ท่านอ๋อง ข้าไม่เป็นชายาท่าน!
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.57 น.
1 บท
0 วิจารณ์
3,029 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 มกราคม พ.ศ. 2562 15.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหนวกหู หนวกหูจัง
หัวของเธอรู้สึกเจ็บมาก เจ็บอย่างกับว่ามันจะแยกออกจากกัน ขอร้องเถอะ ปล่อยให้เธอได้นอนดีๆ ต่ออีกหน่อย อย่าเสียงดังเลย...
แต่ทว่า เสียงอึกทึกวุ่นวายจากรอบด้านยังคงดังอย่างไม่หยุดหย่อน ปึงๆๆๆ ตู้มๆๆ ปึงๆๆ
จากที่ไกลๆ เหมือนจะมีเสียงแตรเขาสัตว์เสียงแหลมดังลอยมา เสียงครึกโครมก็ดังรัวเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
น่ารำคาญจริง
เธอลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง ชั่วขณะหนึ่ง เจียงเสวี่ยขุยไม่รู้เลยว่าตัวเธออยู่ที่ไหน สายตาพร่าเลือนค่อยๆ ปรับจนกลับมาเป็นปกติ เธอพบตนเองนอนอยู่กลางป่า จริงๆ เเล้วคือนอนอยู่บนกองใบไม้ร่วงกองหนึ่ง
ที่นี่...คือที่ไหน?
เสวี่ยขุยนวดเบาๆ บริเวณขมับที่ปวดตุบ ลุกยืนช้าๆ จิตใต้สำนึกสั่งให้ร้องเรียกออกไปโดยอัตโนมัติ “เถียนเถียน ซือฉี่ พวกเธออยู่ที่ไหนกัน” เธอเรียกหาพี่น้องอีกสองคนอย่างร้อนใจ
ความทรงจำสุดท้ายในหัวสมอง เหมือนว่าจะมีแสงลำหนึ่งบอกทำนองว่าพวกเธอไม่สมควรโดนระเบิดตาย ทั้งสามจะฟื้นคืนชีพได้ แต่ว่าต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ หลังจากนั้น พวกเธอทั้งสามก็ถูกวงแสงลึกลับห่อรัดรอบกาย ดึงลงสู่เบื้องล่าง ตกลงไปเรื่อยๆ ราวกับกำลังร่วงไปในถ้ำมืดไร้จุดสิ้นสุด จนกระทั่งเธอค่อยๆ หมดสติไป
“แล้วทำไมฉันต้องมาโผล่ที่ป่านี้ด้วยล่ะเนี่ย ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เถียนเถียน ซือฉี่ พวกเธออยู่ที่ไหนน่ะ รีบตอบฉันมาเร็วเข้า!” เธอหันซ้ายหันขวาอย่างกระวนกระวาย กลางป่าลึกทึบแห่งนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย กลิ่นอายประหลาดลอยมาตามลม เหมือนกับว่า...กำลังจะมีเรื่องน่ากลัวบางอย่างเกิดขึ้น
หวูดดดด~~ จากที่ไกลออกไป เสียงแตรเขาสัตว์ดังเเว่วมาอีกครั้ง ตามติดมาด้วยเสียงปึงๆๆ ราวกับมีของบางสิ่งพุ่งชนเข้ากับพื้นดินด้วยเเรงมหาศาล ปฐพีทั้งผืนสั่นสะเทือนเลือนลั่น
เสวี่ยขุยตกใจจนดวงหน้างามถอดสี “สวรรค์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย”
เสียงโครมครามกับเสียงแตรเขาสัตว์ดังเสียดหูมากขึ้นทุกขณะ เธอตกใจวิ่งหนีเข้าไปทางป่าลึก หวังจะหาถ้ำเพื่อหลบซ่อนตัว แต่เมื่อปีนขึ้นไปยังเนินลาด ภาพที่สะท้อนเข้าตาทำให้เธอปากอ้าตาค้าง ตกตะลึงเสียจนเกือบจะหยุดหายใจไปเเล้ว
ไม่ ไม่มีทาง
นี่...นี่มันอะไรเนี่ย?!
เธอเห็นโขลงช้างวิ่งเตลิดไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทั้งช้างพลาย ช้างพัง ลูกช้าง ต่างพากันซอยเท้าเปิดเเน่บอย่างไม่คิดชีวิต ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยพบเคยเจอโขลงช้างที่ใหญ่และมีสมาชิกมากขนาดนี้มาก่อน เสียงที่เกิดจากโขลงช้างดังสนั่นจนฟ้าดินเขย่าไหวไปหมด
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ สิงสาราสัตว์กลุ่มมโหฬารนับไม่ถ้วนก็กำลังวิ่งหน้าตั้งออกมาจากทางป่าลึก มีทั้งจิ้งจอก กวางหมีลู่[1] ละมั่ง หมาป่า แรด กระต่าย หมูป่า ลิงและเสือตัวใหญ่สีสันแพรวพราวเป็นต้น แต่ละฝูงมีจำนวนที่น่าตกใจ พวกมันทั้งหมดเหมือนถูกเล่นงานด้วยสิ่งชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น ต่างพากันซอยเท้าวิ่งหนีอุตลุด
กาๆๆ เสียงห่านป่าดังแว่วมาตามอากาศ เสวี่ยขุยตกใจเเหงนหน้าขึ้นมอง พบห่านป่าจำนวนน่าตื่นตาตื่นใจเหมือนถูกทำให้ตกใจกลัวอย่างแรง บินแตกฮือด้วยความอลหม่าน ส่งเสียงร้องเรียกหาพวกพ้องไม่ยอมหยุด
ป่าทั้งผืนคล้ายถูกปลุกปั่นอย่างรุนแรงด้วยพลังแปลกปลอมบางอย่าง สรรพสัตว์วิ่งหนี หงส์วิหคหนีตาย
หวูดดดด~ หวูดดดด~ เสียงแตรเขาสัตว์ที่ดังอยู่ไกลๆ ขยับใกล้เข้ามา ฟังชัดเจนมากขึ้นทุกที เสียงนกกรีดร้องเสียงแหลม ราวกับเป็นยันต์พรากชีวิต ทำให้หนังศีรษะคนชาหนึบ
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันเเน่ มองฝูงสัตว์พากันวิ่งหนีสุดชีวิตไปยังทิศทางเดียวกัน เจียงเสวี่ยขุยซึ่งตกอยู่ภายใต้สภาวะไร้ทางเลือก จึงทำได้เพียงวิ่งตามพวกมันไป เธอวิ่งไปก็หอบไป คิดอยากจะคว้ากระต่ายสักตัวมาถามให้รู้ความกระจ่างชัด และยิ่งอยากร้องตะโกนใส่สวรรค์เสียมากกว่า
“นี่! ไอ้เทวดาไร้ความรับผิดชอบ นี่มันที่ไหนกันเเน่ จะให้พวกฉันไปยังที่ที่หนึ่งเพื่อทำภารกิจ แต่ว่าที่นี่มันเป็นสถานที่บ้าบออะไร แม้แต่นกยังไม่วางไข่[2]เลยเนี่ย”
คงไม่ใช่ว่าเธอถูกเทวดานั่นทิ้งไว้กลางป่าอเมซอนหรือว่าสักมุมหนึ่งของเผ่ากินคนในทวีปแอฟริกาหรอกนะ สวรรค์ ไม่นะ เธอเพิ่งจะถูกระเบิดตายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะได้ฟื้นคืนชีพ คงไม่ใช่ว่าแค่เพียงพริบตาเดียว ก็ต้องถูกเผ่ากินคนโยนลงหม้อร้อนๆ ต้มกินอีกเเล้วนะ เธอไม่อยากมีจุดจบน่าอนาทปานนั้น
เสวี่ยขุยวิ่งจนหายใจหอบแฮกๆ ลมหายใจเข้าออกสับสนไปหมด ขยับวิ่งต่อไม่ไหว เมื่อเหลือบไปเห็นถ้ำเล็กๆ อยู่ข้างหน้าจึงรีบมุดเข้าไปเพื่อซ่อนตัว เฮ้อ เธอใกล้จะเหนื่อยตายอยู่เเล้ว เพราะว่าวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต ปอดก็เจ็บจนแทบจะระเบิดออกมา วิ่งต่อไปไม่ไหวเเล้วจริงๆ
จังหวะเดียวกันกับตอนที่เธอเข้ามาหลบในถ้ำ เธอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าที่ฟังดูน่าตกใจอย่างชัดเจน เสียงนั้นใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ขวัญผวา หลังจากนั้น ลูกธนูหลายดอกทะลุผ่านกลางอากาศ เธอยกมืออุดปากอย่างตื่นกลัว เห็นห่านป่าหลายตัวถูกลูกธนูยิงร่วงแล้วตกลงจากกลางอากาศอย่างโหดเหี้ยม เลือดสดๆ ไหลท่วมเต็มตัว
ฟิ้วๆๆๆๆ ลูกธนูถูกยิงไม่ขาดสายราวกับฝนธนู เสียงร้องเจ็บปวดดังไปทั่วสารทิศ กวางหมีลู่ที่สองขาถูกลูกธนูยิงล้มนอนไม่ขยับอยู่บนพื้น หมูป่า ละมั่ง และกระต่ายอีกหลายตัวต่างก็กำลังเผชิญกับชะตากรรมแบบเดียวกัน นอนจมกองเลือด บางตัวยังนอนร้องครวญคราง ทว่าส่วนใหญ่สิ้นลมตายเเล้ว
“สวรรค์ นี่มัน...คือการล่าสัตว์ใช่ไหม” เสวี่ยขุยตกใจสั่นไปทั้งตัว หลบอยู่ในถ้ำ แม้แต่ลมหายใจยังไม่กล้าปล่อยออกมามั่วซั่ว กลัวสุดใจว่าถ้าเกิดเสียงดังสักแอะเดียว ตนก็จะเป็นเหมือนสัตว์ที่ถูกล่าจนนอนจมกองเลือดแบบนั้น
ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับก็ดังชัดมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังแทรกมาด้วยเสียงร้องอย่างตื่นเต้นของผู้ชาย
“ว้าว อุดมสมบูรณ์นัก! เจ้าดูสิๆ กวางหมีลู่สองสามตัวที่ล้มอยู่บนพื้นนั่นอวบอ้วนขนาดไหน เอ๊ะ ยังยิงจิ้งจอกหิมะหายากได้ด้วยหรือนี่ เยี่ยมยอดไปเลย”
“นี่เป็นครั้งแรกของข้าเชียวนะที่ได้เห็นจิ้งจอกขาวหายากที่ทั้งขาวราวหิมะและสวยขนาดนี้น่ะ บนตัวมันมีลูกธนูประดับทับทิมที่ท่านอ๋องทรงใช้โดยเฉพาะปักอยู่ ฝีมือยิงธนูของท่านอ๋องช่างร้ายกาจยิ่งนัก ลูกธนูที่ยิงออกไปไม่เคยเสียเปล่า ใต้หล้าไร้ผู้เทียมทานจริงๆ”
“เลิกตื่นเต้นได้เเล้ว กองทหารรักษาพระองค์ของท่านอ๋องใกล้จะถึงเเล้ว พวกเรารีบจัดการกับสัตว์ที่ล่ามาได้พวกนี้เถอะ”
เสวี่ยขุยหลบซ่อนอยู่ในถ้ำ ค่อยๆ ชะโงกศีรษะน้อยๆ ออกไป มองเห็นเพียงกลุ่มชายสวมชุดล่าสัตว์แบบโบราณลงมาจากม้า จัดการกับเหยื่อที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นด้วยความว่องไว เหงื่อเม็ดเเล้วเม็ดเล่าซึมออกมาจากหน้าผาก ไหลลงช้าๆ เธอมองดูด้วยสายตาโง่งม นี่...นี่มันสถานการณ์แบบไหนกันเนี่ย?
เธอฟังเข้าใจเนื้อหาที่พวกผู้ชายคุยกัน เเต่เครื่องเเต่งกายของพวกเขาทำไมถึงแปลกออกไป อย่างกับว่าหลุดออกมาจากละครย้อนยุคอย่างไรอย่างนั้น เเล้วยังมีที่พวกเขาเรียกว่าท่านอ๋องๆ อะไรนั่นอีก
เธอพึมพำเบาๆ “ฉันคงไม่ได้หลุดเข้ามาในกองถ่ายของละครพีเรียดสักเรื่องหรอกนะ แต่ว่าการล่าสัตว์ที่สมจริงขนาดนี้...”
อีตาเทวดานั่นบอกจะส่งพวกเธอไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง หรือว่าที่ที่ว่านั่นไกลจากไต้หวันมากๆ ไกลถึงขนาด...ไม่ได้อยู่ในห้วงเวลาเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
เธอกุมหน้าอกที่หัวใจเต้นตุบๆ ไม่เป็นจังหวะ ไม่กล้าคิดต่อไปอีก “ไม่ เป็นไปไม่ได้! ฉันไม่มีทางมาเจอเรื่องพิสดารและเฮงซวยแบบนี้หรอก อย่าขู่ตัวเองจนตกใจเอง อย่าคิดเหลวไหลเรื่อยเปื่อย...”
ถึงแม้ปากจะปลอบใจตนเองเช่นนั้น แต่หากพูดถึงเรื่องโชคร้ายเเล้ว ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของเธอก็นับว่าเป็นคนที่โชคร้ายอย่างไม่มีใครต่อกรได้จริงๆ นั่นแหละ ก็ถึงขนาดกว่าจะได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ด้วยกันกับพวกพี่น้องที่รักใคร่ ได้ชนแก้วฉลองวันเกิด แต่ก็ยังดันมาเจอแก๊สระเบิดจากห้องชั้นล่างเข้าให้อีก
เวลานั้นนอกถ้ำมีเสียงอึกทึกที่ดังกว่าเดิมเเว่วเข้ามา เหมือนจะมีกองทัพคนและม้าจำนวนนับหมื่นนับพันมุ่งหน้ามาทางนี้ เสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังแสบแก้วหูมากขึ้นเรื่อยๆ
“หนวกหูจริง หัวฉันปวดไปหมดเเล้วเนี่ย” เสวี่ยขุยอุดหูอย่างเจ็บปวด
“กองลาดตระเวนถอยออกไป ท่านอ๋องเสด็จเเล้ว!” เสียงทุ้มต่ำทรงพลังตะโกนขึ้น
ท่านอ๋อง? มีอ๋องจริงๆ หรอเนี่ย เสวี่ยขุยเบิกตาโตอย่างตระหนกกลัว แอบมองด้านนอกอย่างไม่อาจทำใจเชื่อ
โฮ่งๆๆๆ… เธอเห็นเพียงทหารกลุ่มหนึ่งกำลังจูงสุนัขล่าเนื้อวิ่งมาอย่างน่าเกรงขาม มันเห่าหอนอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ดูแล้วทำให้คนรู้สึกกริ่งเกรง ด้านหลังตามมาติดๆ ด้วยกองทหารรักษาพระองค์ซึ่งมีขบวนทัพทรงพลัง แต่ละนายมีทั้งหอกและชุดธนูอยู่ในมือ เอวมีมีดโค้งห้อยอยู่ พวกเขากำลังอารักขากลุ่มเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงที่แต่งกายด้วยชุดล่าสัตว์ ซึ่งนั่งอยู่บนหลังอาชาพันธุ์ดี
ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างยินดีเจือประหลาดใจว่า “โอ้ ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ทั้งหมูป่า กวางหมีลู่และละมั่งเต็มเกลื่อนไปหมด แถมยังมีจิ้งจอกหิมะที่ทั้งล้ำค่าและหายากเช่นนี้! ยินดีกับท่านอ๋อง ยินดีกับท่านอ๋อง การปิดล้อมล่าสัตว์ครั้งนี้ถือว่าเก็บเกี่ยวได้มากจริงๆ แต่ก็มิมีสิ่งใดแปลก ในเมื่อท่านอ๋องแห่งแคว้นฉีของเรานั้นใครๆ ต่างล้วนเคารพยำเกรง เพียงได้ยินชื่อก็ขลาดกลัวเเล้ว มิเพียงราษฎรเทิดทูน สรรพสัตว์กริ่งเกรง เหมาะสมแล้วที่เป็นโอรสแห่งสวรรค์ซึ่งมาปกครองใต้หล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางอีกผู้หนึ่งรีบผสมโรง “มิผิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมิเพียงมีฝีมือการยิงธนูเป็นเลิศ ในสนามรบเองก็เป็นผู้กล้าเชี่ยวชาญการรบ ยากที่ผู้ใดจะต้านทาน ดุจเทพสงครามจากบนฟ้าจุติลงมา ไม่มีเรื่องยากใดที่ไม่สำเร็จ ไม่มีสงครามใดที่ไม่ชนะ หากเทียบกับผู้กล้าเฉกเช่นท่านอ๋องเเล้ว อ๋องแห่งแคว้นเฟิงและแคว้นชางลั่งล้วนเป็นได้เพียงกุ้งขาเปลี้ยที่แม้แต่ม้ายังขี่ให้ดีมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆๆ... ถูกเเล้วๆ อ๋องไร้ประโยชน์สองคนนั่นนับเป็นกุ้งขาเปลี้ยจริงๆ กำลังของสองแคว้นนั้น แม้แต่การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ต้านไว้ไม่อยู่ หากเวลานั้นมาถึง ภายใต้การนำทัพของท่านอ๋อง แคว้นฉีของเราสามารถบุกข้ามแม่น้ำไปได้อย่างแน่นอน ทำลายสองแคว้นเล็กๆ นั่นในครั้งเดียว รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ขึ้นปกครองจงหยวน!”
สถานที่ซึ่งคึกคักที่สุดของจงหยวนคือแอ่งกระทะขนาดใหญ่ที่ซึ่งแม่น้ำชางลั่งกับแม่น้ำจวีเยวี่ยไหลมาบรรจบกัน สามแคว้นต่างมีอำนาจเหนือสถานที่แห่งนี้ หากถือแม่น้ำชางลั่งเป็นตัวแบ่งเขตแดนแล้ว ตะวันตกคือแคว้นฉี ตะวันออกคือแคว้นเฟิง ทางทิศใต้คือแคว้นชางลั่ง ทั้งสามแคว้นต่างเป็นเจ้าของดินแดนอุดมสมบูรณ์ซึ่งอยู่ถัดเข้ามาจากฝั่งแม่น้ำนับพันลี้
ในบริเวณนี้มีภูมิประเทศที่มีลักษณะพิเศษอย่างมากอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือที่ที่สามแคว้นปกครองร่วมกัน เรียกว่าเกาะนกแก้ว สันดอนทรายมีลักษณะคล้ายกับนกแก้วจึงได้ชื่อเรียกมาเช่นนี้ สถานที่ซึ่งแม่น้ำสายใหญ่ทั้งสองสายไหลมาบรรจบกันมีเรือสินค้าอยู่เนืองแน่น เพื่อที่จะแย่งชิงโอกาสทางการค้าที่มากับเรือสินค้าเหล่านี้ สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก
เกาะนกแก้วเคยเป็นตัวจุดชนวนสงครามใหญ่ระหว่างสามแคว้น หลายปีก่อน หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดก็ยังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้ ท้ายที่สุดภายใต้การตกลงอย่างฝืนใจของทั้งสามแคว้น เกาะนกแก้วซึ่งเป็นพื้นที่ทองคำและนำมาซึ่งโอกาสทางการค้าแห่งนี้จึงถูกจัดให้เป็นเขตชายแดนที่ปกครองร่วมกัน
ความหมายของสิ่งที่เรียกว่าการถ่วงดุลก็คือ หากดินแดนแห่งนี้เกิดข้อพิพาทใดๆ ระหว่างแคว้นต่อแคว้นขึ้น ก็จะเป็นเรื่องง่ายดายที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ กระทั่งกลายเป็นสงคราม หันคมดาบห้ำหั่นกันในที่สุด
เนื่องจากปัจจุบันแคว้นทั้งสามมีกำลังใกล้เคียงกัน บวกกับสงครามยาวนาน เสียหายทั้งกำลังคนและทรัพยากร ด้วยเหตุนี้ สงครามจึงได้พักยกลงชั่วคราว ทว่าดินแดนติดขอบชายแดนมักจะมีข่าวพิพาทเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ราชาของสามแคว้นต่างมีใจทะเยอทะยาน เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นตะปูตำตา เป็นเช่นหนามแทงเนื้อ จึงคอยตระเตรียมกำลังสำหรับทำการใหญ่อยู่เสมอๆ รอเพียงถึงเวลาที่เหมาะสมจะเคลื่อนทัพ บดขยี้อีกสองเเคว้นในครั้งเดียว ขึ้นเป็นใหญ่ในจงหยวน กลายเป็นราชาซึ่งมีอำนาจสูงสุดในเก้าดินแดนอย่างแท้จริง
ชายซึ่งเป็นผู้นำมิได้สนใจการสอพลอของพวกขุนนาง เขาควบม้าตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สายตาเฉียบคมหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายจะไม่ค่อยพอใจกับผลงานการปิดล้อมล่าสัตว์ในครั้งนี้
ท่านอ๋อง? คนนี้ก็คือท่านอ๋องที่พวกนั้นพูดถึงหรอกหรือ เสวี่ยขุยที่หลบอยู่ในถ้ำกลั้นลมหายใจอย่างระมัดระวัง จ้องมองด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
ชายผู้นี้มีความสูงเกินมาตรฐาน นั่งหลังหยัดตรงบนม้าพันธุ์ดีสีดำมันขลับ ยิ่งขับเน้นให้เขาดูดุร้ายอย่างหาตัวจับได้ยาก ราวกับเทพเซียน รูปร่างของเขาสูงใหญ่กำยำ อยู่ในชุดล่าสัตว์ที่เย็บจากหนังเสือดาว บ่งบอกถึงความหยาบกระด้างและเรียบง่ายได้อย่างชัดเจน บนศีรษะมีมาลาที่ทำมาจากหินหยกและพลอยสีเขียวซึ่งมีรูปร่างแข็งแรงทรงพลัง ผมดำหนาไม่เป็นระเบียบสะบัดพัดไปตามลม คิ้วหนาเเข็งกร้าว ประกอบกับดวงตาคมเฉียบแหลม ทำให้ผู้คนไม่กล้าล่วงเกิน สันจมูกโด่งสูงดั่งสันเขา เครื่องหน้าทั้งห้าบนใบหน้าคมสันชัดเจน คางรูปเหลี่ยมบ่งบอกถึงความห้าวหาญ ไร้ความปราณี
สายตาของเสวี่ยขุยย้ายไปที่ข้อมือและขายาวอันแข็งแรงทรงพลังของเขา ผิวกายตึงแน่น ไร้ซึ่งไขมันส่วนเกิน กล้ามเนื้อทุกตารางนิ้วที่แกร่งราวกับเหล็กกล้ามีพลังปะทุอยู่เต็มเปี่ยม ชายผู้นี้ก็เหมือนกับสัตว์ป่าที่อันตรายที่สุดตัวหนึ่ง ดูถูกเหยียดหยันสรรพสิ่งทั้งปวง
เขาเป็นอ๋องจริงหรือ แม้เธอจะไม่มีความรู้เรื่องเพชรพลอย แต่เธอก็ดูออกว่าอัญมณีบนมาลาหยกชิ้นนั้นมีราคาไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งคันธนูและลูกธนูที่อยู่ในมือเขาก็มีอัญมณีสลักอยู่ ดูสูงค่ายิ่ง กิริยาท่าทางก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอย่างผู้เป็นราชา เสวี่ยขุยยิ่งมองก็ยิ่งหวั่นใจ เหงื่อไหลซึมออกมาไม่หยุด
ทั้งหมดทั้งมวลนี้... คล้ายว่าจะเป็นความจริง คนพวกนี้ไม่เหมือนกับกำลังถ่ายละครย้อนยุค แต่ดูเหมือนว่าเธอ... จะถูกโยนทิ้งไว้ในช่วงเวลาเก่าในอดีต
สวรรค์ เธออยากจะกรีดร้องเหลือเกิน แต่อยากจะฆ่าไอ้เทวดาที่ทำงานไม่ได้เรื่องเเล้วยังทำผิดพลาดตลอดนั่นเสียมากกว่า ทำไม ทำไมต้องให้เธอมาอยู่ในสถานที่พิลึกกึกกือเช่นนี้
ทว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาตีโพยตีพาย เธอบอกกับตนเองว่าอย่าตื่นตระหนก อันดับแรก เธอจำเป็นต้องหาสถานที่ที่มิดชิดกว่านี้เพื่อหลบซ่อนให้ดี ไม่อาจให้คนพวกนั้นพบตัวเธอได้ ถ้ำแห่งนี้ไม่นับว่าปลอดภัยมากนัก ถ้าเกิดว่าจู่ๆ ชายผู้นั้นเกิดลงจากม้าอยากจะเข้ามาพัก แล้วพบการมีอยู่ของเธอเข้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเห็นเธอเป็นเหยื่อแล้วฆ่าทิ้ง แล่เนื้อเเล้วนำมาต้มกิน ฮือๆๆ ชีวิตของเธอคงไม่จบอนาทขนาดนั้นหรอกนะ เสวี่ยขุยบังคับลมหายใจเข้าออกอย่างระมัดระวังเต็มที่
เวลานั้น พงหญ้าด้านนอกอีกฝั่งหนึ่งพลันเกิดเสียงขึ้นเล็กน้อย โซ่วอ๋องยิงธนูออกไปหนึ่งดอกด้วยปฏิกิริยาว่องไว กลางพงหญ้าเกิดความอลหม่าน แล้วหมาป่าสี่ห้าตัวก็วิ่งหนีตายออกมา
พวกขุนนางร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น “มีหมาป่า! เร็วเข้า รีบยิงให้ตาย!”
นี่เป็นโอกาสดี! ฉวยโอกาสตอนที่คนกลุ่มนั้นควบม้าไล่ตามฝูงหมาป่าไป มือเท้าของเสวี่ยขุยปีนออกจากถ้ำอย่างเงียบเชียบ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครหันมาสนใจเธอจึงรีบเผ่นแนบ
วิ่งเร็วเข้า วิ่งได้ไกลเท่าไรก็วิ่งไปเท่านั้นแหละ
การเคลื่อนไหวของเธอเบามาก คิดไม่ถึงว่าอ๋องผู้นั้นเหมือนจะมีดวงตาอีกคู่ติดอยู่ที่ด้านหลังเสียนี่ เขาดึงบังเหียนม้าทันใด หมุนตัวกลับแล้วกระโจนมาตามทิศทางที่เธออยู่
“หยุดเท้า ห้ามขยับ” โซ่วอ๋องตะโกนด้วยเสียงคุกคามน่ากลัว
แม่เจ้า! ทำไมจึงถูกพบได้เล่า เสวี่ยขุยตกใจจนแทบจะเป็นลม จึงเร่งความเร็วขึ้นเพื่อหลบหนี ฮือๆๆ สวรรค์ได้โปรดคุ้มครองฉันที เจ้าแม่ม่าโจ้ว[3] ได้โปรดปกป้องฉันด้วย พระพุทธองค์ได้โปรดรักษาลูกช้างทีเถิด เธอยังไม่อยากถูกยิงตายจริงๆ
ช่างเป็นเหยื่อที่น่าสนใจ ฉีเหยาเฟิงควบม้าตามไล่ นัยน์ตาดำเปล่งประกายความตื่นเต้น นั่นเป็นหญิงนางหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นหญิงที่เคลื่อนไหวเงอะงะ วิ่งก็ช้าจนเกือบจะลื่นหัวทิ่ม นางเป็นชาวแคว้นฉีหรือ เป็นไปไม่ได้ ราษฎรของแคว้นฉีต่างรู้ดีว่าเขาหัวสิงห์แห่งนี้เป็นเขตล่าสัตว์ของราชวงศ์ ไม่มีใครหน้าไหนจะอาจหาญเข้ามาใกล้เขาหัวสิงห์แห่งนี้แม้เพียงครึ่งก้าว
เช่นนั้นนางเป็นใคร? หรือว่าจะเป็นสายลับที่แคว้นเฟิงไม่ก็แคว้นชางลั่งส่งมา
แต่ไม่ว่านางจะเป็นใครก็ตาม นางได้กระตุกต่อมความสนใจของเขาเข้าเเล้ว ฉีเหยาเฟิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม เผยแววตาแน่วแน่ว่าต้องได้มาครอบครอง
พอล่าสัตว์นานไป ไม่ว่าจะล่าได้เสือหรือสิงโตล้วนไม่อาจเติมเต็มความกระหายในชัยชนะของเขาได้อีกต่อไปเเล้ว ครั้งนี้เขาอยากจะล่าคนที่มีชีวิตเป็นๆ คนหนึ่ง
เขาน้าวสายคันธนูที่ใส่ลูกธนูไว้พร้อม เกาะกระชับแน่นที่ลำตัวม้า ไล่ตามไปเร็วดุจสายลมเเละสายฟ้า เหอะ ยิ่งเหยื่อตื่นกลัวและวิ่งหนีมากเท่าไร เขาก็ยิ่งตื่นเต้นเร้าใจมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเห็นท่านอ๋องควบม้ามุ่งเข้าป่าไปพระองค์เดียว เหล่าองครักษ์ส่วนพระองค์ผู้มีใจภักดีจึงรีบเข้าไปขวาง “ฝ่าบาท โปรดอย่าเสด็จล่วงหน้าไปโดยลำพังพ่ะย่ะค่ะ ด้านหน้าเกรงว่าจะมีกับดัก” แม้ที่นี่จะเป็นเขตแดนเเคว้นฉี แต่ว่าในรัชสมัยของฝ่าบาทพระองค์ก่อน แคว้นเฟิงและเเคว้นชางลั่งเคยส่งนักฆ่าลอบเข้ามาที่แคว้นฉีเพื่อลอบสังหารฉีอ๋อง จนราชาองค์ก่อนเกือบจะพลาดท่าเสียทีให้กับนักฆ่ามาเเล้ว ดังนั้น รถคันหน้าเเล่นคว่ำไป ย่อมเป็นข้อเตือนใจให้รถคันหลัง[4] ในฐานะที่พวกเขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์จึงไม่อาจไม่ระวัง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคุ้มครองความปลอดภัยของท่านอ๋องโดยเคร่งครัด
“ถอยออกไปให้หมด! ไม่อนุญาตให้ตามเข้ามา” ฉีเหยาเฟิงออกคำสั่งเสียงกร้าว ไม่ยอมให้องครักษ์ตามติด เขายกคันธนูขึ้น ก่อนจะยิงลูกธนูออกไปสี่ดอกติดๆ กัน
ฟิ้วๆๆๆ
“กรี้ดดดด~ ช่วยด้วย ฉันไม่อยากตาย” เสวี่ยขุยที่ได้ยินเสียงลูกธนูแหวกผ่านอากาศร้องเสียงแหลมอย่างตระหนกตกใจ
ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นต้นไทรรกทึบต้นมหึมาต้นหนึ่งอยู่เบื้องหน้า รากอากาศยาวเฟื้อยจำนวนนับไม่ถ้วนห้อยย้อยลงมาจากกิ่งไม้สูงด้านบนจนเกือบจะสัมผัสผืนดินด้านล่าง ดูท่าจะเป็นปราการป้องกันได้ เธอไม่มีเวลาคิดอะไรมาก หมุนกายค้อมตัวต่ำอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังเเนบติดอยู่กับลำต้น ยกแขนทั้งสองข้างป้องกันหน้าอกเอาไว้
“อย่านะ อย่ายิงถูกฉันเด็ดขาดนะ!” วินาทีต่อมา เธอพบว่าตนเองถูกลูกธนูยิงตรึงติดไว้กับต้นไม้ ไม่อาจขยับเขยื้อน
ฉีเหยาเฟิงไม่เสียทีที่เป็นนักล่ามือฉมัง ลูกธนูทุกดอกที่ปล่อยออกไปไม่มีเสียเปล่า ลูกธนูหนึ่งในสี่ดอกปักอยู่ที่มุมเสื้อระดับไหล่ของเสวี่ยขุย อีกดอกหนึ่งปักอยู่ที่แขนเสื้อด้านขวาของเธอ ดอกที่สามปักอยู่ที่ชายเสื้อ และดอกที่สี่ปักอยู่ที่ชายกระโปรงสั้นระดับเข่าของเธอ ทั้งสี่ดอกปักจมลึกลงไปในลำต้น ตรึงเธอไว้กับต้นไม้อย่างหนาแน่น
น่าตายนัก! เสวี่ยขุยพบว่าตัวเองถูกตรึงไว้กับต้นไม้เหมือนสัตว์ที่ถูกต้อน เธอดิ้นรนอย่างโมโห แต่พอบิดตัวไปหนึ่งทีก็ได้ยินเสียงผ้าฉีกขาดเสียงดังแควก เธอตกใจก้มหน้าลงมองทันที สวรรค์ เสื้อของเธอฉีกขาดออกจากกันแล้ว รอยขาดตั้งเเต่คอเสื้อยาวลงไปถึงหน้าอก ถึงแม้ด้านในจะมีเสื้อชั้นในสวมเอาไว้ แต่ความงดงามนั้นได้ถูกเปิดเผยออกไปเสียแล้ว
เธอพยายามดึงลูกธนูออกอย่างโมโห คิดไม่ถึงว่า ลูกธนูจะปักติดอย่างหนาเเน่น แม้จะออกเเรงโดยอาศัยพละกำลังจากนมที่ดื่มมาก็ยังดึงไม่ออก เรื่องเลวร้ายก็คือ หลังจากที่ดิ้นรนอยู่ไม่กี่ที กลับทำให้รอยขาดของเสื้อขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม
“ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ได้เนี่ย ทำไมฉันถึงได้ดวงซวยขนาดนี้” ขณะที่เสวี่ยขุยกำลังเสียขวัญและร้อนรน เสียงฝีเท้าบ้าระห่ำของม้าก็ดังขึ้น อ๋องผู้นั้นควบม้ามาอยู่ ณ เบื้องหน้าของต้นไทรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พอฉีเหยาเฟิงดึงบังเหียน ม้าพันธุ์ดีสีนิลก็หยุดลงอย่างว่าง่าย เขาพลิกกายลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว
หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว เขาก็หยุดลงด้วยท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ริมฝีปากบางยกขึ้นเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม จ้องมองเธออย่างไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด มองดูเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นบริเวณหน้าอกจนเผยภาพทิวทัศน์งดงามออกมา พออกพอใจกับฝีมือยิงธนูอันโดดเด่นของตนเองเป็นอย่างมากที่สร้างผลงานได้น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
“นาย...นายมองอะไรน่ะ” เสวี่ยขุยโมโหจนแทบบ้า “รีบปล่อยฉันเร็วๆ เข้า ฉันเป็นคน ไม่ใช่เหยื่อของนายนะ” เธอโกรธจนออกจะอกแตกตายอยู่แล้ว เธอขอสาบานเลยว่า ขอเพียงเธอได้อิสระกลับคืนมา จะควักเอาลูกตาน่ารังเกียจคู่นั้นออกมาให้จงได้
“หึๆ...” เขากลับหัวเราะอย่างยโสและชั่วร้ายยิ่งกว่าเดิม แล้วพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “ข้าแนะนำว่า เจ้าอย่าขยับมั่วซั่วจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้น...” นัยน์ตาดำวาวระยับ จับจ้องอยู่ที่หน้าอกกลมกลึงของเธอไม่ย้ายไปไหน
เสวี่ยขุยที่เพิ่งรู้สึกตัวว่ายิ่งตนดิ้นรนมากเท่าไรรอยขาดของผ้าจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น ชุดชั้นในลายลูกไม้สีม่วงได้โผล่ออกมาด้านนอกถึงครึ่งหนึ่งแล้ว เธอกัดฟันอย่างโกรธแค้น เลือกที่จะไม่ขยับเขยื้อนอย่างชาญฉลาด อย่างน้อยเธอก็ไม่ยอมให้ไอ้คนเลวคนนี้ได้เห็นเป็นบุญตาหรอก
“หึๆๆ นางหนูคนนี้ฉลาดไม่เบา” ฉีเหยาเฟิงขยับฝีเท้า เดินเข้ามาอย่างใจเย็น มุมปากประดับรอยยิ้มหลงระเริงไม่ปิดบัง นัยน์ตาสีดำเป็นประกาย จดจ้องหญิงสาวด้วยสายตาแพรวพราว ค้นพบด้วยความตื่นเต้นว่า เหยื่อของเขาช่างงามเหลือเกิน!
หญิงสาวเบื้องหน้ามีรูปร่างสูงโปร่ง แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าแปลกตา แต่ว่าลูกธนูทั้งสี่ดอกนั้นกลับทำให้ทรวดทรงของนางนูนเว้าเด่นชัดขึ้นมาได้อย่างน่ามอง ใบหน้าของนางเรียวเล็กขาวอ่อนวัย แก้มทั้งสองข้างมีสีแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติ ทว่าดวงตาสุกสกาวคู่นั้นกลับมีไฟโทสะแผดเผาอยู่ ถัดจากสันจมูกที่เชิดรั้นลงมาคือปากเล็กรูปกระจับ ปากของนางน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มเหมือนกับผลอิง[5] สีแดงฉาน นอกจากดูอวบอิ่มแล้วมันยังมีเสน่ห์น่าค้นหา จนทำให้คนรู้สึกอยากจะจุมพิต
สายตาชื่นชมพอใจของชายหนุ่มเลื่อนจากใบหน้าของนางย้ายไปที่ร่างกาย ชมดูหน้าอกอิ่มและทรวดทรงอรชรของหญิงสาวอย่างจาบจ้วง ว่ากันตามความจริงแล้ว เครื่องแต่งกายของนางดูแปลกประหลาดยิ่งนัก มองไม่ออกอย่างสิ้นเชิงว่าเป็นของแคว้นหนึ่งแคว้นใด อีกทั้งกระโปรงของนางยังยาวถึงแค่หัวเข่า เผยให้เห็นเรียวขายาวสวยคู่หนึ่ง
ฉีเหยาเฟิงมุ่นคิ้วดกหนาอย่างสนอกสนใจ ต่อให้เป็นนางรำหอโคมเขียวก็ไม่สวมชุดกระโปรงที่เปิดเผยเพียงนี้ ดังนั้นฐานะของนางจึงน่าสงสัยอย่างที่สุด แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางเป็นหญิงงามผู้มีเรือนร่างเย้าใจถึงเพียงนี้ แล้วแต่ไหนแต่ไรเขาก็มักลำเอียงรักหญิงงาม มิเคยปล่อยให้พลาดไปเสียที
เขามองออกว่านางมีโครงร่างบอบบาง เอวน้อยโอบได้ไม่เต็มมือ สะโพกโค้งงอนถูกกระโปรงยาวถึงเข่าปิดคลุมอยู่ ขาทั้งคู่ขาวเนียนละเอียดดุจหิมะ ไร้ซึ่งรอยตำหนิ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้เลย คือผิวกายแถวทรวงอกที่ขาวกว่าน้ำค้างและหิมะนั่น ความกลมกลึงของมันกระตุ้นให้เขาเลือดร้อน นัยน์ตาดำของเขาทอประกายเข้มขึ้น
“สรุปนายมองพอเเล้วหรือยัง ปล่อยฉันไป แล้วเอาลูกธนูของออกไปให้พ้นด้วย!” ถูกสายตาที่เต็มไปด้วยการรุกรานจดจ้อง เสวี่ยขุยโมโหจนแก้มทั้งสองแดงก่ำ ผู้ชายคนนี้น่ารังเกียจจริง ไม่เพียงใช้ธนูยิงเธอติดไว้กับต้นไม้อย่างโรคจิต ยังถึงขั้นสำรวจเธอทั้งบนล่างอย่างไม่สำรวมสักนิด สายตาร้อนเเรงเปิดเผยคู่นั้นทำให้เธอทั้งกระสับกระส่ายทั้งโมโหจนแทบจะจุดไฟเผา
ดวงตาเบื้องลึกของฉีเหยาเฟิงปรากฏรอยขบขันเข้มขึ้น ถามอย่างชอบใจนักหนาว่า “เจ้าเป็นใคร? เป็นคนของแคว้นใด? มีชื่อเรียกว่าอย่างไร?”
จากเสื้อผ้าของนาง เขามั่นใจว่านางไม่ใช่คนของแคว้นฉีอย่างเเน่นอน ดังนั้นนางน่าจะเป็นสายลับที่แคว้นชางลั่งไม่ก็แคว้นเฟิงส่งมา คิดจะใช้แผนสาวงามมาปั่นหัวเขางั้นหรือ เหอะๆ รอยยิ้มมุมปากของเขามองดูแล้วน่าสะพรึงกลัวกว่าเดิม
ความจริงแล้ว สายลับคนนี้ถึงแม้จะสวยไม่เลว แต่อารมณ์เลวร้ายยิ่งนัก ความอ่อนหวานนุ่มนวลสักนิดก็ไม่มี ทว่าท่าทางที่ถลึงตาด่าคนนั้นยังนับว่ามีเสน่ห์อยู่เต็มเปี่ยม มองดูไปก็น่ารักอยู่ทีเดียว
หึๆ ในวังหลังต้องพบเจอกับเหล่าหญิงสาวที่ประจบประแจงเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่มีหญิงนางใดจะเป็นตัวของตัวเองเลยสักคน หญิงงามอารมณ์ร้ายนางนี้กลับทำให้ดวงตาของเขาลุกวาวได้ ท้าทายความกระหายในชัยชนะอย่างสิ้นเชิง
เสวี่ยขุยร้องหึอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนาย นี่! นายรีบเอาธนูพวกนี้ออกไปสิ ได้ยินไหมเนี่ย”
ฉีเหยาเฟิงยังคงรักษาท่าทีอ้อยอิ่งสบายอารมณ์ แล้วจ้องมองหญิงสาวต่อไปอย่างสนุกสนาน พลางถูมือทั้งสองข้างไปมา เขาจะฝืนใจช่วยเอาตัวนางลงมาจากต้นไม้ได้อย่างไรกัน ในเมื่อภาพที่นางถูกตรึงไว้กับต้นไม้มันช่างดูมีเสน่ห์เย้ายวนใจคนถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความงามของอกสาว...
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า” เขาหัวเราะเปิดเผยแฝงความชั่วร้าย นัยน์ตาดำทอแสงเป็นประกาย “แม่นางน้อย เจ้าควรรู้ไว้นะว่า เจ้าได้กระทำความผิดหลายข้อนัก ข้อหนึ่ง จากอาภรณ์ของเจ้าข้าเดาได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนของแคว้นฉีอย่างแน่นอน เช่นนั้นเจ้าคงจะเป็นสายลับที่แคว้นเฟิงไม่ก็แคว้นชางลั่งส่งมาใช่หรือไม่ ข้อสอง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนของแคว้นใดก็ตาม แต่อาจหาญรุกล้ำเข้ามาในเขตเขาหัวสิงห์ซึ่งเป็นเขตล่าสัตว์พิเศษของข้า มันก็คือการขัดพระบัญชา ว่ากันตามเหตุและผลแล้ว พิจารณาให้ตัดสินโทษประหารได้ ข้อสาม เจ้าไม่มีความเคารพยำเกรงต่อข้า วาจาคำพูดไร้ซึ่งมารยาท ไม่ว่าจะเป็นความผิดข้อใดก็แล้วแต่ที่กล่าวมา ล้วนแต่สามารถทำให้เจ้าหัวหลุดลงพื้นได้ทันที หากร้ายแรงหน่อย จะตัดสินโทษประหารเก้าชั่วโคตรก็ยังได้ เข้าใจหรือไม่”
ใบหน้ามีเสน่ห์ราวกับปีศาจขยับเข้ามาใกล้ กลิ่นอายความบ้าระห่ำของบุรุษเพศปกคลุมไปรอบกายเธอ เขาเหมือนยิ้มและไม่ยิ้มพลางหยิบเอาหยิบมีดโค้งที่ห้อยอยู่ตรงเอวขึ้นมา บนมีดฝังทับทิมล้ำค่าทอประกายสวยงามอยู่จำนวนมาก เขาใช้คมฝักเย็นเยือกค่อยๆ ไล้ไปตามเส้นผมของเธอ แล้วลากลงไปจนถึงดวงหน้ารูปไข่อ่อนเยาว์ ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นเผยรอยยิ้มน้อยๆ มองดูพิกล
“กลัวรึ? กลัวตายหรือไม่เล่า?”
แม้เข่าจะถูกทำให้ตกใจกลัวจนสั่นระริก แต่เสวี่ยขุยยังสั่งไม่ให้ตัวเองเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน มีสติเข้าไว้! มีสติเข้าไว้!
เธอส่งเสียงหึพลางตอบว่า “คำพูดไร้สาระพูดให้มันน้อยหน่อยเถอะ! ในเมื่อตกอยู่ในมือของคนโรคจิตอย่างนาย ถือว่าฉันโชคร้ายเอง อยากฆ่าก็ฆ่า ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ” เหอะ คนจริงฆ่าได้หยามไม่ได้ แม้เธอจะเป็นสาวสวยตัวเล็กๆ แต่ก็มีปณิธานใหญ่ยิ่ง!!!
“ฮ่าๆๆ ช่างประหลาดคนนัก” เขาเลิกคิ้วก่อนระเบิดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เดิมทียังหลงเข้าใจว่าการล่าสัตว์ครั้งนี้คงเหมือนกับครั้งอื่นๆ ทั่วไป คาดไม่ถึงเลยว่า จะทำให้เขาได้พบกับเหยื่อสาวแสนสวยที่ทั้งดุร้ายทรงเสน่ห์ ซ้ำยังงดงามเจ้าอารมณ์เช่นนี้
เขาไล้ปลายนิ้วผ่านหน้าผากเกลี้ยงเกลาเนียนละเอียดของหญิงสาวช้าๆ อย่างรักใคร่ ลมหายใจร้อนแผดเผาเป่ารดใส่ข้างหู เสียงทุ้มต่ำเย้ายวนกระซิบว่า “หญิงงาม บอกข้ามาก่อนสิว่าใครเป็นคนส่งเจ้ามา และจุดประสงค์ของเจ้าคืออะไร”
กลิ่นอายบ้าระห่ำของเขาแผ่คลุมตัวเธอ เสวี่ยขุยรู้สึกว่าเลือดในกายพลันร้อนรุ่มขึ้นมา ริมฝีปากของเขาห่างจากเธอไปนิดเดียว เพียงแค่ขยับมาข้างหน้าอีกหน่อยก็จะสามารถจูบหน้าผากเธอได้แล้ว อีกทั้งระยะห่างอันคลุมเครือนี้ทำให้เธอรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากทั่วกายชายคนนี้ ความรู้สึกของหญิงสาวว้าวุ่นไม่เป็นสุข แยกไม่ออกว่าจริงๆ แล้วคือเป็นความขลาดกลัวหรือ...
“พูดเร็วเข้า” เขามองดูนางที่ทั้งลนลานขลาดกลัวและทั้งดูมีเสน่ห์ยวนอย่างพึงใจ “รีบบอกความจริงมา ข้าฉีเหยาเฟิงเป็นถึงโซ่วอ๋องแห่งแคว้นฉี ขอเพียงเจ้ายอมสารภาพออกมาอย่างไม่มีปิดบัง ข้าสามารถละเว้นหนึ่งชีวิตให้เจ้าได้”
โซ่วอ๋อง? เสวี่ยขุยใจกระตุกวูบ ยังจำคำพูดที่เทวดาเคยบอกไว้ได้อย่างแจ่มชัด พวกเราต้องทำให้อ๋องทั้งสามจับมือปรองดองกัน เซียวอ๋อง โซ่วอ๋อง ลี่อ๋อง
ถ้าอย่างนั้นผู้ชายคนนี้ก็คือโซ่วอ๋องสินะ มองดูท่าทีไร้อารยธรรมของเขาแล้ว เหมือนกับสัตว์ป่าตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ช่างสมชื่อเสียจริง[6] แต่สิ่งที่น่าตายที่สุดก็คือ มือของเขายังคงป้วนเปี้ยนไปมาบนหน้าผากของเธออย่างเอาแต่ใจและไม่รู้สำนึก ถึงขั้นลากมาลงมาถึงลำคอของเธอแล้ว!
ปลายนิ้วของเขาร้อนลวกราวกับแฝงมนต์ลึกลับ ผิวหนังทุกส่วนที่ถูกมือเขาลากผ่านล้วนปรากฏรอยสีชมพูบางๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง เกินไปแล้วนะ เธอขอห้ามไม่ให้เขามาหลอกแต๊ะอั๋งอีกต่อไป
“เก็บมือสกปรกของนายไปซะ ไม่อนุญาตให้มาถูกตัวฉันอีก” เสวี่ยขุยถลึงตาจ้องเขาอย่างดุร้าย “ฉันไม่ใช่สายลับบ้าบออะไรนั่น เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่นาย อยากจะฆ่าจะแกงก็เชิญเลย!”
พูดจบเธอก็หลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม รอคอยรสชาติของความตายอย่างหวาดกลัว เธอช่างโชคร้ายจริงๆ ไม่ง่ายกว่าจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพ คิดไม่ถึงว่าต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของอ๋องเลวกระหายเลือดโหดเหี้ยม ต่อไปเธอตายเเล้วก็ไม่ต้องมาพบมาเจอกับเขาอีก
มองดูริมฝีปากของนางที่สั่นระริกเพราะขลาดกลัว ฉีเหยาเฟิงกระตุกยิ้มที่ดูราวกับปีศาจ เขาเข้าไปใกล้นาง ชมดูผิวพรรณนวลละเอียดไร้ราคีอย่างพอใจ สูดดมกลิ่นหอมดอกไม้จากกายของนาง นิ้วมือลากไล้ไปถึงปากแดง เคล้นคลึงอย่างมีเลศนัย หยอกล้อกลีบปากงามหยดย้อย
“ไม่ต้องกลัว ผ่อนคลายลงเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้าในทันทีหรอก” จ้องมองดวงหน้าเล็กของนางกลายเป็นสีแดงเรื่อทั่วใบหน้าอย่างพอใจ แต่ยิ่งรู้สึกยิ่งพอใจมากยิ่งขึ้นเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึงความนุ่มลื่นราวกับผ้าไหมชั้นดี เขาเชื่อว่า ผิวกายทั่วทุกส่วนทั้งบนล่างของแม่นางน้อยผู้นี้จะต้องนุ่มลื่นราวกับผ้าไหมเป็นแน่!
ผ่อนคลาย? ผ่อนคลาย? เสวี่ยขุยโมโหจนแทบปรอทแตก ชายสมควรตายผู้นี้ตรึงเธอไว้กับต้นไม้ แล้วยังแต๊ะอั๋งโดยการใช้มือลูบขึ้นๆ ลงๆ อีก พอถึงตอนนี้ยังบอกให้เธอผ่อนคลายอย่างหน้าไม่อาย นี่ไม่เกินไปหน่อยหรอกหรือ
“หยุดมือ ฉันขอเตือนนายห้ามมาแตะต้องหน้าของฉันอีก... เฮ้ย!” คำพูดของเธอยังไม่ทันกล่าวจบดี ก็เห็นแสงวาบเข้าตา สวรรค์! คนป่าเถื่อนก็ยังป่าเถื่อนอยู่วันยังค่ำ เขาดึงมีดออกมาแล้ว เขาจะฆ่าเธอแล้วจริงๆ
เสวี่ยขุยหลับตารออย่างจำนนต่อชะตากรรมอยู่นาน แต่กลับไม่พบกับความเจ็บปวดสักเล็กน้อย เธอลืมตาขึ้นมาอย่างอดความสงสัยไว้ไม่อยู่ เห็นเพียงชายที่อยู่เบื้องหน้าถือมีดไว้ในมือ หัวเราะอย่างจองหอง
ฉีเหยาเฟิงเอ่ยอย่างชั่วร้าย “ไม่ต้องเกร็ง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบลูกธนูฝังทับทิมของอ๋องเช่นข้า ดังนั้น จึงหวังดีจะช่วยเจ้าตัดลูกธนูออกให้เท่านั้น”
เสวี่ยขุยก้มหน้าลงมอง จึงเห็นว่าเขาใช้มีดโค้งตัดลูกธนูออกไปแล้วจริงๆ แต่ตัดออกไปเพียงแค่ครึ่งเดียว ส่วนหัวของธนูยังคงปักติดอยู่กับต้นไม้อย่างแน่นหนา เธอก็ยังคงถูกตรึงกับต้นไม้เป็น ‘สินค้าตัวโชว์’ อยู่ดี
เธอโมโหยิ่งกว่าเดิม ชายน่าตายคนนี้ที่แท้ก็แค่ต้องการปั่นหัวเธอ อยากเห็นท่าทีหวาดกลัวของเธอ ถือว่าเธอดวงโคตรซวยละกัน ถึงต้องมาตกอยู่ในกำมือเขา ให้เขากลั่นแกล้งได้ตามใจชอบ
เธอระเบิดอารมณ์ด่าออกมา “นายมันก็แค่ราชาโง่เง่าโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม ปั่นหัวฉันแบบนี้มันสนุกมากนักหรือไง นายๆๆ… นายตายสักหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ!”
ฉีเหยาเฟิงตั้งแต่เกิดมาก็ถูกวางตัวให้เป็นรัชทายาทของแคว้นฉี ความฉลาดปราดเปรื่องที่ติดตัวมาแต่กำเนิดทำให้เขาได้รับความโปรดปรานของเสด็จพ่ออย่างหมดสิ้นมาตั้งแต่ยังเยาว์ เขาขึ้นครองราชย์เป็นอ๋องอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ได้รับความเคารพนับถือจากคนมากมาย ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าด่าทอเขาเช่นนี้มาก่อน ซ้ำยังด่าว่าเขาเป็นราชาโง่เง่าโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม ว่าตามเหตุผลแล้ว เขาสมควรเกรี้ยวกราดตีหน้าถมึงทึง แล้วฆ่าหญิงนางนี้ให้จบๆ ไปเสีย แต่ทว่ามันแปลกพิลึก เมื่อเห็นตัวนางสั่นเทิ้มด้วยความโมโห และมีหยดน้ำตาที่คลออยู่หางตา หัวใจของเขาเหมือนว่าจะถูกอะไรบางอย่างพุ่งชนอย่างแรง ความรู้สึกสายหนึ่งทั้งแปลกใจ ซับซ้อน และตื่นเต้นก็พลันกระจายไปทั่วทรวงอก
สนมมากมายของเขาล้วนงานเพริศพริ้ง ทว่าแต่ละนางล้วนประจบเอาใจแย่งชิงความโปรดปรานจากเขาอย่างไม่คิดชีวิต แม้ลึกๆ เเล้วพวกนางจะไม่ได้เต็มใจเลยก็ตาม สำหรับเขาแล้วหญิงเหล่านี้ล้วนเหมือนกันหมด เขาไม่เคยพบเจอหญิงที่บังอาจและตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อน ความเกรี้ยวกราดของนาง ความขลาดกลัวของนาง ความน่าสงสารไปเสียทุกที่ของนางกำลังดึงดูดเขาด้วยพลังมหาศาล
นับจากที่ฮองเฮาประชวรจนสิ้นพระชนม์ไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากจะปกป้องคุ้มครองหญิงสักคนหนึ่งอย่างแท้จริง
นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความแก่งแย่งค่อยๆ ถูกแทรกซึมด้วยความอ่อนโยน เขาขยับมือและดึงหัวธนูออกอย่างง่ายดาย หัวเราะอย่างสุภาพอ่อนโยน “ข้าไม่ควรเอาเจ้าตรึงไว้กับต้นไม้ เจ้าเป็นอิสระแล้ว”
เสวี่ยขุยมองการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องของเขาอย่างทั้งตกใจและมึนงง เหอะ ถือว่าเป็นคนเผด็จการที่ยังพอมีความดีในจิตใจหลงเหลืออยู่บ้าง เธอลองก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่เท้าทั้งสองข้างกลับอ่อนแรงเหมือนปุยฝ้าย ออกแรงไม่ได้เลย น่าอายนัก! คงเพราะก่อนหน้านี้ออกแรงวิ่งหนี แล้วยังจะถูกตรึงไว้กับต้นไม้จนเครียดเกร็งไปหมด เรี่ยวแรงทั่วทั้งร่างของนางดูเหมือนว่าจะถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว
“ระวัง!”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะหกล้ม ฉีเหยาเฟิงยื่นมือเข้าไปประคอง เสวี่ยขุยจึงล้มลงสู่แผงอกกว้างอันอบอุ่นในทันใด ไอร้อนของบุรุษเพศเต็มตัวอบอวลและปะปนเข้ากับลมหายใจของเธอ โจมตีจุดไวต่อสัมผัสของหญิงสาวไปทั่วทุกส่วน
“ฉันยืนเองได้” เสวี่ยขุยเขินอายจนหน้าแดง คิดอยากจะผลักเขาออก แต่ขาทั้งสองข้างของเธอไม่มีแรงจะยืนด้วยซ้ำ ยิ่งพยายามจะรักษาระยะห่างจากเขามาก เนื้อตัวของเธอก็ยิ่งเบียดแนบเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอย่างโรยเเรงมากยิ่งขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้สัมผัสผู้ชายอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ที่แท้แล้วแผ่นอกของบุรุษจะแข็งแรงกว้างใหญ่ขนาดนี้ กล้ามเนื้อบึกบึนแนบติดอยู่ภายใต้เสื้อผ้า อุณหภูมิร้อนไหม้ของเขาโอบล้อมอยู่รอบตัวเธอ มือใหญ่กระชับแน่นที่เอวน้อยของเธอ เปลวเพลิงร้อนระอุก็เหมือนจะแทรกผ่านเข้าสู่ผิวกายและเลือดของเธอไปด้วย ทำให้หัวใจของเธอสูบฉีดรัวเร็ว
เธออายจนไม่รู้จะวางมือเอาไว้ตรงไหน ทั้งยังไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงไร้เรี่ยวแรงถึงเพียงนี้ เธอเงยหน้าเผยดวงตาเป็นประกายแล้วพูดด้วยริมฝีปากสั่นระริก “ได้โปรด ได้โปรดปล่อยฉันไป”
หญิงงามในอ้อมแขนเขินอายได้อย่างน่ารัก ตัวนุ่มนิ่มราวกลับไร้กระดูก นัยน์ตาเปล่งประกายวาววับกับปากกลีบดอกไม้ดูเหมือนจะมีพลังเชื้อเชิญที่แรงกล้าแผ่ออกมา แววตาโดดเดี่ยวของฉีเหยาเฟิงเข้มขึ้น ใบหน้าใหญ่โน้มลงไปอย่างไม่ลังเล ประกบปิดปากหญิงสาวด้วยความรุนแรง
จูบของเขาช่างบ้าคลั่ง ราวกับเจ้าของที่ดินผู้โอหังกำลังสำรวจพื้นที่ของตน เขาบดเค้นเต็มแรงบนริมฝีปากหวานที่น่ารัก เหมือนกับกำลังจูบกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานดอกหนึ่ง ปลายลิ้นรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากเธออย่างดุดัน ดูดกลืนกลิ่นหอมของเธอ ไล่ตามเรียวลิ้นเล็กที่หอมเหมือนดอกติงเซียง
สวรรค์ เขาจูบเธอได้อย่างไรกัน? เธอควรจะตบเขาแรงๆ สักหนึ่งฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าให้เขาทำตามใจปรารถนาอย่างน่าไม่อายเช่นนี้ เสวี่ยขุยออกแรงบิดกาย ก้าวถอยหลังมาเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่าพาตัวเองกลับมาติดที่ต้นไม้อีกครั้ง แผ่นหลังของเธอถูกยันไว้ด้วยลำต้น ไม่อาจสลัดหลุดจากจูบร้อนแรงราวกับเปลวเพลิงร้อนระอุนี้ได้
ปลายลิ้นของเขาหยอกล้ออยู่ในปากสวยของเธอ ดูดกลืนน้ำค้างที่หวานปานน้ำผึ้ง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจเลยสักนิด พลังงานความร้อนแผดเผาไปทั่วจุดไวอ่อนไหวของคนทั้งคู่ มือใหญ่สัมผัสแนบชิดกับความโค้งเว้าอรชรที่มีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่ ทั้งลำคอ ทรวงอกและเอวน้อยของเธอถูกเปลวเพลิงเร้าอารมณ์โถมสาดครั้งเเล้วครั้งเล่า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเขาก็ปล่อยปากที่บวมเจ่อของเธออย่างพอใจ ดวงตาดำสนิทเปล่งประกายราวกับเป็นผู้มีชัยอย่างสมบูรณ์
“เฮือกๆๆ...” เสวี่ยขุยสูดเอาอากาศบริสุทธิ์อย่างตะกรุมตะกราม เกือบจะคิดว่าตนต้องขาดอากาศตายเสียแล้ว เมื่อเหลือบไปเห็นมุมปากของเขากระหยิ่มยิ้มอยากภาคภูมิใจ เธอทั้งอายและโมโหในทันใด น่าเกลียดที่สุด ทำไมเธอถึงถูกเขาจูบจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ โลกหมุนเคว้งได้เล่า เธอไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้คือตัวเธอเอง เธอไม่กล้าจะมองปีศาจตนนั้นแม้อีกสักหน จึงก้มหน้างุดคิดหนี คาดไม่ถึงว่าจะถูกฉีเหยาเฟิงคว้ามือสองทั้งข้างไว้
ฉีเหยาเฟิงทำเสียงกระแอมในลำคอ “อย่าวิ่งเลย แม่นาง กลับวังไปกับข้า ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายา ทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียงเกียรติยศล้วนมอบให้เจ้าได้อย่างไม่มีหมดสิ้น”
หลังจากผ่านจูบเมื่อสักครู่นี้ เขายิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่าตนต้องการหญิงคนนี้ เขาเชื่อมั่นว่านางไม่ได้เป็นสายลับที่แคว้นอริส่งมาเป็นแน่แท้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้หญิงนางนี้เป็นสายลับเขาก็ไม่กลัว เขาเป็นผู้กล้าพละกำลังโดดเด่นเหนือใคร แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกลัวใครหน้าไหน แน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางหวาดกลัวหญิงนางนี้ ในสายตาของเขา สตรีเพียงเหมาะสมจะอยู่บนเตียงให้บุรุษได้เสพสุข ไม่มีทางสร้างอันตรายใดๆ ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนมีแต่จะรับใช้อยู่ใต้เท้าเขาอย่างนอบน้อมเชื่อฟัง เขาเชื่อว่าสตรีนางนี้ก็มิใช่ข้อยกเว้น
เหนือสิ่งอื่นใด เขาติดใจรสชาติในปากของนาง มันหวานหอมเหมือนกับลูกท้อสุก ทั้งยังมีรสสะอาดบริสุทธิ์สายหนึ่งปะปนอยู่ด้วย มันปลุกเร้าความกระหายที่บ้าคลั่งของเขา เขายิ่งชอบดวงหน้าน้อยงามกระจ่างที่ขึ้นสีแดงเรื่ออย่างง่ายดายมากกว่า ชอบผิวนุ่มนิ่มของนาง ชอบดวงตาที่ประเดี๋ยวก็โมโหร้าย ประเดี๋ยวก็ขวยเขิน
ไม่ว่านางจะมีฐานะอะไร นับแต่นี้ต่อไปเขาจะให้นางเข้าใจอย่างชัดเจนว่า เขาคือนายของนาง คือสามีของนาง คือกษัตริย์ของนาง มีเพียงเขาที่จะครอบครองนางได้อย่างสมบูรณ์
แต่งตั้งเป็นพระชายา? เสวี่ยขุยตะลึงงัน ไม่สิ เธอไม่อยากเป็นพระชายาที่โชคร้ายของอ๋องเผด็จการนี่ เธอยิ่งไม่สนใจที่จะเข้าสู่การแก่งแย่งที่ซับซ้อนของเหล่าสนมด้วย
เธอรีบตอบ “ฉันไม่กลับวังไปกับนายหรอก ความจริงแล้ว นายไม่เข้าใจ ฉัน... จริงๆ แล้วฉันไม่ใช่คนในยุคนี้ ฉันจะต้องไปจากที่นี่ในเร็ววันนี้แหละ”
เธอไม่รู้ว่าขั้นตอนไหนกันแน่ที่เกิดปัญหา แต่ว่าเธอจะพยายามตามหาเทวดาโง่เง่าที่ชอบทำเรื่องผิดพลาดองค์นั้นให้พบ ร้องขอให้เทวดาส่งเธอกลับคืนสู่ศตวรรษที่ 21
ฉีเหยาเฟิงมุ่นคิ้วดกเข้มอย่างไม่พอใจ “ไม่ใช่คนในยุคนี้ หมายถึงสิ่งใดกัน”
“มันยากจะอธิบายน่ะ สรุปก็คือ ฉันไม่กลับไปกับนายแน่ๆ”
เขาใช้สายตาคมทิ่มแทงพลันเอ่ยถาม “เจ้ามีนามว่าอะไร”
ภายใต้สายตาเย็นชาที่จ้องมาอย่างกดดัน เสวี่ยขุยพลันรู้สึกเรี่ยวแรงหดหาย ชายคนนี้มีพลังสายหนึ่งที่ทำให้คนยอมเชื่อฟังเขา เธอเอ่ยตอบไปโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ฉันชื่อเจียงเสวี่ยขุย แต่ว่าฉันกลับวังไปกับนายไม่ได้จริงๆ แล้วยิ่งเป็นผู้หญิงของนายไม่ได้ใหญ่เลย”
เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าคืออ๋อง คำสั่งของข้าไฉนจึงฝ่าฝืนง่ายเพียงนั้น?”
เขาพูดไปก็ถอดเอาเสื้อคุมกันลมปักลายมังกรขี่เมฆหมอกออกอย่างว่องไว หลังจากใช้มันคลุมกายให้เธอเเล้ว จึงตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “แม่ทัพฮั่ว!”
“หม่อมฉันอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” นายทหารยศสูงนายหนึ่งสาวเท้าก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าทันที ความจริงกองทหารรักษาพระองค์คอยดูแลความปลอดภัยของท่านอ๋องห่างออกไปไม่เกินสิบก้าวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้จะพยายามเว้นระยะห่างเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ดูออกว่าท่านอ๋อง ‘กำลังยุ่ง’ อยู่ ดังนั้นนอกเสียจากว่าพระองค์จะเรียกหาเองเเล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าทำเสียงรบกวน
ฉีเหยาเฟิงสั่งการ “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป การล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาเจ็ดวันได้สิ้นสุดลงแล้ว สัตว์ที่ล่ามาได้แบ่งไปให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเท่าๆ กัน ผู้ใดสมควรได้รับการตบรางวัล ทั้งหมดก็ให้เจ้าเป็นคนรับผิดชอบดูแล”
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา”
คนผู้หนึ่งจูงบังเหียนม้าพันธุ์ดีสีดำของฉีเหยาเฟิงเข้ามา เขาอุ้มเสวี่ยขุยก่อนกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างองอาจ แล้วออกคำสั่งอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “เคลื่อนขบวนกลับวัง”
ทหารส่งสารคนแล้วคนเล่าส่งคำสั่งต่อๆ กันไป “จัดขบวนทัพ ท่านอ๋องเสด็จกลับวัง!”
“ท่านอ๋องเสด็จกลับวัง!”
กองทหารรักษาพระองค์เคลื่อนขบวนทัพคุ้มครองท่านอ๋องซึ่งควบม้าเร็วด้วยรูปแบบมีระเบียบทรงพลัง เสวี่ยขุยซึ่งถูกบังคับจับขึ้นม้าไร้ซึ่งแรงต่อต้าน ทำได้เพียงแหกปากตะโกนต่อไปเรื่อยๆ
“นายจับฉันกลับไปไม่ได้นะ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นพระชายาของนาย นี่! นายได้ฟังฉันบ้างหรือเปล่าเนี่ย ทำไมนายเป็นคนไม่มีเหตุผลอย่างนี้นะ นายนี่มันโคตรหน้ามึนเลย...”
เธอปะทะกับลมแรง ร้องตะโกนจนคอแห้งเป็นทรายและแทบจะหมดเสียง แต่น่าเสียดายที่ว่าฉีเหยาเฟิงเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น
ฉีเหยาเฟิงลงแส้ควบม้าเร่งรุดมุ่งหน้ากลับสู่วัง บนหลังม้ามีเหยื่อแสนสวยที่เขาชื่นชอบอย่างที่สุดติดมือกลับไปด้วย
[1] กวางหมีลู่ หรือ กวางปักกิ่ง จะมีลักษณะ 4 ประการที่คล้ายคลึงกับสัตว์ชนิดต่าง ๆ ผสมผสานกัน คือ มีส่วนหัวเหมือนม้า มีตีนเหมือนวัว มีหางเหมือนลา และมีเขาเหมือนกวางแต่งองุ้มไปข้างหลัง
[2] นกไม่วางไข่ หมายังไม่ขี้ เป็นสำนวนที่หมายถึงสถานที่ซึ่งห่างไกลและเปล่าเปลี่ยว
[3] ม่าจ้อโป๋ หรือ ม่าโจ้ว ภาษาจีนกลางเรียกว่า มาจู่ เป็นเทวสตรีของจีนที่ได้รับความเคารพในหมู่ของชาวฮกเกี้ยน ชาวแต้จิ๋ว และชาวจีนโพ้นทะเล ที่ประกอบอาชีพประมงและเดินเรือ
[4] รถคันหน้าเเล่นคว่ำไป ย่อมเป็นข้อเตือนใจให้รถคันหลัง เป็นสำนวน มีความหมายว่า ความล้มเหลวของคนรุ่นเก่า ย่อมเป็นกระจกเงาของคนรุ่นหลัง
[5] ผลอิง หมายถึง ผลเชอรี่
[6] โซ่ว (獸) หมายถึง สัตว์ป่า และอุปมาถึงคำว่า ชั่วช้า ป่าเถื่อน ได้เช่นกัน
-- อ่านต่อได้ที่ bit.ly/2MjGZpT --
ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่
https://www.facebook.com/xiaobei.fiction
หัวของเธอรู้สึกเจ็บมาก เจ็บอย่างกับว่ามันจะแยกออกจากกัน ขอร้องเถอะ ปล่อยให้เธอได้นอนดีๆ ต่ออีกหน่อย อย่าเสียงดังเลย...
แต่ทว่า เสียงอึกทึกวุ่นวายจากรอบด้านยังคงดังอย่างไม่หยุดหย่อน ปึงๆๆๆ ตู้มๆๆ ปึงๆๆ
จากที่ไกลๆ เหมือนจะมีเสียงแตรเขาสัตว์เสียงแหลมดังลอยมา เสียงครึกโครมก็ดังรัวเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
น่ารำคาญจริง
เธอลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง ชั่วขณะหนึ่ง เจียงเสวี่ยขุยไม่รู้เลยว่าตัวเธออยู่ที่ไหน สายตาพร่าเลือนค่อยๆ ปรับจนกลับมาเป็นปกติ เธอพบตนเองนอนอยู่กลางป่า จริงๆ เเล้วคือนอนอยู่บนกองใบไม้ร่วงกองหนึ่ง
ที่นี่...คือที่ไหน?
เสวี่ยขุยนวดเบาๆ บริเวณขมับที่ปวดตุบ ลุกยืนช้าๆ จิตใต้สำนึกสั่งให้ร้องเรียกออกไปโดยอัตโนมัติ “เถียนเถียน ซือฉี่ พวกเธออยู่ที่ไหนกัน” เธอเรียกหาพี่น้องอีกสองคนอย่างร้อนใจ
ความทรงจำสุดท้ายในหัวสมอง เหมือนว่าจะมีแสงลำหนึ่งบอกทำนองว่าพวกเธอไม่สมควรโดนระเบิดตาย ทั้งสามจะฟื้นคืนชีพได้ แต่ว่าต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ หลังจากนั้น พวกเธอทั้งสามก็ถูกวงแสงลึกลับห่อรัดรอบกาย ดึงลงสู่เบื้องล่าง ตกลงไปเรื่อยๆ ราวกับกำลังร่วงไปในถ้ำมืดไร้จุดสิ้นสุด จนกระทั่งเธอค่อยๆ หมดสติไป
“แล้วทำไมฉันต้องมาโผล่ที่ป่านี้ด้วยล่ะเนี่ย ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ เถียนเถียน ซือฉี่ พวกเธออยู่ที่ไหนน่ะ รีบตอบฉันมาเร็วเข้า!” เธอหันซ้ายหันขวาอย่างกระวนกระวาย กลางป่าลึกทึบแห่งนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย กลิ่นอายประหลาดลอยมาตามลม เหมือนกับว่า...กำลังจะมีเรื่องน่ากลัวบางอย่างเกิดขึ้น
หวูดดดด~~ จากที่ไกลออกไป เสียงแตรเขาสัตว์ดังเเว่วมาอีกครั้ง ตามติดมาด้วยเสียงปึงๆๆ ราวกับมีของบางสิ่งพุ่งชนเข้ากับพื้นดินด้วยเเรงมหาศาล ปฐพีทั้งผืนสั่นสะเทือนเลือนลั่น
เสวี่ยขุยตกใจจนดวงหน้างามถอดสี “สวรรค์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย”
เสียงโครมครามกับเสียงแตรเขาสัตว์ดังเสียดหูมากขึ้นทุกขณะ เธอตกใจวิ่งหนีเข้าไปทางป่าลึก หวังจะหาถ้ำเพื่อหลบซ่อนตัว แต่เมื่อปีนขึ้นไปยังเนินลาด ภาพที่สะท้อนเข้าตาทำให้เธอปากอ้าตาค้าง ตกตะลึงเสียจนเกือบจะหยุดหายใจไปเเล้ว
ไม่ ไม่มีทาง
นี่...นี่มันอะไรเนี่ย?!
เธอเห็นโขลงช้างวิ่งเตลิดไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทั้งช้างพลาย ช้างพัง ลูกช้าง ต่างพากันซอยเท้าเปิดเเน่บอย่างไม่คิดชีวิต ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยพบเคยเจอโขลงช้างที่ใหญ่และมีสมาชิกมากขนาดนี้มาก่อน เสียงที่เกิดจากโขลงช้างดังสนั่นจนฟ้าดินเขย่าไหวไปหมด
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ สิงสาราสัตว์กลุ่มมโหฬารนับไม่ถ้วนก็กำลังวิ่งหน้าตั้งออกมาจากทางป่าลึก มีทั้งจิ้งจอก กวางหมีลู่[1] ละมั่ง หมาป่า แรด กระต่าย หมูป่า ลิงและเสือตัวใหญ่สีสันแพรวพราวเป็นต้น แต่ละฝูงมีจำนวนที่น่าตกใจ พวกมันทั้งหมดเหมือนถูกเล่นงานด้วยสิ่งชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น ต่างพากันซอยเท้าวิ่งหนีอุตลุด
กาๆๆ เสียงห่านป่าดังแว่วมาตามอากาศ เสวี่ยขุยตกใจเเหงนหน้าขึ้นมอง พบห่านป่าจำนวนน่าตื่นตาตื่นใจเหมือนถูกทำให้ตกใจกลัวอย่างแรง บินแตกฮือด้วยความอลหม่าน ส่งเสียงร้องเรียกหาพวกพ้องไม่ยอมหยุด
ป่าทั้งผืนคล้ายถูกปลุกปั่นอย่างรุนแรงด้วยพลังแปลกปลอมบางอย่าง สรรพสัตว์วิ่งหนี หงส์วิหคหนีตาย
หวูดดดด~ หวูดดดด~ เสียงแตรเขาสัตว์ที่ดังอยู่ไกลๆ ขยับใกล้เข้ามา ฟังชัดเจนมากขึ้นทุกที เสียงนกกรีดร้องเสียงแหลม ราวกับเป็นยันต์พรากชีวิต ทำให้หนังศีรษะคนชาหนึบ
เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันเเน่ มองฝูงสัตว์พากันวิ่งหนีสุดชีวิตไปยังทิศทางเดียวกัน เจียงเสวี่ยขุยซึ่งตกอยู่ภายใต้สภาวะไร้ทางเลือก จึงทำได้เพียงวิ่งตามพวกมันไป เธอวิ่งไปก็หอบไป คิดอยากจะคว้ากระต่ายสักตัวมาถามให้รู้ความกระจ่างชัด และยิ่งอยากร้องตะโกนใส่สวรรค์เสียมากกว่า
“นี่! ไอ้เทวดาไร้ความรับผิดชอบ นี่มันที่ไหนกันเเน่ จะให้พวกฉันไปยังที่ที่หนึ่งเพื่อทำภารกิจ แต่ว่าที่นี่มันเป็นสถานที่บ้าบออะไร แม้แต่นกยังไม่วางไข่[2]เลยเนี่ย”
คงไม่ใช่ว่าเธอถูกเทวดานั่นทิ้งไว้กลางป่าอเมซอนหรือว่าสักมุมหนึ่งของเผ่ากินคนในทวีปแอฟริกาหรอกนะ สวรรค์ ไม่นะ เธอเพิ่งจะถูกระเบิดตายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะได้ฟื้นคืนชีพ คงไม่ใช่ว่าแค่เพียงพริบตาเดียว ก็ต้องถูกเผ่ากินคนโยนลงหม้อร้อนๆ ต้มกินอีกเเล้วนะ เธอไม่อยากมีจุดจบน่าอนาทปานนั้น
เสวี่ยขุยวิ่งจนหายใจหอบแฮกๆ ลมหายใจเข้าออกสับสนไปหมด ขยับวิ่งต่อไม่ไหว เมื่อเหลือบไปเห็นถ้ำเล็กๆ อยู่ข้างหน้าจึงรีบมุดเข้าไปเพื่อซ่อนตัว เฮ้อ เธอใกล้จะเหนื่อยตายอยู่เเล้ว เพราะว่าวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต ปอดก็เจ็บจนแทบจะระเบิดออกมา วิ่งต่อไปไม่ไหวเเล้วจริงๆ
จังหวะเดียวกันกับตอนที่เธอเข้ามาหลบในถ้ำ เธอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าที่ฟังดูน่าตกใจอย่างชัดเจน เสียงนั้นใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ขวัญผวา หลังจากนั้น ลูกธนูหลายดอกทะลุผ่านกลางอากาศ เธอยกมืออุดปากอย่างตื่นกลัว เห็นห่านป่าหลายตัวถูกลูกธนูยิงร่วงแล้วตกลงจากกลางอากาศอย่างโหดเหี้ยม เลือดสดๆ ไหลท่วมเต็มตัว
ฟิ้วๆๆๆๆ ลูกธนูถูกยิงไม่ขาดสายราวกับฝนธนู เสียงร้องเจ็บปวดดังไปทั่วสารทิศ กวางหมีลู่ที่สองขาถูกลูกธนูยิงล้มนอนไม่ขยับอยู่บนพื้น หมูป่า ละมั่ง และกระต่ายอีกหลายตัวต่างก็กำลังเผชิญกับชะตากรรมแบบเดียวกัน นอนจมกองเลือด บางตัวยังนอนร้องครวญคราง ทว่าส่วนใหญ่สิ้นลมตายเเล้ว
“สวรรค์ นี่มัน...คือการล่าสัตว์ใช่ไหม” เสวี่ยขุยตกใจสั่นไปทั้งตัว หลบอยู่ในถ้ำ แม้แต่ลมหายใจยังไม่กล้าปล่อยออกมามั่วซั่ว กลัวสุดใจว่าถ้าเกิดเสียงดังสักแอะเดียว ตนก็จะเป็นเหมือนสัตว์ที่ถูกล่าจนนอนจมกองเลือดแบบนั้น
ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับก็ดังชัดมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังแทรกมาด้วยเสียงร้องอย่างตื่นเต้นของผู้ชาย
“ว้าว อุดมสมบูรณ์นัก! เจ้าดูสิๆ กวางหมีลู่สองสามตัวที่ล้มอยู่บนพื้นนั่นอวบอ้วนขนาดไหน เอ๊ะ ยังยิงจิ้งจอกหิมะหายากได้ด้วยหรือนี่ เยี่ยมยอดไปเลย”
“นี่เป็นครั้งแรกของข้าเชียวนะที่ได้เห็นจิ้งจอกขาวหายากที่ทั้งขาวราวหิมะและสวยขนาดนี้น่ะ บนตัวมันมีลูกธนูประดับทับทิมที่ท่านอ๋องทรงใช้โดยเฉพาะปักอยู่ ฝีมือยิงธนูของท่านอ๋องช่างร้ายกาจยิ่งนัก ลูกธนูที่ยิงออกไปไม่เคยเสียเปล่า ใต้หล้าไร้ผู้เทียมทานจริงๆ”
“เลิกตื่นเต้นได้เเล้ว กองทหารรักษาพระองค์ของท่านอ๋องใกล้จะถึงเเล้ว พวกเรารีบจัดการกับสัตว์ที่ล่ามาได้พวกนี้เถอะ”
เสวี่ยขุยหลบซ่อนอยู่ในถ้ำ ค่อยๆ ชะโงกศีรษะน้อยๆ ออกไป มองเห็นเพียงกลุ่มชายสวมชุดล่าสัตว์แบบโบราณลงมาจากม้า จัดการกับเหยื่อที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นด้วยความว่องไว เหงื่อเม็ดเเล้วเม็ดเล่าซึมออกมาจากหน้าผาก ไหลลงช้าๆ เธอมองดูด้วยสายตาโง่งม นี่...นี่มันสถานการณ์แบบไหนกันเนี่ย?
เธอฟังเข้าใจเนื้อหาที่พวกผู้ชายคุยกัน เเต่เครื่องเเต่งกายของพวกเขาทำไมถึงแปลกออกไป อย่างกับว่าหลุดออกมาจากละครย้อนยุคอย่างไรอย่างนั้น เเล้วยังมีที่พวกเขาเรียกว่าท่านอ๋องๆ อะไรนั่นอีก
เธอพึมพำเบาๆ “ฉันคงไม่ได้หลุดเข้ามาในกองถ่ายของละครพีเรียดสักเรื่องหรอกนะ แต่ว่าการล่าสัตว์ที่สมจริงขนาดนี้...”
อีตาเทวดานั่นบอกจะส่งพวกเธอไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง หรือว่าที่ที่ว่านั่นไกลจากไต้หวันมากๆ ไกลถึงขนาด...ไม่ได้อยู่ในห้วงเวลาเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
เธอกุมหน้าอกที่หัวใจเต้นตุบๆ ไม่เป็นจังหวะ ไม่กล้าคิดต่อไปอีก “ไม่ เป็นไปไม่ได้! ฉันไม่มีทางมาเจอเรื่องพิสดารและเฮงซวยแบบนี้หรอก อย่าขู่ตัวเองจนตกใจเอง อย่าคิดเหลวไหลเรื่อยเปื่อย...”
ถึงแม้ปากจะปลอบใจตนเองเช่นนั้น แต่หากพูดถึงเรื่องโชคร้ายเเล้ว ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของเธอก็นับว่าเป็นคนที่โชคร้ายอย่างไม่มีใครต่อกรได้จริงๆ นั่นแหละ ก็ถึงขนาดกว่าจะได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ด้วยกันกับพวกพี่น้องที่รักใคร่ ได้ชนแก้วฉลองวันเกิด แต่ก็ยังดันมาเจอแก๊สระเบิดจากห้องชั้นล่างเข้าให้อีก
เวลานั้นนอกถ้ำมีเสียงอึกทึกที่ดังกว่าเดิมเเว่วเข้ามา เหมือนจะมีกองทัพคนและม้าจำนวนนับหมื่นนับพันมุ่งหน้ามาทางนี้ เสียงแตรเขาสัตว์ก็ดังแสบแก้วหูมากขึ้นเรื่อยๆ
“หนวกหูจริง หัวฉันปวดไปหมดเเล้วเนี่ย” เสวี่ยขุยอุดหูอย่างเจ็บปวด
“กองลาดตระเวนถอยออกไป ท่านอ๋องเสด็จเเล้ว!” เสียงทุ้มต่ำทรงพลังตะโกนขึ้น
ท่านอ๋อง? มีอ๋องจริงๆ หรอเนี่ย เสวี่ยขุยเบิกตาโตอย่างตระหนกกลัว แอบมองด้านนอกอย่างไม่อาจทำใจเชื่อ
โฮ่งๆๆๆ… เธอเห็นเพียงทหารกลุ่มหนึ่งกำลังจูงสุนัขล่าเนื้อวิ่งมาอย่างน่าเกรงขาม มันเห่าหอนอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ดูแล้วทำให้คนรู้สึกกริ่งเกรง ด้านหลังตามมาติดๆ ด้วยกองทหารรักษาพระองค์ซึ่งมีขบวนทัพทรงพลัง แต่ละนายมีทั้งหอกและชุดธนูอยู่ในมือ เอวมีมีดโค้งห้อยอยู่ พวกเขากำลังอารักขากลุ่มเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงที่แต่งกายด้วยชุดล่าสัตว์ ซึ่งนั่งอยู่บนหลังอาชาพันธุ์ดี
ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างยินดีเจือประหลาดใจว่า “โอ้ ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ทั้งหมูป่า กวางหมีลู่และละมั่งเต็มเกลื่อนไปหมด แถมยังมีจิ้งจอกหิมะที่ทั้งล้ำค่าและหายากเช่นนี้! ยินดีกับท่านอ๋อง ยินดีกับท่านอ๋อง การปิดล้อมล่าสัตว์ครั้งนี้ถือว่าเก็บเกี่ยวได้มากจริงๆ แต่ก็มิมีสิ่งใดแปลก ในเมื่อท่านอ๋องแห่งแคว้นฉีของเรานั้นใครๆ ต่างล้วนเคารพยำเกรง เพียงได้ยินชื่อก็ขลาดกลัวเเล้ว มิเพียงราษฎรเทิดทูน สรรพสัตว์กริ่งเกรง เหมาะสมแล้วที่เป็นโอรสแห่งสวรรค์ซึ่งมาปกครองใต้หล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางอีกผู้หนึ่งรีบผสมโรง “มิผิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมิเพียงมีฝีมือการยิงธนูเป็นเลิศ ในสนามรบเองก็เป็นผู้กล้าเชี่ยวชาญการรบ ยากที่ผู้ใดจะต้านทาน ดุจเทพสงครามจากบนฟ้าจุติลงมา ไม่มีเรื่องยากใดที่ไม่สำเร็จ ไม่มีสงครามใดที่ไม่ชนะ หากเทียบกับผู้กล้าเฉกเช่นท่านอ๋องเเล้ว อ๋องแห่งแคว้นเฟิงและแคว้นชางลั่งล้วนเป็นได้เพียงกุ้งขาเปลี้ยที่แม้แต่ม้ายังขี่ให้ดีมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆๆ... ถูกเเล้วๆ อ๋องไร้ประโยชน์สองคนนั่นนับเป็นกุ้งขาเปลี้ยจริงๆ กำลังของสองแคว้นนั้น แม้แต่การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ต้านไว้ไม่อยู่ หากเวลานั้นมาถึง ภายใต้การนำทัพของท่านอ๋อง แคว้นฉีของเราสามารถบุกข้ามแม่น้ำไปได้อย่างแน่นอน ทำลายสองแคว้นเล็กๆ นั่นในครั้งเดียว รวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ขึ้นปกครองจงหยวน!”
สถานที่ซึ่งคึกคักที่สุดของจงหยวนคือแอ่งกระทะขนาดใหญ่ที่ซึ่งแม่น้ำชางลั่งกับแม่น้ำจวีเยวี่ยไหลมาบรรจบกัน สามแคว้นต่างมีอำนาจเหนือสถานที่แห่งนี้ หากถือแม่น้ำชางลั่งเป็นตัวแบ่งเขตแดนแล้ว ตะวันตกคือแคว้นฉี ตะวันออกคือแคว้นเฟิง ทางทิศใต้คือแคว้นชางลั่ง ทั้งสามแคว้นต่างเป็นเจ้าของดินแดนอุดมสมบูรณ์ซึ่งอยู่ถัดเข้ามาจากฝั่งแม่น้ำนับพันลี้
ในบริเวณนี้มีภูมิประเทศที่มีลักษณะพิเศษอย่างมากอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือที่ที่สามแคว้นปกครองร่วมกัน เรียกว่าเกาะนกแก้ว สันดอนทรายมีลักษณะคล้ายกับนกแก้วจึงได้ชื่อเรียกมาเช่นนี้ สถานที่ซึ่งแม่น้ำสายใหญ่ทั้งสองสายไหลมาบรรจบกันมีเรือสินค้าอยู่เนืองแน่น เพื่อที่จะแย่งชิงโอกาสทางการค้าที่มากับเรือสินค้าเหล่านี้ สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก
เกาะนกแก้วเคยเป็นตัวจุดชนวนสงครามใหญ่ระหว่างสามแคว้น หลายปีก่อน หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดก็ยังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้ ท้ายที่สุดภายใต้การตกลงอย่างฝืนใจของทั้งสามแคว้น เกาะนกแก้วซึ่งเป็นพื้นที่ทองคำและนำมาซึ่งโอกาสทางการค้าแห่งนี้จึงถูกจัดให้เป็นเขตชายแดนที่ปกครองร่วมกัน
ความหมายของสิ่งที่เรียกว่าการถ่วงดุลก็คือ หากดินแดนแห่งนี้เกิดข้อพิพาทใดๆ ระหว่างแคว้นต่อแคว้นขึ้น ก็จะเป็นเรื่องง่ายดายที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ กระทั่งกลายเป็นสงคราม หันคมดาบห้ำหั่นกันในที่สุด
เนื่องจากปัจจุบันแคว้นทั้งสามมีกำลังใกล้เคียงกัน บวกกับสงครามยาวนาน เสียหายทั้งกำลังคนและทรัพยากร ด้วยเหตุนี้ สงครามจึงได้พักยกลงชั่วคราว ทว่าดินแดนติดขอบชายแดนมักจะมีข่าวพิพาทเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ราชาของสามแคว้นต่างมีใจทะเยอทะยาน เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นตะปูตำตา เป็นเช่นหนามแทงเนื้อ จึงคอยตระเตรียมกำลังสำหรับทำการใหญ่อยู่เสมอๆ รอเพียงถึงเวลาที่เหมาะสมจะเคลื่อนทัพ บดขยี้อีกสองเเคว้นในครั้งเดียว ขึ้นเป็นใหญ่ในจงหยวน กลายเป็นราชาซึ่งมีอำนาจสูงสุดในเก้าดินแดนอย่างแท้จริง
ชายซึ่งเป็นผู้นำมิได้สนใจการสอพลอของพวกขุนนาง เขาควบม้าตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สายตาเฉียบคมหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายจะไม่ค่อยพอใจกับผลงานการปิดล้อมล่าสัตว์ในครั้งนี้
ท่านอ๋อง? คนนี้ก็คือท่านอ๋องที่พวกนั้นพูดถึงหรอกหรือ เสวี่ยขุยที่หลบอยู่ในถ้ำกลั้นลมหายใจอย่างระมัดระวัง จ้องมองด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
ชายผู้นี้มีความสูงเกินมาตรฐาน นั่งหลังหยัดตรงบนม้าพันธุ์ดีสีดำมันขลับ ยิ่งขับเน้นให้เขาดูดุร้ายอย่างหาตัวจับได้ยาก ราวกับเทพเซียน รูปร่างของเขาสูงใหญ่กำยำ อยู่ในชุดล่าสัตว์ที่เย็บจากหนังเสือดาว บ่งบอกถึงความหยาบกระด้างและเรียบง่ายได้อย่างชัดเจน บนศีรษะมีมาลาที่ทำมาจากหินหยกและพลอยสีเขียวซึ่งมีรูปร่างแข็งแรงทรงพลัง ผมดำหนาไม่เป็นระเบียบสะบัดพัดไปตามลม คิ้วหนาเเข็งกร้าว ประกอบกับดวงตาคมเฉียบแหลม ทำให้ผู้คนไม่กล้าล่วงเกิน สันจมูกโด่งสูงดั่งสันเขา เครื่องหน้าทั้งห้าบนใบหน้าคมสันชัดเจน คางรูปเหลี่ยมบ่งบอกถึงความห้าวหาญ ไร้ความปราณี
สายตาของเสวี่ยขุยย้ายไปที่ข้อมือและขายาวอันแข็งแรงทรงพลังของเขา ผิวกายตึงแน่น ไร้ซึ่งไขมันส่วนเกิน กล้ามเนื้อทุกตารางนิ้วที่แกร่งราวกับเหล็กกล้ามีพลังปะทุอยู่เต็มเปี่ยม ชายผู้นี้ก็เหมือนกับสัตว์ป่าที่อันตรายที่สุดตัวหนึ่ง ดูถูกเหยียดหยันสรรพสิ่งทั้งปวง
เขาเป็นอ๋องจริงหรือ แม้เธอจะไม่มีความรู้เรื่องเพชรพลอย แต่เธอก็ดูออกว่าอัญมณีบนมาลาหยกชิ้นนั้นมีราคาไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้งคันธนูและลูกธนูที่อยู่ในมือเขาก็มีอัญมณีสลักอยู่ ดูสูงค่ายิ่ง กิริยาท่าทางก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอย่างผู้เป็นราชา เสวี่ยขุยยิ่งมองก็ยิ่งหวั่นใจ เหงื่อไหลซึมออกมาไม่หยุด
ทั้งหมดทั้งมวลนี้... คล้ายว่าจะเป็นความจริง คนพวกนี้ไม่เหมือนกับกำลังถ่ายละครย้อนยุค แต่ดูเหมือนว่าเธอ... จะถูกโยนทิ้งไว้ในช่วงเวลาเก่าในอดีต
สวรรค์ เธออยากจะกรีดร้องเหลือเกิน แต่อยากจะฆ่าไอ้เทวดาที่ทำงานไม่ได้เรื่องเเล้วยังทำผิดพลาดตลอดนั่นเสียมากกว่า ทำไม ทำไมต้องให้เธอมาอยู่ในสถานที่พิลึกกึกกือเช่นนี้
ทว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาตีโพยตีพาย เธอบอกกับตนเองว่าอย่าตื่นตระหนก อันดับแรก เธอจำเป็นต้องหาสถานที่ที่มิดชิดกว่านี้เพื่อหลบซ่อนให้ดี ไม่อาจให้คนพวกนั้นพบตัวเธอได้ ถ้ำแห่งนี้ไม่นับว่าปลอดภัยมากนัก ถ้าเกิดว่าจู่ๆ ชายผู้นั้นเกิดลงจากม้าอยากจะเข้ามาพัก แล้วพบการมีอยู่ของเธอเข้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเห็นเธอเป็นเหยื่อแล้วฆ่าทิ้ง แล่เนื้อเเล้วนำมาต้มกิน ฮือๆๆ ชีวิตของเธอคงไม่จบอนาทขนาดนั้นหรอกนะ เสวี่ยขุยบังคับลมหายใจเข้าออกอย่างระมัดระวังเต็มที่
เวลานั้น พงหญ้าด้านนอกอีกฝั่งหนึ่งพลันเกิดเสียงขึ้นเล็กน้อย โซ่วอ๋องยิงธนูออกไปหนึ่งดอกด้วยปฏิกิริยาว่องไว กลางพงหญ้าเกิดความอลหม่าน แล้วหมาป่าสี่ห้าตัวก็วิ่งหนีตายออกมา
พวกขุนนางร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น “มีหมาป่า! เร็วเข้า รีบยิงให้ตาย!”
นี่เป็นโอกาสดี! ฉวยโอกาสตอนที่คนกลุ่มนั้นควบม้าไล่ตามฝูงหมาป่าไป มือเท้าของเสวี่ยขุยปีนออกจากถ้ำอย่างเงียบเชียบ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครหันมาสนใจเธอจึงรีบเผ่นแนบ
วิ่งเร็วเข้า วิ่งได้ไกลเท่าไรก็วิ่งไปเท่านั้นแหละ
การเคลื่อนไหวของเธอเบามาก คิดไม่ถึงว่าอ๋องผู้นั้นเหมือนจะมีดวงตาอีกคู่ติดอยู่ที่ด้านหลังเสียนี่ เขาดึงบังเหียนม้าทันใด หมุนตัวกลับแล้วกระโจนมาตามทิศทางที่เธออยู่
“หยุดเท้า ห้ามขยับ” โซ่วอ๋องตะโกนด้วยเสียงคุกคามน่ากลัว
แม่เจ้า! ทำไมจึงถูกพบได้เล่า เสวี่ยขุยตกใจจนแทบจะเป็นลม จึงเร่งความเร็วขึ้นเพื่อหลบหนี ฮือๆๆ สวรรค์ได้โปรดคุ้มครองฉันที เจ้าแม่ม่าโจ้ว[3] ได้โปรดปกป้องฉันด้วย พระพุทธองค์ได้โปรดรักษาลูกช้างทีเถิด เธอยังไม่อยากถูกยิงตายจริงๆ
ช่างเป็นเหยื่อที่น่าสนใจ ฉีเหยาเฟิงควบม้าตามไล่ นัยน์ตาดำเปล่งประกายความตื่นเต้น นั่นเป็นหญิงนางหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นหญิงที่เคลื่อนไหวเงอะงะ วิ่งก็ช้าจนเกือบจะลื่นหัวทิ่ม นางเป็นชาวแคว้นฉีหรือ เป็นไปไม่ได้ ราษฎรของแคว้นฉีต่างรู้ดีว่าเขาหัวสิงห์แห่งนี้เป็นเขตล่าสัตว์ของราชวงศ์ ไม่มีใครหน้าไหนจะอาจหาญเข้ามาใกล้เขาหัวสิงห์แห่งนี้แม้เพียงครึ่งก้าว
เช่นนั้นนางเป็นใคร? หรือว่าจะเป็นสายลับที่แคว้นเฟิงไม่ก็แคว้นชางลั่งส่งมา
แต่ไม่ว่านางจะเป็นใครก็ตาม นางได้กระตุกต่อมความสนใจของเขาเข้าเเล้ว ฉีเหยาเฟิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม เผยแววตาแน่วแน่ว่าต้องได้มาครอบครอง
พอล่าสัตว์นานไป ไม่ว่าจะล่าได้เสือหรือสิงโตล้วนไม่อาจเติมเต็มความกระหายในชัยชนะของเขาได้อีกต่อไปเเล้ว ครั้งนี้เขาอยากจะล่าคนที่มีชีวิตเป็นๆ คนหนึ่ง
เขาน้าวสายคันธนูที่ใส่ลูกธนูไว้พร้อม เกาะกระชับแน่นที่ลำตัวม้า ไล่ตามไปเร็วดุจสายลมเเละสายฟ้า เหอะ ยิ่งเหยื่อตื่นกลัวและวิ่งหนีมากเท่าไร เขาก็ยิ่งตื่นเต้นเร้าใจมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเห็นท่านอ๋องควบม้ามุ่งเข้าป่าไปพระองค์เดียว เหล่าองครักษ์ส่วนพระองค์ผู้มีใจภักดีจึงรีบเข้าไปขวาง “ฝ่าบาท โปรดอย่าเสด็จล่วงหน้าไปโดยลำพังพ่ะย่ะค่ะ ด้านหน้าเกรงว่าจะมีกับดัก” แม้ที่นี่จะเป็นเขตแดนเเคว้นฉี แต่ว่าในรัชสมัยของฝ่าบาทพระองค์ก่อน แคว้นเฟิงและเเคว้นชางลั่งเคยส่งนักฆ่าลอบเข้ามาที่แคว้นฉีเพื่อลอบสังหารฉีอ๋อง จนราชาองค์ก่อนเกือบจะพลาดท่าเสียทีให้กับนักฆ่ามาเเล้ว ดังนั้น รถคันหน้าเเล่นคว่ำไป ย่อมเป็นข้อเตือนใจให้รถคันหลัง[4] ในฐานะที่พวกเขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์จึงไม่อาจไม่ระวัง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคุ้มครองความปลอดภัยของท่านอ๋องโดยเคร่งครัด
“ถอยออกไปให้หมด! ไม่อนุญาตให้ตามเข้ามา” ฉีเหยาเฟิงออกคำสั่งเสียงกร้าว ไม่ยอมให้องครักษ์ตามติด เขายกคันธนูขึ้น ก่อนจะยิงลูกธนูออกไปสี่ดอกติดๆ กัน
ฟิ้วๆๆๆ
“กรี้ดดดด~ ช่วยด้วย ฉันไม่อยากตาย” เสวี่ยขุยที่ได้ยินเสียงลูกธนูแหวกผ่านอากาศร้องเสียงแหลมอย่างตระหนกตกใจ
ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นต้นไทรรกทึบต้นมหึมาต้นหนึ่งอยู่เบื้องหน้า รากอากาศยาวเฟื้อยจำนวนนับไม่ถ้วนห้อยย้อยลงมาจากกิ่งไม้สูงด้านบนจนเกือบจะสัมผัสผืนดินด้านล่าง ดูท่าจะเป็นปราการป้องกันได้ เธอไม่มีเวลาคิดอะไรมาก หมุนกายค้อมตัวต่ำอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังเเนบติดอยู่กับลำต้น ยกแขนทั้งสองข้างป้องกันหน้าอกเอาไว้
“อย่านะ อย่ายิงถูกฉันเด็ดขาดนะ!” วินาทีต่อมา เธอพบว่าตนเองถูกลูกธนูยิงตรึงติดไว้กับต้นไม้ ไม่อาจขยับเขยื้อน
ฉีเหยาเฟิงไม่เสียทีที่เป็นนักล่ามือฉมัง ลูกธนูทุกดอกที่ปล่อยออกไปไม่มีเสียเปล่า ลูกธนูหนึ่งในสี่ดอกปักอยู่ที่มุมเสื้อระดับไหล่ของเสวี่ยขุย อีกดอกหนึ่งปักอยู่ที่แขนเสื้อด้านขวาของเธอ ดอกที่สามปักอยู่ที่ชายเสื้อ และดอกที่สี่ปักอยู่ที่ชายกระโปรงสั้นระดับเข่าของเธอ ทั้งสี่ดอกปักจมลึกลงไปในลำต้น ตรึงเธอไว้กับต้นไม้อย่างหนาแน่น
น่าตายนัก! เสวี่ยขุยพบว่าตัวเองถูกตรึงไว้กับต้นไม้เหมือนสัตว์ที่ถูกต้อน เธอดิ้นรนอย่างโมโห แต่พอบิดตัวไปหนึ่งทีก็ได้ยินเสียงผ้าฉีกขาดเสียงดังแควก เธอตกใจก้มหน้าลงมองทันที สวรรค์ เสื้อของเธอฉีกขาดออกจากกันแล้ว รอยขาดตั้งเเต่คอเสื้อยาวลงไปถึงหน้าอก ถึงแม้ด้านในจะมีเสื้อชั้นในสวมเอาไว้ แต่ความงดงามนั้นได้ถูกเปิดเผยออกไปเสียแล้ว
เธอพยายามดึงลูกธนูออกอย่างโมโห คิดไม่ถึงว่า ลูกธนูจะปักติดอย่างหนาเเน่น แม้จะออกเเรงโดยอาศัยพละกำลังจากนมที่ดื่มมาก็ยังดึงไม่ออก เรื่องเลวร้ายก็คือ หลังจากที่ดิ้นรนอยู่ไม่กี่ที กลับทำให้รอยขาดของเสื้อขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม
“ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ได้เนี่ย ทำไมฉันถึงได้ดวงซวยขนาดนี้” ขณะที่เสวี่ยขุยกำลังเสียขวัญและร้อนรน เสียงฝีเท้าบ้าระห่ำของม้าก็ดังขึ้น อ๋องผู้นั้นควบม้ามาอยู่ ณ เบื้องหน้าของต้นไทรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พอฉีเหยาเฟิงดึงบังเหียน ม้าพันธุ์ดีสีนิลก็หยุดลงอย่างว่าง่าย เขาพลิกกายลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว
หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว เขาก็หยุดลงด้วยท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ริมฝีปากบางยกขึ้นเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม จ้องมองเธออย่างไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด มองดูเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นบริเวณหน้าอกจนเผยภาพทิวทัศน์งดงามออกมา พออกพอใจกับฝีมือยิงธนูอันโดดเด่นของตนเองเป็นอย่างมากที่สร้างผลงานได้น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
“นาย...นายมองอะไรน่ะ” เสวี่ยขุยโมโหจนแทบบ้า “รีบปล่อยฉันเร็วๆ เข้า ฉันเป็นคน ไม่ใช่เหยื่อของนายนะ” เธอโกรธจนออกจะอกแตกตายอยู่แล้ว เธอขอสาบานเลยว่า ขอเพียงเธอได้อิสระกลับคืนมา จะควักเอาลูกตาน่ารังเกียจคู่นั้นออกมาให้จงได้
“หึๆ...” เขากลับหัวเราะอย่างยโสและชั่วร้ายยิ่งกว่าเดิม แล้วพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “ข้าแนะนำว่า เจ้าอย่าขยับมั่วซั่วจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้น...” นัยน์ตาดำวาวระยับ จับจ้องอยู่ที่หน้าอกกลมกลึงของเธอไม่ย้ายไปไหน
เสวี่ยขุยที่เพิ่งรู้สึกตัวว่ายิ่งตนดิ้นรนมากเท่าไรรอยขาดของผ้าจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น ชุดชั้นในลายลูกไม้สีม่วงได้โผล่ออกมาด้านนอกถึงครึ่งหนึ่งแล้ว เธอกัดฟันอย่างโกรธแค้น เลือกที่จะไม่ขยับเขยื้อนอย่างชาญฉลาด อย่างน้อยเธอก็ไม่ยอมให้ไอ้คนเลวคนนี้ได้เห็นเป็นบุญตาหรอก
“หึๆๆ นางหนูคนนี้ฉลาดไม่เบา” ฉีเหยาเฟิงขยับฝีเท้า เดินเข้ามาอย่างใจเย็น มุมปากประดับรอยยิ้มหลงระเริงไม่ปิดบัง นัยน์ตาสีดำเป็นประกาย จดจ้องหญิงสาวด้วยสายตาแพรวพราว ค้นพบด้วยความตื่นเต้นว่า เหยื่อของเขาช่างงามเหลือเกิน!
หญิงสาวเบื้องหน้ามีรูปร่างสูงโปร่ง แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าแปลกตา แต่ว่าลูกธนูทั้งสี่ดอกนั้นกลับทำให้ทรวดทรงของนางนูนเว้าเด่นชัดขึ้นมาได้อย่างน่ามอง ใบหน้าของนางเรียวเล็กขาวอ่อนวัย แก้มทั้งสองข้างมีสีแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติ ทว่าดวงตาสุกสกาวคู่นั้นกลับมีไฟโทสะแผดเผาอยู่ ถัดจากสันจมูกที่เชิดรั้นลงมาคือปากเล็กรูปกระจับ ปากของนางน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มเหมือนกับผลอิง[5] สีแดงฉาน นอกจากดูอวบอิ่มแล้วมันยังมีเสน่ห์น่าค้นหา จนทำให้คนรู้สึกอยากจะจุมพิต
สายตาชื่นชมพอใจของชายหนุ่มเลื่อนจากใบหน้าของนางย้ายไปที่ร่างกาย ชมดูหน้าอกอิ่มและทรวดทรงอรชรของหญิงสาวอย่างจาบจ้วง ว่ากันตามความจริงแล้ว เครื่องแต่งกายของนางดูแปลกประหลาดยิ่งนัก มองไม่ออกอย่างสิ้นเชิงว่าเป็นของแคว้นหนึ่งแคว้นใด อีกทั้งกระโปรงของนางยังยาวถึงแค่หัวเข่า เผยให้เห็นเรียวขายาวสวยคู่หนึ่ง
ฉีเหยาเฟิงมุ่นคิ้วดกหนาอย่างสนอกสนใจ ต่อให้เป็นนางรำหอโคมเขียวก็ไม่สวมชุดกระโปรงที่เปิดเผยเพียงนี้ ดังนั้นฐานะของนางจึงน่าสงสัยอย่างที่สุด แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางเป็นหญิงงามผู้มีเรือนร่างเย้าใจถึงเพียงนี้ แล้วแต่ไหนแต่ไรเขาก็มักลำเอียงรักหญิงงาม มิเคยปล่อยให้พลาดไปเสียที
เขามองออกว่านางมีโครงร่างบอบบาง เอวน้อยโอบได้ไม่เต็มมือ สะโพกโค้งงอนถูกกระโปรงยาวถึงเข่าปิดคลุมอยู่ ขาทั้งคู่ขาวเนียนละเอียดดุจหิมะ ไร้ซึ่งรอยตำหนิ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้เลย คือผิวกายแถวทรวงอกที่ขาวกว่าน้ำค้างและหิมะนั่น ความกลมกลึงของมันกระตุ้นให้เขาเลือดร้อน นัยน์ตาดำของเขาทอประกายเข้มขึ้น
“สรุปนายมองพอเเล้วหรือยัง ปล่อยฉันไป แล้วเอาลูกธนูของออกไปให้พ้นด้วย!” ถูกสายตาที่เต็มไปด้วยการรุกรานจดจ้อง เสวี่ยขุยโมโหจนแก้มทั้งสองแดงก่ำ ผู้ชายคนนี้น่ารังเกียจจริง ไม่เพียงใช้ธนูยิงเธอติดไว้กับต้นไม้อย่างโรคจิต ยังถึงขั้นสำรวจเธอทั้งบนล่างอย่างไม่สำรวมสักนิด สายตาร้อนเเรงเปิดเผยคู่นั้นทำให้เธอทั้งกระสับกระส่ายทั้งโมโหจนแทบจะจุดไฟเผา
ดวงตาเบื้องลึกของฉีเหยาเฟิงปรากฏรอยขบขันเข้มขึ้น ถามอย่างชอบใจนักหนาว่า “เจ้าเป็นใคร? เป็นคนของแคว้นใด? มีชื่อเรียกว่าอย่างไร?”
จากเสื้อผ้าของนาง เขามั่นใจว่านางไม่ใช่คนของแคว้นฉีอย่างเเน่นอน ดังนั้นนางน่าจะเป็นสายลับที่แคว้นชางลั่งไม่ก็แคว้นเฟิงส่งมา คิดจะใช้แผนสาวงามมาปั่นหัวเขางั้นหรือ เหอะๆ รอยยิ้มมุมปากของเขามองดูแล้วน่าสะพรึงกลัวกว่าเดิม
ความจริงแล้ว สายลับคนนี้ถึงแม้จะสวยไม่เลว แต่อารมณ์เลวร้ายยิ่งนัก ความอ่อนหวานนุ่มนวลสักนิดก็ไม่มี ทว่าท่าทางที่ถลึงตาด่าคนนั้นยังนับว่ามีเสน่ห์อยู่เต็มเปี่ยม มองดูไปก็น่ารักอยู่ทีเดียว
หึๆ ในวังหลังต้องพบเจอกับเหล่าหญิงสาวที่ประจบประแจงเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่มีหญิงนางใดจะเป็นตัวของตัวเองเลยสักคน หญิงงามอารมณ์ร้ายนางนี้กลับทำให้ดวงตาของเขาลุกวาวได้ ท้าทายความกระหายในชัยชนะอย่างสิ้นเชิง
เสวี่ยขุยร้องหึอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนาย นี่! นายรีบเอาธนูพวกนี้ออกไปสิ ได้ยินไหมเนี่ย”
ฉีเหยาเฟิงยังคงรักษาท่าทีอ้อยอิ่งสบายอารมณ์ แล้วจ้องมองหญิงสาวต่อไปอย่างสนุกสนาน พลางถูมือทั้งสองข้างไปมา เขาจะฝืนใจช่วยเอาตัวนางลงมาจากต้นไม้ได้อย่างไรกัน ในเมื่อภาพที่นางถูกตรึงไว้กับต้นไม้มันช่างดูมีเสน่ห์เย้ายวนใจคนถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความงามของอกสาว...
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า” เขาหัวเราะเปิดเผยแฝงความชั่วร้าย นัยน์ตาดำทอแสงเป็นประกาย “แม่นางน้อย เจ้าควรรู้ไว้นะว่า เจ้าได้กระทำความผิดหลายข้อนัก ข้อหนึ่ง จากอาภรณ์ของเจ้าข้าเดาได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนของแคว้นฉีอย่างแน่นอน เช่นนั้นเจ้าคงจะเป็นสายลับที่แคว้นเฟิงไม่ก็แคว้นชางลั่งส่งมาใช่หรือไม่ ข้อสอง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนของแคว้นใดก็ตาม แต่อาจหาญรุกล้ำเข้ามาในเขตเขาหัวสิงห์ซึ่งเป็นเขตล่าสัตว์พิเศษของข้า มันก็คือการขัดพระบัญชา ว่ากันตามเหตุและผลแล้ว พิจารณาให้ตัดสินโทษประหารได้ ข้อสาม เจ้าไม่มีความเคารพยำเกรงต่อข้า วาจาคำพูดไร้ซึ่งมารยาท ไม่ว่าจะเป็นความผิดข้อใดก็แล้วแต่ที่กล่าวมา ล้วนแต่สามารถทำให้เจ้าหัวหลุดลงพื้นได้ทันที หากร้ายแรงหน่อย จะตัดสินโทษประหารเก้าชั่วโคตรก็ยังได้ เข้าใจหรือไม่”
ใบหน้ามีเสน่ห์ราวกับปีศาจขยับเข้ามาใกล้ กลิ่นอายความบ้าระห่ำของบุรุษเพศปกคลุมไปรอบกายเธอ เขาเหมือนยิ้มและไม่ยิ้มพลางหยิบเอาหยิบมีดโค้งที่ห้อยอยู่ตรงเอวขึ้นมา บนมีดฝังทับทิมล้ำค่าทอประกายสวยงามอยู่จำนวนมาก เขาใช้คมฝักเย็นเยือกค่อยๆ ไล้ไปตามเส้นผมของเธอ แล้วลากลงไปจนถึงดวงหน้ารูปไข่อ่อนเยาว์ ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นเผยรอยยิ้มน้อยๆ มองดูพิกล
“กลัวรึ? กลัวตายหรือไม่เล่า?”
แม้เข่าจะถูกทำให้ตกใจกลัวจนสั่นระริก แต่เสวี่ยขุยยังสั่งไม่ให้ตัวเองเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน มีสติเข้าไว้! มีสติเข้าไว้!
เธอส่งเสียงหึพลางตอบว่า “คำพูดไร้สาระพูดให้มันน้อยหน่อยเถอะ! ในเมื่อตกอยู่ในมือของคนโรคจิตอย่างนาย ถือว่าฉันโชคร้ายเอง อยากฆ่าก็ฆ่า ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ” เหอะ คนจริงฆ่าได้หยามไม่ได้ แม้เธอจะเป็นสาวสวยตัวเล็กๆ แต่ก็มีปณิธานใหญ่ยิ่ง!!!
“ฮ่าๆๆ ช่างประหลาดคนนัก” เขาเลิกคิ้วก่อนระเบิดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เดิมทียังหลงเข้าใจว่าการล่าสัตว์ครั้งนี้คงเหมือนกับครั้งอื่นๆ ทั่วไป คาดไม่ถึงเลยว่า จะทำให้เขาได้พบกับเหยื่อสาวแสนสวยที่ทั้งดุร้ายทรงเสน่ห์ ซ้ำยังงดงามเจ้าอารมณ์เช่นนี้
เขาไล้ปลายนิ้วผ่านหน้าผากเกลี้ยงเกลาเนียนละเอียดของหญิงสาวช้าๆ อย่างรักใคร่ ลมหายใจร้อนแผดเผาเป่ารดใส่ข้างหู เสียงทุ้มต่ำเย้ายวนกระซิบว่า “หญิงงาม บอกข้ามาก่อนสิว่าใครเป็นคนส่งเจ้ามา และจุดประสงค์ของเจ้าคืออะไร”
กลิ่นอายบ้าระห่ำของเขาแผ่คลุมตัวเธอ เสวี่ยขุยรู้สึกว่าเลือดในกายพลันร้อนรุ่มขึ้นมา ริมฝีปากของเขาห่างจากเธอไปนิดเดียว เพียงแค่ขยับมาข้างหน้าอีกหน่อยก็จะสามารถจูบหน้าผากเธอได้แล้ว อีกทั้งระยะห่างอันคลุมเครือนี้ทำให้เธอรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากทั่วกายชายคนนี้ ความรู้สึกของหญิงสาวว้าวุ่นไม่เป็นสุข แยกไม่ออกว่าจริงๆ แล้วคือเป็นความขลาดกลัวหรือ...
“พูดเร็วเข้า” เขามองดูนางที่ทั้งลนลานขลาดกลัวและทั้งดูมีเสน่ห์ยวนอย่างพึงใจ “รีบบอกความจริงมา ข้าฉีเหยาเฟิงเป็นถึงโซ่วอ๋องแห่งแคว้นฉี ขอเพียงเจ้ายอมสารภาพออกมาอย่างไม่มีปิดบัง ข้าสามารถละเว้นหนึ่งชีวิตให้เจ้าได้”
โซ่วอ๋อง? เสวี่ยขุยใจกระตุกวูบ ยังจำคำพูดที่เทวดาเคยบอกไว้ได้อย่างแจ่มชัด พวกเราต้องทำให้อ๋องทั้งสามจับมือปรองดองกัน เซียวอ๋อง โซ่วอ๋อง ลี่อ๋อง
ถ้าอย่างนั้นผู้ชายคนนี้ก็คือโซ่วอ๋องสินะ มองดูท่าทีไร้อารยธรรมของเขาแล้ว เหมือนกับสัตว์ป่าตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ช่างสมชื่อเสียจริง[6] แต่สิ่งที่น่าตายที่สุดก็คือ มือของเขายังคงป้วนเปี้ยนไปมาบนหน้าผากของเธออย่างเอาแต่ใจและไม่รู้สำนึก ถึงขั้นลากมาลงมาถึงลำคอของเธอแล้ว!
ปลายนิ้วของเขาร้อนลวกราวกับแฝงมนต์ลึกลับ ผิวหนังทุกส่วนที่ถูกมือเขาลากผ่านล้วนปรากฏรอยสีชมพูบางๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง เกินไปแล้วนะ เธอขอห้ามไม่ให้เขามาหลอกแต๊ะอั๋งอีกต่อไป
“เก็บมือสกปรกของนายไปซะ ไม่อนุญาตให้มาถูกตัวฉันอีก” เสวี่ยขุยถลึงตาจ้องเขาอย่างดุร้าย “ฉันไม่ใช่สายลับบ้าบออะไรนั่น เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่นาย อยากจะฆ่าจะแกงก็เชิญเลย!”
พูดจบเธอก็หลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม รอคอยรสชาติของความตายอย่างหวาดกลัว เธอช่างโชคร้ายจริงๆ ไม่ง่ายกว่าจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพ คิดไม่ถึงว่าต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของอ๋องเลวกระหายเลือดโหดเหี้ยม ต่อไปเธอตายเเล้วก็ไม่ต้องมาพบมาเจอกับเขาอีก
มองดูริมฝีปากของนางที่สั่นระริกเพราะขลาดกลัว ฉีเหยาเฟิงกระตุกยิ้มที่ดูราวกับปีศาจ เขาเข้าไปใกล้นาง ชมดูผิวพรรณนวลละเอียดไร้ราคีอย่างพอใจ สูดดมกลิ่นหอมดอกไม้จากกายของนาง นิ้วมือลากไล้ไปถึงปากแดง เคล้นคลึงอย่างมีเลศนัย หยอกล้อกลีบปากงามหยดย้อย
“ไม่ต้องกลัว ผ่อนคลายลงเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้าในทันทีหรอก” จ้องมองดวงหน้าเล็กของนางกลายเป็นสีแดงเรื่อทั่วใบหน้าอย่างพอใจ แต่ยิ่งรู้สึกยิ่งพอใจมากยิ่งขึ้นเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถึงความนุ่มลื่นราวกับผ้าไหมชั้นดี เขาเชื่อว่า ผิวกายทั่วทุกส่วนทั้งบนล่างของแม่นางน้อยผู้นี้จะต้องนุ่มลื่นราวกับผ้าไหมเป็นแน่!
ผ่อนคลาย? ผ่อนคลาย? เสวี่ยขุยโมโหจนแทบปรอทแตก ชายสมควรตายผู้นี้ตรึงเธอไว้กับต้นไม้ แล้วยังแต๊ะอั๋งโดยการใช้มือลูบขึ้นๆ ลงๆ อีก พอถึงตอนนี้ยังบอกให้เธอผ่อนคลายอย่างหน้าไม่อาย นี่ไม่เกินไปหน่อยหรอกหรือ
“หยุดมือ ฉันขอเตือนนายห้ามมาแตะต้องหน้าของฉันอีก... เฮ้ย!” คำพูดของเธอยังไม่ทันกล่าวจบดี ก็เห็นแสงวาบเข้าตา สวรรค์! คนป่าเถื่อนก็ยังป่าเถื่อนอยู่วันยังค่ำ เขาดึงมีดออกมาแล้ว เขาจะฆ่าเธอแล้วจริงๆ
เสวี่ยขุยหลับตารออย่างจำนนต่อชะตากรรมอยู่นาน แต่กลับไม่พบกับความเจ็บปวดสักเล็กน้อย เธอลืมตาขึ้นมาอย่างอดความสงสัยไว้ไม่อยู่ เห็นเพียงชายที่อยู่เบื้องหน้าถือมีดไว้ในมือ หัวเราะอย่างจองหอง
ฉีเหยาเฟิงเอ่ยอย่างชั่วร้าย “ไม่ต้องเกร็ง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบลูกธนูฝังทับทิมของอ๋องเช่นข้า ดังนั้น จึงหวังดีจะช่วยเจ้าตัดลูกธนูออกให้เท่านั้น”
เสวี่ยขุยก้มหน้าลงมอง จึงเห็นว่าเขาใช้มีดโค้งตัดลูกธนูออกไปแล้วจริงๆ แต่ตัดออกไปเพียงแค่ครึ่งเดียว ส่วนหัวของธนูยังคงปักติดอยู่กับต้นไม้อย่างแน่นหนา เธอก็ยังคงถูกตรึงกับต้นไม้เป็น ‘สินค้าตัวโชว์’ อยู่ดี
เธอโมโหยิ่งกว่าเดิม ชายน่าตายคนนี้ที่แท้ก็แค่ต้องการปั่นหัวเธอ อยากเห็นท่าทีหวาดกลัวของเธอ ถือว่าเธอดวงโคตรซวยละกัน ถึงต้องมาตกอยู่ในกำมือเขา ให้เขากลั่นแกล้งได้ตามใจชอบ
เธอระเบิดอารมณ์ด่าออกมา “นายมันก็แค่ราชาโง่เง่าโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม ปั่นหัวฉันแบบนี้มันสนุกมากนักหรือไง นายๆๆ… นายตายสักหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ!”
ฉีเหยาเฟิงตั้งแต่เกิดมาก็ถูกวางตัวให้เป็นรัชทายาทของแคว้นฉี ความฉลาดปราดเปรื่องที่ติดตัวมาแต่กำเนิดทำให้เขาได้รับความโปรดปรานของเสด็จพ่ออย่างหมดสิ้นมาตั้งแต่ยังเยาว์ เขาขึ้นครองราชย์เป็นอ๋องอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ได้รับความเคารพนับถือจากคนมากมาย ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าด่าทอเขาเช่นนี้มาก่อน ซ้ำยังด่าว่าเขาเป็นราชาโง่เง่าโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม ว่าตามเหตุผลแล้ว เขาสมควรเกรี้ยวกราดตีหน้าถมึงทึง แล้วฆ่าหญิงนางนี้ให้จบๆ ไปเสีย แต่ทว่ามันแปลกพิลึก เมื่อเห็นตัวนางสั่นเทิ้มด้วยความโมโห และมีหยดน้ำตาที่คลออยู่หางตา หัวใจของเขาเหมือนว่าจะถูกอะไรบางอย่างพุ่งชนอย่างแรง ความรู้สึกสายหนึ่งทั้งแปลกใจ ซับซ้อน และตื่นเต้นก็พลันกระจายไปทั่วทรวงอก
สนมมากมายของเขาล้วนงานเพริศพริ้ง ทว่าแต่ละนางล้วนประจบเอาใจแย่งชิงความโปรดปรานจากเขาอย่างไม่คิดชีวิต แม้ลึกๆ เเล้วพวกนางจะไม่ได้เต็มใจเลยก็ตาม สำหรับเขาแล้วหญิงเหล่านี้ล้วนเหมือนกันหมด เขาไม่เคยพบเจอหญิงที่บังอาจและตรงไปตรงมาเช่นนี้มาก่อน ความเกรี้ยวกราดของนาง ความขลาดกลัวของนาง ความน่าสงสารไปเสียทุกที่ของนางกำลังดึงดูดเขาด้วยพลังมหาศาล
นับจากที่ฮองเฮาประชวรจนสิ้นพระชนม์ไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากจะปกป้องคุ้มครองหญิงสักคนหนึ่งอย่างแท้จริง
นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความแก่งแย่งค่อยๆ ถูกแทรกซึมด้วยความอ่อนโยน เขาขยับมือและดึงหัวธนูออกอย่างง่ายดาย หัวเราะอย่างสุภาพอ่อนโยน “ข้าไม่ควรเอาเจ้าตรึงไว้กับต้นไม้ เจ้าเป็นอิสระแล้ว”
เสวี่ยขุยมองการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องของเขาอย่างทั้งตกใจและมึนงง เหอะ ถือว่าเป็นคนเผด็จการที่ยังพอมีความดีในจิตใจหลงเหลืออยู่บ้าง เธอลองก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่เท้าทั้งสองข้างกลับอ่อนแรงเหมือนปุยฝ้าย ออกแรงไม่ได้เลย น่าอายนัก! คงเพราะก่อนหน้านี้ออกแรงวิ่งหนี แล้วยังจะถูกตรึงไว้กับต้นไม้จนเครียดเกร็งไปหมด เรี่ยวแรงทั่วทั้งร่างของนางดูเหมือนว่าจะถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว
“ระวัง!”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะหกล้ม ฉีเหยาเฟิงยื่นมือเข้าไปประคอง เสวี่ยขุยจึงล้มลงสู่แผงอกกว้างอันอบอุ่นในทันใด ไอร้อนของบุรุษเพศเต็มตัวอบอวลและปะปนเข้ากับลมหายใจของเธอ โจมตีจุดไวต่อสัมผัสของหญิงสาวไปทั่วทุกส่วน
“ฉันยืนเองได้” เสวี่ยขุยเขินอายจนหน้าแดง คิดอยากจะผลักเขาออก แต่ขาทั้งสองข้างของเธอไม่มีแรงจะยืนด้วยซ้ำ ยิ่งพยายามจะรักษาระยะห่างจากเขามาก เนื้อตัวของเธอก็ยิ่งเบียดแนบเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอย่างโรยเเรงมากยิ่งขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้สัมผัสผู้ชายอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ที่แท้แล้วแผ่นอกของบุรุษจะแข็งแรงกว้างใหญ่ขนาดนี้ กล้ามเนื้อบึกบึนแนบติดอยู่ภายใต้เสื้อผ้า อุณหภูมิร้อนไหม้ของเขาโอบล้อมอยู่รอบตัวเธอ มือใหญ่กระชับแน่นที่เอวน้อยของเธอ เปลวเพลิงร้อนระอุก็เหมือนจะแทรกผ่านเข้าสู่ผิวกายและเลือดของเธอไปด้วย ทำให้หัวใจของเธอสูบฉีดรัวเร็ว
เธออายจนไม่รู้จะวางมือเอาไว้ตรงไหน ทั้งยังไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงไร้เรี่ยวแรงถึงเพียงนี้ เธอเงยหน้าเผยดวงตาเป็นประกายแล้วพูดด้วยริมฝีปากสั่นระริก “ได้โปรด ได้โปรดปล่อยฉันไป”
หญิงงามในอ้อมแขนเขินอายได้อย่างน่ารัก ตัวนุ่มนิ่มราวกลับไร้กระดูก นัยน์ตาเปล่งประกายวาววับกับปากกลีบดอกไม้ดูเหมือนจะมีพลังเชื้อเชิญที่แรงกล้าแผ่ออกมา แววตาโดดเดี่ยวของฉีเหยาเฟิงเข้มขึ้น ใบหน้าใหญ่โน้มลงไปอย่างไม่ลังเล ประกบปิดปากหญิงสาวด้วยความรุนแรง
จูบของเขาช่างบ้าคลั่ง ราวกับเจ้าของที่ดินผู้โอหังกำลังสำรวจพื้นที่ของตน เขาบดเค้นเต็มแรงบนริมฝีปากหวานที่น่ารัก เหมือนกับกำลังจูบกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานดอกหนึ่ง ปลายลิ้นรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากเธออย่างดุดัน ดูดกลืนกลิ่นหอมของเธอ ไล่ตามเรียวลิ้นเล็กที่หอมเหมือนดอกติงเซียง
สวรรค์ เขาจูบเธอได้อย่างไรกัน? เธอควรจะตบเขาแรงๆ สักหนึ่งฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าให้เขาทำตามใจปรารถนาอย่างน่าไม่อายเช่นนี้ เสวี่ยขุยออกแรงบิดกาย ก้าวถอยหลังมาเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่าพาตัวเองกลับมาติดที่ต้นไม้อีกครั้ง แผ่นหลังของเธอถูกยันไว้ด้วยลำต้น ไม่อาจสลัดหลุดจากจูบร้อนแรงราวกับเปลวเพลิงร้อนระอุนี้ได้
ปลายลิ้นของเขาหยอกล้ออยู่ในปากสวยของเธอ ดูดกลืนน้ำค้างที่หวานปานน้ำผึ้ง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจเลยสักนิด พลังงานความร้อนแผดเผาไปทั่วจุดไวอ่อนไหวของคนทั้งคู่ มือใหญ่สัมผัสแนบชิดกับความโค้งเว้าอรชรที่มีเสื้อผ้าขวางกั้นอยู่ ทั้งลำคอ ทรวงอกและเอวน้อยของเธอถูกเปลวเพลิงเร้าอารมณ์โถมสาดครั้งเเล้วครั้งเล่า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเขาก็ปล่อยปากที่บวมเจ่อของเธออย่างพอใจ ดวงตาดำสนิทเปล่งประกายราวกับเป็นผู้มีชัยอย่างสมบูรณ์
“เฮือกๆๆ...” เสวี่ยขุยสูดเอาอากาศบริสุทธิ์อย่างตะกรุมตะกราม เกือบจะคิดว่าตนต้องขาดอากาศตายเสียแล้ว เมื่อเหลือบไปเห็นมุมปากของเขากระหยิ่มยิ้มอยากภาคภูมิใจ เธอทั้งอายและโมโหในทันใด น่าเกลียดที่สุด ทำไมเธอถึงถูกเขาจูบจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ โลกหมุนเคว้งได้เล่า เธอไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้คือตัวเธอเอง เธอไม่กล้าจะมองปีศาจตนนั้นแม้อีกสักหน จึงก้มหน้างุดคิดหนี คาดไม่ถึงว่าจะถูกฉีเหยาเฟิงคว้ามือสองทั้งข้างไว้
ฉีเหยาเฟิงทำเสียงกระแอมในลำคอ “อย่าวิ่งเลย แม่นาง กลับวังไปกับข้า ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายา ทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียงเกียรติยศล้วนมอบให้เจ้าได้อย่างไม่มีหมดสิ้น”
หลังจากผ่านจูบเมื่อสักครู่นี้ เขายิ่งมั่นใจกว่าเดิมว่าตนต้องการหญิงคนนี้ เขาเชื่อมั่นว่านางไม่ได้เป็นสายลับที่แคว้นอริส่งมาเป็นแน่แท้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้หญิงนางนี้เป็นสายลับเขาก็ไม่กลัว เขาเป็นผู้กล้าพละกำลังโดดเด่นเหนือใคร แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกลัวใครหน้าไหน แน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางหวาดกลัวหญิงนางนี้ ในสายตาของเขา สตรีเพียงเหมาะสมจะอยู่บนเตียงให้บุรุษได้เสพสุข ไม่มีทางสร้างอันตรายใดๆ ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีล้วนมีแต่จะรับใช้อยู่ใต้เท้าเขาอย่างนอบน้อมเชื่อฟัง เขาเชื่อว่าสตรีนางนี้ก็มิใช่ข้อยกเว้น
เหนือสิ่งอื่นใด เขาติดใจรสชาติในปากของนาง มันหวานหอมเหมือนกับลูกท้อสุก ทั้งยังมีรสสะอาดบริสุทธิ์สายหนึ่งปะปนอยู่ด้วย มันปลุกเร้าความกระหายที่บ้าคลั่งของเขา เขายิ่งชอบดวงหน้าน้อยงามกระจ่างที่ขึ้นสีแดงเรื่ออย่างง่ายดายมากกว่า ชอบผิวนุ่มนิ่มของนาง ชอบดวงตาที่ประเดี๋ยวก็โมโหร้าย ประเดี๋ยวก็ขวยเขิน
ไม่ว่านางจะมีฐานะอะไร นับแต่นี้ต่อไปเขาจะให้นางเข้าใจอย่างชัดเจนว่า เขาคือนายของนาง คือสามีของนาง คือกษัตริย์ของนาง มีเพียงเขาที่จะครอบครองนางได้อย่างสมบูรณ์
แต่งตั้งเป็นพระชายา? เสวี่ยขุยตะลึงงัน ไม่สิ เธอไม่อยากเป็นพระชายาที่โชคร้ายของอ๋องเผด็จการนี่ เธอยิ่งไม่สนใจที่จะเข้าสู่การแก่งแย่งที่ซับซ้อนของเหล่าสนมด้วย
เธอรีบตอบ “ฉันไม่กลับวังไปกับนายหรอก ความจริงแล้ว นายไม่เข้าใจ ฉัน... จริงๆ แล้วฉันไม่ใช่คนในยุคนี้ ฉันจะต้องไปจากที่นี่ในเร็ววันนี้แหละ”
เธอไม่รู้ว่าขั้นตอนไหนกันแน่ที่เกิดปัญหา แต่ว่าเธอจะพยายามตามหาเทวดาโง่เง่าที่ชอบทำเรื่องผิดพลาดองค์นั้นให้พบ ร้องขอให้เทวดาส่งเธอกลับคืนสู่ศตวรรษที่ 21
ฉีเหยาเฟิงมุ่นคิ้วดกเข้มอย่างไม่พอใจ “ไม่ใช่คนในยุคนี้ หมายถึงสิ่งใดกัน”
“มันยากจะอธิบายน่ะ สรุปก็คือ ฉันไม่กลับไปกับนายแน่ๆ”
เขาใช้สายตาคมทิ่มแทงพลันเอ่ยถาม “เจ้ามีนามว่าอะไร”
ภายใต้สายตาเย็นชาที่จ้องมาอย่างกดดัน เสวี่ยขุยพลันรู้สึกเรี่ยวแรงหดหาย ชายคนนี้มีพลังสายหนึ่งที่ทำให้คนยอมเชื่อฟังเขา เธอเอ่ยตอบไปโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ฉันชื่อเจียงเสวี่ยขุย แต่ว่าฉันกลับวังไปกับนายไม่ได้จริงๆ แล้วยิ่งเป็นผู้หญิงของนายไม่ได้ใหญ่เลย”
เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าคืออ๋อง คำสั่งของข้าไฉนจึงฝ่าฝืนง่ายเพียงนั้น?”
เขาพูดไปก็ถอดเอาเสื้อคุมกันลมปักลายมังกรขี่เมฆหมอกออกอย่างว่องไว หลังจากใช้มันคลุมกายให้เธอเเล้ว จึงตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “แม่ทัพฮั่ว!”
“หม่อมฉันอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” นายทหารยศสูงนายหนึ่งสาวเท้าก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าทันที ความจริงกองทหารรักษาพระองค์คอยดูแลความปลอดภัยของท่านอ๋องห่างออกไปไม่เกินสิบก้าวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้จะพยายามเว้นระยะห่างเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ดูออกว่าท่านอ๋อง ‘กำลังยุ่ง’ อยู่ ดังนั้นนอกเสียจากว่าพระองค์จะเรียกหาเองเเล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าทำเสียงรบกวน
ฉีเหยาเฟิงสั่งการ “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป การล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาเจ็ดวันได้สิ้นสุดลงแล้ว สัตว์ที่ล่ามาได้แบ่งไปให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเท่าๆ กัน ผู้ใดสมควรได้รับการตบรางวัล ทั้งหมดก็ให้เจ้าเป็นคนรับผิดชอบดูแล”
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา”
คนผู้หนึ่งจูงบังเหียนม้าพันธุ์ดีสีดำของฉีเหยาเฟิงเข้ามา เขาอุ้มเสวี่ยขุยก่อนกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างองอาจ แล้วออกคำสั่งอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “เคลื่อนขบวนกลับวัง”
ทหารส่งสารคนแล้วคนเล่าส่งคำสั่งต่อๆ กันไป “จัดขบวนทัพ ท่านอ๋องเสด็จกลับวัง!”
“ท่านอ๋องเสด็จกลับวัง!”
กองทหารรักษาพระองค์เคลื่อนขบวนทัพคุ้มครองท่านอ๋องซึ่งควบม้าเร็วด้วยรูปแบบมีระเบียบทรงพลัง เสวี่ยขุยซึ่งถูกบังคับจับขึ้นม้าไร้ซึ่งแรงต่อต้าน ทำได้เพียงแหกปากตะโกนต่อไปเรื่อยๆ
“นายจับฉันกลับไปไม่ได้นะ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นพระชายาของนาย นี่! นายได้ฟังฉันบ้างหรือเปล่าเนี่ย ทำไมนายเป็นคนไม่มีเหตุผลอย่างนี้นะ นายนี่มันโคตรหน้ามึนเลย...”
เธอปะทะกับลมแรง ร้องตะโกนจนคอแห้งเป็นทรายและแทบจะหมดเสียง แต่น่าเสียดายที่ว่าฉีเหยาเฟิงเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น
ฉีเหยาเฟิงลงแส้ควบม้าเร่งรุดมุ่งหน้ากลับสู่วัง บนหลังม้ามีเหยื่อแสนสวยที่เขาชื่นชอบอย่างที่สุดติดมือกลับไปด้วย
[1] กวางหมีลู่ หรือ กวางปักกิ่ง จะมีลักษณะ 4 ประการที่คล้ายคลึงกับสัตว์ชนิดต่าง ๆ ผสมผสานกัน คือ มีส่วนหัวเหมือนม้า มีตีนเหมือนวัว มีหางเหมือนลา และมีเขาเหมือนกวางแต่งองุ้มไปข้างหลัง
[2] นกไม่วางไข่ หมายังไม่ขี้ เป็นสำนวนที่หมายถึงสถานที่ซึ่งห่างไกลและเปล่าเปลี่ยว
[3] ม่าจ้อโป๋ หรือ ม่าโจ้ว ภาษาจีนกลางเรียกว่า มาจู่ เป็นเทวสตรีของจีนที่ได้รับความเคารพในหมู่ของชาวฮกเกี้ยน ชาวแต้จิ๋ว และชาวจีนโพ้นทะเล ที่ประกอบอาชีพประมงและเดินเรือ
[4] รถคันหน้าเเล่นคว่ำไป ย่อมเป็นข้อเตือนใจให้รถคันหลัง เป็นสำนวน มีความหมายว่า ความล้มเหลวของคนรุ่นเก่า ย่อมเป็นกระจกเงาของคนรุ่นหลัง
[5] ผลอิง หมายถึง ผลเชอรี่
[6] โซ่ว (獸) หมายถึง สัตว์ป่า และอุปมาถึงคำว่า ชั่วช้า ป่าเถื่อน ได้เช่นกัน
-- อ่านต่อได้ที่ bit.ly/2MjGZpT --
ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่
https://www.facebook.com/xiaobei.fiction
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ