ถูกอัญเชิญไปต่างโลกด้วยความสามารถสุดเทพ

-

เขียนโดย CNS26

วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 21.50 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,812 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 มกราคม พ.ศ. 2562 11.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) มหาวงกตแอเรียส(2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
       ตอนนี้ทุกๆคนกำลังลอยอยู่สูงจากพื้นประมาณ 1 เมตรถ้าเป็นตามปกติแล้วการที่กำลังจะตกกระแทกพื้นด้วยปฏิกิริยาของร่างกายจะขยับเพื่อป้องกันตัวตามสัญชาตญาณแต่เพราะเพิ่งเจอเหตุการณ์ที่คล้ายๆกับตอนที่มายังโลกนี้ครั้งแรกแต่ต่างกันตรงที่ตอนนี้กำลังลอยอยู่ทำให้...
“โอ้ยยยย!!!”
“เหวอ!!! จะร่วงแล้วช่วยหน่อย!!!”
“อดทนไว้กำลังไป!!!”
      สุดท้ายทุกคนยกเว้นผู้กองทั้ง 2 ก็ล้มก้นกระแทกพื้นส่งเสียงโอดครวนออกมาและยังมีบางคนที่เกาะอยู่ตรงขอบพื้นและเกือบจะตกลงไปใน ‘เหวลึก’ เลยตะโกนร้องหาความช่วยเหลือสุดท้ายก็ไม่มีใครบาดเจ็บกันสักเท่าไหร
      เมื่อทุกๆอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติผู้กองอลิเซียจึงทำการมองไปรอบๆเพื่อสำรวจสถานที่ที่ถูกเคลื่อนย้ายมา
      ถ้าให้เทียบกับขนาดห้องกับก่อนหน้านี้คงใหญ่กว่าซัก 10 เท่าได้แต่บริเวณที่อยู่ได้มีแค่ ‘สะพานหิน’ ที่ทุกคนอยู่ในขนาดนี้กว้างซัก 60 เมตรแต่เพราะมันสร้างขึ้นมาจากหินทำให้ดูไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าที่ควรและด้านล่างเป็นเหวลึกที่มองไม่เห็นพื้นเลยทำให้สันนิฐานว่าน่าจะลึกมากพอสมควร
“ทุกคนลุกขึ้นเดียวนี้! นี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินฉะนั้นตั้งสติตัวเองไว้! อลันกับมอลด์ไปคุมกันไดซึเกะซะ!”
“ครับ!”
      ผู้กองเมลด์ที่ถึงจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแต่การจะมาเสียเวลามาสับสนในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ไม่ได้  จึงสั่งให้ทุกคนลุกและตื่นตัวไว้และได้สั่งให้อัศวิน 2 นายที่ทีชื่อว่า ‘อลัน’ และ ‘มอลด์’ ไปคุ้มกันบุคคลสำคัญอย่างไดซึเกะไว้
      ส่วนสาเหตุที่ผู้กองเมลด์ได้สั่งให้ทั้ง 2 นายไปคุมกันแทนที่จะเป็นตัวเองสาเหตุก็มาจาก ‘ความเชื่อใจ’ ล้วนๆถ้าให้เล่าประวัติทั้ง 2 นายคงจะยาวงั้นจะบอกแค่ว่าฝีมือของทั้ง 2 นายเป็นรองแค่ผู้กองทั้ง 2 เท่านั้นและยังเป็นศิษย์เอกของผู้กองทั้งคู่เลยด้วย  ทั้ง 2  นายเลยมีฉายาว่า ‘ว่าที่ผู้กอง’ แต่ทั้งคู่กลับคิดว่าเป็นแค่การพูดคุยกันเล่นๆเพราะคิดว่าตนเองฝีมือยังห่างชั้นอีกเยอะทั้งๆที่สู้ได้สู่สีกับผู้กองแล้วแท้ๆ
      แต่ในตอนที่ทุกคนกำลังลุกขึ้นก็ได้มีวงเวทย์ปรากฏขึ้น 2 วง 2 สถานที่ด้วยกันโดยที่แรกคือข้างหน้าปรากฏบนพื้นหิน  ส่วนอีกวงปรากฏขึ้นที่ด้านหลังซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นประตูที่จะนำทางขึ้นไปสู่ด้านบนแต่ตอนนี้ได้ถูกปิดด้วยวงเวทย์แล้วเรียบร้อย
      ถึงด้านหลังจะเป็นที่น่ากังวลเพราะวงเวทย์ปิดทางหนีไปแล้วแต่ว่าทุกคนกลับสังหรณ์ว่า ‘ข้างหน้าก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน’ เพราะวงเวทย์ที่มีขนาดถึง 5 เมตรได้แปล่งแสงสีแดงออกมาและมีอ่อราของความกดดันลอยออกมาจากวงเวทย์นั้นมันกดดันถึงขนาดแม้แต่ผู้กองทั้ง 2 ยังมีเหงื่อไหลลงมาจากใบหน้า
      จู่ๆก็มีขาที่เปรียบเสมือนใบเลื่อยโผล่ออกมาซึ่งสาเหตุที่คิดว่ามันคือ ‘ขา’ สังเกตุได้จากความยาวของมันที่โผล่ออกมา  มันค่อยๆแสดงร่างกายของมันออกมามากขึ้นทั่วทั้งตัวของมันมีสีดำทมิฬจนเหมือนจะสามารถกลืนกินแสงได้  มันมีเขี้ยว 2 อันที่ออกมาจากปากที่มีฟันอันแหลมคม  ดวงตาสีแดงที่ส่องสว่างออกมาทำให้สัมผัสได้ถึงความน่ากลัว  ปีกของมันก็มีสีดำเหมือนกับตัวของมันแต่ก็มีเส้นสีแดงอยู่ทั่วปีกทำให้ปีกของมันดูน่าเกรงขาม  แต่สิ่งที่ดูน่ากลัวที่สุดของมันคือ ‘เขา’ สีดำที่ดูแล้วแหลมจนสามารถแทงทะลุเหล็กได้ง่ายๆ
“ฟี๊ดดดด!”
เสียงของมันดังก้องไปทั่วทั้งห้อง  ด้วยความที่ว่าเสียงของมันนั้นแหลมสูงมากจึงทำให้ทุกคนต้องปิดหูเพื่อป้องเยื่อแก้วหูเอาไว้  เสียงของมันนั่นช่างคุ้นหูยังไงไม่รู้  แต่อัศวินและผู้กองในตอนนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้มไปแล้ว!  ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ผู้กองเมลด์และผู้กองอลิเซียที่ขึ้นชื่อเรื่องการเอาชนะมอนสเตอร์จะกลัวมอนสเตอร์ตัวนี้  ส่วนเพื่อนร่วมชั้นเหรอ?...
“อะไรก๊านน~ ก็แค่ ‘ด้วง’ ไม่ใช่เหรอ? จะกลัวกันทำไม?”
“ช่ายยล้าว~ไอเราก็คิดว่าเป็น ‘บอส’ ที่ไหนได้ก็แค่ ‘ตัวกินพืช’ ไม่ใช่เหรอ? 555555”
      คนที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฮิโรชินักเลงผู้หวาดกลัวลิง?และเดอะแก๊ง จะเรียกมันว่าอะไรก็ช่างแต่การที่มันประมาทเพราะเห็นว่ามอนสเตอร์ที่เจอเป็นแค่ ‘แมลง’ นี่ก็ถือว่าสตงสติไม่เหลือแล้วเพราะการที่มองว่าด้วงที่ตัวใหญ่กว่า 5 เมตรกับลักษณะผิวที่เป็นเหมือนใบเลื่อยกับกรงเล็บนี้ยังไม่นับส่วนอื่นอีกนะ?  ว่าเป็นแค่แมลงธรรมดาคงเป็นได้แค่ไอ้โง่ตัวหนึ่งเท่านั้นแหละแถมพวกที่หัวเราะไปกับมันนี้ก็ไม่น่าต่างจากผู้นำมันเท่าไหร่อย่างโยชิทากะและชิโนซากิเป็นต้น
“เจ้าพวกบ้า! พูดบ้าอะไรกันอยู่!!!”
“อึก! ไม่เอาน้า~ผู้กองมันก็แค่...”
“ ‘แมลง’? แมลงบ้านเจ้าตัวใหญ่เท่าบ้านอย่างนั้นเหรอ?! มันคือ ‘สคารับ’ มันคือด้วงมรณะที่จบชีวิตของ ‘กลุ่มนักผจญภัยขั้นสีทอง 30 คนที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์’ ลงที่นี้เชียวนะ!”
“ห๊า!!!”
      ผู้กองเมลด์ที่ปกติจะทำท่าสงบนิ่งอยู่เสมอในตอนนี้กลับด่าทอฮิโรชิที่พูดเรื่องไร้สาระอยู่  สาเหตุที่ทำให้ผู้กองเมลด์เสียความสงบนิ่งไปก็คือมอนสเตอร์ข้างหน้าที่มีชื่อว่า ‘สคารับ’ ซึ่งชื่อมันช่างเหมือนกับด้วงที่อยู่ในตำนานอียิปต์เหลือเกิน  ซึ่งถ้าฟังจากที่ผู้กองเมลด์อธิบายก็จะทำให้รู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นเช่นนั้น
“เป็น ‘มัน’ จริงด้วยสินะเมลด์?! ไม่อยากจะเชื่อว่าจะดวงซวยขนาดนี้  มันเป็นทั้งสัญลักษณ์และขีดจำกัดที่มนุษย์ได้เผชิญไว้!!!”
“ผู้กองเมลด์  ผู้กองอลิเซียขอคำอธิบายด้วยครับ!!!”
“อย่างที่เจ้าเห็นไดซึเกะ  มันมีชื่อว่าสคารับมันเป็นมอนสเตอร์ที่ประจำอยู่ที่ชั้น ‘75’! ”
“ชั้นที่ 75 !!!”
      มีเสียงที่มีความคิดเห็นเดียวกับเมลด์นั้นก็คือผู้กองอลิเซียนั้นเอง  แม้ว่าปกติเธอจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าเท่าไหร่แต่ตอนนี้เธอกลับแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างชัดเจนและวิธีการพูดยังเปลี่ยนอีกด้วย
      เพราะว่ามีหลายๆคนยังไม่เข้าใจสถานการณ์และหนึ่งในนั้นก็มีผู้กล้าอย่างไดซึเกะร่วมอยู่ด้วยเขาจึงถามคำถามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากที่คนที่เขาเชื่อใจในตอนนี้กลับกังวลเป็นอย่างมากสังเกตุได้จากเหงื่อบนใบหน้าและร่างกายที่สั่นเทา  พอไดซึเกะได้ยินคำตอบเขาก็รู้สึกช็อคไม่ต่างจากคนอื่นๆเหมือนกันที่ว่าตอนนี้พวกตนมาอยู่ชั้นที่ 75 ที่กลุ่มนักผจญภัยขั้นสีทอง 30 คนได้บันทึกไว้
      แน่นอนว่าเรื่องนี้พวกเพื่อนร่วมชั้นรู้เรื่องนี้ตอนที่ผู้กองอลิเซียได้ให้เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเรื่องมหาวงกตแห่งนี้กับทุกคน  ตามที่เขาบอกกันมาคือกลุ่มนักผจญนั้นได้จบชีวิตลงที่ชั้นนี้ส่วนคำถามว่า ‘แล้วบันทึกมาได้ยังไง?’ คำตอบคือก็มาจากนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนักผจญภัยได้ใช้ ‘เวทย์เคลื่อนย้าย’ สมุดบันทึกเกี่ยวกับชั้นนี้ไว้ก่อนที่เขาจะจบชีวิตลงที่นี้รู้ได้จากคำสั่งเสียในสมุดบันทึกนั้น
      สาเหตุที่ย้ายมาแค่สมุดเพราะมันเป็น ‘เวทย์ยุคเทพปกรณัม’ ซึ่งมันต้องใช้ทั้งพลังเวทย์,เวลาและอื่นๆที่สูงกว่าเวทย์ขั้นสูงหรือจะเรียกว่ามันคือเวทย์ที่สูงสุดของเวทย์มนต์ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด  ถึงเขาจะเป็นถึงนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่เป็นผู้ที่สามารถใช้เวทย์นี้ได้แค่คนเดียวในประวัตติศาสตร์แต่แค่การเคลื่อย้ายสิ่งของแค่นี้ก็เกินกำลังของเขาแล้วแต่ก็ถือว่าสุดยอดแล้วเพราะเวทย์เทพปกรณัมอย่างที่ใช้อัญเชิญพวกเพื่อนร่วมชั้นยังต้องใช้นักเวทย์หลายสิบคนและยังใช้เวลาเป็นวันๆอีกด้วย
      ทุกคนเริ่มมีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆเพราะมอนสเตอร์ในมหาวงกตจะแข็งแกร่งขึ้นตามชั้นที่ลึกลงไป ‘แค่ลิงชั้น 25 ยังขนาดนั้นแล้วชั้น 75 จะขนาดไหน?!’ แถมอาการของอัศวินและผู้กองที่ปกติที่เป็นที่พึงเสมอกลับขวัญหนีหมดดีฟ้อกันหมดแล้วทำให้มีแต่ความคิดด้านลบผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
‘ฟี้ๆๆๆๆๆๆๆ’
“อึก! อลิเซียไปดูวงเวทย์ข้างหลังซะ ส่วนตรงนี้ข้าจะซื้อเวลาให้เอง!”
“อา ฝากด้วยนะ...มีชีวิตรอดกลับมาให้ได้ละ!”
‘ตึกๆๆๆ’
“ยังชอบพูดแต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้นเลยน้า~…แต่ก็จะพยายามให้ถึงที่สุดให้แล้วกัน!!!”
“ฟี๊ดดดด!”
      ในตอนที่ทุกคนกำลังสับสนอยู่สคารับก็ได้กางปีกสีดำของมันขึ้นมาแม้แต่เสียงเวลากระพือปีกก็ยังเป็นโทนเดียวกับเสียงของมันเลยแต่ลมที่พัดมาทำให้รู้ถึงความแข็งแกร่งและความเร็วของปีกได้อย่างชัดเจน  ผู้กองเมลด์ที่เหม่อคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ก็ได้สติกลับมาความจริงแล้วเขาคิดแผนได้ตั้งแต่แรกแล้วแต่แผนนี้เป็นแผนที่เสี่ยงมากเกินไปเขาจึงเริ่มคิดหาแผนอื่นๆอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่ได้ผลอยู่ดี
      ผู้กองเมลด์กลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่มันเป็นการแสดงการเตรียมใจของผู้กองเมลด์  เขามองไปที่ลูกศิษย์,ลูกน้องและเพื่อนที่สนิทที่สุด  ผู้กองเมลด์ตัดสินใจได้ในตอนที่สายตาของเขาประสานเข้ากับผู้กองอลิเซีย  นี้อาจจะเป็นความสามารถพิเศษอีกแบบของผู้กองทั้ง 2 คนก็ได้เพราะต่อให้ไม่มีการพูดอะไรกันแต่ทั้งคู่กลับเข้าใจเป็นอย่างดี
      ผู้กองเมลด์ตัดความลังเลในใจทิ้งไปและออกคำสั่งในทันที  เขาสั่งให้เพื่อนสนิทคือผู้กองอลิเซียที่ตอนนี้คือความหวังสุดท้ายให้ไปดูวงเวทย์ด้านหลังที่ปิดทางหนีไว้แม้ว่าตอนนี้ต่อให้ทุกคนช่วยกันสู้ก็น่าจะไม่สามารถสู้กับสคารับได้ฉะนั้นโอกาศที่จะทำให้มีคนรอดชีวิตมากที่สุดที่คิดได้คือให้ผู้กองอลิเซียไปแก้วงเวทย์และหนีไปด้วยทางนั้น
      ความจริงแล้ววงเวทย์นั้นสามารถแทรกแซงได้และถ้าแทรกแซงได้มากพอก็สามารถทำให้เวทย์แปรปรวนหรือเวทย์ไม่ทำงานก็ยังได้  แต่เพราะมันต้องใช้เวลาและสมาธิที่มากกว่าการร่ายเวทย์เพื่อให้สามารถแทรกแซงได้ผู้กองเมลด์จึงอาสาที่จะถ่วงเวลาไว้ให้ได้มากที่สุด
      แน่นอนว่ามีบางคนที่คิดว่าผู้กองเมลด์คงบ้าไปแล้วเพราะการให้ผู้กองอลิเซียที่คอยจัดการอะไรต่างๆให้ออกจากการต่อสู้มันก็จะยิ่งลดโอกาศการรอดลงไปอีกและนั้นคือเหตุผลที่ผู้กองเมลด์นั่นลังเลแต่เพราะผู้กองอลิเซียได้สื่อสารมาว่า ‘ไว้ใจได้เลย!’ เลยทำให้การตัดสินใจเป็นไปดั้งที่กล่าวไว้
      แต่ก่อนที่จะไปดูวงเวทย์ผู้กองอลิเซียก็เผลอนึกเรื่องตลกออกอย่างหนึ่งนั้นคือ ‘คำพูดของเพื่อนรักคนหนึ่ง’ ที่เคยพูดว่า ‘ไอ้การที่พูดว่าฉันจะไม่ทิ้งนาย!ในสถานการณ์ที่โคตรจะวิกฤตก็คงมีแต่คนนังบ้าเท่านั้นแหละ?’ ทำให้ผูกองอลิเซียอมยิ้มเล็กน้อยแต่เพราะคิดว่า ‘พูดซักหน่อยก็ยังดีนะ?’ เลยบอกให้ผู้กองเมลด์ ‘รอดกลัมาให้ได้’ พอผู้กองเมลด์ได้ยินดังนั้นเลยเผลอทำหน้าเอือมละอาเพราะรู้ในความหมายว่าเพื่อนสนิทคนนี้ชอบพูดในสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำยากออกมาเสมอแต่ก็ต้องพยายามเท่านั้น  นั้นคือคำปฏิฐานที่ต้องทำให้ได้ของผู้กองเมลด์ที่มองไปยังทางที่เพื่อนสนิทไปและหันกลับมามองอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่คำรามออกมากลางอากาศ
“ฟังนะทุกคนนี้ไม่ใช่การบังคับฉะนั้นจะอยู่ก็อยู่ ถ้ากลัวก็ไปช่วยอลิเซียซะ!”
“พูดอะไรนะครับพวกเรา!...”
“ในเวลาแบบนี้ข้าไม่ต้องการฮีโร่! ที่ข้าต้องการมีแค่คนที่พร้อมจะเสียสละเท่านั้น!”
“…”
      เมื่อผู้กองเมลด์เตรียมใจเสร็จแล้วมองไปที่ข้างหลังก็นึกขึ้นมาได้ ‘คงยังไม่ได้เตรียมใจกันไว้สินะ?’ เพราะถ้ามองจากสีหน้าทุกคนไม่เว้นแม้แต่อัศวินก็ต่างมีสีหน้าที่หวาดกลัวกันทั้งสิ้นเพราะพวกเขาไม่เหมือนผู้กองเมลด์หรือผู้กองอลิเซียที่เตรียมใจพร้อมที่จะเสียสละทุกเมื่อ
      ไม่ได้หมายความว่าอัศวินหรือเพื่อนร่วมชั้นจะไม่มีใจที่จะเสียสละแต่เพราะทุกคนล้วนมีสิ่งที่ ‘อยากทำ’ และ ‘ความกลัว’ อยากจะทำในสิ่งที่วาดฝันไว้ยังมีคนที่รอการกลับไปอยู่ยังมีคนที่เรารักและไม่อยากจะสูษเสียไป ทำให้ไม่มีความกล้าพอที่จะเผชิญกับอุปสรรคที่อาจจะทำให้สูญเสียสิ่งสำคัญเหล่านั้นไป  ไม่ใช่ว่าผู้กองทั้ง 2 จะไม่มีสิ่งที่สำคัญอย่างที่กล่าวมาแต่ ‘การเสียสละส่วนหนึ่งเพื่อแลกกับอีกนับสิบมันก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว’ และยังมีเหตุผลอื่นอยู่อีก
      ผู้กองเมลด์พูดด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากทุกทีมันมีแต่ความอบอุ่นไม่ได้มีความรู้สึกด้านลบเลยแม้แต่น้อย  คำพูดนั้นก็หมายถึงเคารพการตัดสินใจเพื่อเส้นทางในอนาคต  การยืนอยู่ข้างหน้าโดยไม่หันกลับมาแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่พูดออกมาจากใจจริง ‘ต่อให้หนีข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ’ นั้นคือความหมายที่ผู้กองเมลด์สื่อออกมา  นั้นหมายความว่าผู้กองเมลด์พร้อมที่จะให้สถานที่นี้เป็น ‘หลุมศพ’ ของเขาทำให้ทุกคนที่รู้ถึงความหมายนั้นได้แต่อ้ำอึงไม่กล้าพูดหรือเคลื่อนไหวใดๆ
“ฟี๊ดดดดด!”
‘เคร้ง!’  ‘เกร๊ก!’
“อึก!”
      แต่ในวินาทีที่พูดจบสคารับที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พุ่งทิ้งดิ่งลงมาใส่ผู้กองเมลด์  เสียงที่แหลมของมันพุ่งมาพร้อมกับเสียงลมที่ไม่ต่างจากเครื่องบินเจ็ทตอนบินผ่านอากาศ  ผู้กองเมลด์ตั้งท่ารับมือโดยทันที่โดยผู้กองเมลด์จับดาบ 2 มือย่อเข่าลงเล็กน้อยและก้าวขาขวาออกมาหนึ่งก้าว
      มันกระแทกเขาของมันลงมาในจุดที่ผู้กองเมลด์อยู่และเกิดเสียงเหมือนของแข็งกระแทกกับเหล็กและเสียงพื้นที่เริ่มร้าวและค่อยๆแตกมากขึ้น  พื้นที่แตกละเอียดทั้งแรงสั่นสะเทือนและแรงลมที่มากระทบกับร่างกายทำให้รู้ได้ถึงพลังของสคารับ
      ผู้กองเมลด์พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อค้ำไม่ให้ร่างกายที่เหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆแพ้ให้กับสคารับ  ถึงแม้ผู้กองเมลด์จะปิดปากและกัดฟันแน่นแต่ก็ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากช่องฟันอยู่ดีและในวินาทีที่ร่างกายรับไม่ไหวแล้วก็ได้มีเสียงแน่วแน่ดังมาจากข้างหลัง…
“ย๊ากกกกกก!”
‘เกร๊ง!’
“ฟี๊ดดด”
“แฮกๆ! ข...ขอบใจเจ้ามากไดซึเกะ”
“ผู้กองเมลด์ผมจะร่วมสู้ไปกับคุณด้วยครับ!”
“ ‘ผู้กองเมลด์’ เหรอ? 55555 นี้เจ้ากะจะเรียกข้ายังงั้นไปถึงเมื่อไรกันห๊า?”
“อ้าว! ผู้กอ...”
“จำคำข้าไว้ไดซึเกะ ‘ในสถานการณ์ที่ยอดแย่มันไม่มีคำว่าฐานะหรอกนะ’ ฉะนั้นไหนๆข้าอาจจะตายที่นี้ มันคงจะรู้สึกไม่ดีนะที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้กอง’ จนสิ้นใจเนี่ย?”
“งั้นคุณเมลด์~ จะว่าอะไรไม่ถ้าจะขอร่วมด้วย?”
“ยูกะ ชิโอริ!”
“พวกเราด้วย!”
“หึๆ ขอบคุณทุกคนมาก ข้าขอสาบานด้วยนามของข้าต่อ ‘ท่านซีส’ จะขอถวายตัวข้าเพื่อพวกเจ้า!”
“โอ้ออออออ!”
“ฟี๊ดดดด!”
      คนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้กล้าอย่างไดซึเกะเขาถือดาบศักสิทธิ์ที่เป็นอาร์ติแฟ๊คและส่องแสงสีขาวบริสุทธิ์มาฟันใส่สคารับสุดแรง  ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นเกิดแผลฉกรรจ์แต่แค่นั้นก็พอทำให้สคารับถอยออกไปได้
      ผู้กองเมลด์ถึงแม้จะปวดกล้ามเนื้อและเหนื่อยแต่ก็ขอบคุณไดซึเกะที่มาช่วยและไดซึเกะก็พูดประโยคที่พวกหน้าตาดีแบบเขาชอบพูดกันพร้อมกับกำมัดและประทับที่อกจนกลายเป็นการยืนเก๊กหล่อเท่ไปซะอย่างนั้น  ทำให้สาวๆแถวนั้นยกเว้นยูกะและชิโอริหน้าแดงทำหน้าหลงใหลไปตามๆกัน
      แม้รู้อยู่แล้วว่าจะพูดอะไรแต่การที่พูดออกมาจากใจจริงก็ทำให้อดรู้สึกยินดีไม่ได้ทำให้ผู้กองเมลด์อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดถึงประเด็นที่ตนคาใจมานานแล้ว  ความจริงแล้วถ้าดูจากการปฏิบัติต่างๆจะรู้ว่าผู้กองเมลด์นั้นแตกต่างจากหัวหน้าทั่วไปทั้งไม่มีทิฐิและเป็นกันเองดูได้จากการที่เขาชอบใช้คำพูดสบายๆกับทุกคนยกเว้นผู้ที่อยู่สูงกว่าดังนั้นผู้กองเมลด์จึงรู้สึกแปลกๆถ้าถูกเรียกว่า ‘ผู้กอง’ แม้จะช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตแล้วมันยังทำให้รู้สึกว่ามันดู ‘แก่ๆ’ ยังไงก็ไม่รู้ในความคิดของผู้กองเมลด์
      แต่ไดซึเกะที่คิดว่า ‘ผู้กองไม่ได้นะครับถ้าทำอย่างนั้นคนนอกจะมองคุณแย่เลยนะ?!’ แต่เหมือนผู้กองเมลด์จะรู้ว่าจะพูดอะไรออกมาเพราะความจริงแล้วนิสัย ‘สบายๆ’ ของผู้กองเมลด์ถูกบ่นจนหูชามาตั้งแต่สมัยเพิ่งเข้าเป็นทหารใหม่ๆ  จึงพูดตรรกะที่ตนคิดขึ้นมาและได้ตรรกะนี้มาในสมัยที่ตนต่อสู้กับมอนสเตอร์ตัวหนึ่งแต่จะขอเล่าที่หลัง  แต่สุดท้ายแม้ผู้กองเมลด์จะพูดอย่างนั้นพร้อมกับสีหน้าแบบว่า ‘เปลี่นเถอะน้าา~ข้าขอร้อง~’ แต่ไดซึเกะก็ดูเหมือนจะไม่ยอมเข้าใจเนี่ยสิ?
      แต่คนที่เข้ามาพูดก่อนที่ไดซึเกะจะได้พูดถึง ‘อุดมการณ์’ ของตนเพราะยูกะที่เป็นทั้งเพื่อนสมัยเด็กและเพื่อนสนิทจะรู้นิสัยแบบนั้นดี  เลยเข้ามาคัดซะก่อนเพราะในสถานการณ์อย่างนี้ไม่ควรจะค่อยๆอธิบายให้เข้าใจจึงรีบตัดบทสนทนาแบบบังคังกับไดซึเกะประกอบกับตั้งใจจะช่วยผู้กอง...เมลด์อยู่แล้ว  ความจริงแล้วชิโอริก็อยากที่จะช่วยด้วยแต่เพราะการพูดที่รื่นไหลกับท่าทางการเดินที่ไม่ต่างจากนักรบหญิงทำให้ทุกคนนั้นเบนสายตามาหายูกะ  ชิโอริจึงแค่เดินตามมาเพื่อที่จะไหลตามไปด้วย
      ไม่รู้ทำไมตอนนี้เมลด์ถึงทำหน้าซาบซึ้งจนเหมือนจะร้องไห้แต่ก็คงมาจากการที่ลูกน้องและลูกศิษย์ที่รักต่างไม่ทอดทิ้งซึ่งกันและกันเมลด์เลยลั่นคำปฏิญาณต่อทุกคนในที่แห่งนั้นและทุกคนก็พากันส่งเสียงปลุกใจออกมาจนทำให้สคารับถึงกลับถอยกลับไปหนึ่งก้าวและผู้กอ...ขอถือโอกาศเรียกว่า ‘อลิเซีย’ ด้วยเลยละกันก็รู้สึกกังวลนิดหน่อยเพราะนิสัยอย่างงั้นของเมลด์ทำให้น่าเป็นห่วงอยู่มากแต่เพราะเสียงตะโกนที่มาด้วยใจก็ทำให้เธอสามารถจดจ่อกับวงเวทย์ได้มากขึ้น
      ความจริงจะเรียกสถานการณ์อย่างนี้ว่า ‘ไหลตาม’ ก็ไม่ผิดเพราะความจริงก็มีหลายๆคนที่อยากช่วยเมลด์แต่เพราะสิ่งที่หลายๆคนมีกันคือ ‘ความไม่กล้า’ ไม่ใช่แค่เรื่องแบบนี้หรือจะเป็นเรื่องแบบไหนก็เกิดอารมณ์อย่างนั้นตลอด  ประมาณ ‘อยากพูดออกมาแต่ก็ไม่สามารถพูดได้’ แต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือความ ‘ประชาธิปไตย’ ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องในเดือนกุมภาพันธ์หรือการเลื่อนอย่างไม่มีกำหนดการแต่อย่างใดแต่หมายถึง ‘การรับฟังเสียงส่วนมาก’ เพราะตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ต้องการที่จะแปลกแยกจากคนหมู่มากทำให้เวลามีเหตุการณ์ที่ต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถ้าไม่มีส่วนตัวหรือเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องก็จะยกตามคนที่ยกคนแรกเสมอ
      แต่ในที่นี่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยสุดๆไม่เห็นด้วยจนอยากจะหนีไปจากที่แห่งนี้แล้วจนอยากตะโกนว่า ‘ไม่เกี่ยวกับกู!’ แต่เพราะแม้แต่เพื่อนสนิทหรือแม้แต่คนที่ชอบยังเสนอตัวออกไปช่วย  ทำให้คิดว่า ‘โดนล้อไปชั่วชีวิตแน่ถ้าทำแบบนั้น!’ ทั้งๆที่เมลด์ก็พูดอยู่เต็มปากว่า ‘คนที่พร้อมจะเสียสละ’ ฉะนั้นก็ตรงตัวอยู่แล้วว่า ‘ไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร’ แต่สิ่งที่มันน่าจะกลัวมากกว่าการโดนล้อคงจะเป็น ‘การกลัวความตาย’ เพราะมันยังมีหลายๆสิ่งที่อยากทำแต่จะให้เพื่อนสนิทหรือคนที่ชอบตายไปซะก่อนที่ความต้องการของตนจะเป็นจริงก็คงแย่  ถึงจะฟังเหมือนดูดีแต่สุดท้ายก็เป็นการเห็นแก่ตัวชัดๆและคนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฮิโรชินั้นเอง
      ก็ขนาดลิงยังกลัวนับประสาอะไรกับสคารับที่เมลด์และอลิเซียได้บรรยายเอาไว้กับพลังที่มันแสดงเมื่อตะกี้ก็ทำให้มันตัวสั่นเป็นร่างทรงเช่นเคยแต่หน้าในตอนนี้ของมันกลับหนักยิ่งกว่าจนถ้าคนมาเห็นคงพูดว่า ‘อ๊ะ! ใช้ผลซักฟอกอะไรครับเนี่ยขาวเหลือเกิน?’ เพราะหน้านี่ขาวยิ่งกว่าโอโม่ทำให้คิดว่าการที่มันชอบเก่งแต่กับ ‘คนไร้ทางสู้’ เนี่ยมันไม่ต่างจาก ‘นักเลงที่โคตรกระจอกเลย’  แต่เพราะมันคิดว่า ‘กูเนี่ยเก่ง’ มันเลยมีความเชื่อแปลกๆอย่างเพ้อฟันว่า ‘ถ้ากูฆ่าไอ้แมลงนั้นต่อหน้าชิโอริได้คง...ฮิๆ~’ ช่างหลงตัวเองเหลือเกิ๊น~
      แต่เรื่องไร้สาระไว้แค่นั้นก่อนเพราะต่อจากนี้จะเป็นการต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว  สคารับที่รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับเหตุหารณ์เมื่อครู่ก็กำลังตั้งท่าจะบินอีกรอบแต่สิ่งที่ต่างจากเมื่อกี้คือ ‘เขาของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง’ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่อากาศบริเวณเขานั้นบิดเบียวอย่างน่าประหลาด
      ด้วยประสบการณ์ของเมลด์บอกว่า ‘มันอันตรายสุดๆแน่’ เลยสั่งให้คนที่มีอาชีพเหมาะสมอย่าง ‘พลโล่’ ที่มีค่าพลังป้องกันสูงมายืนตั้งแถวรอรับการโจมตีจากสคารับโดยหนึ่งในนั้นคือชิโนซากิและอีก 4 คนรวมเป็น 5 คน
      โดยที่ทั้ง 5 คนล้วนแล้วมีพลังป้องกันไม่ต่ำกว่า 100 แถมยังมีโล่อาร์ติแฟ๊คที่มีความสามารถในการตั้งรับได้อย่างดีเยี่ยม  ถ้าให้อธิบายความสามารถของแต่ละคนที่เพิ่มเติมด้วยโล่อาร์ติแฟ๊คแล้วต่อให้ช้างตกมันพุ่งเข้าชนถ้ายืนอย่างมั่นคงช้างก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย  เรียกได้ว่าเป็นการป้องกันที่สมบูรณ์มาก
      แต่ว่าตัวสคารับที่มีขนาดถึง 5 เมตรและการที่เขาของมันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงและยังมีดีกรีขนาดจัดการกับนักผจญภัยขั้นสีทองทั้ง 30 คนลงได้แล้วการเอามาเทียบกับช้างตกมันคงไม่ต่างจากเอามังกรมาเทียบกับมดทำให้คิดว่าอาจจะไม่สามารถรับการโจมตีนี้ไว้ได้
“อึก!...อ๊ากกกก!”
“บ้าเอ๊ย! รับไว้เร็ว!”
      และดูเหมือนขอสันนิฐานนั้นจะถูกต้อง  หลังจากที่สคารับบินขึ้นฟ้าและเตรียมจะดิ่งพสุธาอีกรอบแต่ในรอบนี้นั้นต่างกันเพราะมอล์ลได้เล็งจังหวะนั้นไว้แล้วเขาเลยร่ายเวทย์ไว้ก่อนซึ่งก็คือเวทย์ขั้นกลางธาตุไฟ ‘ลูกศรไฟ’ ที่จะก่อเวทย์ไฟออกมาในรูปของลูกธนูทั้งความแรงของไฟและพลังในการโจมตีนั้นเรียกได้ว่าต่างกับขั้นต้นแบบสุดๆ  แต่เพราะความยากของมันคือการเล็งของมันนั้นค่อนข้างยากทำให้มีแค่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะใช้เวทย์นี้
      ลูกศรไฟพุ่งไปหาสคารับอย่างรวดเร็วทำให้มันไม่สามารถหลบได้ทันและด้วยความบังเอิญทำให้ลูกศรพุ่งเข้าใส่ตาสคารับพอดิบพอดี  สคารับที่ยังดิ่งพสุธาอยู่นั้นเมื่อโดนการโจมตีแบบนั้นเข้าไปมันก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและด้วยความที่เหลือทัศนวิสียข้างเดียวเลยทำให้เล็งเป้าพลาดโหม่งพื้นไปในที่สุด
      แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นหลังจากที่มันโหม่งพื้นไปสิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นคลื่นกระแทกอันหนักหน่วงแม้ว่าพวกพลโล่จะตั้งรับไว้อย่างดีแล้วแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกได้ปลิวกันไปคนละทิศคนละทาง
      มีบางคนที่ลอยไปและมีคนรับไว้ได้ทันแต่ก็มีบางส่วนที่เกือบตกเหวไปแต่ก็คงต้องขอขอบคุณพลโล่เพราะว่าคนที่อยู่ข้างหลังมีแค่ล้มไปเท่านั้น  เมลด์รีบสั่งให้คนที่อยู่ใกล้ๆไปดึงคนที่เกือบจะตกหน้าผาทันที่สุดท้ายดูเหมือนจะยังไม่มีใครตกลงไป
      เมื่อดูสภาพของพลโล่แต่ละคนจะเห็นว่ามีบาดแผลที่แตกต่างกันคงเป็นเพราะพลังป้องกันและมีอาร์ติแฟ๊คไม่เหมือนกัน  แต่ทุกคนนั้นบริเวณแขนนั้นกล้ามเนื้อฉีกขาดจนเห็นกระดูกและกระดูกแขนที่ถือโล่ยังแตกละเอียด  โล่อาร์ติแฟ๊คที่ขึ้นชื่อในความแข็งแกร่งยังเละไม่เหลือชิ้นดีเรียกว่าพลโล่ทุกคนอยู่ในสภาวะอันตรายถึงชีวิต
“ฮีลเลอร์ ไปรักษาพลโล่เดียวนี้!”
“รับทราบครับ/คะ”
‘ชิบหายแล้วไง! นี้แค่คลื่นที่ได้มาจากแค่กระแทกพื้นยังขนาดนี้ถ้าโดนจังๆคงตายคาที่แน่!’
      ผู้กองเมลด์รีบสั่งให้คนที่มีอาชีพ ‘ฮีลเลอร์’ ที่สามารถใช้เวทย์รักษาได้ไปรักษาทันที  แต่สิ่งที่ทำให้กังวลจริงๆคือความแข็งแกร่งของสคารับ  ตอนนี้ในหัวของเมลด์เริ่มเข้าใจเหตุผลที่นักผจญภัยแพ้มากขึ้นเพราะมันไม่ต่างจาก ‘สัตว์ประหลาดจริงๆ’
      ตอนนี้ทุกคนเริ่มไม่อยากที่จะเข้าไปสู้กับสคารับและใบหน้าของบางคนเริ่มแต่ความสิ้นหวังเช่นฮิโรชิเป็นต้น  เพราะว่าเจ้าตัวนั้นรู้จักความสามารถของเพื่อนสนิทดีเลยเข้าใจความสามารถของสคารับมากกว่าบุคคลทั่วไปคงเรียกได้ว่า ‘ยิ่งรู้จักยิ่งเข้าใจ’ ละนะ
      ความจริงแล้วในสถานการณ์ที่สคารับยังพยายามดึงเขาออกจากพื้นกับตาที่บอดไปแล้วข้างหนึ่งมันเป็นสถานการณ์ที่ควรจะเข้าไป ‘หมาหมู่’ อย่างยิ่งแต่เพราะทุกคนมีแต่ความกลัวทำให้ไม่กล้าที่จะทำอะไรก็อย่างที่กล่าวไปแล้วก็ถ้าให้พูดใหม่แบบเข้าใจง่ายๆทุกคนก็กำลังคิดประมาณว่า ‘มึงเปิดกูตาม’ อะไรประมาณนั้น
      สุดท้ายสคารับก็สามารถดึงเขาออกจากพื้นได้สำเร็จ  แต่ด้วยความที่ว่าตาเหลือแค่ข้างเดียวทำให้มุมมองการมองนั้นแคบลงมันเลยพยายามมองไปโดยพยายามเพ่งไปด้วยแต่ดันแจ็คพอตแตกมันดันไปเพ่งใส่ฮิโรชิซะอย่างนั้น
      ด้วยความที่ว่ามีความ ‘ป๊อด’ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วมันเลยคิดว่าสคารับจะฆ่ามันและเริ่มกระวนกระวาย  ดวงตาสีแดงก่ำที่จ้องมองมาโดยไม่ขยับของสคารับในความรู้สึกของฮิโรชิคงไม่ต่าง ‘กบที่ถูกงูจ้อง’
“ว๊ากกกกกก!”
“ใจเย็นก่อนฮิโรชิ! เวรแล้ว!”                
      ตอนนี้ฮิโรชิที่สติแตกไปแล้วแน่นอนมันไม่สนแล้วว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นขอแค่ ‘ตัวเองรอดก็พอ’ มันไม่สนใจว่าข้างหลังจะเป็นใครไม่ว่าจะชายหรือผู้หญิงมันก็จะพลักให้ล้มถ้ามาขว้างทางมัน  เมลด์ที่รู้ว่าเหตุการณ์อย่างนี้มันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเลยพยามยามจะเข้าไปหยุดและดึงสติของฮิโรชิไว้ก่อนที่เหตุการณ์จะยิ่งบานปลายไปกว่านี้  แต่ต่อให้ใช้คำพูดหรือจับตัวไว้แต่มันก็ไม่สนใจสะบัดตัวหนีไปเรื่อยๆแต่ ‘นักล่าไม่เคยให้เวลาเหยื่อ’ เพราะในรอบนี้สคารับบินขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วจนเหมือนกับว่าทั้งแรงโน้มถ่วงและขนาดตัวไม่มีผล  เขาที่แดงจนเหมือนจะละลายกับการบินอยู่บนฟ้าแบบเดิมทำให้เดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
“พระองค์ท่านโปรดรับฟังเสียงร้องขอของข้า ด้วยแสงของพระองค์จะช่วยปัดเป่าและคุ้มครองพวกเราทั้งสิ้น โปรดมอบแสงที่จะปกป้องพวกข้าด้วยประสงค์อันศักสิทธิ์ไม่มีสิ่งใดทำลายมันลงได้ ‘บาเรียศักสิทธิ์’! ”
‘ตู้มมมม!’
“อึก! บาเรียอยู่ได้แค่ ‘3 นาที’! จะทำอะไรก็รีบทำซ้าา!”  
      แต่ในครั้งนี้ต่างออกไปเพราะหนึ่งในอัศวินได้หยิบม้วนคัมภีร์ออกมาและกางมันออกและร่ายคาถา  ม้วนคัมภีร์ส่องแสงออกมาทำให้ปรากฏวงเวทย์ขนาด 30 เซนติเมตรที่มีการสลักสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน  หลังจากร่ายเวทย์จบก็เกิดโดมสีขาวใสที่แปร่งแสงสีขาวทองออกมาครอบทุกคนเอาไว้
      อัศวินคนนั้นคือผู้ที่มีอาชีพเหมาะสมอย่าง ‘นักควบคุมม่านพลัง’ ซึ่งสามารถสร้างเวทย์ชนิดหนึ่งที่สามารถเอามาใช้ป้องกันได้เรียกว่า ‘บาเรีย’ อัศวินคนนี้ตัดสินใจใช้ม้วนคัมภีร์ที่สลักวงเวทย์ ‘บาเรียศักสิทธิ์’ ไว้ทันทีเพราะขนาดโล่อาร์ติแฟ๊คที่ไม่ได้โดนตรงๆยังเละไปแล้วฉะนั้นควรจะรีบใช้วิธีป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อแก้ไขสถานการณ์ชั่วคราว
      อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าเวทย์มนต์นั้นมีในรูปแบบของ ‘ม้วนคัมภีร์’ ด้วยซึ่งมันนั้นสามารถใช้เวทย์ได้ทันทีแค่ร่ายคาถาแต่ว่าม้วนคัมภีร์นั้นจริงๆแล้วแค่สลักเวทย์ขั้นต้นก็มีราคาที่สามารถซื้อของหรูๆอย่างเพชรพลอยได้แล้วโดยเฉพาะเวทย์ขั้นสูงอย่าง ‘บาเรียศักสิทธิ์’ นั้นเรียกได้ว่ามีมูลค่าเป็นสมบัติของชาติเลย  สาเหตุที่มันมีราคาแพงเพราะม้วนคัมภีร์นั้นถูกค้นพบน้อยมากเนื่องจากมันถูกสร้างใน ‘สมัยสงครามทั้ง 3 เผ่าพันธ์’ มีมนุษย์,อมนุษย์และปีศาจทำศึกสงครามกัน
      ในสมัยสงครามนั้นมีผู้สูญเสียมากมายไม่เว้นแม้แต่คนที่สามารถสร้างคัมภีร์นี้ได้ทำให้คนสร้างมันลดลงประกอบกับช่วงหลังสงครามได้มีการเผาทำลายวัตถุที่เกี่ยวข้องกับสงครามและมีการสั่งห้ามค้าขาย,ถ่ายทอดความรู้พวกนั้นทั้งสิ้น ทำให้ในปัจจุบันไม่หลงเหลือผู้ที่สามารถสร้างคัมภีร์ได้เว้นแต่เผ่าปีศาจที่ยังมีความรู้เหล่านี้อยู่  ทำให้บางคัมภีร์อาจมาจากสมัยสงครามและจากเผ่าปีศาจที่จับมาเป็นเฉลย
      แต่เพราะมันคือม้วนคัมภีร์ทำให้มันมีข้อเสียอย่างระยะเวลาของเวทย์และสามารถใช้ได้แค่ไม่กี่ครั้งส่วนอันนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียวเพราะวงเวทย์ในคัมภีร์จะจางลงและหายไปซึ่งแตกต่างจากคฑาที่สามารถใช้ได้หลายครั้ง
      แต่การตัดสินใจนั้นไม่ได้ผิดพลาดแต่อย่างใดเพราะมันสามารถหยุดยั้งสคารับเอาไว้ได้แต่ก็ได้แค่ 3 นาทีอัศวินคนนั้นเลยบอกให้รีบๆหน่อยถ้าอยากจะทำอะไร
      อย่างน้อยก็ขอแนะนำเรื่องราวของอัศวินคนนี้หน่อยละกันเขามีชื่อว่า ‘ชไวน์’ เขาถูกเรียกว่านักเวทย์อัจฉริยะเมื่ออายุ 10 ขวบแต่เพราะเขามีอาชีพที่เหมาะสม ‘นักควบคุมม่านพลัง’ ทำให้เขาไปทุ่มให้กับสายนั้นแทนแต่ความยอดเยี่ยมของเขาไม่ได้หยุดแค่นั้นเพราะเมื่อเขาอายุได้ 17 ปีเขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินและได้รับมอบสมบัติของชาติ ‘ม้วนคัมภีร์บาเรียศักสิทธ์’ จากองค์ราชานั้นหมายความว่าตัวเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ ‘ควบคุมม่านพลังที่เก่งที่สุดของอาณาจักร’ ทุกสิ่งนั้นล้วนเกิดมาจากความพยายามและความสามารถของเขาที่ทำให้มาถึงจุดนี้ได้แต่ชไวน์นั้นหลงระเริงไปกับคำเยินย่อและอำนาจมากเกินไปจนกลายเป็น ‘คนที่มีความสามารถแต่ไร้ซึ่งความพยายาม’ เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครมาต่อกรกับเขาได้เขาเลยไม่ได้ฝึกฝนอีกเลยหลังจากได้รับของพระราชทานจากองค์ราชา
      แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเพราะความคิดที่ตนคิดว่าไม่มีใครจะสามารถมาต่อกรกับตนได้ถูกตอกหน้ากลับไปด้วยการที่เขาโดนจัดการภายในไม่กี่วินาที  ใช่แล้วนักเวทย์ที่คิดจะจับกุมเซทสึในเหตุการณ์ที่เซทสึอาละวาดคือชไวน์นั้นเอง 
      หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาหลังจากความวุ่นวายจบลงชไวน์ก็มานั่งฟังเหตุการณ์ต่อจากนั้น  เขารู้สึกว่าความสามารถของเขานั้นช่างไร้ค่าแค่จะหยุดคนที่ถูกเรียกว่า ‘กระจอก’ ยังหยุดไม่ได้เลยหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยไปเที่ยวตามสถานบันเทิงที่เคยไปทุกๆครั้งเหมือนเคยหลังจากทุกคนฝึกซ้อมเสร็จเขาจะฝึกหนักเพิ่มขึ้นอีก  เพิ่มไปเรื่อยๆจนร่างกายแทบจะทนไม่ไหวแต่พอนึกย้อนกลับไปในเหตุการณ์นั้นก็จะมีคำพูดเหล่านี้เขามาในหัว ‘ถ้าตอนนั้น...’ หรือ ‘ถ้าเร็วกว่านั้น...’ คำพูดเหล่านั้นจะตอกย้ำเขาเสมอทำให้เขาลุกขึ้นมาฝึกซ้อมอีกครั้ง
      ทำให้ในปัจจุบันความสารถของเขานั้นพัฒนาป็นเท่าตัวร่ายได้เร็วกว่าเดิม  ตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่าเดิมแต่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทรมาณเซทสึใดๆทั้งสิ้น  ความจริงมีคนมาบอกเรื่องของเซทสึให้เขารู้แล้วเพราะคนพวกนั้นคิดว่าชไวน์คงจะต้องแค้นเซทสึแน่ๆ  แต่ชไวน์พอได้ฟังอย่างนั้นกลับ ‘อยากไปช่วย’ และ ‘อยากต่อยหน้าไอ้เวรที่มาพูดเรื่องอย่างนี้!’ เหตุผลที่ตนคิดเช่นนั้นเพราะ ‘อัศวินไม่ควรจะทำร้ายผู้คน’ แม้ตนจะเคยทำมาก่อนแต่หลังจากได้สติกลับมาทำให้รู้สึกแค้นพวกคนที่พูดอย่างนี้มากและอีกเหตุผลคือเขาไม่เคยเกลียดเซทสึแต่เขารู้สึก ‘ขอบคุณ’ และ ‘ชื่นชม’ ในตัวของเซทสึมากกว่า
      เพราะถ้าดูไล่เรียงเหตุการณ์ดีๆแล้วคนที่ผิดไม่ใช่เซทสึเลยซักนิดถึงจะทำเกินเหตุไปบ้างและการที่เซทสึผู้ที่มีค่าสเตตัสสุด ‘กระจอก’ กลับพยายามอย่างหนักเช่นการโดนฝึกแบบ 3 รุม 1 เป็นต้น  การที่สามารถงัดความสามารถมาจัดการทุกคนได้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแถมคนที่โดนยังมีแต่คนโหดๆทั้งนั้นถ้าไม่ให้ชื่นชมแล้วจะให้คิดอย่างไรแถมเซทสึยังทำให้ตนได้สติกลับมาด้วย
     ความจริงก็อยากจะทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อไปช่วยเซทสึแต่คนที่มาบอกกลับบอกว่า ‘ไม่ต้องกลัวหรอกน้า~ ทั้งองค์ราชาและพระสันตปาปาอนุญาติให้เต็มที่เลย~’ หลังจากฟังชไวน์ก็ถึงกับขนลุกพูดไม่ออกสักคำเพราะคนที่ตนนับถือกลับเป็นคนที่ ‘เลวทราม’ ถึงขนาดนี้ชไวน์เลยทำได้แค่เก็บความลับนี้ไว้ในใจ  ไม่รู้ว่าเพราะเซทสึหรือเปล่าที่ทำให้ตนนั้นพอได้สติกลับมาและมานั่งคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ดูก็ทำให้ความศรัทธาใน ‘พระราชาและโบสถ์’ ไม่เหลืออยู่เลย
      ถ้าใครมาฟังเรื่องอย่างนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่จากคนที่มั่นใจในตัวเองแต่หลังจากเหตุการณ์บางอย่างทำให้คนนั้นกลายเป็นคนที่จริงจังซื่อสัจสุจริตสุดๆและไว้วางใจได้อย่างมากส่วนสาเหตุมาจากแค่ ‘คนไร้ความสามารถคนหนึ่ง’ เท่านั้นเองทำให้ชไวน์จะจดจำและสืบทอดเรื่องเล่านี้ต่อไป
“ห๊าา! มึงหาว่ากูขี้ขลาดเหรอ!”
“ข...ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น อึก!”
“ได้! กูจะแสดงให้ดูเองว่ากูไม่ได้ขี้ขลาด!”
“หยุดนะฮิโรชิ!”
      กลับมาที่ปัจจุบันหลังจากที่สคารับพุ่งชนบาเรียศักสิทธ์และชไวน์บอกให้รีบๆถ้าจะทำอะไรสักอย่าง  แต่ความซวยก็เกิดขึ้นเมื่อฮิโรชิดันตีความหมายว่า ‘ไอ้ขี้ขลาดถ้าจะหนีหางจุกตูดก็รีบเข้า!’ ถึงแม้ชไวน์จะไม่ได้ต้องการสื่ออย่างนั้นเลย  คงเป็นเพราะว่าฮิโรชิสติแตกไปแล้วด้วยส่วนหนึ่ง  ชไวน์รีบพูดแก้ไขในทันทีแต่เพราะต้องตั้งสมาธิไปที่เวทย์เพื่อต้านสคารับที่ยังคงโจมตีอยู่ทำให้พูดแก้ตัวแบบที่ตั้งใจไว้ไม่ได้
      ด้วยความกลัวปอดแหกของฮิโรชิมันไม่ได้สนใจคำพูดของชไวน์แม้แต่น้อยฉะนั้นมันก็ไม่ใช่ความผิดของชไวน์หรอก  ถึงจะตอบกลับแบบนักเลงแต่ภายนอกกลับไม่ไปตามคำพูดเลยแม้แต่น้อยเพราะตัวก็สั่นเป็นร่างทรงหน้าก็ขาวเป็นโอโม่ขนาดแค่ขายังยืนนิ่งๆไม่ได้เลย  สมกับชื่อ ‘นักเลงโคตรกระจอกจริงๆ’
      แต่สิ่งที่ทุกคนไม่เคยคาดฝันก็เกิดขึ้นเพราะฮิโรชิกลับชูมือไปทางสคารับและ...ร่ายคาถาออกมา! เอาจริงดินั้นชิบหายของแท้เลยนะ  เมลด์เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปขัดขวางทันทีแต่ก็เหมือนเดิมไม่ทันอีกเช่นเคย
‘ตู้ม!’
‘แกร๊ก!’
“ฟี๊ดดดด!”
      ฮิโรชิใช้เวทย์ธาตุดินขั้นกลางอย่าง ‘กระสุนดิน’ ที่มีพลังโจมตีที่หนักหน่วงใส่สคารับทั้งๆที่มีบาเรียกั้นอยู่  ความจริงแล้วทุกคนนั้นเริ่มเกิดความวุ่นวายตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วแต่เพราะฮิโรชิดันทำในสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง  คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากลองนึกดูประมาณว่ามีโจรมาปล้นแล้วปรากฏว่าหนึ่งในนั้นมีคนยิงปืนใส่กำแพงอะไรประมาณนั้นเพราะว่าความจริงแล้วบาเรียศักสิทธิ์ไม่ใช่เวทย์กระจอกที่ขนาดรับเวทย์อย่างนี้ไว้ไม่ได้เพราะแม้แต่การโจมตีของสคารับยังรับได้เลยแต่ตัวบาเรียดันรับพลังโจมตีของสคารับไม่ไหวพอดีทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นทำให้ความเข้าใจผิดแปรเปลี่ยนเป็นวุ่นวายที่ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
      เหตุผลที่ยกตัวอย่างข้างตนก็เพราะว่าในสถานการณ์ที่ตัวเองนั้นสับสนและหวาดกลัวแล้วมีเหตุการณ์ที่อาจส่งผลต่อชีวิตต่อให้สิ่งๆนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องถึงชีวิตแต่ทั้งสมองและภายในใจจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยทำให้เกิดความคิดว่า ‘ไม่รอดแล้ว’ ขึ้นมา
“เห้ย! มึงบ้าไปแล้วเหรอวะ!”
“ไม่กูไม่ผิดโว้ยไอ้เวรนี่!”
“ไม่เอาแล้ว! ไม่เอาแล้ว!”
      เสียงกรี๊ดร้องดังไปทั่วทุกสารทิศความสิ้นหวังเข้ามากลืนกินจิตใจจนหมดสิ้น  ตอนนี้มีคนที่คว้าขอเสื้อและด่าทอฮิโรชิ  คนๆนั้นคือโยชิทากะแต่ฮิโรชิมันกลับคิดว่าตัวเองไม่ผิดและเกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้นส่วนคนที่ชนะแน่นอนว่าต้องเป็นฮิโรชิเพราะโยชิทากะเป็นนักเวทย์ส่วนฮิโรชิเป็นนักดาบทำให้ค่าสเตตัส ‘พลังทางกายภาพ’ ต่างกันเกินไป
      นี้คือหนึ่งในเหตุผลของเมลด์ที่ไม่ต้องการคนที่ไม่พร้อมมาช่วยเพราะว่าถ้ามาแบบไม่เต็มใจโอกาศที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มันสูงมากโดยเฉพาะยิ่งเกี่ยวกับความเป็นความตายถ้าคนที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนโดยเฉพาะพวกเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ในโลกที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์ความเป็นความตายแบบนี้มาก่อนโอกาสก็ประมาณ 2 ใน 3 เลยทำให้เหตุการณ์ในตอนนี้แม้จะเป็นตัวของเมลด์เองก็ไม่สามารถหยุดได้อีกแล้ว
“ไม่นะ...ไม่นะ”
“เฮ้ยมึงอยู่แนวหน้าไม่ใช่เหรอมาตรงนี้หาพ่องมึงเหรอ!!!”
“หนวกหูเว้ย! ไอ้พวกเก่งแต่ปากเงียบไป!!!”
“มึงว่าไงนะ!!!”
“อ้าว~! อยากใส่เดียวก็ไม่บอก!!!”
“ทุกคนใจเย็นก่อนสิ...”
      เป็นเพราะเสียงกรี๊ดร้องและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนลืมทั้งประสบการณ์และทุกๆอย่างที่เคยถูกฝึกและถูกสอนมาเพราะแม้แต่สถารการณ์ยังงี้อัศวินยังเริ่มแตกคอกันเอง  ส่วนนักเรียนมีทั้งนั้งกุ้มขมับและนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น พวกกองหน้าและกองหลังเริ่มทะเลาะกันเพราะตำแหน่งไม่ถูกต้องเกิดจากแนวหน้าที่ควรจะปกป้องแนวหลังกลับมาอยู่หลังแนวหลังซะเอง
      ถึงกองหลังบางคนจะพูดออกมาแบบเหมือนจะดีแต่จริงๆแล้วทั้งสีหน้า,คำพูดและการทำนั้นไม่ได้มีความหมายว่า ‘ทำตามแผนที่วางไว้สิ!’ เพราะความหมายที่แท้จริงของคำพูดคือ ‘มึงเป็นคนที่ต้องเสียสละเพื่อกู!’ เท่านั้น  ก็ถ้ายึดหลักตามความเป็นจริงแล้วมีคำพูดหนึ่งอยู่ว่า ‘ต่อให้ต้องเสียทุกอย่างแต่ขอให้ตนรอดก็พอ’ แน่นอนว่าแนวหน้าก็ไม่ต่างกันเพราะคิดว่าจะใช้แนวหลังเป็น ‘เหยื่อ’ เพื่อซื้อเวลา  และต่างฝ่ายต่างรู้ความหมายของกันและกันดีบวกกับสถานการณ์อันตึงเครียดทำให้การทะเลาะวิวาทยิ่งทวีความรุ่นแรงและขยายเป็นวงกว้าง
      แน่นอนต้องมีคนที่คิดจะยับยั้งสถานการณ์อันวุ่นวายนี้แต่เพราะพลังและคำพูดของตนมีไม่มากพอเลยไม่สามารถเข้าไปห้ามได้และยิ่งพยายามเข้าไปก็จะยิ่งเจ็บตัวอีก
      เมลด์อยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดสุดขีดเพราะแม้แต่ลูกน้องของตนก็ยังไม่สามารถเข้าไปห้ามสถานการณ์และยังจะไปต่อยนักเรียนที่มาพูดว่า ‘เป็นอัศวินไม่ใช่เหรอก็ไปสู้แทนพวกเราสิ!’ แน่นอนว่าคนทั่วไปไม่มีทางตอบตกลงแน่และยิ่งเป็นอัศวินที่ยึดหลัก ‘เกียรติและศักศรี’ แล้วการโดนพูดแบบนี้ใส่ก็ทำให้ทนไม่ได้เพราะเหมือนเป็นการเหยียดทั้งเกียรติและศักศรีแล้วพอหมดความอดทนก็เกิดเหตุอย่างที่คาดเอาไว้
“อึก!...จะไม่ไหวแล้ว...ย้ากกกกกกก!!!”
      ในตอนนี้ชไวน์นั้นมาถึงขีดจำกัดแล้วเพราะนี้มันเกือบจะ 3 นาทีแล้วถึงแม้คัมภีร์จะช่วยลดปริมาณการใช้เวทย์ลงแต่การใช้เวทย์ขั้นสูงนานขนาดนี้ก็ถือว่าเกินตัวทีเดียว  ตัวชไวน์เองก็ดูไม่สู้ดีนักเพราะหน้าก็เริ่มซีด,ร่างกายก็ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวหมดแรงแถมเหมือนเกือบจะอาเจียนออกมาหลายครั้งแล้ว  นี้คือหนึ่งในอาการผิดปกติของร่างกายที่เรียกว่า ‘ภาวะขาดพลังเวทย์’ เอาจริงๆแล้วหน้าที่ของเวทย์ในตัวของมนุษย์ก็คล้ายๆกับของมอนสเตอร์แต่เพราะร่างกายไม่ได้ถูกสร้างมาจากพลังเวทย์ทำให้อาการส่วนมากจะแค่วิงเวียนศรีษะหรือเป็นลมไปเท่านั้นแต่ถ้าหนักสุดอาจถึงขั้น ‘เสียชีวิตได้’ ส่วนทางแก้ที่เร็วที่สุดก็อย่างที่คิดๆกันไว้คือ ‘การรับพลังเวทย์เข้าไป’ หรือก็คือแค่ให้การรักษาที่สามารถฟื้นฟูหรือเติมพลังเวทย์ได้ก็พอ
      ชไวน์ที่กัดฟันจนแถบจะให้ฟันนั้นแตกละเอียดเพราะพยายามยื้อเวทย์เอาไว้แต่ต่อให้ ‘ใจมันจะเกินร้อยแต่ร่างกายก็ไม่ได้ร้อยตามหรอก’ ตัวชไวน์ที่เข้าใจตรรกะนี้ดีจึงใช้พลังเฮือกสุดท้ายยื้อให้นานที่สุดละพูดให้ทุกคนถอยออกไปแต่เหมือนจะไม่มีใครได้ยินเพราะเสียงมันเบาเกินไป
      ‘แกร๊ก! เพล้ง!’ ทันทีที่เสียงที่เหมือนกับกระจกแตกนั้นได้เตือนสติของทุกคนอีกครั้งร่างกายสีดำทมิฬที่ดูเหมือนกับชุดของยมทูตได้ร่วงลงมาจากฟ้าแล้ว  เปรียบเสมือนยมทูตที่กำลังถือเคียวแล้วมากระซิบข้างหูว่า ‘ถึงเวลาพิพากษาแล้ว’ แล้วเงื้อเคียวเพื่อเตรียมฟาดฟันลงมา
“กรี๊ดดดดดด!!!”
“อ๊ากกกกกก!!!!”
“ย...ยมทูตสีดำ!!!”
      สุดท้ายความพยายามกับคัมภีร์เวทย์ของชไวน์ก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้เลย  ถ้าทุกคนยังจำได้ว่าชไวน์เคยพูดว่า “อึก! บาเรียอยู่ได้แค่ ‘3 นาที’! จะทำอะไรก็รีบทำซ้าา!” นั้นมันมีความหมายแอบแฝงอยู่ก่อนอื่นขอถามก่อนเลยว่าถ้าสมมุติคุณอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้และมีเวลาเท่านี้จะสามารถทำอะไรได้บ้าง...คำตอบคือ ‘เตรียมตัว’ ไงละเผื่อยังไม่เข้าใจก็ใน ‘3 นาที’ ถ้าเวลาถึงขนาดนี้ในสนามรบก็คงเรียกได้ว่าคุ้มค่ามากเพราะแค่ ‘3 นาที’ ก็เกินพอแล้วสำหรับใช้เวทย์ระดับสูงหรือระดับกลางอาจจะคิดว่า ‘เวทย์อาจทำอะไรมันไม่ได้’ อยู่ก็จริงแต่ขอให้นึกภาพว่า... ‘บอลไฟ’ มากกว่า 30 ลูกพุ่งเข้าใส่หินก่อนหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อในความทนทานแต่ด้วยจำนวนอย่างน้อยที่สุดก็คือหินละลายที่เหลือก็แค่ใช้แรงนิดๆหน่อยๆเพื่อทำลายหินก็จบแล้ว  และต่อให้ไม่ต้องให้นักเวทย์เตรียมเวทย์ก็ยังมีอีกหลายแผนการในการรับมือแต่เสียอย่างเดียวตรงที่มี ‘คนๆหนึ่ง(?)อยู่’ ก็ทำให้รู้สึกว่าคำพูดของมันที่มันเคยพูดกับเซทสึว่า “มึงไม่อยู่ยังจะดีกว่า!” ย้อนกลับมาเต็มๆ
      กลับมาที่ปัจจุบันเพราะว่าบาเรียที่เอาไว้ป้องกันได้แตกไปแล้วทำให้สคารับร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงแต่ถือว่าโชคดีที่บาเรียศักสิทธิ์ดูดซับพลังโจมตีไปมากพอสมควรเลยทำให้การโจมตีของสคารับถือว่าเบามากๆแต่เพราะมันทุ่มสุดแรงเพื่อทำลายบาเรีย ‘เขามันเลยเสียบอยู่กับพื้น’
      แต่แรงแค่นิดๆหน่อยๆก็สามารถทำให้คนที่กระจุกอยู่รวมกันกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศคนละทางมีบางคนที่ได้รับความเสียหายโดยตรงทำให้กระดูกบิดเบียวอย่างน่าประหลาดและแตกร้าวจึงกรี๊ดร้องด้วยความเจ็บปวด
      ส่วนคนที่เกือบจะตกลงไปในเหวลึกก็มีกันมากพอสมควรส่วนหนึ่งก็มาจากการโจมตีของสคารับแต่อีกส่วนคือ ‘ความวุ่นวาย’ ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนต่างวิ่งหนีกันอย่างชุลมุนบางคนก็ไม่สนใจใครทั้งสิ้นจนพลักคนอื่นเกือบตกลงไปในเหวลึกสถานการณ์ที่เหมือนกับเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นทำให้คนที่วิ่งหนีตายโดยไม่คิดชีวิตก็เผลอทำให้คิดว่าช่างเป็นภาพที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้ราวกับฝูง ‘ซอบบี้ที่หิวโหย’
      แต่ก็มีหนึ่งในนั้นที่ถึงแม้จะเกิดสถานการณ์อย่างว่าแต่คนๆนี้ก็ไม่ได้ขยับเลยสักก้าวนั้นก็เพราะ!... ‘กลัวจนลุกไม่ขึ้นต่างหากละ’ ไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆหลายคนคิดหรอกนะอย่างภาพชายชาตรีที่จะยืนปกป้องทุกคนเอง! คงมีแต่ในมโนภาพเท่านั้นแหละเพราะว่าคนนี้ไม่ได้มี ‘ความเป็นชายเลยสักนิด(ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นนะ!)’ เพราะคนๆนั้นคือฮิโรชิ ‘ผู้เก่งแต่ปาก’ หลังจากที่สคารับโจมตีลงมาถึงมันจะไม่ได้รับการโจมตีโดยตรงแต่ก็พอได้รับลมจากสคารับทำให้มันปลิ่วไปเล็กน้อยแต่เพราะความจริงมันกลัวสคารับโคตรๆจนมองเห็นสคารับเป็นยมทูตสีดำมันเลยไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้  และถ้าถามว่ากลัวแค่ไหน?คงตอบว่า ‘มากพอจนสร้างแอ่งน้ำอุ่นที่ดูเหมือนจะมีมอนสเตอร์น้ำโผล่ออกมาได้เลยคงไม่ต้องอธิบายว่า ‘น้ำอุ่น’ คืออะไรหรอกนะ?’
      ในขณะเดียวกันในสถานการณ์อย่างนี้แม้ว่าจิตใจของเธอจะ ‘กลัวจนอยากกลับไปหามะม๊าของเธอ’ หรือจะ ‘กังวลจนไม่เป็นอันจะทำอะไร’ แต่จิตใจที่แน่วแน่ที่ไม่ต้องการให้ ‘เขาคนนั้น’ ต้องมาเห็นสภาพที่น่าอายอีกครั้งก็ทำให้เธอเริ่มร่ายเวทย์และยืนประจันหน้ากับสัตว์ประหลาดอย่างไม่หวั้นเกรง
“แสงแห่งความหวังจะชี้นำซึ่งแสงแห่งความสว่างและความสงบ ‘ผ่อนคลาย’ ”
“ทำได้ดีมากชิโอริ!”
“ค่ะ!”
      ใช่แล้วเธอคนนั้นก็คือชิโอรินั้นเองด้วยความแน่วแน่ที่อยู่ในใจทำให้เธอตัดสินใจร่ายเวทย์ธาตุแสงขั้นต้น ‘ผ่อนคลาย’ ซึ่งปกติเวทย์นี้จะใช้เพื่อคลายเครียดจากงานเรียกได้ว่าเป็น ‘เวทย์วิถีชีวิต’ เลยเพราะมันมีผลช่วยคลายเครียดและทำให้ใจสงบลงชิโอริจึงเรียกใช้เวทย์ที่ถึงแม้จะเป็น ‘เวทย์ระดับพื้นฐาน’ แต่การเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมก็ทำให้เห็นแววของความสามารถที่แท้จริงจนเมลด์ยังอดประทับใจจนไม่พูดไม่ได้ชิโอริจึงตอบด้วยกลับไปด้วยความมุ่งมั่นเกินร้อย
      ที่ชิโอริเพิ่งจะมีบทบาทในตอนนี้ก็เพราะก่อนหน้านี้เธอและพวกฮีลเลอร์ต่างช่วยกันรักษาพลโล่ก่อนหน้านี้และพอสถานการณ์เริ่มที่จะคับขันและดูเหมือนพลโล่จะพ้นขีดอันตรายแล้วชิโอริจึงวานให้คนแถวๆนั้นที่ยังพอมีสติไปช่วยคนที่เกือบตกเหวส่วนเธอจะจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันเองและ ‘ไปอยู่แนวหน้าแทน!’ ถึงจะเป็นคำพูดที่ดูบ้าบอเพราะตัวเธอเป็นแค่ฮีลเลอร์ดันคิดจะไป ‘อยู่แนวหน้าสะงั้น?!’ แต่เพราะเธอมีความถนัดทางเวทย์ธาตุแสงถึงขนาดใช่เวทย์ขั้นสูง ‘พันธนาการริรันด์’ กับเซทสึได้จึงถือว่ายังมีเค้ารางอยู่แต่ก็ถือว่า ‘บ้าบิ่นโคตรๆ’
“ก็อยากจะพูดว่าที่กำลังทำอยู่มันบ้าแค่ไหนแต่ขอบคุณเจ้ามาก”
“ไม่ต้องกังวลหรอกคะเพราะไม่ได้มีแค่ฉันกับผู้กองสักหน่อย!”
“ใช่แล้วละคุณเมลด์”
      เมลด์ที่เห็นว่าชิโอรินั้นวิ่งมาที่แนวหน้าก็รู้ถึงความตั้งใจของเธอในทันทีแต่เพราะตอนนี้จำนวนคนมันไม่พอสุดๆเลยช่วยไม่ได้ที่จะให้ชิโอริมีส่วนร่วมด้วย  ชิโอริที่เห็นว่าเมลด์มีสีหน้าที่ดูกังวลจึงบอกออกไปว่า ‘ไม่ได้สู้กันแค่ 2 นะคะเพราะยังมีพวกไดซึเกะคุงและพวกอัศวินบางส่วนอยู่!’ เมลด์เลยทำสีหน้าเหมือนจะดีขึ้นแต่ก็คิดในใจว่า ‘ผู้กองอีกแล้วเหรอ?’ ส่วนไดซึเกะก็ขานรับกับคำพูดของชิโอริ
      ในตอนนี้คนที่ยังเหลืออยู่และยังจะสู้ต่อมีทั้งสิ้น 13 คน...ไม่สิน่าจะเป็น ’12 คน’ เพราะดูเหมือนจะมีคนหนึ่งที่ไม่ขยับและเคลื่อนไหวตามคนอื่นเลยตั้งแต่ตอนแรกแล้ว  แต่จากสมมุติฐานคงจะ ‘ไม่สามารถจัดการกับสคารับได้’ เพราะขนาดนักผจญภัขั้นสีทองตั้ง 30 คนยังไม่รอดกลับมาและต่อให้ไดซึเกะจะเป็น ‘ผู้กล้า’ และ ‘คนอื่นๆที่มาความสามารถสุดโกง’ แต่ถ้าจะให้บอกว่า ‘สามารถชนะได้’ คงบอกได้แค่ว่า ‘ละเมอสุดๆ’
“ฉันมีแผนแล้ว...แต่มันค่อนข้างที่จะมีความเสี่ยงสูงมาก!”
“ว่ามายูกะ?!”
“ไดซึเกะนายต้องใช้ท่า ‘ทะลวงสวรรค์’ เพื่อโจมตีใส่ไอ้ตัวนั้น!”
“พูดอะไรนะยูกะ?! ถึงกับ...”
“ ‘ถึงกับต้องใช่เลยเหรอ?’ เป็นคำพูดที่อวดดีจริงๆเลยดังนั้นใช้ ‘ทะลุขีดจำกัด’ กันเหนียวไว้ด้วยแล้วกัน!”
“เอ๊ะ!? ไม่เห็นจำ...”
“ข้าเห็นด้วยกับยูกะนะไดซึเกะ? ใช่มันซะ!”
“ค...ครับผม?!”
      เพราะเขาของสคารับยังเสียบอยู่กับพื้นทำให้ยูกะมีเวลาพอจะคิดแผนการได้แต่ไดซึเกะกลับคิดว่าแผนนั้นมัน ‘ไม่จำเป็นต้องใช้’ คำพูดของไดซึเกะน่าหมั่นไส้ซะจนยูกะหันมามองด้วยสายตาที่น่ากลัวสุดๆ ‘ในสถารการณ์ยังมีหน้ามาหมั่นหน้าอีกเหรอห๊ะ!!!’ นั้นคือสิ่งที่ยูกะคิดเลยบอกให้ไดซึเกะใช้ ‘ทะลุขีดจำกันไว้กันความประมาทของตัวผู้ใช้’ ซึ่งผู้กองเมลด์ก็เห็นด้วยกับแผนนี้เลยสั่งให้ไดซึเกะใช้ซะแต่เหมือนไดซึเกะจะยังทำแบบไม่ได้จริงจังมากเพราะไดซึเกะยังคิดว่า ‘ไม่จำเป็นอยู่’
      สาเหตุที่เขาคิดอย่างนี้ก็มาจากว่า ‘ทะลวงสวรรค์’ นั้นเป็นท่าที่มาจากสกิล ‘ท่าไม้ตาย’ และเพราะเคยลองเวทย์นี้มาแล้วครั้งหนึ่งเลยรู้ถึงความแรงของมันโดยทดสอบกับแร่ที่แข็งที่สุดในไทรัสปรากฏว่าแร่แหลกกระจุยและยังสร้างความเสียหายไปถึงข้างหลังไกลหลาย 10 เมตรและเพราะคร่าวนี้ต้องใช้สกิล ‘ทะลุขีดจำกัด’ อีกทำให้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นแต่เพราะการใช้ท่า ‘ทะลวงสวรรค์’ นั้นสร้างภาระให้กับร่างกายอย่างสาหัสแล้วยังใช้สกิล ‘ทะลุขีดจำกัด’ อีกทำให้ถ้าระยะเวลาสกิลหมดก็น่าจะไม่สามารถขยับได้เป็นวันๆเลย    แต่ยังไงเราก็ควรไม่ประมาทอยู่ดีเพราะยังไม่รู้เลยว่า ‘เปลือกของมันแข็งแค่ไหน?’ ด้ยเหตุนี้คนที่ ‘กำลังละเมออยู่ก็คือไดซึเกะเพราะเขาคิดว่าสามารถจัดการกับสคารับได้’
      แต่สาเหตุที่ยูกะให้ใช้ ‘ทะลุขีดจำกัด’ ด้วยนอกจากจะเพิ่มความแรงของสกิลแล้วยังเพิ่ม ‘พลังเวทย์ 3 เท่า’ ทำให้พลังเวทย์ยังเหลือพอที่จะยังสามารถขยับต่อได้ทันทีซึ่งเป็นคำตอบของ ‘ใช้เพื่อกันเหนียว’
      หลังจากที่ไดซึเกะรับทราบคำสั่งเขาก็ร่ายสกิล ‘ทะลุขีดจำกัด’ และเกิดแสงสีขาวบริสุทธิ์มาห่อหุ้มตัวของไดซึเกะไว้  ไดซึเกะตั้งท่าเตรียมเพื่อที่จะเริ่มใช้ท่า ‘ทะลวงสวรรค์’ จึงหลับตาลงเพื่อให้สามารถจินตนการภาพได้ชัดขึ้นเพราะยิ่งงจินตนาการภาพชัดเจนมากขึ้นเท่าไรอาณุภาพจะยิ่งสูงขึ้นและระยะเวลาร่ายก็จะยิ่งสั้นลง  แต่การที่เขาทำอย่างนี้ได้เพราะเขาไว้ใจทั้งเพื่อนๆและคนที่เขาเคารพเพราะถ้ามาหลับตาในสถารการณ์อย่างนี้โดยไม่มีความมั่นใจว่าจะปลอดภัยรึปล่าวก็ไม่ต่างกับการ ‘เอาชีวิตไปทิ้ง’
      และนี้แหละคือความหมายของคำว่า ‘เสี่ยง’ ของยูกะเพราะว่าการที่คนที่เหลืออยู่แค่ 12 คน(ความจริงคือ 11 คน)จะต้านทานสคารับไหวรึปล่าว? นับว่าเป็น ‘ภารกิจที่เสี่ยงตาย’ มากๆแต่เมลด์ก็ไม่ได้บ่นอะไรซ้ำยังอยากจะตอบรับแผนนี้ด้วยความยินดีเพราะในสถานการณ์อย่างนี้ ‘มีอะไรต้องเอาให้หมดแล้ว’
“เอาละแผนว่าไงยูกะ?”
“ก็เหมือนที่ผ่านมานั้นแหละคะแต่แค่พยายามท้วงเวลาเอาไว้และอย่าเข้าไปปะทะมากเกินไปส่วนฉันและแนวหลังจะคอยโจมตีเป็นระยะๆคะ”
“เสี่ยงมากเลยนะ?  ฮะๆไม่ใช่พวกข้าหรอกหมายถึงเจ้าต่างหากยูกะเจ้าต้องเข้าไปโจมตีมันนี้หน่า?”
“ก็ต้องขอยอมรับว่ากลัวคะแต่ว่าเพราะฉันเป็นคนเสนอแผนเพราะฉะนั้น…”
“เฮ้อ! ในบางครั้งเราก็ไม่ควรจะแบกทุกอย่างไว้คนเดียวหรอกนะแบ่งให้คนอื่นๆหน่อยก็ได้”
“จะจำไว้คะ”
      หลังจากที่ยูกะเสนอแผนออกไปเมลด์เลยพูดออกมาแบบนั้นยูกะเลยจะไปพูดคุยให้คลายความกังวลแต่เมื่อเมลด์เห็นยังงั้นเลยหัวเราะออกมาและบอกว่า ‘ไม่ได้หมายถึงพวกข้าหรอกหมายถึงเจ้าต่างหากละ?’ ยูกะหลังจากได้ฟังแล้วเธอก็เปิดเผยว่าความจริงเธอก็กลัวไม่น้อยไปกว่าใครหรอก  เมลด์เมื่อเห็นยูกะแบบนั้นเลยทำให้นึกถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งจึงยืมใช้คำพูดในตอนนั้นที่มีคนพูดกับเขา  ทำให้ยูกะได้เรียนรู้และจดจำไว้แม้ภายนอกจะเหมือนไม่ได้ฟังและไม่ได้ใส่ใจก็ตามเลยทำให้เมลด์หวั่นใจเล็กน้อย
“ฟี๊ดดดด!”
“…”
“เอาละทุกคนทำตามแผนที่วางไว้!”
“ร...รับทราบ!”
      หลังจากวางแผนกันเสร็จสคารับก็สามารถดึงเขาของมันออกมาจากพื้นได้สำเร็จมันกำลังทำท่าเหมือนม้าที่กำลังพยศแล้วภาพของมันที่ยืนอย่างหน้าเกรงขามและหันสายตามาที่พวกเขาและปล่อยจิตสังหารเข้มข้นสูงแล้วคำรามมาใส่ได้แล่นเข้ามาภายในสมองจนทุกคนเหงื่อแตกและกลืนน้ำลายเพื่อเตรียมพร้อมรับมือแต่...สคารับที่ใช้แรงมากไปหน่อยทำให้มันค่อยๆเสียสมดุลหงายหลังขาชี้ฟ้าแล้วสงเสียงคำราม(?)ออกมา สถานการณ์ที่ไม่คาดฝันทำให้ทุกคนทำหน้าเอ๋อไปต่อไม่เป็นเลย
      เมลด์ที่ติดสตันไปด้วยก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามันต้องทำสิ่งที่สมควรทำตอนนี้สิ! เลยสั่งให้ทุกคนไปทำตามแผนทุกคนที่เข้าใจคำสั่งไปแล้วแต่...ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ความตั้งใจในตอนแรกลดลงไปกว่าครึ่งแต่เพราะว่าถูกสอนว่า ‘อย่าประมาท’ มาโดยตลอดเลยกลับมาจริงจังในวินาทีต่อมา
      ทุกคนที่ไม่ปล่อยให้โอกาศนี้หลุดลอยไปจึงทุ่มสุดกำลังโจมตีใส่สคารับแต่ดูเหมือนการคาดเดาของยูกะจะถูกต้องเพราะทุกการโจมตีนั้นไม่ละคายผิวของมันแม้แต่น้อยจนสุดท้ายสคารับก็สามารถพลิกตัวกลับมาได้สำเร็จ
      รอบนี้มันส่งสายตาที่อาฆาตแค้นเหมือนดั่งที่เคยคิดไว้แต่รอบนี้ต่างออกไปเพราะแนวหน้าทุกคนได้ทำการเข้าล้อมสคารับไว้และคอยโจมตีและถอยออกมาเป็นระยะๆซึ่งนั้นคือแผนยูกะนั้นเองแต่เมลด์ก็เข้ามาช่วยให้แผนนี้นั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเขาสั่งทุกคนได้อย่างดีเยี่ยมคอยมองสถานการณ์และออกคำสั่งในฐานะผู้กองเช่นเดิมแต่ครั้งนี้มันต่างออกไปเพราะตัวของเมลด์จริงๆแล้วกำลัง ‘สนุกอยู่’ หัวใจที่สูบฉีดอะดรีนาลีนจนได้ยินเสียงหัวใจดังก้องจนชวนให้ปวดหัวความรู้สึกตื่นเต้นในทุกๆการโจมตีและสวนกลับชวนให้นึกย้อนกลับไปถึงครั้งสุดท้ายที่เคยรู้สึกอย่างนี้  การตะโกนแหกปากที่ทุกๆคำพูดนั้นหมายถึง ‘ความเป็นและความตาย’ มันคือความรู้สึกที่ร่างกายเกือบจะลืมเลือนไป ร่างกายที่พยายามตอบสนองไปกับจิตสังหารนั้น ‘อ้า เกือบลืมไปซะแล้วซิ’ นั้นคือคำพูดของชายที่มีชื่อว่าเมลด์ผู้ซึ่งเคยได้รับอีกฉายาว่า ‘ผู้กระหายสงคราม’
‘ฉับ’ ‘ฉับ’ ‘ฉับ’ ‘ฉับ’ ‘ฉับ’ ‘ฉับ’
      เสียงของอากาศที่ถูกแหวกออกบ่งบอกถึงความรวดเร็วในการฟันซึ่งเสียงที่ดังขึ้นทั้ง 6 ครั้งนั้นไม่ได้มาจากจุดเดียวกันแต่เป็น ‘รอบร่างกาย’ ต่างหาก  ยูกะที่ใช้สกิล ‘ก้าวพริบตา’ และ ‘ฟันไว’ มาช่วยเสริมการโจมตีโดยใช้การพริบตาเพื่อไปโจมตีจุดอ่อนต่างๆเช่นข้อต่อ,ข้อพับ,ช่องวางของเปลือกเรียกได้ว่าโจมตีทุกส่วนที่ต้องโจมตีแต่การโจมตีนั้นกลับไม่สามารถความเสียหายให้กับสคารับได้แต่ยูกะก็ยังคงพยายามต่อไปเพราะว่าเธอไม่ได้หวังมากอะไรขนาดนั้นอยู่แล้วแต่การที่วิชาดาบและความสามารถของเธอไม่สามารถทำอะไรมันได้ก็ทำให้เธอเจ็บใจไม่ใช่น้อย ‘ต้องถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด!’ นั้นคือสิ่งที่ยูกะคิด
“ด้วยพรจากสวรรค์จงบรรเทาอาการของเค้า ‘ฮีล’”
      เสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ดังขึ้นมาทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแม้ว่าจะยังไม่โดนเวทย์รักษาขั้นต้นอย่าง ‘ฮีล’ ก็ตามส่วนคนที่ร่ายก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้ที่เสนอตัวไปอยู่แนวหน้าอย่างชิโอริเธอพยายามร่ายเวทย์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆโดยถ้าเห็นคนเริ่มเหนื่อยจะร่ายเวทย์รักษาแต่ถ้ามีโอกาศก็จะใช้เวทย์ธาตุแสงช่วยสนับสนุนจากแนวหลังจนทำให้คิดว่า ‘เอา MVP ซัพพอทไปเลย!’ แต่ถึงภายนอกเธอจะดูเป็นคนที่เต็มไปด้วย ‘ความอบอุ่น’ แต่ตอนนี้เธอกลับทำสีหน้าจริงจังมากๆ! เป็นเพราะเธอรู้ว่าตัวเธอนั้นก็มีส่วนต่อ ‘ความเป็นความตาย’ ของทุกคนทำให้เธอไม่เคยรู้สึกกดดดันแบบนี้มาก่อนทั้งแรงกดดัน,ความกลัวและความรู้สึกที่โผยพุ่งเข้าใส่เธอทำให้เธอนั้นแทบจะลุกไม่ไหว ‘ม...ไม่ได้นะต้องทำให้ได้สิ! ฉันไม่อยากให้ยูคิคุงมาเห็นด้านอ่อนแอของฉันเพิ่มหรอกน้า!’ ทุกครั้งที่เธอจะยอมแพ้ให้กับความรู้สึกและความเหนื่อยล้าความคิดเมื่อกี้และภาพของเซทสึที่เธอจินตนาการทำให้เธอกัดฟันและพยายามต่อไป ‘ม...ไม่ยอมแพ้หรอก!’ นั้นคือสิ่งที่ชิโอริคิด
      ท่ามกลางเสียงที่ดังอยากอึกทึกเสียงที่ได้ยินนั้นไม่น่าอภิรมณ์นักเพราะเสียงที่ได้ยินมีแค่ ‘เสียงของคนกรี๊ดร้อง’ และ ‘เสียงคุ้นเคยในสนามรบ’ มาจากข้างหลังแม้ว่าตัวเองผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือการ ‘แก้วงเวทย์’ แต่ทุกๆครั้งที่ได้ยินเสียงมาจากข้างหลังจิตใจก็มีแต่คิดไปใน ‘ด้านลบ’ ภาพจินตนาการเริ่มเด่นชัดขึ้นแม้ว่าตัวเองจะไม่อยากคิดถึงมันหรือพยายามหลีกหนีมันแต่สุดท้ายสมองก็จะ ‘คิดภาพนั้น’ ขึ้นมาและภาพที่ผุดขึ้นมาคือภาพของทุกคนที่ ‘เลือดที่สาดกระเส็น’, ‘อวัยวะที่ขาดออก’ และภาพของ ‘หัวที่ไร้ซึ่งร่างกาย’ กับ ‘สิ่งที่มันกินอยู่’ นั้นยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดสมองเริ่มบอกว่าจะอยากไปช่วยแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ ‘ไปไม่ได้’ แม้ว่าอยากจะพูดกับตัวเองที่ ‘ไม่สามารถแก้วงเวทย์’ ว่า ‘ล้มเลิกแล้วไปช่วยซะ!’ แต่... ‘ถ้าฉันไม่ทำแล้วใครหน้าไหนมันจะทำ!’ นั้นคือสิ่งที่อลิเซียคิดในขณะที่เหงื่อไหลหยดลงพื้นอย่างไม่คาดสาย
       แม้ว่าในสถานการณ์ที่ตัวเองเคยคิดว่า ‘นี้แหละคือโอกาศที่จะได้แสดงพลัง!’ แต่ตอนนี้ตัวเองนั้นแค่ลุกยังลุกไม่ได้จิตใจของตัวเองพยายามปัดความคิดที่ไม่ดีออกไปและแทนที่ด้วย ‘การเข้าค้างตัวเอง’ เมื่อมองไปข้างหน้าก็พบกับหญิงที่ตัวเองชอบกำลังต่อสู้อยู่เมื่อมองไปข้างหลังก็พบกับเพื่อนสนิท 2 คนของตัวเองนอนแน่นิ่งไม่ขยับถึงคนหนึ่งจะบาดเจ็บสาหัสส่วนอีกคนหมดสติไปหลังจากทะเลาะกันแล้วหมดสติเพราะหัวฟาดพื้นจากแรงกระแทก  ส่วนตัวเองก็ดัน ‘เยี่ยวแตก’ แน่นอนว่าสมองพยายามปัดความคิดนั้นสุดชีวิตแม้ว่า ‘ไอ้สัตว์ประหลาด’ จะไม่ได้กำลังจ้องตัวเองอยู่แต่ใจก็ยังไม่หาย ‘กลัวมันสักที’ เลยพยายามหาตัวช่วยเพื่อให้ตนรอดจากสถารการณ์นี้ ‘อ๊ะ!นั้นไงมัน!...โอ้! แม่สาวน้อยมึงต้องมารับเคราะห์แทนกู 5555’ นั้นคือสิ่งที่ฮิโรชิคิด
“เฮ้ยมึงอ๊ะ!”
‘แหมะ’ ‘แหมะ’
“…”
“มึงไม่ได้ยินที่กูพูดเหรอวะ! ไอ้ไร้...”
‘ตุบ’
       หลังจากที่ฮิโรชิเห็นว่าแถวๆนั้นมีเซทสึที่ ‘ยืนนิ่งอยู่กับที่’ จึงเข้าไปออกคำสั่งโดยใช้พลังของ ‘ตราทาส’ ที่ประทับอยู่ที่หลังของเซทสึ...ถูกต้องแล้วทุกคนไม่ได้อ่านผิดแต่อย่างใดมันคือ ‘ตราทาสที่เคยเห็นกันในสมัยสงครามนั้นเอง’ โดยผลของตราทาสนั้นสำหรับคนที่รู้อยู่แล้วอาจจะเดากันได้ไม่ยากแต่สำหรับใครที่ไม่รู้จะขออธิบายให้ฟัง
       โดยปกติแล้วทาสนั้นหมายถึง ‘บุคคลที่ต้องทำตามความต้องการของผู้อื่นโดยไม่มีอิสระในการมีชีวิตและตัดสินใจโดยไม่ได้อะไรเป็นของตอบแทน’ ส่วนตราทาสแสดงถึง ‘การเป็นทาสของบุคคลนั้น’ ซึ่งถ้าเป็นตามปกติทาสก็ไม่สามารถขัดขืนผู้เป็นนายอยู่แล้วแต่นั้นคือ ‘ในโลกเดิม’ แต่ถ้าอยู่ในโลกของ ‘เวทย์มนต์’ จะเกิดอะไรขึ้น? คำตอบคือ ‘มันไม่ใช่ตราทาสแบบธรรมดาๆ’ แต่ตราทาสนี้ ‘ไม่สามารถขัดขืนได้แม้แต่นิดเดียว’ เพราะถ้าคิดแบบปกติถ้าเราเป็นทาสของใครสักคนและคนๆนั้นทรมาณเรา ‘เราก็ต้องการจะหนีเป็นธรรมดา’ แต่ด้วย ‘อำนาจของเวทย์มนต์’ ทำให้ทาส ‘ไม่สามารถขัดขืนและหนีได้’ ถ้าทำสิ่งที่กล่าวมาวงเวทย์ในตราทาสจะ ‘ทรมาณทาส’ ทำให้เจ็บปวดไม่ต่างจาก ‘ตายทั้งเป็น’
       โดยตราทาสของเซทสึนั้นพิเศษใส่ไข่เข้าไปอีกเพราะมันคือตราทาสที่ ‘ถ้าขัดขืนเท่ากับตาย’ คือถูกบังคับแบบสมบูรณ์เรียกได้ว่าใครโดนเข้าก็ ‘หมดหวังในการมีชีวิตไปเลย’ และถ้าสมมุติว่าทาสนั้นถูก ‘ตราทาสควบคุมโดยสมบูรณ์จะไม่สามารถทำอะไรกับร่างกายได้อีกต่อไปทำได้แค่จ้องมองไปโดยไร้ซึ่งสติ’ แต่ความยากของตรานี้คือมันซับซ้อนเป็นอย่างมากเปลื้องทั้งเวลาและพลังเวทย์ แต่ความยากที่สุดคือ ‘ต้องเป็นการสมยอมเท่านั้น’ เพราะความจริงตราทาสนี้ก็เป็นหนึ่งในเวทย์ดัดแปลงชอง ‘เวทย์ยุคเทพปกรณัม’ ซึ่งในสมัยนั้นจุดมุ่งหมายคือ ‘เอาไว้กันทรยศ’ ฉะนั้นเวทย์ในตอนนั้นยังไม่ถึงขนาดนี้แค่สลักเพื่อยืนยันถึงความ ‘จงรักภักดี’ ของบุคคลต่อกษัตริย์แต่ไม่รู้เป็นไงมาไงสุดท้ายก็กลายเป็นตราทาสไปซะอย่างนั้นแล้วพวกนักวิจัยอยู่ก็อยากศึกษาการทำงานของมันขึ้นมาเลยทดลองกับเซทสึเพราะเซทสึนั้นไม่มีอารยขัดขืนได้อยู่แล้วเลยใช้วงเวทย์ตราทาสได้โดยการทดลองจะเริ่มตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจนถึงกลับมายังปราสาทฉะนั้นการที่เซทสึนั้น ‘ทำตามคำสั่ง’ ของชิโอริและพวกนักเลงโคตรกระจอกก็มีผลมาจากตรานี้  โชคร้ายไปหน่อยที่ชิโอริเกือบจะรู้อยู่แล้วถ้าฮิโรชิไม่มาขว้างซะก่อนและแน่นอนว่าทุกคนที่เคยทรมาณย่อมรู้ว่าชายสวมชุดเกราะคือเซทสึรู้เรื่องตราทาสอยู่แล้ว  เซทสึเลยได้แบกของเกือบทุกคนอยู่บนหลังแต่ก็ยังโชคดีที่หลังจากการพักในชั้นที่ 25 สัมภาะของพวกมันก็ต้องเอากลับไปแบกเองเพราะกลัวจะถูกผู้กองทั้ง 2 คนสงสัยเพราะทั้งคู่นั้นยังไม่รู้ทั้งเหตุการณ์และตัวจริงของชายสวมชุดเกราะ
       กลับมาที่ปัจจุบันหลังจากที่ฮิโรชิคิดว่าจะสั่งให้เซทสึไปเป็น ‘โล่มนุษย์’ ตามความตั้งใจของตัวเองตั้งแต่แรกแล้วลุกขึ้นยืนทั้งๆที่ก่อนหน้ายังเข่าอ่อนลุกไม่ขึ้นอยู่เลยแล้วเดินไปพร้อมกับหยดน้ำอุ่นที่ไหลหยดย้อยลงมาจากหว่างขาแล้วมันก็เข้ามาทำท่าทางแบบปกติที่ในช่วงนี้ทำบ่อยเหลือเกิ๊นแต่ถึงจะดูเหมือนจะนักเลงแต่ทั้งภาพพจน์หรืออะไรก็ตามมันคงไม่หลงเหลือแล้วละหลังจากที่ก่อนหน้าทำอะไรแบบนั้นไว้(โดยเฉพาะ ณ ปัจจุบัน)
       แต่ความแปลกก็เกิดขึ้นเพราะถ้าเป็นปกติถ้าฮิโรชิเรียกหรือสั่งจะรู้ว่าเซทสึเตรียมพร้อมจะรับฟังคำสั่งเพราะว่าฮิโรชิมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ตราเจ้านาย’ ที่จะสามารถรับรู้ถึงตัวทาสได้แต่ของมันก็แค่ชั่วคราวเพราะนี้ยังอยู่ในขั้นทดลองอยู่  ก็ความรู้สึกจะคล้ายๆคอมพิวเตอร์ที่กดปุ่มสตาร์ทแต่คอมกลับไม่ทำงาน
       เพราะฮิโรชิคิดว่าบางที่ตราของตนอาจมีปัญหามันเลยเข้าไปใช้คำพูดด่าแทน(ทั้งๆยังมีหยดน้ำหยดอยู่)ทั้งๆที่ทำไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาแท้ๆ  แต่เพราะเซทสึยังคงนิ่งอยู่เหมือนเดิมมันเลยคิดจะเข้าไปต่อยสักหมัดสงสัยจะคิดว่าเซทสึเป็นคอมไปแล้วจริงๆ? และในตอนที่ฮิโรชิจับชุดเกราะของเซทสึจู่ๆตัวของเซทสึก็เอียงลงไปล้มลงนอนกองกับพื้นและเกิดเสียงดังขึ้น
       เซทสึที่ไหลลงไปนอนแน่นิ่ง...นิ่งซะจนคิดว่า ณ ตรงนั้นไม่มีอะไรอยู่เลยฮิโรชิที่จู่ๆก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่านี้มันแปลกเกินไปเพราะก่อนหน้านี้มีคนออกคำสั่งมากมายเต็มไปหมดแต่เซทสึกลับยืนนิ่ง  ถึงจะเหมือนการคิดวิเคราะห์ที่ดูฉลาดแต่ก็อย่างที่เคยพูด...มันสายไปแล้วละ
“...ต...ตายไปแล้ว!!!”
       สุดท้ายการคาดเดาของอัจฉริยะพันธ์น้ำไหล(น้ำอุ่นด้วยนะ)ก็ถูกต้องหลักจากที่ฮิโรชิจับไปที่บนิเวณต้นคอตรงจุดที่สามารถวัดชีพจรได้แต่...คำตอบที่ได้มันชัดเจนมากไม่มีการเต้นของชีพจรแม้แต่นิดเดียว  มันรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเพราะ ‘ความหวังสุดท้าย’ ได้ตายไปแล้วแต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่มันไม่ได้พูดเสียงดังมากทำให้ไม่มีใครได้ยินที่มันพูดออกมาขอย้ำ ‘ถือว่าโชคดีจริงๆ’
‘ท...ทำไมกัน! ก็ก่อนหน้านี้ยัง...ร...หรือว่า ‘ยาพิษ’ เพิ่งออกฤทธิ์!!!’
       สุดท้ายสิ่งที่มันคิดก็ได้เฉลยทุกๆข้อสงสัยเพราะยาที่มันกลอกปากเซทสึเมื่อคืนก็คือ ‘ยาพิษ’ นั้นเอง! แต่ถ้าดูจากที่ผ่านมาแล้วการที่เซทสึตายเพราะยาพิษนี้คงฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลสำหรับใครหลายๆคนเพราะนอกจากจะโดนมา ‘เยอะแล้ว!’ ยัง ‘โดนมาหนักอีกด้วย!’ ดังนั้นข้อสรุปของยาพิษนี้คงไม่มีอะไรตรงไปการ ‘มันแรงที่สุดแล้วในบรรดาทั้งหมด!’ ก็ขอเล่าถึงที่มาเล็กน้อย  หลังจากที่นักวิจัยได้ศึกษามาอย่างต่อเนื่งสุดท้ายก็ได้ยาพิษตัวนี้มาแต่เพราะมันแรงมากถึงขนาดในระหว่างทดลองของสารละลายตัวนี้ที่เข้มข้นต่ำสุดยังสามารถฆ่าหนูได้! และถ้าเข้มข้นมากพอแค่สูดเข้าไปก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้รู้ได้จากการเสียชีวิตของนักวิจัยคนหนึ่ง  ความพิเศษอีกอย่างคือมันสามารถซึมเข้าไปในร่างกายได้อย่างรวดเร็วคงไม่ต้องบอกนะถ้าโดนตัวเข้าจะเกิดอะไรขึ้น
       แล้วไอ้ตัวที่เซทสึโดนก็คือตัวที่เข้มข้นสุดเรียกได้ว่า ‘100% ยาพิษไร้สารเจื้อปน’ แต่ความจริงแล้วนักวิจัยให้เอามา ‘ทดลองกับมอนสเตอร์’ ในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ใช่ใช้กับเซทสึเพราะยังไงในสายตาของนักวิจัยก็ยังคงเห็นประโยชน์จากเซทสึอยู่(การทดลอง)ฉะนั้นถ้าเซทสึตายก็ถือว่าเสียหายในระดับหนึ่งแต่สุดท้ายเซทสึจะเป็นตายร้ายดียังไงนักวิจัยมันก็ไม่สนอยู่ดี  ทางด้านฮิโรชิก็กำลังคิดจะอำพรางศพโดยการพลักศพตกลงเหวไป
“ย...ยูคิคุงตายแล้ว!!!”
“!!!”
       แต่สุดท้ายความตั้งใจของมันก็ถูกหยุดโดยหนึ่งในฮีลเลอร์ที่สังเกตุเห็นเซทสึ(หนึ่งในคนรักษาตอนทรมาณเซทสึแต่ก็ทำแค่นั้นไม่ได้ทรมาณเซทสึด้วย)ลงไปนอนกับพื้น  เพราะทักษะที่ตนได้ ‘ใช้เป็นประจำในช่วงหนึ่ง’ ทำให้พอจะสามารถไปช่วยคนอื่นได้อยู่ประกอบกับอยากไปลากฮิโรชิที่ไปนั่งตรงนั้นเพราะจะไปขัดแข้งขัดขาแนวหน้าคนอื่น  แต่โชคร้ายหน่อยที่เธอร่ายเวทย์ ‘อาณาเขตรักษา’ ที่จะรักษา ‘พลังชีวิต’ ของคนรอบตัวเป็นบริเวณกว้างด้วยเหตุนั้นเซทสึที่ตายไปแล้วจึงไม่ได้รับผลไปด้วยแน่นอนว่าผู้ใช้เวทย์ต้องรู้อยู่แล้ว  ด้วยความตกใจเธอเลยเผลอตะโกนดังลั่นจนรอบนี้แม้แต้อลิเซียยังได้ยิน
“ว...ว่ายังไงนะ?!”
“ม...ไม่จริง! ฉันไม่เชื่อหรอกนะ!!!”
‘อึก!...จู่ๆหน้าอกก็เจ็บขึ้นมา’
       ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็หยุดนิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวต่อพอผ่านไปสักพักทุกคนก็เริ่มพูดกันออกไปต่างๆนาๆไม่ว่าจะเป็น ‘หรือว่าตายเพราะไอ้สัตว์ประหลาดนั้น!!!’ ทำให้ยิ่งหวาดกลัวเข้าไปอีก  หรือจะเป็นการ ‘รู้สึกผิด’ เพราะความจริงแล้วตนนั้นเคยทรมาณเซทสึทำให้คิดว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเพิ่งคิดได้ว่าอยากจะ ‘ขอโทษแต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว’ แต่คนที่แสดงออกมากที่สุดคือเมลด์และอลิเซียที่แทบจะวิ่งไปดูอาการแต่เพราะว่าตนยังอยู่ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจึงยังขยับไปจากตรงนี้ไม่ได้ส่วนคนที่หนักที่สุดคงจะเป็นชิโอริจู่ๆขาของเธอก็อ่อนแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุทำให้เวทย์ที่เธอร่ายเอาไว้คล้ายออกส่งผลต่อแนวหน้าหลายๆคนลำบากยิ่งขึ้นและหน้าอกก็เจ็บแบบอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เหมือนกับการหายใจจะลำบากมากยิ่งขึ้นทั้งๆที่ภายนอกก็ดูปกติดี  เธอพยายามห้ามร่างกายที่อยากจะกรี๊ดร้องออกมาสุดเสียงกับน้ำตาที่เธอรู้ว่าถ้าปล่อยออกมาเธอคงไม่สามารถที่จะหยุดมันได้อีก
“-----‘ลูกศรเพลิง’!”
“ฟี๊ดดดดดด!!!”
“-----ทุกคนร่ายเสร็จแล้วถอยออกมา ‘ทะลวงสวรรค์’ !”
“ฟี๊ดดดดดด!!!”
       สคารับที่สังเกตเห็นว่าจู่ๆศัตรูก็หยุดเคลื่อนไหวจึงกะจะใช้โอกาศนี้ทิ้งดิ่งลงมาอีกสักรอบจึงกางปีกออกเตรียมบินแต่มอล์ลที่เคยยิง ‘ลูกศรเพลิง’ ใส่ตาสคารับด้วยความบังเอิญรอบนี้ก็สังเกตุเห็นสคารับพอดิบพอดีจึงยิงไปอีกรอบและดันโชคดีซ้อนคือ ‘ลูกศรเพลิง’ พุงเสียบปีกของสคารับและลุกไหม้อยากรวดเร็วดูเหมือนจะมีจุดอ่อนที่เหมือนกับด้วงปกติอยู่บ้าง  ทำให้มันที่ไม่สามารถบินได้ด้วยปีกข้างเดียวจึงเซไปเซมาจนล้มลงกระแทกพื้นอีกครั้ง  และเหมือนวันนี้จะถือว่าเป็นวันที่โชคดีอีกวันก็ได้เพราะเสียงจากสวรรค์หรือก็คือจากไดซึเกะเพราะเขานั้นร่ายคาถาเสร็จแล้ว  เมื่อไดซึเกะสังเกตุเห็นว่าทุกคนถอยออกหมดแล้วจึงใช้ท่า ‘ทะลวงสวรรค์’ หมายจะปลิดชีวิตสคารับ
       สคารับร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อโดนลำแสงสีขาวที่พุ่งมาด้วยความรวดเร็วจากนั้นเสียงของสคารับก็ค่อยๆเบาลงจนเมื่อสิ้นเสียงและแสงดับลงก็เผยให้เห็นสคารับที่นอนกองกับพื้นโดยที่มีควันโผยพุ่งออกมาจากทั่วร่างกายโดยเฉพาะตาที่หายไปข้างหนึ่งและบริเวณหัวดูจะมีควันออกมาเยอะเป็นพิเศษทำให้ดูยังสคารับที่นอนแน่นิ่งมีควันออกมาก็ ‘ตาย’ ชัดๆเลย
“ต-ตายแล้วเหรอ?!”
“เหมือนจะเป็นอยากนั้นนะ?!!”
“เย้~~~!!!”
“สำเร็จแล้ว 55555!!!”
“เฮ้อ! จบสักทีนะ”
       ไดซึเกะที่ยังไม่คลายความกังวลเพราะเคยถูกเตือนเรื่องที่ชอบประมาทอยู่บ่อยครั้งแต่เมื่อคนที่พูดออกมาคือตัวของเมลด์เองเลยทำให้เลยทำให้ความกังวลปลิ่วหายไปในอากาศและกู่ร้องถึงชัยชนะที่ได้รับมา  ทางด้านคนอื่นๆก็ต่างเข้าสวมกอดและดีใจวิ่งมาหาไดซึเกะที่ในที่สุดก็จบเรื่องนี้ได้แล้วไม่เว้นอลิเซียที่นั่งลงกับพื้นด้วยท่าทางที่เหน็ดเหนื่อยสุดๆ  แต่ทว่า...
“ฟี๊ดดดดด!!!!”
“บ-บ้าน้...อ้ากกกกกก!!!”
       ในวินาทีที่ทุกคนดีใจกับชัยชนะทันใดนั้นร่างสีดำทมิฬก็ลุกขึ้นมาอีกครั้งขาของมันค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆและในจังหวะที่ทุกคนเพิ่งรู้สึกตัวเหยื่อของการโจมตีครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนที่มันเคียดแค้นที่สุดอย่างไดซึเกะก็โดนมันกระทืบจนพื้นแตก ‘ตึง!’
       ตัวของไดซึเกะได้แต่ถูกโจมตีทั้งอย่างนั้นเพราะว่าการตอบสนองของเขาช้าเกินไปและต่อให้จะมีทั้ง ‘เกราะศักสิทธิ์’ และ ‘ทะลุขีดจำกัด’ ที่สามารถทำให้ความเสียหายลดลงอย่างมากแต่ก็ไม่แคล้วบาดเจ็บสาหัสอยู่ดีภาพของไดซึเกะที่กำลังนอนกระอักเลือดใต้เท้าสีแดงของสคารับกับเสียง ‘แกร๊ก!’ ที่เป็นเสียงของพื้นที่แตกกำลังขยายเป็นบริเวณกว้างและเป็นทั้งเสียงของชุดเกราะกับเสียงของกระดูกภายในของไดซึเกะและเสียงร้องของเขาได้กังวานไปทั่วทั้งห้อง
       แต่ความซวยมันยิ่งกว่านั้นเพราะหลังจากนั้นก็มีคลื่นเหมือนกับก่อนหน้านี้แต่รอบนี้กลับมีสีแดงผสมมาด้วยทำให้สังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจนแต่มันกลับเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ! ทำให้ไม่มีใครสามารถหลบได้และเพราะทุกคนพยายามที่จะวิ่งไปดีใจกับไดซึเกะจำนวนคนเจ็บจึงยิ่งทวีคูณหลายเท่าตัว
“ก-แกไอ้สัตว์ปละหลาด!!!”
“ฟี๊ดดดด!!!”
“?!!!”
       ไดซึเกะที่ดูเหมือนจะอึดกว่าที่คาดเพราะว่ายังไม่สลบไปหลังจากที่โดนโจมตีไปตั้งขนาดนั้นและนอนจมกองเลือดอยู่ทันใดนั้นสคารับก็ส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้งมันไม่ใช่เสียงที่เหมือนสัตว์เอาชนะสัตว์อีกตัวแต่เป็นเสียงที่เหมือนพยายามจะรีดเค้นอะไรออกมา
       ทันใดนั้นจู่ๆเส้นสีแดงที่เหมือนกับเส้นเลือดก็แล่นไปทั่วทั้งร่างของสคารับจนทั่วร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดสีแดง  แต่สิ่งที่น่าตกใจจริงๆก็คือแผลของมันค่อยๆสมานกันรวมไปถึงตาข้างหนึ่งที่เคยเสียไปก็ค่อยๆฟื้นฟูจนในที่สุดสคารับก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์ 100% จนเหมือนการกระทำก่อนหน้าของทุกคนนั้นช่างไร้ประโยชน์!
       สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนที่ยังพอมีสติช็อคอย่างมากโดยเฉพาะไดซึเกะที่ยิ่งช็อคมากเป็นพิเศษเพราะตนนั้นมั่นใจในพลังของตนมากเป็นพิเศษทำให้ไดซึเกะสลบไปในเวลาต่อมาเพราะไม่สามารถทนต่อพิษบาดแผล
       ถ้าให้อธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้นถ้าให้อธิบายแบบเข้าใจเร็วๆก็คือคอร์ของมอนสเตอร์ที่เป็นแกนพลังเวทย์และมอนสเตอร์ที่ถูกสร้างมาจากมันซึ่งก็หมายความว่า ‘สามารถใช้พลังเวทย์ของตัวมันเองรักษา/สร้างตัวมันเองได้’ แต่เพราะการจะทำอย่างนั้นกับบาดแผลยังงั้นเลยถือว่าเปลื้องพลังอย่างมากประกอบกับที่เคยบอกว่า ‘ถ้าพลังเวทย์หมดเท่ากับตาย’ ดังนั้นที่ทำได้ก็มีแต่พวกระดับสูงๆชั้นลึกๆของมหาวงกตเท่านั้นที่ทำได้  แต่สคารับก็เรียกว่าพลังเวทย์เกือบหมดตัวแล้วเพราะการรักษาแผลขนาดนั้นต่อให้เป็นสคารับก็ถือเกินแรงไปเยอะเลยทำให้มันไม่สามารถใช้เวทย์เฉพาะตัวได้แล้วซึ่งการโจมตีสุดท้ายคือทั้งหมดที่มันมีแต่ที่มันใช้ก็เพื่อลดจำนวนและตัวปัญหาให้ได้มากที่สุดและดูเหมือนจะคุ้มค่ามากเลยด้วย
       ส่วนเวทย์เฉพาะตัวของสคารับคือ ‘คลื่นกระแทก’ ที่จะรวบรวมพลังเวทย์ไว้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งและปลดปล่อยออกมาในลักษณะคลื่นทำให้การโจมตีครั้งล่าสุดเห็นชัดเจนเพราะมันทุ่มสุดตัวแล้ว  แต่ที่ทุกคนเป็นอย่างนี้ก็เพราะประมาทเกินไปไม่เว้นแม้แต่เมลด์ที่คิดอะไรตื้นๆอย่าง ‘มันมีการโจมตีรูปแบบเดียวด้วย’ เลยทำให้คิดว่า ‘ไม่ว่าใครก็ผิดพลาดได้เสมอ’
       แต่ความซวยของแท้ก็เกิดขึ้นอีกเมื่อคนที่ยังคงอยู่ต่อหน้ามันเหลือเพียงแค่ชิโอริเท่านั้นเป็นเพราะเธอมั่วแต่สับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นทำให้เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนแต่ก็น่าแปลกใจที่เธอไม่โดนลูกหลงจากการโจมตีของสคารับด้วย
“ช่างหัววงเวทย์แล้ว!!!”
“ฟี๊ดดดด!!!”
       ในจังหวะที่สคารับเดินเข้าไปใกล้ชิโอริพร้อมกับเตรียมจะใช้ขาที่เหมือนกับใบเลื่อยฟันใส่ชิโอริอลิเซียที่ไม่สามารถทนต่อความรู้สึกของตัวเองได้ก็ปล่อยมือออกจากวงเวทย์และรีบวิ่งไปหาชิโอริแต่ดูเหมือนทุกอย่างจะสายไปในวินาทีที่สคารับกำลังจะฟันด้วยขาใบเลื่อยของมันก็ได้มีเสียงมาช่วยชีวิตชิโอริไว้...
“เฮ้ยไอ้แมลงเวรหันม...”
“ฟี๊ดด”
“ฮี้!!!...”
       ถึงจะเกินความคาดหมายแต่คนที่มาช่วยไว้ก็คือฮิโรชิแต่ถึงมันจะทำเหมือนอยากจะเป็นพระเอกสักครั้งต่อหน้าคนที่ชอบอยู่แต่การที่มันแบกเซทสึไว้ข้างหลังก็สือ่ถึงความหมายของมันออกมาได้อย่างชัดเจนว่า ‘เอาไอ้นี้ไปแดกเล่นก่อนนะ’ และการที่ร้องเสียงหลงออกมาหลังจากแค่ถูกสคารับมองก็ทำให้ตัวสั่นลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้งแล้วก็ดันเพิ่มมาอีกหนึ่งแอ่ง...
       แต่ก็ถือว่าแผนของมันสามารถช่วยไว้ได้เยอะมากแต่ก็ถือว่าผิดแผนไปจากที่มันคิดเอาไว้มากทีเดียวอย่างที่บอกไว้แต่การที่มันคิดจะให้แมลงกินศพมนุษย์เนี่ยก็ควรไปเช็คสมองกับความเป็นมนุษย์บ้างนะ?
       แต่สุดท้ายภาระก็ยังคงตกอยู่ที่อลิเซียอยู่ดีเธอได้ทำการคิดและไตร่ตรองและสุดท้ายก็ได้ผลสรุปว่าเธอจะใช้ ‘ไม้ตาย’ ของเธอมาจัดการกับสคารับ!
       อลิเซียหยิบมีดสั้นที่ดูยังไงก็ไม่ต่างจากมีดสั้นธรรมดาตรงไหนเลยแต่พริบตาที่เธอกำมันไว้กับมือและหลับตาตั้งสมาธิจู่ๆมีดก็เรืองแสงสีเขียวมรกตคล้ายกับแร่ที่นำพาพวกเขามาสู่ห้องนี้  สิ่งนี้คือ ‘มีดเวทย์มนต์’ ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของอลิเซียมันมีความสำคัญมากเพราะมันเป็นหลักฐานของคำสัญญาและการสำเร็จการศึกษากับอาจารย์ของเธอ  ตัวมีดนั้นทำมาจากคอร์ของมอนสเตอร์ระดับสูงที่เธอจัดการในการสอบวัดความสามารถของเธอในการฝึกสุดท้ายเป็นบททดสอบที่มหาหินน่าดูแต่เธอก็ผ่านมาได้  แต่สิ่งที่พิเศษคืออาจารย์ของเธอเป็นคนใส่เวทย์ระดับสูงด้วยตัวเองซึ่งเวทย์นั้นคือ ‘ระเบิดทำลายล้าง’ ตามชื่อคือเมื่อใช้เวทย์จะเกิดการระเบิดขนาดใหญ่และกว้างหลาย 10 เมตรแต่ข้อเสียของมีดนี้คือการพยายามทำให้มันดูเป็นมีดธรรมดาเพราะอาจารย์ของเธอต้องการให้อลิเซียใช้ในยามฉุกเฉินและจำเป็นจริงๆเหมือนเหตุการณ์นี้ทำให้มันสามารถใช้ได้ครั้งเดียวและเวลาใช้ก็ให้นึกถึงกามิกาเซ่เพราะอย่างที่กล่าวไปว่า ‘เกิดการระเบิดขนาดใหญ่และกว้างหลาย 10 เมตร’ ทำให้ส่วนใหญ่ผู้ใช้จะหนีออกมาไม่ทันฉะนั้นส่วนใหญ่เหตุการณ์ที่จะใช้ก็อย่างเช่นถูกจับแล้วกำลังจะโดนล้วงข้อมูลสำคัญ,สังหารบุคคลสำคัญ ฯลฯ ทำให้รู้ว่าจริงๆแล้วอาจารย์ของอลิเซียต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนเพราะสามารถใช้ได้ทั้ง ‘เวทย์ระดับสูง’ และ ‘สร้างอาร์ติแฟ๊คได้’
       และหมายความว่าอลิเซีย ‘เตรียมพร้อมตาย’ แล้วนั้นเองถึงภายนอกและนิสัยที่เธอแสดงออกมาจะคลับคล้ายคลับครากับ ‘อาจารย์ยูคิมูระ’ ที่เจ้าระเบียบแต่ยังไงเธอก็เป็นแค่ ‘หญิงสาวคนหนึ่ง’ ที่อยากจะปกป้องสิ่งสำคัญไว้และมีความคิดเดียวกับเมลด์อย่าง ‘การเสียสละส่วนหนึ่งเพื่อแลกกับอีกนับสิบมันก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว’ สมแล้วที่เป็นผู้กองด้วยกันทั้งคู่แต่เธอก็เหมือนกับเมลด์อีกอย่างคือ ‘รู้สึกผูกพันธ์’ กับทุกๆคนฉะนั้นสุดท้ายแล้วต่อให้ผู้กองทั้ง 2 จะดูโหดเป็นบางครั้ง(ยกเว้นอลิเซีย)ถึงจะดูไม่เหมือนผู้กองสักนิด(ยกเว้นอลิเซีย)แต่สุดท้ายที่ทำทั้งหมดก็เพราะความผูกพันธ์นั้นเหละ
       อลิเซียที่รู้ว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าตนอาจจะไม่ได้มองเห็นโลกใบนี้อีกต่อไปเลยคิดจะพยายามทำใจให้ผ่อนคลายที่สุดเพราะ ‘ถ้าตายไปทั้งที่ยังไม่หมดห่วงมันไม่ดีใช่ไหมละ?’ นั้นคือสิ่งที่เธอคิดเธอจึงหยิบล็อกเก็ตที่อยู่ตรงคอมาจูบลาเป็นครั้งสุดท้าย,สวดถึงพระเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายและสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายถึงจะแค่ในใจก็เถอะนะ
‘ชีวิตในวัย 18 ปีของฉันต้องมาจบแล้วเหรอเนี่ย? สั่นจริงๆเลยน้า~ทั้งๆที่ยังมีอะไรตั้งหลายอย่างที่อยากทำแท้ๆ ขอบคุณและขอโทษนะท่านอาจารย์ที่ฉันไม่สามารถไปเจอท่านได้อีกทั้งที่สัญญาไว้แล้ว  เมลด์และคนอื่นๆก็ขอบคุณเหมือนกันนะที่ผ่านมาสนุกมากเลยละถึงจะบ้าๆบอๆกันอยู่เยอะก็เถอะโดยเฉพาะเมลด์ ฮิๆแต่ฉันก็สนุกมากจริงๆนั้นเหละนะ...คงมีแค่นี้?...อ๊ะ!ขอโทษนะคะคุณแม่ที่หาลูกเขยมาให้แม่ไม่ได้ขอโทษจริงๆคะ...ฉ...ฉันไม่ได้เสียใจนะ!...ใช่แล้วไม่เสียดายสักนิด!’
       ในระหว่างที่กำลังพูดสั่งเสียในใจเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแสนเศร้าและวิ่งไปพร้อมกับมีดไว้แน่นก็ได้มีการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญๆหลายๆเรื่องแต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอลิเซียที่วิ่งไปพร้อมกับ ‘น้ำตา’ นั้นมาจากความเสียใจที่จะจากโลกใบนี้ไปหรือเป็นเรื่อง ‘อย่างว่ากัน’ สุดท้ายคนที่ตอบได้คงมีแค่อลิเซียเท่านั้น
“ฟี๊ดดด!!!”
“อึก!!!...”
‘ฉึก!’
“อั๊ก!!...”
‘ตูม!!!’
       หลังจากที่อลิเซียทำทุกสิ่งที่เธอต้องการแล้ว(?)เธอใช้ประโยชน์จากขาใบเลื่อยของสคารับเป็นบรรไดสู่หัวของหลังของมัน  แน่นอนว่าสคารับที่รู้ตัวอยู่ก็ได้ทำการกางปีกเพื่อให่อลิเซียตกลงไป  อลิเซียใช้โอกาศนั้นอย่างคุ้มค่าเธอใช้เปลือกที่กางออกมาเป็นสไลเดอร์มาสไลด์ตัวเองลงไปที่หัวของมันอย่างพอดิบพอดีเพราะจริงๆเป้าหมายของอลิเซียคือตานั้นเอง!จริงๆแล้วจุดอ่อนที่แท้จริงของสคารับน่าจะเป็นตาสังเกตุได้จากเวทย์ไฟก่อนหน้านี้ที่สร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาล  แต่เพราะหัวของสคารับไม่ได้มีฐานสักเท่าไหรอลิเซียจึงพยายามเกาะเขาของมันแต่เพราะมันพยายามสะบัดหัวไปมาจึงทำตัวของเธอต้องพยายามเกาะให้แน่นขึ้นไม่อย่างนั้นเธอคงโดนแรงเหวี่ยงเหวี่ยงตกลงมาได้  เธอใช้โอกาศตอนที่มันสะบัดจากขวาไปซ้ายโดยใช้แรงเหวี่ยงมาเพิ่มแรงเข้าไปเธอง้างมีดและแทงเข้าไปในลูกตาของสคารับสุดแรงจนเลือดของมันพุ่งออกมา  ด้วยความเจ็บปวดมันจึงสะบัดหัวสุดแรงเกิดทำให้อลิเซียที่ทนไม่ไหวกระเด็นลอยมาชนกับพนังห้องที่ด้านล่างเป็นเหวลึกและกำลังจะตกลงไป!
       แต่ว่าภารกิจของอลิเซียสำเร็จแล้วเพราะมีดที่ยังคงคาอยู่เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจนพื้นสั่นสะเทือนตัวสคารับเองก็แทบจะไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นเลยเพราะระเบิดได้สร้างความเสียไปถึงสมองอย่างรวดเร็ว  สคารับที่มีควันออกมาจาตา,หู,จมูกและปากค่อยๆไหลๆปตามแรงโน้มถ่วงอีกครั้ง
       ถึงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่อลิเซียกำลังอยู่ในอันตราย! ถ้าเป็นตามหนังการ์ตูนหรือนิยายคงจะคิดว่าจะมีพระเอกสุดแสนจะหล่อเท่มาช่วยเอาไว้ได้ทันท่วงทีและหลังจากนั้นก็จะค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์กันจนถึงขั้น...ก็ไม่แปลกที่จะคิดยังงั้นเพราะแม้แต่ตัวของอลิเซียเองก็ยังคงฝันหวานถึงเรื่องนี้อยู่...แต่จู่ๆเธอก็ลืมตาขึ้นมา! เธอใช้เวลาเพียงเสียววินาทีเพื่อพิจารณารอบๆตัวก่อนจะเอามือเตะกับพนังและเกิดดินยื่นออกมาเล็กน้อยละเธอก็ใช้สิ่งนั้นเพื่อเกาะเอาไว้ก่อน อธิบายสั้นๆว่าเธอใช้เวทย์ ‘สร้างดิน’ ซึ่งความหมายก็ตรงตามชื่ออีก  หลังจากที่เธอเกาะมันอย่างแน่นหนาเธอก็พยายามขยายพื้นที่ให้มากขึ้นจนสามารถกลายเป็นพื้อนที่สำหรับคนๆหนึ่งได้เธอนั่งอยู่บนนั้นพร้อมกับพยายามหายใจเข้าหายใจออกอย่างช้าๆก่อนจะพูดกับตัวเองว่า...
“ย-ยัยชาล็อต อาจารย์ด้วยอีกคน สักวันฉันจะทำให้อึ้งกันเป็นไก่ตาแตกให้ดู! ใช่แล้ว!ต้องมีสักวันต้องมีสักวัน~”
       ไม่รู้ใครคือชาล็อตที่อลิเซียกล่าวถึง? แต่ก็ต้องขอบคุณทั้ง 2 คนมากที่ทำให้อลิเซียรอดตายมาได้แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่องอะไรแต่เธอก็พูดมัรทั้งน้ำตาอีกครั้ง
       ดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มสงบลงไปแล้วแต่ว่าทุกคนที่ไม่อยากจะ ‘ประมาทอีกแล้ว’ ก็จ้องสคารับโดยไม่วางตาประดุจดังกระต่ายที่พยายามจ้องงูที่ตายแล้วทั้งที่ๆตัวสั่นอยู่  แต่เพราะว่ารอบนี้มันดูชัดเจนกว่ารอบที่แล้วเลยทำให้มี ‘ไอ้บ้าคนหนึ่ง’ ที่ไม่ได้ดูบรรยากาศประกอบกับยังเป็น ‘ไอ้ขี้โม้’ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
“...ป...เป็นไงละ! ไอ้แมลง แค่นี้ทำอะไรกูไม่ได้หรอก! เพราะกู...ใช่แล้วเพราะกูไงเลยสามารถฆ่ามันได้! สรรเสริญกูสิรออะไร 55555 ”
       คนเดิมเพิ่มเติมคือหลงตัวเองเกิ๊นอย่างจะอธิบายถึงวีรกรรมที่ตัวมันเองทำจริงๆ ‘ถ้าถามว่าช่วยไหม?...ไม่อะ’ ‘ทำอย่างนั้นแล้วดูเท่เหรอ?...ก็ไม่นะ?’ แล้วทำเพื่อ? อยากจะพูดจริงๆแต่ติดตรงที่ทำไม่ได้
“อ๊ะ! ใช่ยูคิคุง!!!”
“ด...เดี๋ยวก่อนสิชิโอริจัง! เธอต้อง...”
“เงียบก่อนฮิโรชิคุง!”
“ค...ครับ...”
       ชิโอริที่เพิ่งรู้ว่าสคารับถูกจัดการไปแล้วก็ได้ทำตามสิ่งที่ตนเองอยากทำมากที่สุดคือการไปดูเซทสึด้วยสีหน้าลนลานเป็นพิเศษ  เธอไม่สนใจผู้บาดเจ็บคนอื่นนอกจากเซทสึนั้นหมายความว่าเธอให้ความสำคัญกับเซทสึมากกว่าคนอื่นแม้แต่ฮิโรชิที่คิดว่าเธอวิ่งมาเพื่อขอบคุณและจะรักษาบาดแผลให้แต่ความจริงนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้วเพราะชิโอริเมินแล้วไปหาเซทสึในทันที  แต่มันก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวเอง(หลงตัวเอง)ว่าชิโอริต้องสนใจมันไม่ใช่เซทสึที่ในสายตามองว่าเป็นแค่ขยะ  เลยทักท้วงกับชิโอริสุดท้ายก็โดนชิโอริบอกให้เงียบไปก็น่าจะเจ็บพอสมควรเมื่อโดนคนที่ชอบบอกให้เงียบเลยนั่งซึมไป
“นี้ยูคิคุง! ยูคิคุงตอบหน่อยสิ!”
“…”
“ไม่!...ไม่เอาแบบนี้นะ!...ต่อให้นายจะเกลียดฉันแค่ไหน...แต่นายจะมาตายแบบนี้ที่นี้ไม่ได้!”
“…”
“แสงของพระอาทิตย์ ที่ส่องสว่างทุกชั่วยาม โปรดช่วยเยียวยาเขาผู้นั้น  ผู้ที่คอยรับใช้ท่านมาอย่างยาวนานด้วยแสงของท่านจะช่วยบรรเทาและรักษาคนนั้นได้ ‘แสงแห่งการรักษา’ อึก!...”
“…”
“ท…ทำไมละ?! ทั้งที่ใช้เวทย์ระดับสูงแล้วแท้ๆ...ทำไมกัน...ทำไม...”
       หลังจากที่เธอลองเช็คทั้งชีพจรและลมหายใจดูผลลัพธ์ก็อย่างที่รู้ๆกัน เธอพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้อย่างสุดความสามารถในการช่วยเซทสึ  เธอพยายามใช้เวทย์ระดับสูงเพื่อที่จะสามารถรักษาได้สักนิดก็ยังดีแต่เพราะมันเกินกำลังของเธอทำให้เธอแทบจะหมดสติทันทีหลังใช้เสร็จหรือกระทั้งพยายามทำ CPR ที่ตัวเองก็ไม่เคยทำมาก่อน(อย่าทำถ้าไม่รู้จริง อันตรายมาก!)เธอพยายามที่จะถอดเกราะออกแต่เพราะเกราะส่วนตัวมันถอดยากเกินไปเธอเลยพยายามไปถอดหมวกเกราะออกแทนแต่หมวกก็ดันไม่หลุดออกมาอย่างที่คิดไว้เธอเลยพยายามนึกวิธีอื่น  แต่ต่อให้เธอจะพยายามแค่ไหนใช้กี่ร้อยกี่พันวิธีก็ไม่มีวี่แววของการกลับมาของชีพจรเลย
       ไม่รู้ว่าเธอรู้ตัวรึเปล่าแต่ในระหว่างที่เธอพูดอยู่น้ำตาที่เธอพยายามเก็บมันไว้ก็เริ่มค่อยๆไหลออกมาทั้งน้ำเสียงและใบหน้าตอนนี้ไม่เหมือนกับ ‘เทพธิดาผู้อบอุ่น’ ที่ทุกคนรู้จักและแน่นอนว่าไม่ว่าใครรวมถึงตัวของเซทสึเองก็ไม่ต้องการให้ชิโอริทำหน้าอย่างนี้แน่เพราะว่าชิโอรินั้นไม่เหมาะสมกับคำว่า ‘โศกเศร้า’ แต่เป็นคำว่า ‘ความสุข’ ต่างหากถึงมันจะฟังดูโลกสวยแต่ก็ไม่มีตำไหนเหมาะกับการอธิบายใบหน้าและความรู้สึกของเธอได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
       ชิโอริผู้ที่สิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตเมื่อเธอรับรู้คำตอบของชายข้างหน้าของเธอที่ไม่อาจจะหวนกลับมาอีกแม้ว่าเธอจะพยายามมากเท่าไร  ชิโอริที่กำลังโทษตัวเองอยู่นั้นไม่ว่าใครก็อยากเข้าไปปลอบแต่การจะไปปลอบตอนนี้ก็ควรจะมีคำพูดที่สามารถช่วยเธอได้ในตอนนี้ทำให้แม้ว่าคนที่โดนการโจมตีของสคารับจะลุกขึ้นมาหรือได้สติกลับมาก็ไม่มีใครกล้าเข้าหาชิโอริสักคน...เว้นแต่เพื่อนรักของเธอยูกะ
       ยูกะพยายามที่จะใช้ฟักดาบเพื่อพยุงตัวเองเดินไปหาชิโอริสภาพของเธอในตอนนี้ถือว่าสาหัสมากเพราะแขนข้างซ้ายของเธอหักเพราะว่าเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ใกล้กับสคารับมากที่สุดและถึงแม้เธอจะพยายามกระโดดเพื่อหลบคลื่นพลังและใช้ดาบมาป้องกันร่างกายแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทนต่อแรงโจมตีของคลื่นพลังได้และในจังหวะที่ดาบของเธอแตกแขนข้างซ้ายก็ดันกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรงและโดนคลื่นพลังเสริมเข้าไปอีกทำให้ตอนนี้แขนของเธอก็มีเลือดหยดลงมาไม่น้อยเลย  แต่ต่อให้เธอจะบาดเจ็บหนักเท่าไรและต่อให้สติที่พร้อมจะทิ้งดิ่งของเธอจะไม่ไหวยังไงก็ไม่สามารถหยุดยั้งเธอเพื่อไปหาเพื่อนรักได้
       แต่ในตอนที่ทุกคนไม่ได้เอะใจอะไรสายตาของยูกะก็ดันไปสะดุดเข้ากับสิ่งๆหนึ่งเธอรีบใช้สกิล ‘ก้าวพริบตา’ เพื่อไปหาชิโอริทันทีและดูเหมือนสายตาและความคิดของยูกะจะไม่ได้ผิดพลาดเพราะว่าหลังจากที่เธอจับชิโอริและให้ลงไปนอนกับพื้นทันใดนั้น...
“ฟี๊ดดดด!!!”
“เหี้...อ้ากกกกก!!!”
       สคารับก็ได้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง! แต่รอบนี้ดูจะต่างจากก่อนหน้านี้อย่างมากเพราะทั้ง ‘พลังเวทย์’ และ ‘พลังชีวิต’ ของมันในตอนนี้ต่ำมากและการที่มีพลังเวทย์ต่ำทำให้มันไม่สามารถรักษาตัวเองได้แต่การที่มันยังไม่ตายหลังจากที่โดนมาสารพัดก็ขอชื่นชมว่าอึดตายยากของแท้สาเหตุน่าจะมาจากสัญชาตญาณในตัวมันสั่งให้สู้จนถึงวินาทีสุดท้าย
       มันใช้ขาใบเลื่อยของมันฟันในแนวนอนโชคดีที่ชิโอริรอดได้อย่างหวุดหวิดจากความช่วยเหลือจากยูกะแต่ก็มีคนที่หลบไม่ทันอยู่นั้นก็คือ...ฮิโรชิเจ้าเก่านั้นเองโชคดีที่รอบนี้ในตอนที่สคารับจ้องมันไม่ได้เกิดแอ่งน้ำเพิ่มขึ้นอีกบางที่อาจจะ ‘ปล่อยออกมาหมดแล้ว?’ แต่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีมันก็ไม่สามารถหลบได้แน่ถ้าตัวยังสั่นอยู่อย่างนั้น
       ...แต่ความจริงแล้วแรงของสคารับในตอนนี้ถือว่า ‘น้อยมาก’ สังเกตุได้จากเสียงร้องมันและการเซไปเซมาของมันนั้นไม่ต่างจากอาการ ‘ใกล้ตาย’ แล้วฉะนั้นถ้าเป็นตอนนี้ต่อให้จะเป็นแค่ทหารปกติก็สามารถหยุดแรงขาของมันได้ถ้าไม่ถูกรอยหยักของมัน  แต่ฮิโรชิมันดันโอเวอร์แอคติ้งไปเองเพราะคิดว่า ‘ถ้าแกล้งตายอาจจะรอด’ เพราะด้วยเหตุผลนั้นหลังจากที่มันลอยไปไกลพอสมควรมันก็นอนแกล้งตายทันที
       แต่เพราะการทำอย่างนั้นทำให้ทุกคนสิ้นหวังหนักยิ่งกว่าเดิมเพราะว่าตอนนี้ไม่มีใครที่เป็นความหวังในการหยุดยั้งสคารับอีกแล้ว  แต่คนที่เจ็บใจที่สุดคืออลิเซียที่กำลังทุบกำแพงอย่างรุนแรงและพูดเจ็บใจออกมาเพราะว่านอกจากเธอจะไม่สามารถทำอะไรมันได้แล้วยังไม่สามารถเข้าไปช่วยได้อีก
“ชิโอริใจเย็นก่อนนะตอนนี้เราควร...”
“หนีเหรอ?! แล้วยูคิคุงละ?!...”
“เรื่องนั้น อึก!...”
“ยูกะจัง!!!”
“หนีไปซะชิโอริ...”
“ต...แต่ว่า...”
“ฉันบอกให้หนีไปไม่ได้ยินเหรอ!!!”
“ย...ยูกะจัง...”
‘อ้า...รีบๆหน่อยก็ดีนะชิโอริ...สติมัน’
       ยูกะที่พยายามประคองชิโอริด้วยแขนข้างเดียวพยายามบอกให้ชิโอริหนีไปแต่เพราะชิโอริในตอนนี้อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเข้าใจถึงมันได้แต่ยูกะเองก็มีเวลาไม่มากพอทั้งความเจ็บปวดและสติมันไม่ได้อำนวยแบบนั้นเธอจึงคิดจะถ่วงเวลาให้เธอหนีไปซะ  แต่ชิโอริก็ยังคงเหมือนเดิมยูกะเลยจำเป็นที่จะต้องใช้ไม้แข็งเพราะเธอไม่ต้องการให้เพื่อนรักของเธอต้องตายและแน่นอนว่าหลังจากที่ทุกอย่างจบเธอก็ตั้งใจจะไปขอโทษถ้ารอดไปได้ละนะ
       ชิโอริในตอนนี้สับสนเป็นอย่างมากความคิดนั้นไม่เป็นระเบียบเหมือนกับหนังสือที่กระจายไปทั่วห้องจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนหลังดี  ตัวเธอที่ไม่ต้องการให้คนสำคัญต้องตาย ‘ต้องทำยังไง’ นั้นคือสิ่งที่ชิโอริคิดโดยลืมสิ่งที่ควรทำที่สุดไปและได้แต่นั่งมองเพื่อนรักที่ยืนหยัดอย่างกล้าหาญเผชิญหน้ากับอสูรกายทั้งที่ตัวเองก็บาดเจ็บแต่ตัวเธอกลับทำได้แค่มองไม่ต่างอะไรจากก่อนหน้านี้และมันก็จะเป็นบทเรียนที่สำคัญของชิโอริในอนาคตอันใกล้
       สคารับที่ดูยังไงก็เหมือนกับจะพูดว่า ‘ไม่ไหวล้าว~!’ ก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามจะใช้เขา ‘เสียบทะลุร่างยูกะ’ ยูกะที่ตอนนี้ไม่สามารถขยับได้แม้แต่ก้าวเดียวและต่อให้มันจะพุ่งมาช้าแค่ไหนผลลัพธ์ที่เธอคาดไว้ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงและก็ทำได้แค่จ้องมองสคารับที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆพร้อมกับเขาของมันในระหว่างนั้นเธอก็พยายามใช้เวลาอย่างคุ้มค่าเหมือนกับอลิเซียอีกคน
       ‘ซวบ’เสียงที่ดังขึ้นนั้นช่วยให้ภาพที่เคยพร่ามั่วกลับมาชัดเจน  เสียงที่เคยดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมาก็หยุดลงกระทันหัน  สติที่เคยเลือนลางเริ่มกลับมาชัดเจนขึ้นเรื่อยเมื่อพยายามรับรู้ถึงประสาทสัมผัสทั้งหาแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความรู้สึกแปลกที่ไม่ควรมี ‘เขา’ มาเสียบทะลุท้อง  และถ้าจะให้ขยายความขึ้นอีกคนที่มารับการโจมตีก็คือเซทสึนั้นเอง!!!
“อึก...”
       เซทสึที่รู้แล้วว่าตัวเองมีเขาเสียบอยู่ที่ท้องและอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แต่สิ่งที่เขาประหลาดใจมากที่สุดคือการที่ตัวเองแทบจะไม่ส่งเสียงร้องออกมาและไม่รู้สึกเจ็บอย่างที่คิดไว้ก็ทำให้เขาเผลอคิดว่า ‘หรือว่าเราตายแล้ว?’
“ยูคิคุง!”
       เสียงที่ดังขึ้นเป็นการบ่งบอกว่าเขาน่าจะยังไม่ตายแล้วเมื่อคิดได้อย่างนั้นเขาเลยหันไปหาเจ้าของเสียงก็พบกับชิโอริแต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือสีหน้าของชิโอริที่ปกติจะมีแต่รอยยิ้มและความอบอุ่นบนใบหน้ากลับทำสีหน้าอมทุข์อย่างมากและเหมือนจะมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่เล็กน้อย
       ด้วยสาเหตุบางอย่างทำให้เซทสึที่หัวใจควรจะหยุดเต้นไปแล้วกลับมาเต้นอีกครั้ง  ถ้าให้พูดถึงสาเหตุก็คงต้องขอขอบคุณความพยายามตั้งแต่ชั้นที่ 25 มาถึง ณ ปัจจุบันเพราะความจริงสาเหตุที่ไม่สามารถชีพจรได้ไม่ได้หมายความว่าตายแต่แค่ ‘ชีพจรอ่อนมาก’ อ่อนขนาดเวทย์ยังตรวจจับไม่ได้ที่เดียวแต่แน่นอนว่าถ้าชิโอริไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่างเซทสึคงไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้งเพราะว่าถ้าเป็นที่โลกเดิมการจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์คงต้องเป็นหมอระดับต้นๆและก็ไม่แน่ว่าหมอคนนะจะยังสามารถยื้อชีวิตเซทสึที่โดนไปตั้งขนาดนั้นได้รึเปล่าด้วยแต่ถึงชิโอริจะคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไร้ผลแต่สาเหตุที่เขารอดได้ก็เพราะเธออยู่ดี  แต่เพราะว่าต่อให้ใช้เวทย์ไปตั้งขนาดนั้นแต่เซทสึกลับไม่รู้สึกตัวทันทีหรือแม้แต่การที่จู่ๆเขาก็พุ่งมารับการโจมตีแทนนั้นมีเหตุผลอยู่
       ความจริงแล้วชิโอริที่ช่วยเซทสึไว้นั้นจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแต่เหตุผลหลักที่เขารอดก็คือ ‘ร่างกายของเซทสึนั้นมีภูมิต้านทานที่ไม่ธรรมดา’ ถ้าอธิบายในหลักของร่างกายคือร่างกายเกิดการ ‘ปรับตัว’ ทำให้สามารถร่างกายทนกับสถานการณ์ ‘ใกล้ตาย’ ได้ดี  ส่วนเหตุผลที่เขาพุ่งเข้าไปรับการโจมตีแม้แต่เซทสึก็ยังไม่เข้าใจในตัวเองเพราะว่าความจริงแล้วตราทาสถูก ‘ลบล้างไปแล้ว!’
       มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความรับของตราทาสนั้นคือสามารถ ‘ลบล้างได้’ แต่มันไม่ใช้สิ่งที่ทำได้อย่างง่ายๆเพราะถ้าทำได้ง่ายๆคงไม่มีทาสอยู่บนโลกใบนี้  ส่วนวิธีการนั้นมีอยู่หลายแบบแต่หลักๆคือ ‘เจ้านายเป็นคนปลดปล่อย’ กับ ‘เวทย์ที่สามารถลบล้างได้’ ส่วนของเซทสึน่าจะเป็นอันหลังเพราะเขาได้รับเวทย์ระดับสูงของชิโอริเข้าไปแต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดเพราะว่าคนที่คิดเวทย์นี้ขึ้นได้ทำสิ่งที่เรียกว่า ‘ทางเลือกฉุกเฉิน’ คือถ้า ‘ตัวทาสปล่อยพลังเวทย์ใส่ตราจะสามารถลบล้างได้’ เหตุผลคือในกรณี ‘ถูกบังคับเป็นทาส’ และ ‘กรณีเจ้านายตายแต่ได้สั่งคำสั่งเอาไว้ทำให้ไม่สามารถหนีได้’ ด้วยเหตุนั้นเวทย์ระดับสูงของชิโอริบวกกับพลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของเซทสึทำให้สามารถลบล้างตราได้  เรียกได้ว่าชิโอริสามารถใช้พลังเวทย์เดียวได้ประโยชน์ถึง 2
       แต่ด้วยทั้งหมดทั้งมวลก็อย่างที่กล่าวไปว่า ‘เซทสึเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างกายถึงพุ่งไปรับการโจมตี?’
“!!!อึก...บ้า...เอ๊ย”
       ในตอนที่เซทสึเห็นหน้ายังงั้นของชิโอริเขาก็พยายามยิ้มให้เธอเห็นถึงแม้ว่าจะยังมีหมวกเกราะอยู่เพราะเขาคิดว่าคนที่ชอบเป็นห่วงคนอื่นอย่างชิโอริคงจะเป็นห่วงเขาเลยพยายามแสดงออกว่า ‘ไม่เป็นไร’  แต่เจ้าของเขาก็ไม่ยอมให้เซทสึที่ยังไม่สิ้นลมหายใจได้มีชีวิตต่ออีกจึงยกตัวของเซทสึขึ้นทำให้หมวกเกราะที่ถูกใส่อย่างหลวมๆหลุดออกมาเผยให้เห็นเลือดปริมาณมากไหลออกมาจากปาก
       เซทสึรับรู้ได้ทันทีจากส่วนลึกในสมองว่า ‘เขาไม่มีทางรอดแน่นอน’ เพราะว่านอกจากจะมีฤทธิ์จากบาดแผลและอาการขาดเลือดแล้วยังมีฤทธิ์ของยาพิษที่เขารับรู้ได้จากการที่มันยังไหลเวียนไปทั่วร่างกาย  เขาเลยตัดสินใจอย่างแน่วแน่และเงื้อมือไปจับดาบที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองแบกไว้ตลอด
       ตัวดาบนั้นไม่ได้มีความสวยงามเหมือนกับดาบศักสิทธิ์แต่กลับมีภาพลักษณ์ที่ดู ‘ดุดัน’ และ ‘ป่าเถื่อน’ เพราะแค่ความยาวของดาบก็เกือบสูงเท่ากับตัวของเซทสึที่สูง 170 ซม.แล้วคงไม่ต้องพูกถึงความกว้างและน้ำหนักของดาบที่เซทสึต้องใช้ถึง 2 มือในการประคองมันไว้
       แล้วเขาก็หันไปมองรอบๆแต่ชิโอริในตอนนี้กลับมีสีหน้าที่หนักกว่าเดิมและเหมือนพยายามจะทำอะไรสักอย่างเซทสึพยายามยิ้มอย่างเต็มที่ให้กับเธอแต่ทั้งความเจ็บปวดและอาการชาที่แล่นขึ้นมาทำให้มันดูไม่เหมือนยิ้มนัก
       เซทสึมองไปรอบๆอีกครั้งแล้วพูดว่า...
“ขอบคุณ...ลาก่อน”
‘ตู้มมม!!!’
“ฟี๊ดดด!!!”
‘อ้า~จบแล้วสิ...นะ’
       หลังจากที่เซทสึกล่าวคำอำลาเสร็จเขาก็เพ่งสมาธิไปที่สคารับในจังหวะนั้นจู่ตัวเขาก็สามารถใช้สกิล ‘เบอร์เซิร์ก’ ได้แสงสีแดงได้มาปกคลุมร่างกายอีกครั้งเขาพยายามจะใส่พลังทั้งหมดลงในดาบเล่มนี้แต่ระยะห่างระหว่างเซทสึกับสคารับยังห่างเกินไป  เซทสึไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวจับเขาของสคารับและดันตัวเองไปจนถึงโค่นเขาทำให้เลือดไหลออกมามากกว่าเดิมและหลังจากที่เขาดันตัวเองเสร็จแสงสีแดงก็ยิ่งมีสีเข้มขึ้นด้วยผลจากสกิลเขาใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อจบชีวิตของมัน
       หลังจากที่เซทสึฟันมันก็เกิดเสียงดังคล้ายระเบิดขึ้นแต่ด้วยแรงกดของเซทสึทำให้พื้นที่มีแตกอยู่แล้วขยายยิ่งขึ้นจนในที่สุดก็ค่อยๆพังลงเสียงของสคารับที่ค่อยๆแผ่วเบาลงตามระยะห่างระหว่างสะพานกับเหวลึกเป็รสิ่งที่บอกถึงการจากไปของมันและเซทสึได้อย่างดี  และความคิดที่เหมือนได้รับการปลดปล่อยของเขาคือสิ่งสุดท้ายก่อนที่เขาจะตกลงสู่ ‘นรก’
       “กรี๊ดดดดดด!!!!!” เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้ทุกคนตกใจและหันไปหาเจ้าของเสียง  เสียงนั้นบ่งบอกถึงอารมณ์ที่หลากหลายจนแม้แต่เจ้าตัวยังไม่สามารถอธิบายได้ ‘ความเศร้า’ ‘ความเสียใจ’ ‘การสูญเสีย’ และ ‘ไม่มีทางหวนกลับมา’ คงจะเป็นการอธิบายของหญิงสาวที่เคยพยายามจะห้ามน้ำตาของตัวเองเพราะว่าถ้าไม่ห้ามมันเอาไว้มันเกิดภาพดั้งที่เธอคาดไว้...
       แม้ว่าจะพยายามกลั้นน้ำตาแค่ไหลมันก็ไหลออกมาไม่หยุดเหมือนดั้งน้ำตกที่ไม่มีวันหยุดไหล  แม้ว่าจะพยายามห้ามเสียงและความรู้สึกไว้มากแค่ไหนสุดท้ายมันก็ปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิดและด้วยสิ่งเหล่านนั้นทำให้เธอชิโอริไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองชายคนหนึ่งที่ร่วงลงสู่นรกโดยที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้อีกครั้งทั้งน้ำตาและเสียงที่เหมือนจะดังไม่มีสิ้นสุด
“ปล่อยนะ! ยูกะจัง!..ป...ปล่อยนะ...ฮึก...ฮืออออ...”
“ใจเย็นก่อนะชิโอริ...ใจเย็...”
‘ตุบ’
“ยูกะจัง!...”
“อ้า...ฉันไม่เป็นไรหรอก  ชิโอริเธอทำดีที่สุดแล้วพักเถอะนะ...”
“ฮึก...ฮืออออ...”
       ชิโอริที่กำลังจะกระโดดลงไปในเหวอีกคนก็โดนยูกะกอดเอาไว้จากข้างหลังแม้ว่ายูกะจะยังมีสภาพไม่ต่างจากก่อนหน้านี้แต่ตัวเธอก็ไม่ยอมให้เพื่อนรักของเธอคิดสั้นแน่ๆ  แต่ความจริงต่อให้ยูกะจะพยายามแค่ไหนแต่ถ้าชิโอริอย่ชากจะทำจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำแต่ด้วยความอบอุ่นจากการกอดและฝ่ามือของเพื่อนรักทำให้สามารถยับยั้งชิโอริได้และเข้ามากอดยูกะแล้วเอาหน้าซุกหน้าอกของยูกะและร้องไห้ออกมา  แต่เพราะยูกะนั้นอยู่ในสภาพเหนื่อยสุดๆจึงล้มลงไปกับพื้นทั้งที่ลูบหัวชิโอริอยู่ทำให้คนที่มีอาชีพฮีลเลอร์รีบวิ่งมาดูอาการทันทีแต่ยูกะรีบยกมือบอกว่า ‘ไม่เป็นไรแต่ตอนนี้ถอยออกไปก่อนนะ’ คนๆนั้นรับรู้ความหมายได้อย่างดีจึงค่อยๆถอยออกมาเพราะการรักษาในบางครั้งจำเป็นที่จะต้อง ‘ให้คนที่สนิทกันรักษากันเอง’ ยูกะที่ลูบหัวของชิดอริอย่างแผ่วเบาและกระซิบข้างหูในสภาพที่ยังนอนอยู่ทำให้เกิดเป็นภาพที่ทุกคนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
       สุดท้ายทั้งชิโอริและยูกะก็สลบไปด้วยอาการเหนื่อยล้าทั้งคู่  ส่วนคนที่ได้สติกันหรือยังมีแรงเหลืออยู่ก็พยายามช่วยเหลือคนอื่นๆกันอย่างเต็มที่สุดท้ายทุกคนก็ต้องช่วยกันพยุงอีกคนหนึ่งไปสู่ประตูที่เปิดออกหลังจากวงเวทย์หายไปหลังจากสคารับหายไป
       เมื่อผ่านประตูมา ณ ตรงนั้นก็ได้พบกับโครงกระดูกที่ยีงหลงเหลือเสื้อผ้าอยู่แต่กลับไม่พบกระดูกขาทั้งสองข้างและแขนขวาแล้วเมื่อพยายามสำรวจกระดูกก็พบเข้ากับ ‘สมุดบันทึกของอาลอซ’ ซึ่งเป็นชื่อของนักเวทย์ที่สามารถใช้เวทย์ ‘เคลื่อนย้าย’ ที่เป็นที่รู้จักในชื่อ ‘จอมเวทย์อัจฉริยะ’ และเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนักผจญภัยขั้นสีทอง 30 คนอีกด้วยแล้วนี้คือเนื้อหาหน้าสุดท้ายของสมุด
       ข้าไม่รู้ว่าข้าอยู่ตรงนี้มากี่วันแล้ว...ตอนนี้เลือดที่ขาและแขนของข้าจากการใช้เวทย์เคลื่อนย้ายหยุดแล้วแต่สิ่งที่มาแทนที่กลับเป็นความเจ็บปวดที่ข้าไม่อาจทนได้  ภาพในวันนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในสมองของข้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นที่ไม่สะทกสะท้านต่อเวทย์ของข้า  ภาพที่ทุกคนกำลังตายไปที่ละคนสองคนทั้งที่พยายามแล้วแท้ๆ  ตัวข้าที่รักในชีวิตและหยิ่งพยองในพลังก็คิดว่าข้าคือคนสำคัญก็ได้ย้ายตัวเองมาหลังวงเวทย์บ้าๆนี้...ช่างหน้าขำเสียจริงตัวข้าที่ไร้ซึ้งแขนขวาและขาทั้ง 2 ข้างได้แต่นั่งมองเพื่อนของข้าตายไปและกลับคิดว่า ‘โชคดีจริงๆที่รอดมาได้’ มันกลับย้อนกลายเป็นฝันร้ายที่ทำให้ข้าไม่สามารถหลับตาลงได้  พอเวลาผ่านไปตัวข้าที่พยายามไขว้ขว้า ‘ความอยู่รอด’ ก็ได้ประจักษ์ถึงความเป็นจริงว่า ณ เบื้องหน้านั้นมีวงเวทย์ที่ซับซ้อนที่สุดตั้งแต่ที่ข้าได้เกิดมาและต่อให้ตัวข้าจะสามารถไขปริศนานี้ได้แต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังวงเวทย์กลับตอกย้ำความจริงต่อข้าอย่างที่เจ้าเห็นข้างหน้าเจ้าคือแร่ที่แข็งแกร่งที่สุด ‘ดิเซียม’ ต่อให้ข้าจะใช้เวทย์ที่แรงที่ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้แข็งกว่าเปลือกสคารับด้วยซ้ำ  ตัวข้าในตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้แล้วอาหารหมดและน้ำไปตั้งไม่รู้กี่วันแล้วและความรู้สึกผิดต่อเพื่อนๆของข้าก็ยังไหลเวียนอยู่ในสมองเป็นความทรมาณที่ไม่จบสิ้นและสิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงแค่การไถ่บาปโดย ‘ส่งสมุดบันทึกมอนสเตอร์’ ที่ข้าศึกษามานานและก็ไม่เคยให้ใครดูแต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าข้าตายไป  สุดท้ายนี้ตัวข้าที่ไม่อาจจะย้อนเวลากลับไปได้ก็ขอให้ท่านผู้ที่เก็บสมุดนี้ได้โปรดอ่านและเข้าใจถึง ‘ความผิดพลาด’ ของข้าและโปรดส่งมอบบันทึกนี้แก่ ‘มาเรีย’ โปรดพระเจ้าคุมครองท่าน
อาลอซ
       เมลด์ที่หยิบสมุดเล่มนี้ขึ้นมาอ่านกับอลิเซียที่แบกเมลด์อยู่ก็ยืนนิ่งกันไปสักพักก่อนที่เมลด์จะหยิบบันทึกนั้นใส่กระเป๋าสะพายของตัวเองไว้(ไม่ได้สลบแต่แค่บาดเจ็บที่ขาจนไม่สามารถลุกขึ้นมาช่วยได้)และเดินหน้าต่อไปโดยเก็บกระดูกมาส่วนหนึ่งส่วนที่เหลือก็สั่งให้นำไปฝั่งไว้ในดิน
       เมื่อมาถึงวงเวทย์ที่อาลอซกล่าวเมลด์และอลิเซียก็ไม่รู้ว่ายังไงดีแต่อลิเซียลองโอนถ่ายพลังเวทย์ใส่แต่ในวินาทีนั้นจู่ก็มีพลังเวทย์ไหลสวนกลับมาใส่อลิเซียและพลังเวทย์นั้นก็เหมือนทำอะไรสักอย่างอยู่ภายในหัวอลิเซียจึงรีบดึงมือออกทันที  แต่เหมือนกระบวนการบางอย่างจะเสร็จสมบูรณ์แล้วเพราะวงเวทย์วงกลมที่ซ้อนทับกันไม่รู้กี่ชั้นวงนอกสุดค่อยๆเลือนตามเข็มนาฬิกาและหยุดลงเมื่อเลือนไปได้สักพักต่อด้วยวงลึกเขาไปอีกวนทวนเข็มนาฬิกาสลับไปเรื่อยๆจนถึงวงในสุดและเมื่อวงในสุดหยุดลงก็เกิดเสียง ‘กึก’ จากนั้นวงเวทย์ก็ส่องแสงสีขาวออกมามันมีระดับความเท่ากับก่อนหน้านี้
       พอลืมตาขึ้นมาก็ว่าตัวเองนั้นกลับมาที่ชั้นที่ 25 แล้ว! โชคยังดีที่ตรงนั้นมีนักผจญภัยอยู่พอดีเลยจ้างคุ้มกันไปจนถึงบนพื้นโลกเพราะตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่มีแรงพอที่จะสู้ได้อีกแล้ว
       เมื่อมาถึงพื้นโลกทุกคนต่างเข้าสวมกอดกันร้องไห้ดีใจกันยกใหญ่  ทางด้านเมลด์และอลิเซียก็ต้องแจ้งถึงเหตุการณ์และความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ที่คอยจดบันทึกเรื่องต่างในมหาวงกตแน่นอนว่าพอพนักงานได้ยินเรื่องอย่างว่าจึงวิ่งวุ่นไปคุยกับคนระดับสูงทันที่ทำให้ทุ้งคู่หลังจากที่พักฟื้นเสร็จคงไม่ได้นอนไปอีกสักพัก
       แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งเมลด์และอลิเซียต่าง ‘เสียใจ’ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเรื่องราวที่ทั้งคู่ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นตัวจริงของชายสวมชุดเกราะและการตายของของเซทสึ  เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ทั้ง 2 เริ่มเกิดคำถามกับตัวเองและรวมถึงคนอื่นๆในอนาคตที่จะเริ่มตั้งคำถามหลังจากที่ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติในอนาคตอันใกล้และการเยียวยาบาดแผลทางใจของหญิงสาวในอนาคตอันคาดไม่ถึง
*

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา