้วยังอายุสามเดือนไล่เลี่ยกันอีก จึงไม่แปลกอะไรที่หัวใจอันเปล่าเปลี่ยวจะส่งผลให้เธอเห็นภาพของทั้งสองทับซ้อนกัน
ตรงกันข้ามกับความโศกเศร้าที่ได้แสดงความรักกับลูกสาวของตนเพียงแค่สองเดือน เธอรู้สึกรักโคสึเอะขึ้นมาจากใจ ช่วงเวลาที่ได้สัมผัสผิวกายกันอย่างการนวดเด็กทารกนั้นเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ การเล่นกับลูกช่วยให้เธอลืมสิ่งรอบข้างในระหว่างนั้นไปได้
แต่ช่วงเวลาอันอบอุ่นนี้จะจบลงอีกไม่นาน อายาโนะได้ยินมาว่าหากการตรวจทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว เธอจะต้องออกจากอาคารแห่งนี้แล้วกลับบ้าน
กลับไปหาคู่ครองของคิริเอะ
กลับไปยังบ้านที่พ่อของโคสึเอะเฝ้ารอให้เธอกลับไป
ทุกครั้งที่คิดเรื่องนั้น ก็เกิดความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวขึ้นมาในร่างกาย นั่นคือความยินดีของคิริเอะ และความหวาดหวั่นของอายาโนะ
※※※※
วันออกจากโรงพยาบาล อายาโนะอุ้มเด็กทารกโคสึเอะไว้แนบอก นั่งลงบนเก้าอี้ในห้องผู้ป่วยอย่างเกียจคร้าน เธอเข้าโรงพยาบาลถึงหนึ่งสัปดาห์ จึงมีสัมภาระในห้องค่อนข้างเยอะ อายาโนะมองแผ่นหลังกว้างของผู้ชายที่เก็บสัมภาระพวกนั้นลงในกระเป๋าบอสตันและถุงกระดาษอยู่เงียบๆ
สามีของคิริเอะ รู้สึกว่าจะชื่อโอกาซาวาระ ชู เมื่ออายาโนะซึ่งถูกช่วงชิงดวงวิญญาณมายังโลกอนาคตฟื้นขึ้นมาในฐานะคิริเอะ เขามีสีหน้าเกือบจะร้องไห้ออกมา จ้องมองอายาโนะ——ซึ่งสำหรับเขาคือคิริเอะ——อย่างดีใจ แต่ในตอนนี้เล่า เขาเก็บของด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ราวกับจะบอกว่าไม่เคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาก่อน
เมื่อเขาเข้าใจแล้วว่าบุคลิกของภรรยาได้หายไป ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เข้ามาในห้องพักผู้ป่วยเฉพาะช่วงเวลาที่อายาโนะหลับ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ได้พบหน้าชูมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ปกติเขาคงไม่ใช่คนช่างพูด คงจะเป็นพวกที่ลงมือทำมากกว่าพูดกระมัง
แต่เขาน่าจะยิ้มให้คุณคิริเอะบ้างสิ อายาโนะลองค้นหาความทรงจำในสมอง พยายามลองมองดูความทรงจำของเธอและชู แต่กลับถูกอาการปวดหัวเล็กน้อยเข้าจู่โจมจนไม่สามารถค้นหาได้ ทั้งที่ดึงเอาความทรงจำเก่าๆ ของคิริเอะออกมาได้แท้ๆ แต่เมื่อเทียบกันแล้วช่วงเวลาใหม่ๆ——ตั้งแต่ช่วงที่ได้พบกับชูจนคิริเอะเสียชีวิตไปนั้น——หากเธอพยายามจะดูความทรงจำ ก็จะถูกอาการปวดหัวไม่ทราบสาเหตุเข้ามาขัดขวาง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความทรงจำที่นึกออกได้อย่างเลือนราง ชูในอดีตที่ผุดขึ้นมานั้นมีรอยยิ้ม มองคิริเอะด้วยใบหน้าสงบและสายตาที่อ่อนโยน
——อ้าว ก็ยิ้มเป็นนี่นา
วินาทีที่คิดเช่นนั้นเอง ท้องช่วงล่างก็ปวดหนึบ พร้อมกันนั้น เธอรู้สึกแสบร้อนราวถูกเผาอยู่ในอก รู้สึกว่าแก้มมีสีแดงแต้มเล็กน้อยกับความรู้สึกอันคุ้นชินนั้น เธอปิดบังหน้าตาตนเองด้วยความเขินอาย
เมื่อคิดถึงชูแล้วเธอจะรู้สึกสับสน ทั้งที่มีความรู้สึกหวาดกลัวที่จะต้องกลายเป็นภรรยาของชายที่ไม่รู้จัก แต่กลับรู้สึกปรารถนา มีแม้กระทั่งบางครั้งที่มีความคิดตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง เช่น อยากจะกอดเขาผุดขึ้นมา เธอพ่นลมหายใจแฝงความวาบหวามออกมาเบาๆ เพื่อปัดความรู้สึกนั้นออกไป
อายาโนะในชาติที่แล้วมีสามีที่เพิ่งจะแต่งงานกันยังไม่ถึงสองปี ถึงจะถูกบังคับให้เป็นภรรยาของผู้ชายอีกคน แต่ความรู้สึกของเธอก็ไม่เปลี่ยน ตอนที่มีความรู้สึกด้านลบน่ารังเกียจชวนหงุดหงิดเหมือนแก๊สพิษ ชูก็หันกลับมาสบตากับเธอเข้าพอดี อายาโนะค่อนข้างสับสน
“จะขนของไปไว้ที่รถนะ”
“อะ อา อื้ม ...ฝากด้วยนะคะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สนทนากันหรือเปล่านะ อายาโนะคิด ยิ่งไปกว่านั้น การถูกใบหน้าได้รูปนั้นจ้องมองทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้จนอยู่ไม่สุข
เธอผินหน้าลอบมองกระจกที่ติดไว้ทั้งที่ยังอุ้มโคสึเอะอยู่ ใบหน้างามที่คุ้นชินแล้วในหนึ่งสัปดาห์มานี้จ้องมองตนเองกลับมา
เธอไม่เคยหลงตัวเองว่าใบหน้าของตนน่ารัก แต่ยอมรับอย่างซื่อตรงว่ารูปร่างหน้าตาของคิริเอะนั้นน่ารักไร้ที่ติ เหมาะสมกับที่ชายคนนี้เลือกเป็นคู่ครองจริงๆ ดวงตากลมโตและสันจมูกโด่งสมดุล ผิวเนียนละเอียด ริมฝีปากสีแดงเล็ก ได้ยินมาว่าคิริเอะอายุสามสิบนิดๆ แต่จากมุมมองของอายาโนะที่อายุยี่สิบแปดแล้วเธอยังดูอ่อนเยาว์ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง
——ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงสวยน่ารักคนนี้จะเป็นเหลนของตนเอง แถมยังมีมันสมองฉลาดยอดเยี่ยมอีกด้วย
เพียบพร้อมทั้งความงามและความฉลาดคงหมายถึงผู้หญิงแบบนี้กระมัง ทั้งที่เป็นเหลนต่อจากเธอสามรุ่น แต่มีสายเลือดของใครผสมเข้าไปกันนะถึงได้ออกมาเป็นคนแบบนี้ มองไม่เห็นเค้าโครงของตนเองในตัวผู้หญิงคนนี้เลย
อายาโนะค่อนข้างผิดหวัง หากพบส่วนประกอบที่ทำให้นึกถึงตนเองออกสักอย่างละก็ อาจจะทำให้เธอเกิดความรู้สึกยอมรับสภาพแวดล้อมนี้ก็เป็นได้
เมื่อเธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“——คิริเอะ!”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังเรียกเธอจนสะดุ้ง เธอกอดเด็กทารกในอ้อมอกแน่นจากปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติจนมีเสียงขัดขืนดังแอ๊ะขึ้นมา
“อ๊ะ ขอโทษนะจ๊ะ ไม่ร้องนะ โอ๋ๆ”
เธอเขย่าปลอบเด็กทารกด้วยจังหวะเฉพาะของคนเป็นแม่ เด็กตัวเล็กกลับไปยังโลกแห่งความฝันอย่างรวดเร็ว
โล่งอกไปที เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเบนสายตาไปยังประตู ชูกำลังตาค้างอยู่
“...มีอะไรเหรอคะ?”
มาตะโกนเสียงดังในโรงพยาบาลแบบนี้ แถมยังเรียกตนเองว่าคิริเอะเสียอีก แน่นอนว่ารูปร่างหน้าตาของเธอในตอนนี้คือคิริเอะ แต่เธอยังคงสงสัยในเสียงกดดันของเขา
“คุณทำตัวเหมือนคิริเอะ...ผมเลยส่งเสียงออกมา ขอโทษที”
“ฉันทำอะไรอย่างนั้นหรือคะ?”
เมื่ออายาโนะเอียงคออย่างสงสัย ชูก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าท่าทางชอบเล่นผมนั้นจะเหมือนกับนิสัยของคิริเอะ เธอมีนิสัยชอบใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับผมด้านข้าง แล้วใช้นิ้วลูบช่อผมเส้นเล็กละเอียดนั้น
ชูพูดออกมาเพียงเท่านั้น แล้วกลับไปเป็นสีหน้าไร้ความรู้สึกและท่าทีเย็นชาเช่นเดิม
“ไปกันเถอะ”
เขาหันกลับแล้วเดินออกไปโดยที่ไม่รอคำตอบ ทำให้อายาโนะรีบเดินตามหลังเขาไป
เมื่อเธอเกิดความรู้สึกไม่พอใจที่เขาเป็นผู้ชายเย็นชา ความทรงจำของคิริเอะก็ผุดขึ้นมาในสมองอย่างไม่ตั้งใจ นั่นคือด้านที่เธอกำลังดีใจเมื่อเขาอ่อนโยนกับเธอ ความรู้สึกอบอุ่นลอยขึ้นมาแม้กระทั่งในใจของอายาโนะ
——เขาเป็นคนอ่อนโยน บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกับเธอในตอนนี้อย่างไรเท่านั้นเอง
คนที่ยังยอมรับสภาพนี้ไม่ได้ไม่ใช่แค่เธอ อายาโนะเดินตามแผ่นหลังกว้างใหญ่นั้น พลางรู้สึกวิตกกังวลกับการใช้ชีวิตหลังจากนี้
※※※※
ช่วงหลังศตวรรษที่ 21 มีโรคไม่ทราบสาเหตุระบาดในเด็กทารกแรกตั้งแต่แรกเกิดถึงสามขวบ เป็นโรคประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว โดยด้านร่างกายนั้นยังแข็งแรงไม่เจ็บป่วย มีเพียงจิตใจเท่านั้นที่ตายลงจนวิญญาณดับสูญ เรียกว่า ‘โรคลูด็องก์’ ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของผู้ค้นพบโรค
เด็กที่อายุยังไม่ครบสามขวบจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ถึงกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และมีโอกาสเสียชีวิตสูงเกินกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เช่นกัน ยังไม่มีการคิดค้นยารักษาหรือป้องกันโรคประหลาดนี้ได้ หลังจากเด็กทารกที่เป็นโรคนี้อยู่ในสภาพเป็นผักไม่กี่วันก็จะเสียชีวิต แม้จะมีเด็กที่รอดชีวิตปาฏิหาริย์ แต่ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงสาเหตุที่หายจากอาการป่วย
ทว่าน่าประหลาดที่เมื่ออายุเกินสามขวบไปแล้ว โอกาสที่จะเป็นโรคก็จะลดต่ำลงอย่างมาก เพราะเหตุนี้จึงมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ประชากรเด็กบนโลกลดฮวบลง รัฐบาลของแต่ละประเทศต่างอัดฉีดงบประมาณเพื่อวิจัยโรคลูด็องก์ ผลที่ได้คือวิธีการรักษาที่ได้จากวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สาขาการแพทย์ แต่กลับเป็นวิธีการประหลาดที่ใช้การปลูกถ่ายวิญญาณของคนอื่นที่ดึงมาจากอดีตหลังจากเสียชีวิตทันทีนั่นเอง
...อายาโนะที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับฟังเสียงของชูเล่าผ่านๆ จ้องมองไปด้านนอกหน้าต่างหน้ารถ
มันเป็นเมืองที่เขียวขจี จากความทรงจำของคิริเอะแล้ว ที่นี่คืออำเภออาซึมิโนะในจังหวัดนางาโนะ เธอผู้เคยทำงานในสถาบันวิจัยอาซึมิโนะที่ทำการวิจัยโรคลูด็องก์ แต่งงานกับชูซึ่งทำงานในโรงกลั่นไวน์ท้องถิ่นแล้วจึงมาเริ่มอาศัยอยู่ที่นี่ พื้นที่ซึ่งถูกหักร้างถางพงนี้เป็นเขตที่อยู่อาศัยซึ่งมีการจัดการเป็นระบบ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรูหราอยู่เลย อาคารที่เหมือนเป็นแมนชั่นนั้นอย่างมากก็มีเพียงแค่สี่ชั้น
ต้นไม้และไม้ปลูกที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งส่งกลิ่นหอมสดชื่น มีสถานที่ที่เหมือนกับสวนสาธารณะเล็กๆ อยู่ทั่วไป หญ้าอ่อนนั้นสีเขียวสดจนรู้สึกแสบตา เมื่อเปิดหน้าต่าง ลมเดือนพฤษภาคมอันชุ่มชื้นก็ลูบไล้ใบหน้าของอายาโนะอย่างอ่อนโยน
ได้ยินมาว่าในยุคนี้ ฤดูกาลทั้งสี่ได้หายไปแล้ว ราวปลายเดือนมีนาคมอุณหภูมิจะสูงขึ้น แล้วเข้าช่วงฤดูฝนจนถึงปลายเดือนกรกฎาคม ฝนปรอยจะยึดครองท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสในช่วงต้นฤดูร้อนของเดือนพฤษภาคม
อายาโนะจ้องมองท้องฟ้าใสพลางรู้สึกวิตกกังวล สำหรับตัวเธอที่เคยอาศัยอยู่โตเกียวแล้ว รู้สึกไม่สบายใจเลยที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งเธอไม่เคยเยือนมาก่อน สีเขียวขจีกลับทำให้เธอรู้สึกประหม่า
ผู้ชายที่นั่งข้างๆ คงสังเกตได้ถึงอาการถอนหายใจเบาๆ จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบูดบึ้งว่า “นี่ฟังอยู่หรือเปล่า”
อายาโนะได้สติกลับมาสู่ความจริง ที่จริงแล้วเธอไม่ค่อยได้ฟัง แต่เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังพูดถึงโรคลูด็องก์อยู่
“...ฟังสิคะ เรื่องโรคลูด็องก์ใช่ไหม แมดไซเอนทิสต์เล่าให้ฉันฟังแล้วล่ะค่ะ”
“แมดไซเอนทิสต์เหรอ?”
“คุณหัวหน้าที่สถาบันวิจัยน่ะค่ะ เขาบอกว่าเป็นเจ้านายของคุณคิริเอะ”
“อ้อ หัวหน้าโอคาวะสินะ”
“ค่ะ ถึงจะไม่บอกเรื่องโรคประหลาด แต่ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่แล้ว”
วินาทีต่อมา เขาเหยียบเบรคกะทันหันจนเกือบจะหน้าทิ่ม ถึงจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ แต่เมื่อรถจอดบนไหล่ทาง อายาโนะก็รีบหันไปยังที่นั่งด้านหลังอย่างลนลาน เพราะคาร์ซีทสำหรับเด็กทารกติดตั้งเอาไว้ที่เบาะด้านหลังของที่นั่งคนขับ เธอเป็นห่วงว่าการเบรคเมื่อกี้นี้จะทำให้เด็กเป็นอะไรไปหรือไม่ แต่เด็กน้อยยังคงหลับสบายในคาร์ซีทแบบนอนราบนั้น
คาร์ซีทในยุคนี้ค่อนข้างแตกต่างกับสินค้าในยุคศตวรรษที่ 21 ตอนต้นที่อายาโนะเคยมีชีวิตอยู่ เบาะนั่งในรถเปลี่ยนเป็นเตียงนอนสำหรับเด็ก ดูเหมือนว่าโชว์รูมจะมีหน้าที่เพิ่มเติมคือการเอาที่นั่งออกแล้วเปลี่ยนเป็นเตียงแบบเฉพาะด้วย
อายาโนะตกใจเมื่อได้เห็นด้านในรถครั้งแรก เธอพยายามอดทนต่ออาการปวดหัวแล้วดึงเอาข้อมูลของหนังสือคู่มือการใช้งานคาร์ซีทสำหรับเด็กที่คิริเอะเคยอ่านออกมาจากในหัว
อายาโนะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจเมื่อเห็นว่าเด็กยังคงปลอดภัยดี แล้วเธอก็ตระหนักถึงสายตาที่กำลังมองตนเองอย่างสงสัย ชูกำลังจ้องมองอายาโนะเขม็งด้วยสายตาที่น่ากลัว
“เอ่อ มีอะไรเหรอคะ...”
“เธอมีความทรงจำทุกอย่างของคิริเอะอย่างนั้นหรือ?”
“เอ๋ อะ ค่ะ...เอ่อ ไม่ค่ะ”
“แบบไหนกันแน่”
“ก็น่าจะมีนะคะ แต่มีอาการปวดหัวเข้ามาขวางทุกทีจนนึกไม่ออก ว่าแต่คุณไม่ได้ฟังที่เขาอธิบายเกี่ยวกับฉันเลยหรือคะ?”
เรื่องที่วิญญาณของคิริเอะได้ตายไปแล้ว และเรื่องที่อายาโนะเข้ามายึดร่างเนื้อของเธอไป
เขาไม่ได้ฟังมาจริงๆ หรือ เธอจ้องมองชูอย่างเป็นกังวล สักพักหนึ่งเขาจึงกลับไปนั่งท่าเดิม กดหน้าจอทัชสกรีนแล้วออกรถ
รถในยุคนี้ทั้งหมดเป็นแบบขับเคลื่อนด้วยตนเอง——มันวิ่งด้วยระบบออโตไดรฟ์วิงของปัญญาประดิษฐ์——คอมพิวเตอร์จะเลือกความเร็วที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุดให้ แล้วเคลื่อนที่ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง เพราะฉะนั้นจึงสามารถนั่งมองหน้าคุยกันได้ แต่หลังจากนั้นชูก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก ท่าทีแบบนั้นทำให้อายาโนะรู้สึกขุ่นมัว
-- อ่านต่อได้ที่ bit.ly/2CZUcBt --
ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่
https://www.facebook.com/xiaobei.fiction
อายาโนะฟังเสียงเม็ดฝนกระทบหน้าต่างอย่างเหม่อลอย เบนสายตาไปยังเสียงนั้นด้วยใบหน้าซึมเศร้า ผู้ชายสูงวัยในชุดขาว รูปร่างสมส่วนแต่ไม่ได้สูงมากนัก เขาจ้องมองอายาโนะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ชายผู้แนะนำตัวเองว่าเป็นหัวหน้าสถาบันวิจัยของอาคารแห่งนี้ เรียกอายาโนะว่าคิริเอะอย่างต่อเนื่องไม่ลดละ ช่วงแรกเธอแก้ทุกครั้งที่เขาเรียก แต่พักนี้เบื่อจนไม่ปฏิเสธแล้ว
“ยังแย่สุดๆ เหมือนเดิม”
ไม่ว่าอายาโนะจะทำกิริยาเลวร้ายกี่ครั้ง แต่ผู้ชายท่าทางสุขุมคนนี้ก็เอาแต่ยิ้มอย่างสบายๆ แล้วทำเมินไป ความหยิ่งทะนงไม่แคร์ความคิดใครนั้นคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแมดไซแอนทิสต์กระมัง ถ้าเป็นตนเองละก็คงจะหงุดหงิดกับการถูกผู้หญิงอายุน้อยกว่าทำเย็นชาใส่อย่างต่อเนื่องเป็นแน่
“ได้เวลาให้นมแล้วนะ เด็กร้องไห้คิดถึงแม่จะแย่แล้ว”
โกหก อยากตะโกนออกไปอย่างนั้น แต่ที่ยังอดทนไม่ทำอยู่ได้ ก็เพราะเด็กทารกอายุสามเดือนที่พยาบาลส่งมาให้จ้องมองตนเองแล้วยิ้มอย่างร่าเริง
การปฏิเสธรอยยิ้มบริสุทธิ์อันไร้เดียงสาอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากสำหรับมนุษย์ก็เป็นได้ โดยเฉพาะกับตัวเธอ ผู้เป็นแม่ที่ต้องตายจากทารกน้อยซึ่งเพิ่งคลอดได้เพียงสองเดือน
ตอนนั้นเอง อายาโนะผุดรอยยิ้มที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง พยาบาลที่ส่งทารกน้อยมาให้รู้สึกถึงสีหน้าเช่นนั้นจึงขมวดคิ้วอย่างสงสัย หันไปถามชายคนนั้น
“เป็นอะไรไปนะ”
“ก็ไม่นี่”
——แค่คิดจะเอ่ยปากพูดเรื่องตายจากกัน แต่ตัวเราที่ตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ นึกๆ แล้วก็เหมือนโครงเรื่องละครลึกลับอย่างไรอย่างนั้น
อยากจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่อย่างไรเสียผู้ชายคนนั้นก็คงยิ้มแล้วทำเมินไม่สนใจอยู่ดี เธอจึงไม่ได้พูดอะไร
อายาโนะรับเด็กทารกมาแล้วหันหลังให้พวกเขา ปลดด้านหน้าของชุดผู้ป่วยออกแล้วป้อนนมให้ทารก เมื่อได้เห็นเด็กทารกดูดนมอย่างร่าเริงแล้วก็ให้รู้สึกประหลาด ไม่ว่าจะเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์พัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่พฤติกรรมเอาชีวิตรอดของมนุษย์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป ความรู้สึกที่ถูกดูดนมอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น จะสมัยก่อนหรือตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน
ของเหลวสีขาวผุดเป็นฟองแล้วไหลออกมาจากริมฝีปากแดงเล็กของทารก ในอนาคตตอนนี้นับจากที่ตนเองตายไปได้เกือบหนึ่งร้อยปี ไม่ว่าการให้นมแบบสังเคราะห์จะพัฒนาไปถึงไหน แต่การให้นมแม่นั้นยังคงได้รับการสงวนอยู่
เธอฟื้นคืนชีพขึ้นมาในยุคนี้ยังไม่ถึงสี่วัน แต่อายาโนะเข้าใจสภาพโดยคร่าวๆ ของยุคนี้แล้ว ถึงเธอจะไม่รู้รายละเอียดดี แต่ก็พอจะดึงเอาข้อมูลจากสมองของคิริเอะได้ สมองที่มีข้อมูลเก็บไว้เป็นจำนวนมากช่วยให้คำตอบในสิ่งที่เธอสงสัยเท่าที่มันจะสามารถทำได้ คิริเอะคงจะเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากทีเดียว
อายาโนะให้เด็กทารกดูดนม พลางเบนสายตามองเหม่อครุ่นคิดไปยังนอกหน้าต่าง ต่อให้บอกว่าร่างเนื้อที่เก่งกว่าตัวเองมากร่างนี้คือเหลนของตนเอง แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
※※※※
ชายสูงวัยที่อายาโนะเรียกว่าแมดไซเอนทิสต์นั้นถามเธอเช่นนี้เมื่อได้พบกันครั้งแรก
‘ที่ฉันอยากรู้ก็คือเธอสามารถใช้มันสมองของโอกาซาวาระคุง——คิริเอะคุงได้หรือเปล่า เข้าใจไหม? เธอเข้าใจยุคนี้หรือเปล่านะ?’
ไม่เข้าใจเลยว่าคำถามนั้นหมายความว่าอย่างไร——คิริเอะนี่ใครกัน แล้วมันสมองเล่า กับคำว่ายุคนี้อีก
ปากที่พยายามจะถามกลับนั้นแข็งทื่อขึ้นมากะทันหัน เพราะจู่ๆ ข้อมูลต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวโดยอัตโนมัติ
ปัจจุบันคือปี 2114 เป็นอนาคตอันห่างไกลจากปี 2017 ที่ตนเองใช้ชีวิตอยู่ ในยุคนี้มีโรคประหลาดที่ร่างกายยังสมบูรณ์แข็งแรง แต่วิญญาณกลับตายไประบาดอยู่ วิธีที่จะช่วยให้รอดพ้นจากโรคนี้เพียงวิธีเดียว ก็คือการปลูกถ่ายวิญญาณจากคนอื่น——
ความรู้ที่ไม่น่าจะมีอยู่นั้นกลายเป็นน้ำตกกลืนกินอายาโนะ อาการปวดอย่างรุนแรงเข้าปะทะกับศีรษะ——ราวกับถูกทุบด้วยค้อน——แต่ไม่ได้ถูกทุบในความเป็นจริง เธอร้องครางพลางกดใบหน้าลงไปกับเตียงแล้วดึงทึ้งศีรษะ
การคิดอะไรมากเกินไปกว่านี้จะเป็นอันตราย ระหว่างที่เธอพยายามหยุดคิดนั้น ถึงความรู้จะยังไม่หยุดเหมือนคลื่นที่ซัดโถมเข้าหาหาดทราย แต่อาการปวดหัวแทบตายนั้นเริ่มหายไป
เมื่อเห็นท่าทางทรมานของอายาโนะ ชายชุดขาวก็ถอนหายใจ
‘ดูเหมือนเธอจะใช้มันสมองได้ไม่ค่อยดีนะ เธอน่าจะต้องใช้เวลายอมรับชีวิตของคิริเอะคุง จงพักผ่อนเสียเถอะ’
อายาโนะคิดได้ในภายหลังอย่างจริงจังว่าน่าจะเหวี่ยงคำพูดถากถางใส่เขาตอนหันหลังเดินกลับไปสักคำหนึ่งก็ยังดี ตอนนั้นเธอยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงทำได้เพียงแค่ร้องครางแล้วมองเขาเดินจากไป
หลังจากนั้นมา อายาโนะก็ถูกขังเอาไว้ในห้องสีขาวไร้ชีวิตชีวาห้องนี้ นอกจากให้นมเด็กทารกลูกของคิริเอะตามเวลาที่กำหนด และรับการตรวจวันละครั้งแล้ว ทุกวันเธอจะดึงเอาความทรงจำออกจากสมองแล้วเรียนรู้เรื่องราวในยุคนี้
เพียงแต่หากข้อมูลที่เธอดึงออกมาในหนึ่งครั้งมีปริมาณมากเกินไป สติของเธอจะหลุดลอย เพราะฉะนั้นเธอจึงย่อยความรู้อย่างละเอียด กลืนลงไปแล้วดูดซับมันราวกับกำลังลิ้มรสชาติอย่างช้าๆ ถึงแม้เธอจะยังไม่เข้าใจรายละเอียด แต่ก็ไม่มีคำถามว่า ‘ที่นี่คือที่ไหน? แล้วตัวฉันเป็นใคร?’ อีกแล้ว
ช่วงเวลาแบบนี้สำหรับอายาโนะที่ไม่ชอบการเรียนแล้วมันคือความทรมาน แต่น่าประหลาดที่ผ่านไปสักพักก็เกิดความรู้สึกดีใจที่ได้เรียนรู้ จากที่แมดไซเอนทิสต์อธิบาย ดูเหมือนว่าสมองของคิริเอะที่เคยเป็นนักวิจัยของสถาบันวิจัยนี้ จะมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของอายาโนะด้วย
“ระดับมันสมองมันต่างกันน่ะสิ น่าอิจฉาจัง” อายาโนะรู้สึกอคติเล็กน้อย พลางดึงเอาความทรงจำในสมองออกมาอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างนั้นเอง ที่เธอเริ่มต้องการการปลอบประโลมจากโคสึเอะ ลูกสาวของคิริเอะ
ในชาติที่แล้ว อายาโนะเป็นแม่ของเด็กทารกหญิงอายุสองเดือน ลูกของคิริเอะนั้น นอกจากจะเป็นลูกสาวเหมือนกันแล้วยังอายุสามเดือนไล่เลี่ยกันอีก จึงไม่แปลกอะไรที่หัวใจอันเปล่าเปลี่ยวจะส่งผลให้เธอเห็นภาพของทั้งสองทับซ้อนกัน
ตรงกันข้ามกับความโศกเศร้าที่ได้แสดงความรักกับลูกสาวของตนเพียงแค่สองเดือน เธอรู้สึกรักโคสึเอะขึ้นมาจากใจ ช่วงเวลาที่ได้สัมผัสผิวกายกันอย่างการนวดเด็กทารกนั้นเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ การเล่นกับลูกช่วยให้เธอลืมสิ่งรอบข้างในระหว่างนั้นไปได้
แต่ช่วงเวลาอันอบอุ่นนี้จะจบลงอีกไม่นาน อายาโนะได้ยินมาว่าหากการตรวจทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว เธอจะต้องออกจากอาคารแห่งนี้แล้วกลับบ้าน
กลับไปหาคู่ครองของคิริเอะ
กลับไปยังบ้านที่พ่อของโคสึเอะเฝ้ารอให้เธอกลับไป
ทุกครั้งที่คิดเรื่องนั้น ก็เกิดความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวขึ้นมาในร่างกาย นั่นคือความยินดีของคิริเอะ และความหวาดหวั่นของอายาโนะ
※※※※
วันออกจากโรงพยาบาล อายาโนะอุ้มเด็กทารกโคสึเอะไว้แนบอก นั่งลงบนเก้าอี้ในห้องผู้ป่วยอย่างเกียจคร้าน เธอเข้าโรงพยาบาลถึงหนึ่งสัปดาห์ จึงมีสัมภาระในห้องค่อนข้างเยอะ อายาโนะมองแผ่นหลังกว้างของผู้ชายที่เก็บสัมภาระพวกนั้นลงในกระเป๋าบอสตันและถุงกระดาษอยู่เงียบๆ
สามีของคิริเอะ รู้สึกว่าจะชื่อโอกาซาวาระ ชู เมื่ออายาโนะซึ่งถูกช่วงชิงดวงวิญญาณมายังโลกอนาคตฟื้นขึ้นมาในฐานะคิริเอะ เขามีสีหน้าเกือบจะร้องไห้ออกมา จ้องมองอายาโนะ——ซึ่งสำหรับเขาคือคิริเอะ——อย่างดีใจ แต่ในตอนนี้เล่า เขาเก็บของด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ราวกับจะบอกว่าไม่เคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาก่อน
เมื่อเขาเข้าใจแล้วว่าบุคลิกของภรรยาได้หายไป ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เข้ามาในห้องพักผู้ป่วยเฉพาะช่วงเวลาที่อายาโนะหลับ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ได้พบหน้าชูมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ปกติเขาคงไม่ใช่คนช่างพูด คงจะเป็นพวกที่ลงมือทำมากกว่าพูดกระมัง
แต่เขาน่าจะยิ้มให้คุณคิริเอะบ้างสิ อายาโนะลองค้นหาความทรงจำในสมอง พยายามลองมองดูความทรงจำของเธอและชู แต่กลับถูกอาการปวดหัวเล็กน้อยเข้าจู่โจมจนไม่สามารถค้นหาได้ ทั้งที่ดึงเอาความทรงจำเก่าๆ ของคิริเอะออกมาได้แท้ๆ แต่เมื่อเทียบกันแล้วช่วงเวลาใหม่ๆ——ตั้งแต่ช่วงที่ได้พบกับชูจนคิริเอะเสียชีวิตไปนั้น——หากเธอพยายามจะดูความทรงจำ ก็จะถูกอาการปวดหัวไม่ทราบสาเหตุเข้ามาขัดขวาง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความทรงจำที่นึกออกได้อย่างเลือนราง ชูในอดีตที่ผุดขึ้นมานั้นมีรอยยิ้ม มองคิริเอะด้วยใบหน้าสงบและสายตาที่อ่อนโยน
——อ้าว ก็ยิ้มเป็นนี่นา
วินาทีที่คิดเช่นนั้นเอง ท้องช่วงล่างก็ปวดหนึบ พร้อมกันนั้น เธอรู้สึกแสบร้อนราวถูกเผาอยู่ในอก รู้สึกว่าแก้มมีสีแดงแต้มเล็กน้อยกับความรู้สึกอันคุ้นชินนั้น เธอปิดบังหน้าตาตนเองด้วยความเขินอาย
เมื่อคิดถึงชูแล้วเธอจะรู้สึกสับสน ทั้งที่มีความรู้สึกหวาดกลัวที่จะต้องกลายเป็นภรรยาของชายที่ไม่รู้จัก แต่กลับรู้สึกปรารถนา มีแม้กระทั่งบางครั้งที่มีความคิดตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง เช่น อยากจะกอดเขาผุดขึ้นมา เธอพ่นลมหายใจแฝงความวาบหวามออกมาเบาๆ เพื่อปัดความรู้สึกนั้นออกไป
อายาโนะในชาติที่แล้วมีสามีที่เพิ่งจะแต่งงานกันยังไม่ถึงสองปี ถึงจะถูกบังคับให้เป็นภรรยาของผู้ชายอีกคน แต่ความรู้สึกของเธอก็ไม่เปลี่ยน ตอนที่มีความรู้สึกด้านลบน่ารังเกียจชวนหงุดหงิดเหมือนแก๊สพิษ ชูก็หันกลับมาสบตากับเธอเข้าพอดี อายาโนะค่อนข้างสับสน
“จะขนของไปไว้ที่รถนะ”
“อะ อา อื้ม ...ฝากด้วยนะคะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สนทนากันหรือเปล่านะ อายาโนะคิด ยิ่งไปกว่านั้น การถูกใบหน้าได้รูปนั้นจ้องมองทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้จนอยู่ไม่สุข
เธอผินหน้าลอบมองกระจกที่ติดไว้ทั้งที่ยังอุ้มโคสึเอะอยู่ ใบหน้างามที่คุ้นชินแล้วในหนึ่งสัปดาห์มานี้จ้องมองตนเองกลับมา
เธอไม่เคยหลงตัวเองว่าใบหน้าของตนน่ารัก แต่ยอมรับอย่างซื่อตรงว่ารูปร่างหน้าตาของคิริเอะนั้นน่ารักไร้ที่ติ เหมาะสมกับที่ชายคนนี้เลือกเป็นคู่ครองจริงๆ ดวงตากลมโตและสันจมูกโด่งสมดุล ผิวเนียนละเอียด ริมฝีปากสีแดงเล็ก ได้ยินมาว่าคิริเอะอายุสามสิบนิดๆ แต่จากมุมมองของอายาโนะที่อายุยี่สิบแปดแล้วเธอยังดูอ่อนเยาว์ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง
——ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงสวยน่ารักคนนี้จะเป็นเหลนของตนเอง แถมยังมีมันสมองฉลาดยอดเยี่ยมอีกด้วย
เพียบพร้อมทั้งความงามและความฉลาดคงหมายถึงผู้หญิงแบบนี้กระมัง ทั้งที่เป็นเหลนต่อจากเธอสามรุ่น แต่มีสายเลือดของใครผสมเข้าไปกันนะถึงได้ออกมาเป็นคนแบบนี้ มองไม่เห็นเค้าโครงของตนเองในตัวผู้หญิงคนนี้เลย
อายาโนะค่อนข้างผิดหวัง หากพบส่วนประกอบที่ทำให้นึกถึงตนเองออกสักอย่างละก็ อาจจะทำให้เธอเกิดความรู้สึกยอมรับสภาพแวดล้อมนี้ก็เป็นได้
เมื่อเธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“——คิริเอะ!”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังเรียกเธอจนสะดุ้ง เธอกอดเด็กทารกในอ้อมอกแน่นจากปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติจนมีเสียงขัดขืนดังแอ๊ะขึ้นมา
“อ๊ะ ขอโทษนะจ๊ะ ไม่ร้องนะ โอ๋ๆ”
เธอเขย่าปลอบเด็กทารกด้วยจังหวะเฉพาะของคนเป็นแม่ เด็กตัวเล็กกลับไปยังโลกแห่งความฝันอย่างรวดเร็ว
โล่งอกไปที เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเบนสายตาไปยังประตู ชูกำลังตาค้างอยู่
“...มีอะไรเหรอคะ?”
มาตะโกนเสียงดังในโรงพยาบาลแบบนี้ แถมยังเรียกตนเองว่าคิริเอะเสียอีก แน่นอนว่ารูปร่างหน้าตาของเธอในตอนนี้คือคิริเอะ แต่เธอยังคงสงสัยในเสียงกดดันของเขา
“คุณทำตัวเหมือนคิริเอะ...ผมเลยส่งเสียงออกมา ขอโทษที”
“ฉันทำอะไรอย่างนั้นหรือคะ?”
เมื่ออายาโนะเอียงคออย่างสงสัย ชูก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าท่าทางชอบเล่นผมนั้นจะเหมือนกับนิสัยของคิริเอะ เธอมีนิสัยชอบใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้จับผมด้านข้าง แล้วใช้นิ้วลูบช่อผมเส้นเล็กละเอียดนั้น
ชูพูดออกมาเพียงเท่านั้น แล้วกลับไปเป็นสีหน้าไร้ความรู้สึกและท่าทีเย็นชาเช่นเดิม
“ไปกันเถอะ”
เขาหันกลับแล้วเดินออกไปโดยที่ไม่รอคำตอบ ทำให้อายาโนะรีบเดินตามหลังเขาไป
เมื่อเธอเกิดความรู้สึกไม่พอใจที่เขาเป็นผู้ชายเย็นชา ความทรงจำของคิริเอะก็ผุดขึ้นมาในสมองอย่างไม่ตั้งใจ นั่นคือด้านที่เธอกำลังดีใจเมื่อเขาอ่อนโยนกับเธอ ความรู้สึกอบอุ่นลอยขึ้นมาแม้กระทั่งในใจของอายาโนะ
——เขาเป็นคนอ่อนโยน บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกับเธอในตอนนี้อย่างไรเท่านั้นเอง
คนที่ยังยอมรับสภาพนี้ไม่ได้ไม่ใช่แค่เธอ อายาโนะเดินตามแผ่นหลังกว้างใหญ่นั้น พลางรู้สึกวิตกกังวลกับการใช้ชีวิตหลังจากนี้
※※※※
ช่วงหลังศตวรรษที่ 21 มีโรคไม่ทราบสาเหตุระบาดในเด็กทารกแรกตั้งแต่แรกเกิดถึงสามขวบ เป็นโรคประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว โดยด้านร่างกายนั้นยังแข็งแรงไม่เจ็บป่วย มีเพียงจิตใจเท่านั้นที่ตายลงจนวิญญาณดับสูญ เรียกว่า ‘โรคลูด็องก์’ ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อของผู้ค้นพบโรค
เด็กที่อายุยังไม่ครบสามขวบจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ถึงกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และมีโอกาสเสียชีวิตสูงเกินกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เช่นกัน ยังไม่มีการคิดค้นยารักษาหรือป้องกันโรคประหลาดนี้ได้ หลังจากเด็กทารกที่เป็นโรคนี้อยู่ในสภาพเป็นผักไม่กี่วันก็จะเสียชีวิต แม้จะมีเด็กที่รอดชีวิตปาฏิหาริย์ แต่ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงสาเหตุที่หายจากอาการป่วย
ทว่าน่าประหลาดที่เมื่ออายุเกินสามขวบไปแล้ว โอกาสที่จะเป็นโรคก็จะลดต่ำลงอย่างมาก เพราะเหตุนี้จึงมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ประชากรเด็กบนโลกลดฮวบลง รัฐบาลของแต่ละประเทศต่างอัดฉีดงบประมาณเพื่อวิจัยโรคลูด็องก์ ผลที่ได้คือวิธีการรักษาที่ได้จากวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สาขาการแพทย์ แต่กลับเป็นวิธีการประหลาดที่ใช้การปลูกถ่ายวิญญาณของคนอื่นที่ดึงมาจากอดีตหลังจากเสียชีวิตทันทีนั่นเอง
...อายาโนะที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับฟังเสียงของชูเล่าผ่านๆ จ้องมองไปด้านนอกหน้าต่างหน้ารถ
มันเป็นเมืองที่เขียวขจี จากความทรงจำของคิริเอะแล้ว ที่นี่คืออำเภออาซึมิโนะในจังหวัดนางาโนะ เธอผู้เคยทำงานในสถาบันวิจัยอาซึมิโนะที่ทำการวิจัยโรคลูด็องก์ แต่งงานกับชูซึ่งทำงานในโรงกลั่นไวน์ท้องถิ่นแล้วจึงมาเริ่มอาศัยอยู่ที่นี่ พื้นที่ซึ่งถูกหักร้างถางพงนี้เป็นเขตที่อยู่อาศัยซึ่งมีการจัดการเป็นระบบ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรูหราอยู่เลย อาคารที่เหมือนเป็นแมนชั่นนั้นอย่างมากก็มีเพียงแค่สี่ชั้น
ต้นไม้และไม้ปลูกที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งส่งกลิ่นหอมสดชื่น มีสถานที่ที่เหมือนกับสวนสาธารณะเล็กๆ อยู่ทั่วไป หญ้าอ่อนนั้นสีเขียวสดจนรู้สึกแสบตา เมื่อเปิดหน้าต่าง ลมเดือนพฤษภาคมอันชุ่มชื้นก็ลูบไล้ใบหน้าของอายาโนะอย่างอ่อนโยน
ได้ยินมาว่าในยุคนี้ ฤดูกาลทั้งสี่ได้หายไปแล้ว ราวปลายเดือนมีนาคมอุณหภูมิจะสูงขึ้น แล้วเข้าช่วงฤดูฝนจนถึงปลายเดือนกรกฎาคม ฝนปรอยจะยึดครองท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสในช่วงต้นฤดูร้อนของเดือนพฤษภาคม
อายาโนะจ้องมองท้องฟ้าใสพลางรู้สึกวิตกกังวล สำหรับตัวเธอที่เคยอาศัยอยู่โตเกียวแล้ว รู้สึกไม่สบายใจเลยที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งเธอไม่เคยเยือนมาก่อน สีเขียวขจีกลับทำให้เธอรู้สึกประหม่า
ผู้ชายที่นั่งข้างๆ คงสังเกตได้ถึงอาการถอนหายใจเบาๆ จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบูดบึ้งว่า “นี่ฟังอยู่หรือเปล่า”
อายาโนะได้สติกลับมาสู่ความจริง ที่จริงแล้วเธอไม่ค่อยได้ฟัง แต่เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังพูดถึงโรคลูด็องก์อยู่
“...ฟังสิคะ เรื่องโรคลูด็องก์ใช่ไหม แมดไซเอนทิสต์เล่าให้ฉันฟังแล้วล่ะค่ะ”
“แมดไซเอนทิสต์เหรอ?”
“คุณหัวหน้าที่สถาบันวิจัยน่ะค่ะ เขาบอกว่าเป็นเจ้านายของคุณคิริเอะ”
“อ้อ หัวหน้าโอคาวะสินะ”
“ค่ะ ถึงจะไม่บอกเรื่องโรคประหลาด แต่ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่แล้ว”
วินาทีต่อมา เขาเหยียบเบรคกะทันหันจนเกือบจะหน้าทิ่ม ถึงจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ แต่เมื่อรถจอดบนไหล่ทาง อายาโนะก็รีบหันไปยังที่นั่งด้านหลังอย่างลนลาน เพราะคาร์ซีทสำหรับเด็กทารกติดตั้งเอาไว้ที่เบาะด้านหลังของที่นั่งคนขับ เธอเป็นห่วงว่าการเบรคเมื่อกี้นี้จะทำให้เด็กเป็นอะไรไปหรือไม่ แต่เด็กน้อยยังคงหลับสบายในคาร์ซีทแบบนอนราบนั้น
คาร์ซีทในยุคนี้ค่อนข้างแตกต่างกับสินค้าในยุคศตวรรษที่ 21 ตอนต้นที่อายาโนะเคยมีชีวิตอยู่ เบาะนั่งในรถเปลี่ยนเป็นเตียงนอนสำหรับเด็ก ดูเหมือนว่าโชว์รูมจะมีหน้าที่เพิ่มเติมคือการเอาที่นั่งออกแล้วเปลี่ยนเป็นเตียงแบบเฉพาะด้วย
อายาโนะตกใจเมื่อได้เห็นด้านในรถครั้งแรก เธอพยายามอดทนต่ออาการปวดหัวแล้วดึงเอาข้อมูลของหนังสือคู่มือการใช้งานคาร์ซีทสำหรับเด็กที่คิริเอะเคยอ่านออกมาจากในหัว
อายาโนะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจเมื่อเห็นว่าเด็กยังคงปลอดภัยดี แล้วเธอก็ตระหนักถึงสายตาที่กำลังมองตนเองอย่างสงสัย ชูกำลังจ้องมองอายาโนะเขม็งด้วยสายตาที่น่ากลัว
“เอ่อ มีอะไรเหรอคะ...”
“เธอมีความทรงจำทุกอย่างของคิริเอะอย่างนั้นหรือ?”
“เอ๋ อะ ค่ะ...เอ่อ ไม่ค่ะ”
“แบบไหนกันแน่”
“ก็น่าจะมีนะคะ แต่มีอาการปวดหัวเข้ามาขวางทุกทีจนนึกไม่ออก ว่าแต่คุณไม่ได้ฟังที่เขาอธิบายเกี่ยวกับฉันเลยหรือคะ?”
เรื่องที่วิญญาณของคิริเอะได้ตายไปแล้ว และเรื่องที่อายาโนะเข้ามายึดร่างเนื้อของเธอไป
เขาไม่ได้ฟังมาจริงๆ หรือ เธอจ้องมองชูอย่างเป็นกังวล สักพักหนึ่งเขาจึงกลับไปนั่งท่าเดิม กดหน้าจอทัชสกรีนแล้วออกรถ
รถในยุคนี้ทั้งหมดเป็นแบบขับเคลื่อนด้วยตนเอง——มันวิ่งด้วยระบบออโตไดรฟ์วิงของปัญญาประดิษฐ์——คอมพิวเตอร์จะเลือกความเร็วที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุดให้ แล้วเคลื่อนที่ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง เพราะฉะนั้นจึงสามารถนั่งมองหน้าคุยกันได้ แต่หลังจากนั้นชูก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก ท่าทีแบบนั้นทำให้อายาโนะรู้สึกขุ่นมัว
-- อ่านต่อได้ที่ bit.ly/2CZUcBt --
ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่
https://www.facebook.com/xiaobei.fiction
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ