ถูกอัญเชิญไปต่างโลกด้วยความสามารถสุดเทพ
-
เขียนโดย CNS26
วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 21.50 น.
6 ตอน
0 วิจารณ์
6,808 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 20 มกราคม พ.ศ. 2562 11.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ต่างโลก และ แผ่นสเตตัส
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความจากผู้เขียน
ก่อนก็ต้องสวัสดีทุกๆคนที่มาอ่านเรื่องนี้ด้วยนะครับด้วยความที่ว่าผมเป็นนักเขียนหน้าใหม่และเพิ่งเคยเขียนและเพิ่งเคยใช้เว็บนี้ทำให้ยังงงๆกับอะไรหลายๆอย่าง แต่เรื่องสำคัญที่ผมอยากจะมาบอกคือจริงๆแล้วผมเขียนเรื่องนี้ใน DEK-D ไว้ก่อนแล้วแต่สาเหตุที่มาลงกับเว็บนี้เพราะต้องการหาความแตกต่างของแต่ละเว็บ(จริงๆคือเอาไปเขียนในเว็บนั้นแล้วยอดอ่านช่างต่ำเตี้ยติดดินจนอยากจะร้องไห้T T)ฉะนั้นถ้าสมมุติผมหายไปนานเป็นปีๆ(เป็นเดือนนี้เรื่องปกตินะครับ)ก็ขอให้เข้าใจโดยทั่วกันว่าผมเอาไปลงกับเว็บนั้นหรือไม่เกิดเลิกเขียนนิยายไป ดั่งนั้นขอให้เพลิดเพลินกับนิยายของผมครับและสุดท้าย 'เป็นเรื่องที่ผมเขียนครั้งแรกถ้ามีอะไรไม่ดีหรือผิดพลาดประการใดก็ช่วยเสนอแนะด้วยนะครับ ขอบคุณครับ'
*
ในตอนนี้เซทสึกำลังเอามือปิดหน้าเพราะแสงที่เข้ามาก่อนหน้านี้ทำให้กังวลว่าถ้าเผลอลืมตาอาจทำให้ดวงตาของเขาผล่ามัวได้
พอผ่านมาได้ซักพักเขาก็เริ่มได้ยินเสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมชั้น
“เหี้ย!!! ที่นี้มันที่ไหนวะ?!”
“รู้สึกว่าก่อนหน้านี้จะถูกแสงดูดเข้ามา?!”
“อะไรนะ?! งั้นไอนี้ก็คือไอนั้นเหรอ?”
“ ‘ต่างโลก’ นะเหรอ!!! พูดเป็นหนังการ์ตูนไปได้น้า”
“แต่ตอนนี้เราก็อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้?! หรือว่ามึงจะบอกว่าพวกเรากำลังฝันอยู่”
“อ้า~ ‘เอลฟ์’ ‘สาวหูสัตว์’ ‘เผ่าปีศาจ’ แหะๆ”
“เห้ยๆ! ตื่นเว้ยอย่าเพิ่งมโน”
เสียงอันวุ่นวายทำให้เขาลืมตาขึ้นมาเพราะคิดว่าคงปลอดภัยแล้ว พอเขาลืมตาขึ้นมาก็พบกับสิ่งที่ทำให้เขาเกือบเผลอหยุดหายใจ
เพราะว่าตอนนี้เขาอยู่ในตัววิหารสีขาวบริสุทธิ์ที่กว้างและใหญ่อย่างมาก ถ้าให้พูดก็คงมีความสูงประมาณตึก 10 ชั้น กว้างในระดับที่แค่มองไปที่สุดทางเดินก็จะเห็นแค่ประตูเล็กๆเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเสาอีกหลายสิบต้นตลอดทางเดินพรมแดงยาวแถมตัวเสายังประดับด้วยสีทองเป็นลวดลายที่สวยงามขนาบสองข้าง แถมรอบรอบๆวิหารยังมีการประดับตกแต่งมากมายแต่ที่มีลักษณะเด่นที่สุดคงจะเป็น ‘ภาพจิตกรรม’ บนเพดานที่สวยงามและใหญ่อย่างมาก รู้สึกว่าตัวภาพจิตกรรมจะบ่งบอกถึงเรื่องราว บางอย่างเพราะตัวภาพเองก็บุคคลปริศนาอยู่ด้วย แต่ที่เด่นที่สุดคงจะเป็นบุคคลที่อยู่เหนือหัวของพวกเขาเพราะว่าตัวใหญ่ที่สุดมีหมวกมาปิดบังแต่ก็ยังเปิดเผยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าเพราะตัวเซทสึรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆจากรอยยิ้มนั้น นอกจากนี้บุคคลยังสวมเสื้อผ้าสีขาวที่มีลวดลายสีทองที่มากกว่าบุคคลอื่น กำลังอ้าแขนทั้งสองข้างพร้อมรอยยิ้ม
ตอนนี้เขาอยู่ที่ใจกลางห้องที่มีเชิงเทียนล้อมเป็นวงกลมและมี ‘วงเวทย์’ อยู่ที่เท้า เมื่อเขามองไปรอบๆก็จะพบว่าคนที่อยู่ในห้องทั้งหมดอยู่ในห้องนี้ จากบทสนทนาและจากการที่เขามองดูรอบๆทำให้เขาสามารถสรุปได้อย่างเดียวนั้นคือ ‘ต่างโลก’ อย่างแน่นอน คงไม่ต้องพูดหรอกนะเพราะว่าสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างนี้ก็คงมีแต่พวกไม่เคยอ่านนิยายเท่านั้นแหละ
เมื่อเขากลับมาสังเกตดีๆจะพบกับบุคคลมากมายที่อยู่ข้างหน้ากำลังคุกเข่าก้มกราบอยู่ แต่หลังจากนั้นก็มีคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นและลุกขึ้นแล้ว ‘สาวก’ ก็ลุกขึ้นตามถ้าให้เดาคนที่ลุกขึ้นก่อนน่าจะเป็น ‘พระสันตปาปาของโบสถ์’ เพราะดูจากลักษณะโดยร่วมแล้วคิดว่าใช่แน่นอน ดูจากภายนอกแล้วคงมีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี เพราะมีหนวดเคลาเปิดเผยให้เห็นแต่ก็ไม่สามารถบอกว่าเป็นชายชราได้เพราะตัวเขานั้นยังยืนหลังตรงพร้อมกับท่าทางที่ไม่แสดงถึงความอ่อนแอออกมา แต่สิ่งที่ยืนยันที่สุดคงจะเป็นเสื้อผ้าที่มีลวดลายสีทองสลักเอาไว้อย่างสวยงาม มาพร้อมกับหมวกที่ไม่สูงมากที่มีลวดลายสีทองเช่นกัน ในมือถือคฑาสีทองเอาไว้ที่ปลายของมันมีวงกลมสีทองที่ซ้อนด้วยวงกลมสีทองขนาดเล็ก 4 วงเอาไว้และตรงกลางมีเหมือนกลับคริสตัลสีน้ำเงินขนาดเท่ากำปั้นอยู่
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทุกอย่างทำให้สามารถสรุปได้ 100% ว่าที่ๆพวกเขาคือ ‘ต่างโลก’ แน่นอนมันยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้น สำหรับเซทสึแล้วนั้นถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงเหมือน ‘ความฝัน’ เป็นจริงเพราะเขาเคยมโนถึงโลกที่เต็มไปด้วยดาบและเวทมนย์แต่เมื่อเขาโตขึ้นมาก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน มีหลายเหตุผลเหลือเกินให้กล่าวยังงี้ ข้อแรก มันต้องมี ‘ผลประโยชน์’ แน่นอนไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ตาม ข้อสองคือ พวกเรานั้นเปรียบเสมือน ‘แพะรับบาป’ เพราะมือต้องมาเปื้อนเลือดด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อความสงบสุขของมนุษย์?และเหตุผลอื่นๆอีกมากมาย
แต่ไม่ว่าอย่างไรแล้วทุกอย่างก็เพื่อ ‘ผลประโยชน์’ อยู่ดีเพราะว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความละโมภแตกต่างกัน เพราะว่าตัวเซทสึเองก็มีความละโมภเช่นกัน ด้วยทุกสิ่งอย่างที่ได้กล่าวไปทำให้เขาคิดว่าช่าง ‘เพ้อฝัน’ สิ้นดี
“ขอต้อนรับสู่ไทรัส ข้ามีนามว่า ‘อิชทาร์’ ข้าขอกล่าวต้อนรับท่าน ‘ผู้กอบกู้’ พวกท่านคงกำลังสับสนและกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นโปรดให้ข้านั้นได้นำพาพวกท่านไปที่ห้องรับประทานอาหารก่อนแล้วข้านั้นจะเริ่มเล่าทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับโลกใบนี้ให้ท่านได้ทราบและตอบทุกๆปัญหาที่พวกท่านสงสัย”
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากก็แค่เดินผ่านวิหารออกมาโดยมีทั้งสาวกและ ‘เมด’ ทำให้นักเรียนมีหน้าตาที่ทั้ง ‘ตกใจ’และ ‘ดีใจ’ อย่างมากและหลังออกจากวิหารก็พบกับทางเดินและสวนขนาดใหญ่และสุดทางเดินก็รู้สึกว่าจะเชื่อมกับตัวปราสาท ทำให้คิดได้ว่าวิหารนั้นอยู่ในพื้นที่ของปราสาท? ถ้าให้พูดถึงเหตุผลก็ไม่จำเป็นต้องพูดเพราะว่ามันสมเหตุสมผลอยู่แล้ว
หลังจากนั้นก็เดินเข้ามายังปราสาทและเดินต่อไปที่ห้องอาหาร ตัวห้องนั้นมีโต๊ะขนาดยาวและมีเก้าอี้เตรียมไว้ให้พร้อมแต่รู้สึกง่าจะมีเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะแค่ตัวเดียวน่าจะไว้สำหรับพระสันตปาปาโดยเฉพาะ
แล้วอิชทาร์ก็เชิญทุกคนนั่งที่เก้าอี้เพื่อที่จะเริ่มพูดคุยเรื่องราว ในระหว่างนั้นริวกับเซทสึก็จับคุยถึงเรื่องราวแต่ก็ไม่เหมือนกับกลุ่มอื่นที่กำลังคุยเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นอยู่
“งั้นขอข้อมูลด้วยค่ะ คุณอิชทาร์”
“งั้นข้าขอเริ่มต้นเรื่องจาก....”
หลังจากนั่งเก้าอี้แล้วก็ตามที่คาดการณ์ไว้อิชทาร์นั่งหัวโต๊ะ ต่อมาก็อาจารย์คิมูระและ ‘3 เทพของโรงเรียน’ คนอื่นๆก็นั่งเป็นกลุ่มๆไป คนที่เริ่มเปิดบทสนทนาก่อนคืออาจารย์คิมูระเพื่อที่จะได้เข้าใจสถานการณ์ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าอาจารย์ทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างมากตั้งแต่ที่มาปรากฎที่วิหาร
ถ้าเป็นปกติคงจะแสดงออกมาอย่างไม่ปกปิดแต่เพราะคิดว่าต้องมี ‘ข้อมูล’ ก่อนไม่งั้นก็คงไม่รู้จะเริ่มยังไง
จากนั้นอิชทาร์ก็เล่าเรื่องราวของโลกใบนี้โดยสรุปก็คือ ที่ๆพวกเราอยู่ตอนนี้คือ ‘ไทรัส’ และรู้สึกว่าจะเป็นชื่อของอาณาจักร ส่วนโลกก็ยังชื่อว่า ‘โลก’ เหมือนเดิม โลกนี้มีอยู่ ‘3เผ่าพันธุ์’ มี ‘เผ่ามนุษย์’ ‘เผ่าอมนุษย์’ และ ‘เผ่าปีศาจ’ โดย ‘เผ่ามนุษย์’ อยู่ส่วนเหนือ ‘เผ่าอมนุษย์’ อยู่ที่ทิศตะวันออก ‘เผ่าปีศาจ’ อยู่ที่ทิศใต้ ทำให้เกิดคำถามว่าทางทิศตะวันตกละ? เพราะถ้าดูจากแผ่นที่แล้วพื้นที่ตะวันตกดูเหมือนจะเป็นป่าอะไรสักอย่าง ส่วนคำตอบคือมันคือที่อยู่ของ ‘มอนสเตอร์’ มีชื่อว่าป่ามรณะเรื่องราวสถานะของทั้ง 3 เผ่าคือ อมนุษย์ประกาศตนว่าเป็นกลางในสงครามอยู่แต่ก็ไม่แน่เพราะเมื่อฟังจากคำพูดของอิชทาร์แล้วเหมือนจะมีการทำสงครามกันเร็วๆนี้ ส่วนสถานะของมนุษย์กับปีศาจก็ตามที่ทุกคนรู้คือ ‘สงคราม’ แถมรู้สึกว่าจะใกล้เข้ามาแล้ว จากเรื่อวราวทั้งหลายทำให้รู้ว่าที่โลกแห่งนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘มหาวงกต’ วึ่งในปัจจุบันมีการค้นพบ ‘5 แห่ง’ จากข่าวจากสายสืบทำให้รู้ว่าทั้ง ‘เผ่าปีศาจ’ และ ‘เผ่าอมนุษย์’ สามารถผ่าน ‘มหาวงกต’ และได้รับพลังอันเหนือธรรมชาติมาแต่ก็ยังไม่ทราบแน่ใจว่าทั้ง 2 เผ่าผ่านไปกี่ ‘มหาวงกต’ เพราะว่าข่าวนี้ก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว สิ่งที่พวกเขากังวลคือ ‘เผ่าปีศาจ’ เพราะตัวของ ‘เผ่าอมนุษย์’ ประกาศเป็นกลางในสงคราม พระเจ้าของโลกนี้มีนามว่า ‘ซีส’ เป็นเทพเจ้าที่มนุษย์ ‘นับถือ’ ซึ่งไม่อาจทนเฉยได้หากมนุษย์เกิดสงครามกับ ‘เผ่าปีศาจ’ เลยทำการอัญเชิญ ‘ผู้กอบกู้’ หรืออีกชื่อคือ ‘ผู้กล้า’ มาปกป้อง ‘มนุษยชาติ’
“ดังนั้นท่าน ‘ผู้กล้าจากต่างโลก’ โปรดช่วยเหลือ ‘มนุษยชาติ’ ชาติด้วยเถิด”
แล้วอิชทาร์ก็ก้มหัวลงขอร้อง ‘เหล่าผู้กล้าจากต่างโลก’ การที่เขาเป็นถึง ‘พระสันตปาปา’ แต่กลับยอมก้มหัวให้พวกเขานี้ถือว่าหมดหนทางจริงๆ
เมื่อฟังจบแล้วเซทสึก็คิดว่า ‘นี้มันพล็อตนิยายเก่าๆชัดๆ’ เพราะเรื่องราวก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยคือถ้าปีศาจประกาศสงครามกับมนุษย์แล้วคงมิอาจต้านทานได้ จึงได้เกิดคำถามว่า ‘มึงก็อยู่เฉยๆสิ?’ หรือ “มึงรู้จักคำว่า ‘เจรจาไหม?’ ” แต่ก็คงไม่อาจพูดได้ว่า ‘ทำได้’ เพราะมันก็มีประเภท ‘หัวรุนแรงอยู่ถมเถไป’ แต่มันก็ไม่ใช่ ‘ข้ออ้าง’ อยู่ดีเพราะมึงก็ไปขอความช่วยเหลือจาก ‘เผ่าอมนุษย์’ ก็ได้นิ?
แต่ว่ามันคงเป็นไป ‘ไม่ได้’ เพราะในระหว่างเล่ามันก็มีส่วนที่ ‘ไม่เกี่ยวข้อง’ กับน้ำเสียงที่แตกต่างกันไปทำให้รู้ว่าความจริงแล้ว ‘เผ่ามนุษย์’ น่าจะมีความ ‘เกลียดชัง’ บางอย่างกับทั้ง
2 เผ่าพันธุ์ จึงไม่อาจจะมีการเจรจาเกิดขึ้นได้
ถ้าเป็นตามความคิดของคนปกติคงจะตอบว่า “ไม่เอาด้วยหรอก!” หรือ “มันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?!” และผู้กล้าอย่างไดซึเกะก็จะลุกขึ้นและพูดจาปลุกใจทุกคนแล้วทุกคนก็จะคล้อยตามและตอบ ‘ตกลง’ กันในที่สุดแต่ความจริงนั้น
“แน่นอนครับ/ค่ะ!!!”
“ขอขอบคุณพวกท่านมากครับ”
ตอบในทันที่ก็นะสำหรับหลายๆคนก็คงจะเหมือนกับ ‘ฝันเป็นจริง’ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงต้องรีบคว้าเอาไว้เหมือนกับสุภาษิต ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’
ถึงตอนแรกนั้นอิชทาร์จะดูตกใจเล็กน้อยกับการตอบสนองอย่าง ‘รวดเร็ว’ แต่ก็ไม่แสดงออกมา
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะค่ะ? ไม่ทราบว่ามีวิธีส่งพวกเรา ‘กลับโลก’ ของพวกเราไหมค่ะ?”
“…”
“ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะข้านั้นคิดว่าพวกท่านทำภารกิจของพวกท่านเสร็จท่าน ‘ซีส’ จะต้องส่งพวกท่านกลับแน่นอนครับ”
รู้สึกว่าในตอนนี้นอกจากเซทสึแล้วยังมี ‘อาจารย์คิมูระ’ อีกด้วยรู้สึกว่าอาจารย์แกจะยังยอมรับไม่ได้กับการขอร้องที่ ‘เห็นแก่ตัว’ แต่เพราะนักเรียนนั้น ‘สัญญา’ ไปแล้วเลยต้องยอมรับและถามอย่างสุดท้ายเพื่อยืนยันทั้งๆที่ ‘รู้อยู่แล้ว’
ส่วนคำตอบกลับถูกต้องตามที่คิดไว้จนรู้สึกแย่ทั้งอาจารย์คิมูระและเซทสึ และถ้าถามถึงริวนั้นก็คงต้องตอบว่าเป็น ‘กลาง’ เพราะว่าตัวเขานั้นก็มีความฝันเป็นของตัวเองและการที่เขาเข้าใจ ‘ความจริง’ ของโลกใบนี้ทำให้เขาทั้งรู้สึก ‘ดีใจ’ และ ‘ผิดหวัง’ ในเวลาเดียวกัน
และถ้าถามถึง ‘3 เทพเจ้าของโรงเรียน’ นั้นก็ดูเหมือนว่าตัวไดซึเกะก็คงคิดไว้ว่าจะพูดปลุกใจทุกคนเหมือนกับในนิยาย(รู้หน้าที่ดี)แต่เพราะโดนเพื่อนร่วมชั้นตัดหน้าไปทำให้เขาต้อง ‘คล้อยตาม’ ไปส่วนยูกะและชิโอริก็คิดจะรับฟัง ‘เสียงส่วนมาก’ ก่อนค่อยตัดสินใจ และสุดท้ายก็ได้คำตอบเหมือนกับเสียงส่วนมากนั้นเอง
หลังจากนั้นอิชทาร์ก็ได้พาพวกเขาไปพบราชาตาม ‘เนื้อเรื่องเป๊ะ’ หลังจากเดินมาถึงหน้าประตูก็พบกับรูปปั้นอัศวิน 2 ยืนข้างๆประตูและชูดาบสูงเท่าอกในท่าเตรียม รูปปั้นทำออกมาดีในระดับที่ว่า ‘เหมือนคนเฝ้าประตูขนาดยักษ์’ แต่คงพูดออกมาไม่ได้เพราะว่าตรงรูปปั้นมี ‘คนจริงๆ’ ยืนท่าระเบีบบพักและนำหอกที่อยู่ในมือมาไขว้กันเพื่อกั้นไม่ให้คนผ่านง่ายๆ?
หลังจากนั้นก็เข้าพบ ‘ราชา’ ท่านมีพระนามว่า ‘อเล็กซานเดอร์ D วอเฮร์น’ ‘พระราชินี’ มีพระนามว่า ‘อิซซาเบล D วอเฮร์น’ และมี ‘พระธิดา’ นามว่า ‘โซเฟีย D วอเฮร์น’ และ ‘พระโอรส’ นามว่า ‘เกรซ D วอเฮร์น’ รู้สึว่าโซเฟียน่าจะเป็น ‘พี่สาว’ ส่วนเกรซเป็น ‘น้องชาย’
ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแค่องค์ราชาและราชวงศ์ก็ได้กล่าวขอบคุณเหล่าผู้กล้าที่จะมาปกป้องมนุษยชาติ และได้ทำการกำหนดการณ์ต่างๆแล้วออกคำสั่งให้ทหารและเมดนำพวกเขาไปที่ห้องพักที่ได้จัดเตรียมไว้ ถ้าให้บรรยายว่าภายในห้องมีลักษณะอย่างไร? ก็คงพูดได้แค่ว่าทุกคนที่ได้เห็นสภาพต่างเหม่อลอยไปไกลและได้แต่ลำพึงกับตัวเองว่า “นี้มันสวรรค์นี้หว่า?!”
ในตอนเช้าตอนนี้เหล่าผู้กล้าได้ทำการแต่งชุดฝึกซ้อมรบและพกดาบไว้ที่เอวและกำลังไปร่วมกันที่สนามฝึกที่ได้กำหนดไว้เมื่อวาน ที่ตรงนั้นมี ‘อัศวิน’ สองคนกำลังยืนรอพวกเขาอยู่
“มากันครบแล้วสินะ ตัวข้านั้นเป็นหัวหน้าอัศวินของอาณาจักรไทรัสมีชื่อว่า ‘เมลด์’ ข้าจะเป็นคนสอนเกี่ยวกับการต่อสู้ระยะประชิดให้พวกเจ้าเอง”
“ส่วนข้านั้นมีนามว่า ‘อลิเซีย’ เป็นหัวหน้าอัศวินเช่นกัน ข้ามีหน้าที่สอนเกี่ยวกับ ‘เวทมนย์’ ให้พวกท่าน”
หลังจากที่พวกเขาทุกคนได้มาร่วมตัวกันก็ได้เข้าแถวตอนลึก แล้วอัศวินที่อยู่ข้างหน้าจะมีชื่อว่า ‘เมลด์’ และ ‘อลิเซีย’ พวกเขาทั้ง 2 เป็นถึงผู้กองแต่กลับต้องมาสอนพวกเขาแสดงว่ามีเหตุผลสักอย่างแน่นอน
เมลด์ได้ทำการหันไปทางอัศวินที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยและเหมือนว่าจะส่งสัญญาณไปทางทางอัศวินที่ยืนร่วมตัวกันอยู่ แล้วอัศวินเหล่านั้นก็พยักหน้าและส่งสัญญาณต่อแล้วก็เดินมาพร้อมกับกล้องหลายกล่อง
“เอาละ สิ่งที่ฉันจะแจกก็คือ ‘แผ่นสเตตัส’ มันมีประโยชน์อย่างมากเลยละ สามารถไว้ใช้ยืนยันตัวตนได้ และมันยังบอกสิ่งจำเป็นต่างๆ”
“สิ่งที่จะแสดงบนแผ่นสเตตัสคือ ‘ชื่อ’,‘เพศ’,‘อายุ’,‘เลเวล’,‘อาชีพที่เหมาะสม’,‘พลังโจมตี’ ‘พลังชีวิต’,‘พลังป้องกัน’,‘ความคล่องแคล่ว’,‘พลังเวท’,‘พลังป้องกันเวท’ และ ‘สกิล’ ที่พวกท่านมี”
ในระหว่างบอกข้อมูลของแผ่นสเตตัสอัศวินก็ได้ทำการแจกแผ่นสเตตัสพร้อมกับเข็ม 1 เล่ม ให้กับทุกคน รู้สึกว่าแผ่นสเตตัสจะแสดงทุกอย่างที่สามารถคาดเดาไว้ได้อยู่แล้วแต่ก็ยังมีอยู่หลายคนที่อดตื่นเต้นไม่ได้กับการที่ตัวเองจะรู้ค่า ‘สเตตัส’ ของตัวเอง
“ขั้นแรกก็ต้องลงทะเบียนการใช้ โดยการนำเข็มที่ได้จิ้มไปที่นิ้วแล้วนำเลือดไปป้ายที่แผ่นสเตตัสเท่านี้ก็เป็นการลงทะเบียนการถือครองแล้ว”
“สิ่งแรกที่จะปรากฏคือ ‘สี’ ซึ่งมันอาจแสดงถึง ‘ธาตุที่เหมาะสม’ ‘อาชีพที่เหมาะสม’ แต่พวกข้าคงไม่สามารถอธิบายหลักการทำงานและวิธีการผลิตได้เนื่องจากมันคือ ‘อาร์ติเฟ็กซ์’ หรืออีกชื่อคือ ‘วัตถุโบราณ’ ที่ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัย ‘ยุคแห่งเทพเจ้า’ ในปัจจุบันโบสถ์เป็นผู้สร้างของชิ้นนี้ขึ้น”
หลังจากฟังเรื่องราวต่างๆเซทสึก็ได้นำเข็มมาจิ้มนิ้วและเอาเลือดมาป้ายที่แผ่นสเตตัส และสีที่ได้ปรากฏออกมาคือสี ‘แดง’ และ ‘ดำ’ จากนั้นก็แสดงค่าสเตตัสออกมา
ชื่อ : ยูคิ เซทสึ เพศ : ชาย
อายุ : 17 ปี เลเวล : 1 อาชีพที่เหมาะสม : นักดาบ
พลังโจมตี : 10
พลังชีวิต : 10
พลังป้องกัน : 10
ความคล่องแคล้ว : 10
พลังเวท : 10
พลังป้องกันเวท : 10 สกิล : เบอร์เซิร์ก,เข้าใจภาษา
ถึงอาชีพที่ได้จะดีสำหรับเซทสึแต่แค่ดูก็รู้ว่าค่าสเตตัสอย่างนี้มัน ‘ห่วย’ แถมสกิลที่มีก็ไม่ต่างจากนิยายสักเรื่องแค่ต่างกันที่สกิลที่มีนั้นชื่อมันบ่งบอกถึงลางไม่ดีบางอย่าง
จากนั้นเมลด์ก็ได้บอกให้ทำการแจ้งค่าสเตตัสออกมาแบบ ‘รายบุคคล’ แต่เพราะเป็นข้อมูลส่วนตัวเลยให้เอามาให้แล้วอัศวินจะบันทึกให้ แถมยังมีการฝากรอยแผล ‘เล็กๆ’ ให้กับใครบางคนอีกด้วย
“เอาละ หลังจากที่ลงทะเบียนเสร็จให้ทำการเอามาให้กับอัศวินคนนั้น อ้อ! แล้วก็ค่าสถานะ ‘ทั่วไปของมนุษย์’ คือ 10 นะสำหรับพวกเจ้าคงจะสูงกว่าตั้ง ‘หลายเท่า’ เลยละนะ ขอดูว่าจะจริงรึปล่าวหน่อยละกันนะ”
‘กูขอตายดีกว่า’ นั้นคือสิ่งที่คนๆหนึ่งบ่นกับตัวเองในใจ และนี้คือค่าสเตตัสตัวอย่างหลายๆคน
หลังจากนั้นก็มีการต่อแถวไปบอกสเตตัสของแต่ละคนซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มแรกต้องเป็น 3 เทพของโรงเรียน ส่วนคนแรกคือไดซึเกะส่วนปฏิกิริยาของอัศวินคือ
“น...นี้มัน ‘100’ ทุกค่า!!! แถมสกิลพวกนี้มัน!!!”
ชื่อ : ทาคากิ ไดซึเกะ เพศ : ชาย
อายุ : 17 เลเวล : 1 อาชีพที่เหมาะสม : ผู้กล้า
พลังโจมตี : 100
พลังชีวิต : 100
พลังป้องกัน : 100
ความคล่องแคล้ว : 100
พลังเวท : 100
พลังป้องกันเวท : 100 สกิล : เหมาะกับทุกธาตุ,ต้านทานเวทมนย์ทุกธาตุ,ต้านทานการโจมตีทางกายภาพ,การฟัน,พละกำลังแขน,อ่านการโจมตีศัตรู,ฟื้นฟูพลังเวทเร็ว,ตรวจจับศัตรู,ตรวจจับเวทย์,ปล่อยท่าพิเศษ,เข้าใจภาษา
“โอ้!!! แข็งแกร่งประมาณ 1 ใน 3 ของข้าเหรอไอ้หนูลองกับข้าสักตาไหม?”
“หยุดเลยนะเมลด์!!! นี้อย่าบอกนะว่าเจ้าจะสู้จริง!!! เจ้าเป็นถึง ‘หัวหน้า’ นะ”
“เฮ้อ ข้ารู้แล้วน่าอลิเซีย~”
หลังจากที่ผู้กองเมลด์เล่นมุก? พวกคนที่เหลือก็เริ่มมาเข้าแถวด้วย ทุกครั้งที่อัศวินได้เห็นค่าสเตตัสของเพื่อนร่วมชั้นแล้วก็พากันตกตะลึงกับค่าสเตตัสที่แม้จะไม่เท่าไดซึเกะแต่ก็มีค่าที่สูงกว่าพวกเขาที่ฝึกกันไปอย่างสบายๆ พวกเขาก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆกับความเป็นจริงที่ไม่เป็นธรรมเลย
ถ้าถามถึงเซทสึแน่นอนว่าเขาต้องมาเข้าแถวอยู่แล้วเพราะไม่ว่าอย่างไรเข้าก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าถามว่าเขาอยู่ส่วนไหนนั้นคงต้องบอกว่าอยู่กลางๆของแถวเพราะเขาคิดว่าถ้าอยู่หัวหรือท้ายอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้
แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นผิดถนัดเพราะไม่ว่าจะอยุ่ส่วนไหนของแถวก็ทำให้เหล่าอัศวินตกใจอยู่ดีเพราะลองนึกถึงคนที่เจอแต่สิ่งที่เหลือเชื่อมาตลอดแต่อยู่ดีๆก็มีคนธรรมดาโผล่มา...ความจริงก็ไม่ใช่อย่างนั้นสะที่เดียวเพราะว่ามันถือว่าไม่ปกติเลยสำหรับ ‘นักดาบ’ ที่เป็นสาย ‘ต่อสู้’ แต่กลับมีสเตตัสต่ำอย่างนี้เพราะโดยปกติแล้วก็คงมากกว่าคนปกติอยู่มากที่เดียว มันเลยทำให้เป็นเหตุของ ‘โชคชะตา’ ที่จะเปลี่ยนไปตลอดกาล
“ห๊ะ!!!? เดียวๆนี้ข้าดูผิดรึปล่าวรู้สึกว่า...”
“ส...ส...10ทุกอย่าง!!!”
ในตอนแรกทุกคนต่างตกใจกับคำพูดของอัศวินคนนั้นเพราะคิดว่า “ร...หรือว่าอยู่ในระดับเดียวกับ ‘ผู้กล้า’ ?!!!” แต่หลังจากนั้นสายตาที่มองเซทสึก็เปลี่ยนไป “เฮ้อ...สุดท้ายก็ไม่รอดสินะ?” มันเป็นเสียงบ่นของคนๆหนึ่งที่มี ‘ชะตาอันโหดร้าย’ รอเขาอยู่
*
ก่อนก็ต้องสวัสดีทุกๆคนที่มาอ่านเรื่องนี้ด้วยนะครับด้วยความที่ว่าผมเป็นนักเขียนหน้าใหม่และเพิ่งเคยเขียนและเพิ่งเคยใช้เว็บนี้ทำให้ยังงงๆกับอะไรหลายๆอย่าง แต่เรื่องสำคัญที่ผมอยากจะมาบอกคือจริงๆแล้วผมเขียนเรื่องนี้ใน DEK-D ไว้ก่อนแล้วแต่สาเหตุที่มาลงกับเว็บนี้เพราะต้องการหาความแตกต่างของแต่ละเว็บ(จริงๆคือเอาไปเขียนในเว็บนั้นแล้วยอดอ่านช่างต่ำเตี้ยติดดินจนอยากจะร้องไห้T T)ฉะนั้นถ้าสมมุติผมหายไปนานเป็นปีๆ(เป็นเดือนนี้เรื่องปกตินะครับ)ก็ขอให้เข้าใจโดยทั่วกันว่าผมเอาไปลงกับเว็บนั้นหรือไม่เกิดเลิกเขียนนิยายไป ดั่งนั้นขอให้เพลิดเพลินกับนิยายของผมครับและสุดท้าย 'เป็นเรื่องที่ผมเขียนครั้งแรกถ้ามีอะไรไม่ดีหรือผิดพลาดประการใดก็ช่วยเสนอแนะด้วยนะครับ ขอบคุณครับ'
*
ในตอนนี้เซทสึกำลังเอามือปิดหน้าเพราะแสงที่เข้ามาก่อนหน้านี้ทำให้กังวลว่าถ้าเผลอลืมตาอาจทำให้ดวงตาของเขาผล่ามัวได้
พอผ่านมาได้ซักพักเขาก็เริ่มได้ยินเสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมชั้น
“เหี้ย!!! ที่นี้มันที่ไหนวะ?!”
“รู้สึกว่าก่อนหน้านี้จะถูกแสงดูดเข้ามา?!”
“อะไรนะ?! งั้นไอนี้ก็คือไอนั้นเหรอ?”
“ ‘ต่างโลก’ นะเหรอ!!! พูดเป็นหนังการ์ตูนไปได้น้า”
“แต่ตอนนี้เราก็อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้?! หรือว่ามึงจะบอกว่าพวกเรากำลังฝันอยู่”
“อ้า~ ‘เอลฟ์’ ‘สาวหูสัตว์’ ‘เผ่าปีศาจ’ แหะๆ”
“เห้ยๆ! ตื่นเว้ยอย่าเพิ่งมโน”
เสียงอันวุ่นวายทำให้เขาลืมตาขึ้นมาเพราะคิดว่าคงปลอดภัยแล้ว พอเขาลืมตาขึ้นมาก็พบกับสิ่งที่ทำให้เขาเกือบเผลอหยุดหายใจ
เพราะว่าตอนนี้เขาอยู่ในตัววิหารสีขาวบริสุทธิ์ที่กว้างและใหญ่อย่างมาก ถ้าให้พูดก็คงมีความสูงประมาณตึก 10 ชั้น กว้างในระดับที่แค่มองไปที่สุดทางเดินก็จะเห็นแค่ประตูเล็กๆเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเสาอีกหลายสิบต้นตลอดทางเดินพรมแดงยาวแถมตัวเสายังประดับด้วยสีทองเป็นลวดลายที่สวยงามขนาบสองข้าง แถมรอบรอบๆวิหารยังมีการประดับตกแต่งมากมายแต่ที่มีลักษณะเด่นที่สุดคงจะเป็น ‘ภาพจิตกรรม’ บนเพดานที่สวยงามและใหญ่อย่างมาก รู้สึกว่าตัวภาพจิตกรรมจะบ่งบอกถึงเรื่องราว บางอย่างเพราะตัวภาพเองก็บุคคลปริศนาอยู่ด้วย แต่ที่เด่นที่สุดคงจะเป็นบุคคลที่อยู่เหนือหัวของพวกเขาเพราะว่าตัวใหญ่ที่สุดมีหมวกมาปิดบังแต่ก็ยังเปิดเผยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าเพราะตัวเซทสึรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆจากรอยยิ้มนั้น นอกจากนี้บุคคลยังสวมเสื้อผ้าสีขาวที่มีลวดลายสีทองที่มากกว่าบุคคลอื่น กำลังอ้าแขนทั้งสองข้างพร้อมรอยยิ้ม
ตอนนี้เขาอยู่ที่ใจกลางห้องที่มีเชิงเทียนล้อมเป็นวงกลมและมี ‘วงเวทย์’ อยู่ที่เท้า เมื่อเขามองไปรอบๆก็จะพบว่าคนที่อยู่ในห้องทั้งหมดอยู่ในห้องนี้ จากบทสนทนาและจากการที่เขามองดูรอบๆทำให้เขาสามารถสรุปได้อย่างเดียวนั้นคือ ‘ต่างโลก’ อย่างแน่นอน คงไม่ต้องพูดหรอกนะเพราะว่าสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างนี้ก็คงมีแต่พวกไม่เคยอ่านนิยายเท่านั้นแหละ
เมื่อเขากลับมาสังเกตดีๆจะพบกับบุคคลมากมายที่อยู่ข้างหน้ากำลังคุกเข่าก้มกราบอยู่ แต่หลังจากนั้นก็มีคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นและลุกขึ้นแล้ว ‘สาวก’ ก็ลุกขึ้นตามถ้าให้เดาคนที่ลุกขึ้นก่อนน่าจะเป็น ‘พระสันตปาปาของโบสถ์’ เพราะดูจากลักษณะโดยร่วมแล้วคิดว่าใช่แน่นอน ดูจากภายนอกแล้วคงมีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี เพราะมีหนวดเคลาเปิดเผยให้เห็นแต่ก็ไม่สามารถบอกว่าเป็นชายชราได้เพราะตัวเขานั้นยังยืนหลังตรงพร้อมกับท่าทางที่ไม่แสดงถึงความอ่อนแอออกมา แต่สิ่งที่ยืนยันที่สุดคงจะเป็นเสื้อผ้าที่มีลวดลายสีทองสลักเอาไว้อย่างสวยงาม มาพร้อมกับหมวกที่ไม่สูงมากที่มีลวดลายสีทองเช่นกัน ในมือถือคฑาสีทองเอาไว้ที่ปลายของมันมีวงกลมสีทองที่ซ้อนด้วยวงกลมสีทองขนาดเล็ก 4 วงเอาไว้และตรงกลางมีเหมือนกลับคริสตัลสีน้ำเงินขนาดเท่ากำปั้นอยู่
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทุกอย่างทำให้สามารถสรุปได้ 100% ว่าที่ๆพวกเขาคือ ‘ต่างโลก’ แน่นอนมันยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้น สำหรับเซทสึแล้วนั้นถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงเหมือน ‘ความฝัน’ เป็นจริงเพราะเขาเคยมโนถึงโลกที่เต็มไปด้วยดาบและเวทมนย์แต่เมื่อเขาโตขึ้นมาก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน มีหลายเหตุผลเหลือเกินให้กล่าวยังงี้ ข้อแรก มันต้องมี ‘ผลประโยชน์’ แน่นอนไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ตาม ข้อสองคือ พวกเรานั้นเปรียบเสมือน ‘แพะรับบาป’ เพราะมือต้องมาเปื้อนเลือดด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อความสงบสุขของมนุษย์?และเหตุผลอื่นๆอีกมากมาย
แต่ไม่ว่าอย่างไรแล้วทุกอย่างก็เพื่อ ‘ผลประโยชน์’ อยู่ดีเพราะว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความละโมภแตกต่างกัน เพราะว่าตัวเซทสึเองก็มีความละโมภเช่นกัน ด้วยทุกสิ่งอย่างที่ได้กล่าวไปทำให้เขาคิดว่าช่าง ‘เพ้อฝัน’ สิ้นดี
“ขอต้อนรับสู่ไทรัส ข้ามีนามว่า ‘อิชทาร์’ ข้าขอกล่าวต้อนรับท่าน ‘ผู้กอบกู้’ พวกท่านคงกำลังสับสนและกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นโปรดให้ข้านั้นได้นำพาพวกท่านไปที่ห้องรับประทานอาหารก่อนแล้วข้านั้นจะเริ่มเล่าทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับโลกใบนี้ให้ท่านได้ทราบและตอบทุกๆปัญหาที่พวกท่านสงสัย”
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากก็แค่เดินผ่านวิหารออกมาโดยมีทั้งสาวกและ ‘เมด’ ทำให้นักเรียนมีหน้าตาที่ทั้ง ‘ตกใจ’และ ‘ดีใจ’ อย่างมากและหลังออกจากวิหารก็พบกับทางเดินและสวนขนาดใหญ่และสุดทางเดินก็รู้สึกว่าจะเชื่อมกับตัวปราสาท ทำให้คิดได้ว่าวิหารนั้นอยู่ในพื้นที่ของปราสาท? ถ้าให้พูดถึงเหตุผลก็ไม่จำเป็นต้องพูดเพราะว่ามันสมเหตุสมผลอยู่แล้ว
หลังจากนั้นก็เดินเข้ามายังปราสาทและเดินต่อไปที่ห้องอาหาร ตัวห้องนั้นมีโต๊ะขนาดยาวและมีเก้าอี้เตรียมไว้ให้พร้อมแต่รู้สึกง่าจะมีเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะแค่ตัวเดียวน่าจะไว้สำหรับพระสันตปาปาโดยเฉพาะ
แล้วอิชทาร์ก็เชิญทุกคนนั่งที่เก้าอี้เพื่อที่จะเริ่มพูดคุยเรื่องราว ในระหว่างนั้นริวกับเซทสึก็จับคุยถึงเรื่องราวแต่ก็ไม่เหมือนกับกลุ่มอื่นที่กำลังคุยเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นอยู่
“งั้นขอข้อมูลด้วยค่ะ คุณอิชทาร์”
“งั้นข้าขอเริ่มต้นเรื่องจาก....”
หลังจากนั่งเก้าอี้แล้วก็ตามที่คาดการณ์ไว้อิชทาร์นั่งหัวโต๊ะ ต่อมาก็อาจารย์คิมูระและ ‘3 เทพของโรงเรียน’ คนอื่นๆก็นั่งเป็นกลุ่มๆไป คนที่เริ่มเปิดบทสนทนาก่อนคืออาจารย์คิมูระเพื่อที่จะได้เข้าใจสถานการณ์ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าอาจารย์ทำหน้าไม่สบอารมณ์อย่างมากตั้งแต่ที่มาปรากฎที่วิหาร
ถ้าเป็นปกติคงจะแสดงออกมาอย่างไม่ปกปิดแต่เพราะคิดว่าต้องมี ‘ข้อมูล’ ก่อนไม่งั้นก็คงไม่รู้จะเริ่มยังไง
จากนั้นอิชทาร์ก็เล่าเรื่องราวของโลกใบนี้โดยสรุปก็คือ ที่ๆพวกเราอยู่ตอนนี้คือ ‘ไทรัส’ และรู้สึกว่าจะเป็นชื่อของอาณาจักร ส่วนโลกก็ยังชื่อว่า ‘โลก’ เหมือนเดิม โลกนี้มีอยู่ ‘3เผ่าพันธุ์’ มี ‘เผ่ามนุษย์’ ‘เผ่าอมนุษย์’ และ ‘เผ่าปีศาจ’ โดย ‘เผ่ามนุษย์’ อยู่ส่วนเหนือ ‘เผ่าอมนุษย์’ อยู่ที่ทิศตะวันออก ‘เผ่าปีศาจ’ อยู่ที่ทิศใต้ ทำให้เกิดคำถามว่าทางทิศตะวันตกละ? เพราะถ้าดูจากแผ่นที่แล้วพื้นที่ตะวันตกดูเหมือนจะเป็นป่าอะไรสักอย่าง ส่วนคำตอบคือมันคือที่อยู่ของ ‘มอนสเตอร์’ มีชื่อว่าป่ามรณะเรื่องราวสถานะของทั้ง 3 เผ่าคือ อมนุษย์ประกาศตนว่าเป็นกลางในสงครามอยู่แต่ก็ไม่แน่เพราะเมื่อฟังจากคำพูดของอิชทาร์แล้วเหมือนจะมีการทำสงครามกันเร็วๆนี้ ส่วนสถานะของมนุษย์กับปีศาจก็ตามที่ทุกคนรู้คือ ‘สงคราม’ แถมรู้สึกว่าจะใกล้เข้ามาแล้ว จากเรื่อวราวทั้งหลายทำให้รู้ว่าที่โลกแห่งนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘มหาวงกต’ วึ่งในปัจจุบันมีการค้นพบ ‘5 แห่ง’ จากข่าวจากสายสืบทำให้รู้ว่าทั้ง ‘เผ่าปีศาจ’ และ ‘เผ่าอมนุษย์’ สามารถผ่าน ‘มหาวงกต’ และได้รับพลังอันเหนือธรรมชาติมาแต่ก็ยังไม่ทราบแน่ใจว่าทั้ง 2 เผ่าผ่านไปกี่ ‘มหาวงกต’ เพราะว่าข่าวนี้ก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว สิ่งที่พวกเขากังวลคือ ‘เผ่าปีศาจ’ เพราะตัวของ ‘เผ่าอมนุษย์’ ประกาศเป็นกลางในสงคราม พระเจ้าของโลกนี้มีนามว่า ‘ซีส’ เป็นเทพเจ้าที่มนุษย์ ‘นับถือ’ ซึ่งไม่อาจทนเฉยได้หากมนุษย์เกิดสงครามกับ ‘เผ่าปีศาจ’ เลยทำการอัญเชิญ ‘ผู้กอบกู้’ หรืออีกชื่อคือ ‘ผู้กล้า’ มาปกป้อง ‘มนุษยชาติ’
“ดังนั้นท่าน ‘ผู้กล้าจากต่างโลก’ โปรดช่วยเหลือ ‘มนุษยชาติ’ ชาติด้วยเถิด”
แล้วอิชทาร์ก็ก้มหัวลงขอร้อง ‘เหล่าผู้กล้าจากต่างโลก’ การที่เขาเป็นถึง ‘พระสันตปาปา’ แต่กลับยอมก้มหัวให้พวกเขานี้ถือว่าหมดหนทางจริงๆ
เมื่อฟังจบแล้วเซทสึก็คิดว่า ‘นี้มันพล็อตนิยายเก่าๆชัดๆ’ เพราะเรื่องราวก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยคือถ้าปีศาจประกาศสงครามกับมนุษย์แล้วคงมิอาจต้านทานได้ จึงได้เกิดคำถามว่า ‘มึงก็อยู่เฉยๆสิ?’ หรือ “มึงรู้จักคำว่า ‘เจรจาไหม?’ ” แต่ก็คงไม่อาจพูดได้ว่า ‘ทำได้’ เพราะมันก็มีประเภท ‘หัวรุนแรงอยู่ถมเถไป’ แต่มันก็ไม่ใช่ ‘ข้ออ้าง’ อยู่ดีเพราะมึงก็ไปขอความช่วยเหลือจาก ‘เผ่าอมนุษย์’ ก็ได้นิ?
แต่ว่ามันคงเป็นไป ‘ไม่ได้’ เพราะในระหว่างเล่ามันก็มีส่วนที่ ‘ไม่เกี่ยวข้อง’ กับน้ำเสียงที่แตกต่างกันไปทำให้รู้ว่าความจริงแล้ว ‘เผ่ามนุษย์’ น่าจะมีความ ‘เกลียดชัง’ บางอย่างกับทั้ง
2 เผ่าพันธุ์ จึงไม่อาจจะมีการเจรจาเกิดขึ้นได้
ถ้าเป็นตามความคิดของคนปกติคงจะตอบว่า “ไม่เอาด้วยหรอก!” หรือ “มันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?!” และผู้กล้าอย่างไดซึเกะก็จะลุกขึ้นและพูดจาปลุกใจทุกคนแล้วทุกคนก็จะคล้อยตามและตอบ ‘ตกลง’ กันในที่สุดแต่ความจริงนั้น
“แน่นอนครับ/ค่ะ!!!”
“ขอขอบคุณพวกท่านมากครับ”
ตอบในทันที่ก็นะสำหรับหลายๆคนก็คงจะเหมือนกับ ‘ฝันเป็นจริง’ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงต้องรีบคว้าเอาไว้เหมือนกับสุภาษิต ‘น้ำขึ้นให้รีบตัก’
ถึงตอนแรกนั้นอิชทาร์จะดูตกใจเล็กน้อยกับการตอบสนองอย่าง ‘รวดเร็ว’ แต่ก็ไม่แสดงออกมา
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะค่ะ? ไม่ทราบว่ามีวิธีส่งพวกเรา ‘กลับโลก’ ของพวกเราไหมค่ะ?”
“…”
“ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะข้านั้นคิดว่าพวกท่านทำภารกิจของพวกท่านเสร็จท่าน ‘ซีส’ จะต้องส่งพวกท่านกลับแน่นอนครับ”
รู้สึกว่าในตอนนี้นอกจากเซทสึแล้วยังมี ‘อาจารย์คิมูระ’ อีกด้วยรู้สึกว่าอาจารย์แกจะยังยอมรับไม่ได้กับการขอร้องที่ ‘เห็นแก่ตัว’ แต่เพราะนักเรียนนั้น ‘สัญญา’ ไปแล้วเลยต้องยอมรับและถามอย่างสุดท้ายเพื่อยืนยันทั้งๆที่ ‘รู้อยู่แล้ว’
ส่วนคำตอบกลับถูกต้องตามที่คิดไว้จนรู้สึกแย่ทั้งอาจารย์คิมูระและเซทสึ และถ้าถามถึงริวนั้นก็คงต้องตอบว่าเป็น ‘กลาง’ เพราะว่าตัวเขานั้นก็มีความฝันเป็นของตัวเองและการที่เขาเข้าใจ ‘ความจริง’ ของโลกใบนี้ทำให้เขาทั้งรู้สึก ‘ดีใจ’ และ ‘ผิดหวัง’ ในเวลาเดียวกัน
และถ้าถามถึง ‘3 เทพเจ้าของโรงเรียน’ นั้นก็ดูเหมือนว่าตัวไดซึเกะก็คงคิดไว้ว่าจะพูดปลุกใจทุกคนเหมือนกับในนิยาย(รู้หน้าที่ดี)แต่เพราะโดนเพื่อนร่วมชั้นตัดหน้าไปทำให้เขาต้อง ‘คล้อยตาม’ ไปส่วนยูกะและชิโอริก็คิดจะรับฟัง ‘เสียงส่วนมาก’ ก่อนค่อยตัดสินใจ และสุดท้ายก็ได้คำตอบเหมือนกับเสียงส่วนมากนั้นเอง
หลังจากนั้นอิชทาร์ก็ได้พาพวกเขาไปพบราชาตาม ‘เนื้อเรื่องเป๊ะ’ หลังจากเดินมาถึงหน้าประตูก็พบกับรูปปั้นอัศวิน 2 ยืนข้างๆประตูและชูดาบสูงเท่าอกในท่าเตรียม รูปปั้นทำออกมาดีในระดับที่ว่า ‘เหมือนคนเฝ้าประตูขนาดยักษ์’ แต่คงพูดออกมาไม่ได้เพราะว่าตรงรูปปั้นมี ‘คนจริงๆ’ ยืนท่าระเบีบบพักและนำหอกที่อยู่ในมือมาไขว้กันเพื่อกั้นไม่ให้คนผ่านง่ายๆ?
หลังจากนั้นก็เข้าพบ ‘ราชา’ ท่านมีพระนามว่า ‘อเล็กซานเดอร์ D วอเฮร์น’ ‘พระราชินี’ มีพระนามว่า ‘อิซซาเบล D วอเฮร์น’ และมี ‘พระธิดา’ นามว่า ‘โซเฟีย D วอเฮร์น’ และ ‘พระโอรส’ นามว่า ‘เกรซ D วอเฮร์น’ รู้สึว่าโซเฟียน่าจะเป็น ‘พี่สาว’ ส่วนเกรซเป็น ‘น้องชาย’
ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแค่องค์ราชาและราชวงศ์ก็ได้กล่าวขอบคุณเหล่าผู้กล้าที่จะมาปกป้องมนุษยชาติ และได้ทำการกำหนดการณ์ต่างๆแล้วออกคำสั่งให้ทหารและเมดนำพวกเขาไปที่ห้องพักที่ได้จัดเตรียมไว้ ถ้าให้บรรยายว่าภายในห้องมีลักษณะอย่างไร? ก็คงพูดได้แค่ว่าทุกคนที่ได้เห็นสภาพต่างเหม่อลอยไปไกลและได้แต่ลำพึงกับตัวเองว่า “นี้มันสวรรค์นี้หว่า?!”
ในตอนเช้าตอนนี้เหล่าผู้กล้าได้ทำการแต่งชุดฝึกซ้อมรบและพกดาบไว้ที่เอวและกำลังไปร่วมกันที่สนามฝึกที่ได้กำหนดไว้เมื่อวาน ที่ตรงนั้นมี ‘อัศวิน’ สองคนกำลังยืนรอพวกเขาอยู่
“มากันครบแล้วสินะ ตัวข้านั้นเป็นหัวหน้าอัศวินของอาณาจักรไทรัสมีชื่อว่า ‘เมลด์’ ข้าจะเป็นคนสอนเกี่ยวกับการต่อสู้ระยะประชิดให้พวกเจ้าเอง”
“ส่วนข้านั้นมีนามว่า ‘อลิเซีย’ เป็นหัวหน้าอัศวินเช่นกัน ข้ามีหน้าที่สอนเกี่ยวกับ ‘เวทมนย์’ ให้พวกท่าน”
หลังจากที่พวกเขาทุกคนได้มาร่วมตัวกันก็ได้เข้าแถวตอนลึก แล้วอัศวินที่อยู่ข้างหน้าจะมีชื่อว่า ‘เมลด์’ และ ‘อลิเซีย’ พวกเขาทั้ง 2 เป็นถึงผู้กองแต่กลับต้องมาสอนพวกเขาแสดงว่ามีเหตุผลสักอย่างแน่นอน
เมลด์ได้ทำการหันไปทางอัศวินที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยและเหมือนว่าจะส่งสัญญาณไปทางทางอัศวินที่ยืนร่วมตัวกันอยู่ แล้วอัศวินเหล่านั้นก็พยักหน้าและส่งสัญญาณต่อแล้วก็เดินมาพร้อมกับกล้องหลายกล่อง
“เอาละ สิ่งที่ฉันจะแจกก็คือ ‘แผ่นสเตตัส’ มันมีประโยชน์อย่างมากเลยละ สามารถไว้ใช้ยืนยันตัวตนได้ และมันยังบอกสิ่งจำเป็นต่างๆ”
“สิ่งที่จะแสดงบนแผ่นสเตตัสคือ ‘ชื่อ’,‘เพศ’,‘อายุ’,‘เลเวล’,‘อาชีพที่เหมาะสม’,‘พลังโจมตี’ ‘พลังชีวิต’,‘พลังป้องกัน’,‘ความคล่องแคล่ว’,‘พลังเวท’,‘พลังป้องกันเวท’ และ ‘สกิล’ ที่พวกท่านมี”
ในระหว่างบอกข้อมูลของแผ่นสเตตัสอัศวินก็ได้ทำการแจกแผ่นสเตตัสพร้อมกับเข็ม 1 เล่ม ให้กับทุกคน รู้สึกว่าแผ่นสเตตัสจะแสดงทุกอย่างที่สามารถคาดเดาไว้ได้อยู่แล้วแต่ก็ยังมีอยู่หลายคนที่อดตื่นเต้นไม่ได้กับการที่ตัวเองจะรู้ค่า ‘สเตตัส’ ของตัวเอง
“ขั้นแรกก็ต้องลงทะเบียนการใช้ โดยการนำเข็มที่ได้จิ้มไปที่นิ้วแล้วนำเลือดไปป้ายที่แผ่นสเตตัสเท่านี้ก็เป็นการลงทะเบียนการถือครองแล้ว”
“สิ่งแรกที่จะปรากฏคือ ‘สี’ ซึ่งมันอาจแสดงถึง ‘ธาตุที่เหมาะสม’ ‘อาชีพที่เหมาะสม’ แต่พวกข้าคงไม่สามารถอธิบายหลักการทำงานและวิธีการผลิตได้เนื่องจากมันคือ ‘อาร์ติเฟ็กซ์’ หรืออีกชื่อคือ ‘วัตถุโบราณ’ ที่ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัย ‘ยุคแห่งเทพเจ้า’ ในปัจจุบันโบสถ์เป็นผู้สร้างของชิ้นนี้ขึ้น”
หลังจากฟังเรื่องราวต่างๆเซทสึก็ได้นำเข็มมาจิ้มนิ้วและเอาเลือดมาป้ายที่แผ่นสเตตัส และสีที่ได้ปรากฏออกมาคือสี ‘แดง’ และ ‘ดำ’ จากนั้นก็แสดงค่าสเตตัสออกมา
ชื่อ : ยูคิ เซทสึ เพศ : ชาย
อายุ : 17 ปี เลเวล : 1 อาชีพที่เหมาะสม : นักดาบ
พลังโจมตี : 10
พลังชีวิต : 10
พลังป้องกัน : 10
ความคล่องแคล้ว : 10
พลังเวท : 10
พลังป้องกันเวท : 10 สกิล : เบอร์เซิร์ก,เข้าใจภาษา
ถึงอาชีพที่ได้จะดีสำหรับเซทสึแต่แค่ดูก็รู้ว่าค่าสเตตัสอย่างนี้มัน ‘ห่วย’ แถมสกิลที่มีก็ไม่ต่างจากนิยายสักเรื่องแค่ต่างกันที่สกิลที่มีนั้นชื่อมันบ่งบอกถึงลางไม่ดีบางอย่าง
จากนั้นเมลด์ก็ได้บอกให้ทำการแจ้งค่าสเตตัสออกมาแบบ ‘รายบุคคล’ แต่เพราะเป็นข้อมูลส่วนตัวเลยให้เอามาให้แล้วอัศวินจะบันทึกให้ แถมยังมีการฝากรอยแผล ‘เล็กๆ’ ให้กับใครบางคนอีกด้วย
“เอาละ หลังจากที่ลงทะเบียนเสร็จให้ทำการเอามาให้กับอัศวินคนนั้น อ้อ! แล้วก็ค่าสถานะ ‘ทั่วไปของมนุษย์’ คือ 10 นะสำหรับพวกเจ้าคงจะสูงกว่าตั้ง ‘หลายเท่า’ เลยละนะ ขอดูว่าจะจริงรึปล่าวหน่อยละกันนะ”
‘กูขอตายดีกว่า’ นั้นคือสิ่งที่คนๆหนึ่งบ่นกับตัวเองในใจ และนี้คือค่าสเตตัสตัวอย่างหลายๆคน
หลังจากนั้นก็มีการต่อแถวไปบอกสเตตัสของแต่ละคนซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มแรกต้องเป็น 3 เทพของโรงเรียน ส่วนคนแรกคือไดซึเกะส่วนปฏิกิริยาของอัศวินคือ
“น...นี้มัน ‘100’ ทุกค่า!!! แถมสกิลพวกนี้มัน!!!”
ชื่อ : ทาคากิ ไดซึเกะ เพศ : ชาย
อายุ : 17 เลเวล : 1 อาชีพที่เหมาะสม : ผู้กล้า
พลังโจมตี : 100
พลังชีวิต : 100
พลังป้องกัน : 100
ความคล่องแคล้ว : 100
พลังเวท : 100
พลังป้องกันเวท : 100 สกิล : เหมาะกับทุกธาตุ,ต้านทานเวทมนย์ทุกธาตุ,ต้านทานการโจมตีทางกายภาพ,การฟัน,พละกำลังแขน,อ่านการโจมตีศัตรู,ฟื้นฟูพลังเวทเร็ว,ตรวจจับศัตรู,ตรวจจับเวทย์,ปล่อยท่าพิเศษ,เข้าใจภาษา
“โอ้!!! แข็งแกร่งประมาณ 1 ใน 3 ของข้าเหรอไอ้หนูลองกับข้าสักตาไหม?”
“หยุดเลยนะเมลด์!!! นี้อย่าบอกนะว่าเจ้าจะสู้จริง!!! เจ้าเป็นถึง ‘หัวหน้า’ นะ”
“เฮ้อ ข้ารู้แล้วน่าอลิเซีย~”
หลังจากที่ผู้กองเมลด์เล่นมุก? พวกคนที่เหลือก็เริ่มมาเข้าแถวด้วย ทุกครั้งที่อัศวินได้เห็นค่าสเตตัสของเพื่อนร่วมชั้นแล้วก็พากันตกตะลึงกับค่าสเตตัสที่แม้จะไม่เท่าไดซึเกะแต่ก็มีค่าที่สูงกว่าพวกเขาที่ฝึกกันไปอย่างสบายๆ พวกเขาก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆกับความเป็นจริงที่ไม่เป็นธรรมเลย
ถ้าถามถึงเซทสึแน่นอนว่าเขาต้องมาเข้าแถวอยู่แล้วเพราะไม่ว่าอย่างไรเข้าก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าถามว่าเขาอยู่ส่วนไหนนั้นคงต้องบอกว่าอยู่กลางๆของแถวเพราะเขาคิดว่าถ้าอยู่หัวหรือท้ายอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้
แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นผิดถนัดเพราะไม่ว่าจะอยุ่ส่วนไหนของแถวก็ทำให้เหล่าอัศวินตกใจอยู่ดีเพราะลองนึกถึงคนที่เจอแต่สิ่งที่เหลือเชื่อมาตลอดแต่อยู่ดีๆก็มีคนธรรมดาโผล่มา...ความจริงก็ไม่ใช่อย่างนั้นสะที่เดียวเพราะว่ามันถือว่าไม่ปกติเลยสำหรับ ‘นักดาบ’ ที่เป็นสาย ‘ต่อสู้’ แต่กลับมีสเตตัสต่ำอย่างนี้เพราะโดยปกติแล้วก็คงมากกว่าคนปกติอยู่มากที่เดียว มันเลยทำให้เป็นเหตุของ ‘โชคชะตา’ ที่จะเปลี่ยนไปตลอดกาล
“ห๊ะ!!!? เดียวๆนี้ข้าดูผิดรึปล่าวรู้สึกว่า...”
“ส...ส...10ทุกอย่าง!!!”
ในตอนแรกทุกคนต่างตกใจกับคำพูดของอัศวินคนนั้นเพราะคิดว่า “ร...หรือว่าอยู่ในระดับเดียวกับ ‘ผู้กล้า’ ?!!!” แต่หลังจากนั้นสายตาที่มองเซทสึก็เปลี่ยนไป “เฮ้อ...สุดท้ายก็ไม่รอดสินะ?” มันเป็นเสียงบ่นของคนๆหนึ่งที่มี ‘ชะตาอันโหดร้าย’ รอเขาอยู่
*
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ