The Last Love รักครั้งสุดท้าย
เขียนโดย ศรุตา
วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.08 น.
แก้ไขเมื่อ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 22.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) บทที่ 7 อดีต (1/2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 7
อดีต
ไม่รู้เพราะความเหนื่อยล้าที่ได้รับจากการเดินทางอันยาวนาน หรือความเครียดที่ก่อตัวขึ้นในห้องประชุมของอาคารรูปทรงแปลกตา ทำให้เอริหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน ลืมตาอีกครั้งเป็นเช้าของวันใหม่ไปเสียแล้ว ภาพรอบตัวตอนนี้สร้างความงุนงงเพราะไม่ชินตา ใช้เวลาเพียงไม่นานในการเรียกความทรงจำจากเหตุการณ์กลับคืน
หลังออกจากอาคารรูปทรงแปลกตาเมื่อวาน เมย์สร้างความประหลาดใจหลายเรื่อง รวมถึงการพักอยู่บ้านหลังนี้ จู่ ๆ คิ้วได้รูปขมวดมุ่น เมื่อสังเกตว่าเธออยู่เพียงลำพัง เอริลุกขึ้นจากเตียง เปิดประตูห้องนอน ออกมายืนอยู่บริเวณหน้าห้อง หันซ้ายแลขวา สอดส่ายสายตาหาคนที่นอนเคียงข้างกันเมื่อคืน พลันได้ยินเสียงดังมาจากครัว จึงก้าวเดินตามที่มาของเสียงนั้น ใจหวังได้พบกับคนที่กำลังตามหา
คนที่อยู่ในครัวไม่ใช่คนที่ตื่นมาแล้วอยากเจอ แต่คือเอ็มม่า...
“อ้าว! ตื่นแล้วเหรอคะ เมื่อคืนหลับสบายไหมคะ” เอ็มม่าทักทายด้วยท่าทางใจดีและเป็นกันเอง เมื่อหันมาเห็นเอริเดินตรงเข้ามาในครัว
“หลับสบายดีค่ะ อรุณสวัสดิ์นะคะเอ็มม่า” เอริกล่าวทักทายตอบ พร้อมรอยยิ้มสดใสรับเช้าวันใหม่
“อรุณสวัสดิ์เช่นกันค่ะ อาหารเช้าเสร็จแล้วนะคะ คุณจะทานเลยไหม หรือจะอาบน้ำก่อน”
“หนูขออาบน้ำก่อนดีกว่าค่ะ” กำลังจะเอ่ยปากถาม พอดีกับเอ็มม่าเป็นฝ่ายบอกออกมาเอง
“อ้อ ดอกเตอร์สั่งให้บอกคุณว่า ให้คุณทำตัวตามสบาย ขาดเหลืออะไร เรียกใช้ดิฉันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจค่ะ วันนี้ดอกเตอร์มีธุระต้องทำที่โรงแรมแต่เช้า กว่าจะกลับคงเย็น แต่เธอบอกว่าจะกลับให้ทันกินข้าวเย็นกับคุณนะคะ”
“ค่ะ” เอริแสดงการรับรู้เพียงคำพูดสั้น ๆ ในใจอยากถามคนตรงหน้าว่าธุระที่ว่านั้นคืออะไร คิดอีกทีมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ อย่าเข้าไปยุ่งเสียจะดีกว่า เด็กสาวกลับหลังหัน เดินจากไปยังทิศทางที่เดินมา
วันนี้ทั้งวันเอริถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง มีเพียงเอ็มม่าที่แวะเวียนมาหาตอนกลางวันและบ่าย เพื่อทำอาหารและของว่างให้ แม้แต่ช่วงเย็นที่เอ็มม่าบอกว่าเมย์จะกลับมากินมื้อเย็นด้วย เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง เธอต้องนั่งกินข้าวคนเดียวเหมือนสองมื้อที่ผ่านมา
เอรินั่งเหงาอยู่บนเตียง เหลือบมองนาฬิกาบนผนัง บอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม ประตูห้องเปิดออกพร้อมการกลับมาของคนที่เฝ้ารอตลอดทั้งวัน
“อ้าวเอริ! ยังไม่นอนอีกเหรอ”
คนบนเตียงไม่ตอบ ไม่พูด เอาแต่นั่งก้มหน้างุด เมย์เลยเดินเข้าไปหา นั่งลงข้าง ๆ มือเรียวประคองใบหน้าน่ารักให้เงยขึ้นมาสบตากัน
“ที่โรงแรมมีเรื่องยุ่งนิดหน่อย คิดว่าพรุ่งนี้บ่ายคงเคลียร์เสร็จ วันมะรืนฉันจะพาเธอเที่ยวตัวเมืองก่อนกลับกันวันถัดไปนะ แล้วนี่... เปลี่ยนเสื้อผ้าเองเหรอ”
“เพียะ! ” ความน้อยใจทำให้มือบางปัดมือเรียวให้พ้นจากใบหน้า ก่อเกิดเสียงดังจากการกระทำ พร้อมรอยแดง
“ทำเองหมดทุกอย่างนั่นแหละ ตั้งแต่ทำแผล เช็ดตัว แล้วก็เปลี่ยนชุดนี่ มือมีครบสองข้าง ไม่ได้พิกลพิการซะหน่อย ทำไมต้องรอคนมาทำให้ด้วย” พูดจบล้มตัวลงนอน หันหลังให้ ดึงผ้าห่มคลุมจากปลายเท้าจนมิดศีรษะ บอกกลาย ๆ ว่าไม่ต้องการพูดหรือแม้แต่มองหน้า
เห็นปฏิกิริยาจากคนรักแบบนี้ เมย์ตัดสินใจลุกจากเตียง เปิดประตู ออกไปด้านนอก ปล่อยเอรินอนเพียงลำพังคนเดียวตลอดคืน
เอริตื่นขึ้นพร้อมภาพบรรยากาศเดิม ๆ ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่านอนอยู่อย่างอ้างว้าง ปราศจากการเคียงข้างของคนที่สบตาด้วยแล้วอบอุ่นหัวใจ
โชคดีที่บาดแผลได้รับการดูแลอย่างดีและถูกต้องจากเมย์ ทำให้หายเกือบเป็นปกติ ไม่ต้องทรมานจากการปวดแสบปวดร้อน สามารถจัดการธุระส่วนตัว เช่น ล้างหน้า แปรงฟัน เช็ดตัว ได้อย่างสบาย
เดินเข้าไปยังส่วนที่เป็นครัว พบกับเอ็มม่าที่กำลังเตรียมอาหารเช้าให้เหมือนเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เอ็มม่ากล่าวทัก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“ธุระที่โรงแรมยังไม่เสร็จค่ะ ยังไงวันนี้คุณอยู่ที่นี่คนเดียวไปก่อนอีกวันหนึ่งนะคะ จะออกไปเดินเล่นรอบบริเวณบ้านก็ได้ ต้องการอะไร เรียกใช้ดิฉันได้เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณค่ะ เอ็มม่า”
วันที่สองแล้วที่เอริต้องอยู่เพียงลำพัง ขณะนั่งอ่านหนังสือบนโซฟาเพลิน ๆ เสียงกริ่งจากประตูหน้าบ้านดังขึ้น นาฬิกาบนผนังบอกเวลาสี่โมงเย็น จึงรู้ว่าคนที่มากดกริ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเอ็มม่า ฝ่ายนั้นยืนยิ้มอย่างใจดีเมื่อเธอเปิดประตูให้
“เย็นนี้ดิฉันจะทำอาหารจานเก่งของดิฉันให้คุณกินนะคะ เป็นลาซานญ่าสูตรพิเศษที่คิดขึ้นมาเองค่ะ ทานคู่กับผักสลัดสด ๆ ที่เพิ่งเก็บมาจากสวนที่บ้าน” เอ็มม่าพูดพร้อมยกตะกร้าบรรจุผักจนเต็มให้ดู
เอริเดินตามเอ็มม่าเข้าครัว พร้อมเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ
“ให้หนูช่วยอะไรไหมคะ”
“อุ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันทำเองคนเดียวได้ ไม่เกินชั่วโมงก็เสร็จแล้ว คุณไปนั่งอ่านหนังสือต่อเถอะค่ะ แล้ววันนี้ดอกเตอร์คงกลับมากินมื้อเย็นด้วยไม่ทันนะคะ เธอเพิ่งโทรศัพท์มาบอกว่าธุระที่โรงแรมยังไม่เสร็จ ให้คุณกินไปก่อนเลย ไม่ต้องรอ”
“ค่ะ” ความน้อยเนื้อต่ำใจมีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
เห็นเด็กสาวเงียบไป เอ็มม่าจึงเอ่ยปากชวน “ถ้าคุณเบื่ออ่านหนังสือแล้ว จะอยู่ที่นี่ ดูดิฉันทำลาซานญ่า อาหารจานโปรดของดอกเตอร์ก็ได้นะคะ”
“จานโปรดของเมย์เหรอคะ” นัยน์ตาที่เคยเศร้าเมื่อสักครู่ มีแววกระตือรือร้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เอ็มม่าพูด
“ค่ะ ดอกเตอร์กลับมาพักที่บ้านของเธอที่นี่ครั้งใด ดิฉันต้องทำให้กินทุกครั้งไปค่ะ” พูดด้วยความภาคภูมิใจ
“บ้านของเมย์เหรอคะ หนูนึกว่าเป็นของ...” เสียงถามบ่งบอกความแปลกใจกับข้อมูลที่ได้รับ
“ใช่ค่ะ” เสียงตอบบอกความแปลกใจไม่แพ้กัน
“ถ้าอย่างนั้น โรงแรมนั่น...”
“โรงแรมที่คุณไปกินมื้อเย็นมาในวันแรกที่มาถึงเป็นของดอกเตอร์ค่ะ อ้า... ดิฉันเข้าใจแล้วล่ะค่ะว่าคุณคิดว่าทั้งบ้านและโรงแรมเป็นของเจนน่ากับแพทริค ใช่ไหมคะ”
"ค่ะ หนูคิดอย่างนั้นจริง ก็เมย์ไม่เคยบอกให้รู้ว่ามีกิจการและบ้านอีกหลังที่นี่" อับอายในความเข้าใจผิดของตัวเองเหลือเกิน
เอ็มม่ายิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนอธิบายต่อ
"ดอกเตอร์ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีกิจการและบ้านพักอยู่ที่นี่เหมือนกันค่ะ หลังจากเรื่องนั้นเกิดขึ้น ก็ไม่อยากกลับมาให้รู้สึกช้ำใจ อาจเพราะโชคชะตา ทำให้ดอกเตอร์มีโอกาสสร้างกิจการและบ้านพักตากอากาศที่บ้านเกิดเมืองนอน"
เว้นระยะเพื่อดูปฏิกิริยาของคู่สนทนา ก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงตั้งอกตั้งใจฟัง
"เจนน่าเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เอ๊ะ! คุณทราบรึเปล่าคะว่าดอกเตอร์น่ะ..."
เอริเข้าใจดีว่าหญิงสูงวัยตรงหน้าต้องการสื่ออะไร จึงตอบเพื่อคลายความสงสัย
"หนูทราบค่ะ ศาสตราจารย์วอสบอนกับ ดร.เกย์เนอร์เคยเล่าเรื่องของเมย์ให้ฟัง รวมถึงเรื่องในอดีตครั้งนั้นด้วยค่ะ"
เอ็มม่าพยักหน้าน้อย ๆ แทนการรับรู้
"ตั้งแต่เจนน่าแต่งงานกับแพทริค สองคนนี้ลำบากขนาดบางวันไม่มีอะไรตกถึงท้อง เพราะครอบครัวของแพทริครังเกียจเจนน่าที่เป็นเด็กกำพร้า เลยขับไล่ไสส่งทั้งคู่ออกจากบ้าน ก็ได้ดอกเตอร์นี่แหละค่ะ เป็นคนช่วยเหลือเจือจุนทุกอย่าง" เอ็มม่าระบายยิ้ม ก่อนเล่าต่อ
"ดอกเตอร์ยอมยกโรงแรมที่เธอรักให้เจนน่ากับแพทริคไปบริหารจัดการกันเองตามชอบใจ มีข้อแม้เพียงสองข้อ ข้อแรกคือขอให้คงโรงแรมไว้ในสภาพเดิม ห้ามตกแต่ง ต่อเติม หรือขยับขยาย ข้อที่สอง... ผลกำไรที่ได้ส่วนหนึ่งขอให้นำไปบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตขึ้นมา"
"คุณทราบไหมคะว่าดอกเตอร์ไม่เคยก้าวก่ายการบริหารของเจนน่าและแพทริคเลย ผลกำไรที่ได้ในแต่ละปีก็ไม่เคยทวงถาม เจนน่ากับแพทริคซะอีกที่เป็นฝ่ายคอยรายงานให้ทราบทุกครั้งไป มิหนำซ้ำสองคนนี้ยังจัดสรรปันส่วนผลกำไรที่ได้ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเอาไปแจกจ่ายบรรดาพนักงาน ส่วนที่สองนำไปบริจาคตามข้อตกลง และส่วนสุดท้ายทั้งคู่ฝากธนาคารในชื่อของดอกเตอร์ คนคู่นี้ไม่เคยลืมบุญคุณที่ได้รับ ไม่ว่าทำอะไรเกี่ยวกับโรงแรม ต้องขอความเห็นจากดอกเตอร์ทุกครั้ง ถึงแม้ดอกเตอร์ไม่เคยก้าวก่ายการบริหารงาน แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ไม่เคยทอดทิ้ง ยังตามแก้ไขให้อยู่เรื่อยไป ปกติดอกเตอร์จะมาพักผ่อนที่นี่ปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งหนึ่งประมาณ 1-2 อาทิตย์ค่ะ พวกดิฉันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นโรเบิร์ต จอห์น เจนน่า แพทริค หรือดิฉันเอง พวกเรามีความสุขทุกวันนี้เพราะความช่วยเหลือจากอาจารย์ของคุณค่ะ"
รอยยิ้มเปี่ยมความศรัทธาปรากฏบนใบหน้าของเอ็มม่า ก่อนแปรเปลี่ยนเมื่อมองเอริเต็มตา จนฝ่ายถูกมองเอ่ยปากถามด้วยความแปลกใจ
"ยิ้มอะไรเหรอคะ"
"ดิฉันมีความสุขค่ะ สุขที่ได้เห็นดอกเตอร์มีความสุข เห็นรอยยิ้มที่ไม่เคยเห็นมาเนิ่นนาน ทั้งหมดนี่เพราะคุณคนเดียวค่ะ คุณเอริ"
"เพราะหนู? เพราะหนูเหรอคะ"
"ใช่ค่ะ คุณน่าจะรู้ว่าเรื่องในอดีตทำให้ดอกเตอร์เปลี่ยนไปอย่างไร วันนี้ดิฉันดีใจที่ดอกเตอร์ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เหมือนจะมากกว่าที่เคยมีด้วยซ้ำค่ะ" เอ็มม่ามอบรอยยิ้มจริงใจ ก่อนกลับไปทำงานในครัวต่อ
สิ่งที่เอ็มม่าเล่าช่วยกระตุ้นความทรงจำที่เอริเกือบลืม
"นี่เราลืมอดีตของเมย์ไปได้ยังไง" รำพึงรำพันอยู่คนเดียว ก่อนพูดกับเอ็มม่าที่ง่วนอยู่กับอาหารมื้อเย็น
"เอ็มม่าคะ หนูขอออกไปเดินเล่นข้างนอกสักพักนะคะ"
"ตามสบายเลยค่ะ เดี๋ยวอาหารเย็นเสร็จแล้ว ดิฉันจะไปตามคุณเข้ามาทานเองค่ะ"
เอริเดินชมความงามของธรรมชาติที่อยู่ในอาณาบริเวณบ้านพักหลังนี้ไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดนั่งลงบนผืนหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทะเลสาบ นึกย้อนไปในวันที่มีโอกาสรับรู้เรื่องราวในอดีตของอาจารย์ที่ปรึกษา
วันนั้น... ขณะเอริทำงานหารายได้พิเศษที่ร้านอาหารของลิล ประตูร้านเปิดออกพร้อมการมาเยือนของคนคู่หนึ่ง หนึ่งในนั้นส่งเสียงเจรจากับเธอแบบไม่เกรงสายตาแขกที่กำลังหาความสำราญจากการรับประทานอาหารจานโปรด
"เอริ! ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ"
"เอ่อ... คือหนูกำลังทำงานอยู่..."
"แต่ฉันต้องคุยกับเธอให้ได้ และต้องเป็นตอนนี้ด้วย" คนอารมณ์ร้อนอย่างแอลลิสันยืนกรานตามจุดประสงค์การมาเยือนอย่างไม่ยอมลดราวาศอก
ลิลเห็นท่าไม่ดี จึงออกปากเพื่อยุติการถกเถียง
"แอลลิสัน ไปคุยกันที่ห้องทำงานของฉัน"
พูดกับเพื่อนตัวเองเสร็จ ก็หันมาพูดกับลูกน้องด้วยโทนเสียงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"เอริ... เข้าไปคุยกับพวกเขาเถอะ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปกับเธอด้วย"
หลังทั้งสี่คนจัดแจงหาที่นั่งให้กับตัวเองในห้องทำงานของลิลได้ แอลลิสันเปิดฉากคุยทันที
"เอริ เธอไปหาเมย์หน่อยได้ไหม"
"ไปหาทำไมคะ"
"ก็... โธ่เว้ย! "
เอริสังเกตเห็นศาสตราจารย์วอสบอนกำลังพยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่อย่างยากลำบาก
"ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่เมย์น่ะ... มันจะคลั่งตายอยู่แล้ว งานก็ไม่ไปทำ ข้าวก็ไม่กิน น้ำก็ไม่ดื่ม เอาแต่นอนขดตัว ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังบนเตียงในห้องนอน"
เอริยังคงนิ่งเฉย ราวกับต้องการปฏิเสธคำร้องขอของอีกฝ่าย จนลิลที่นั่งข้างกันต้องเอ่ยปาก
"เอริ... ไปหาเมย์หน่อยเถอะนะ"
"แต่หนูต้องทำงานนี่คะ" พยายามหาข้ออ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องไปหาคนที่เพื่อน ๆ กำลังขอร้องแทน
"โธ่เว้ย! ไอ้เด็กบ้า! งานที่ทำเนี่ย หยุดมันสักวันก็ไม่ตายหรอก แล้วลิล เจ้านายเธอก็อนุญาต ไม่ได้ยินรึไง"
"เมย์รักเธอมากนะ เอริ"
"รัก? รักหนูเหรอคะ" เอริแปลกใจระคนสงสัยกับคำพูดของลิล
"ใช่ รักเธอ และรักมากด้วย รักอย่างที่ไม่เคยรักใครแบบนี้มาก่อน เธอเข้าใจความหมายของคำว่ารักที่ฉันกำลังพูดถึงอยู่นี่ใช่ไหม"
คำยืนยันจากปากของเจ้านายทำให้เด็กสาวอึ้ง 'รัก... มีคนมาหลงรักเธออย่างนั้นหรือ ที่สำคัญ... คน ๆ นั้นคืออาจารย์ที่ปรึกษา และยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้รับความรักจากคนอื่น ความรักอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งแตกต่างจากความรักที่ได้รับจากพ่อ แม่ พี่ชาย และพี่สาว'
เห็นคนอายุน้อยที่สุดในนี้เงียบไป เพย์ตันจึงเอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึงนี่
"ฉันจะเล่าอดีตของเมย์ให้ฟัง ฟังจบแล้ว เธอจะไปหาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ พวกฉันจะไม่บังคับอีกต่อไป
แล้วเรื่องราวของเมย์ก็เริ่มถ่ายทอดออกจากปากของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
"เธอรู้ใช่ไหมเอริ ว่าเมย์ไม่ใช่คนที่นี่"
"ทราบค่ะ"
"แล้วรู้รึเปล่าว่าทำไมถึงต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่แทน"
"ไม่ทราบค่ะ"
ยิ้มน้อย ๆ ให้กับความตรงไปตรงมาของเด็กสาว ก่อนเล่าต่อ
"เมย์น่ะ เป็นเด็กกำพร้านะ"
"เด็กกำพร้าเหรอคะ" เอริหลุดปากถาม เพราะแปลกใจกับข้อมูลที่ได้รับ คนเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างเช่นอาจารย์ของเธอไม่น่ามีปูมหลังเช่นนี้
"มีคนเอาเขามาทิ้งไว้หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังแบเบาะ เมย์โตมาจากที่นั่น ภายใต้การดูแลของซิสเตอร์ โตขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนอื่นรุมล้อว่า เป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่บ้าง พ่อแม่ไม่รักจนเอามาทิ้งบ้าง ก็ได้แต่เก็บเอาปมด้อยและความเจ็บปวดไว้ในใจ เปรียบเสมือนแรงผลักดันให้ลุกขึ้นสู้ เมย์สัญญากับตัวเองว่า เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีใครรักคนนี้ สักวันจะผงาดในสังคมได้อย่างภาคภูมิ จะต้องได้ดีและไปไกลกว่าบรรดาเพื่อนเหล่านั้น"
เอริอึ้ง เพราะคิดเอาเองมาตลอดว่าอาจารย์ของเธอต้องเกิดมาในครอบครัวร่ำรวย มีพ่อ แม่ พี่ น้อง พร้อมหน้าพร้อมตา เป็นครอบครัวอบอุ่น อบอวลด้วยความรัก แต่ข้อมูลที่เพิ่งได้รับ มันต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
“อาจารย์เธอเป็นคนเก่ง ขยัน และตั้งใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ความมานะอุตสาหะทำให้สอบชิงทุนค่าเล่าเรียนได้ทุกปี เป็นนักเรียนทุนตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมจนจบปริญญาเอก และยังสอบได้ที่ 1 ของชั้นทุกครั้ง”
เอริไม่แปลกใจกับข้อมูลนี้ พอรู้มาบ้างว่าเมย์มีความสามารถมาก มากเสียจนหาใครมาเปรียบเทียบด้วยยาก
“ถึงแม้จะเพียบพร้อม เป็นที่หมายปองของหลายคน แต่เมย์ไม่เคยสนใจใคร มุ่งมั่นอยู่กับการเรียน และการสร้างอนาคตที่มั่นคง จนวันหนึ่ง... ช่วงเริ่มต้นภาคเรียนแรกของชั้นปีที่ 2 ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง เข้ามาสารภาพและขอคบกันในฐานะแฟน ผู้ชายคนนั้นหลงรักเมย์ตั้งแต่แรกเห็น แต่ไม่กล้าจีบ เพราะท่าทางเฉยชาและไม่แยแสใครนั่นแหละ เมย์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ได้แต่เงียบและเดินหนีไป แต่ตาคนนั้นไม่ได้ละความพยายาม เพียรตามตื๊อจนเมย์ใจอ่อน ยอมคบหา และรักกันในที่สุด รักครั้งแรกของเจ้าตัวเลยนะ"
เอริยังคงตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่เพย์ตันเล่า
“สองคนรักกันมาก ขนาดแลกแหวนหมั้น และสัญญาว่าเรียนจบเมื่อไรจะแต่งงานกันทันที ตลอดห้าปีที่คบหากันในฐานะคนรัก ไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง เพราะต่างคนต่างยึดมั่นคำสัญญา เชื่อใจและไว้ใจซึ่งกัน จนถึงวันสำเร็จการศึกษา... เมย์ลืมของไว้ที่ห้องพัก ต้องกลับไปเอา ภาพที่เห็นทำให้ใจของเมย์แหลกสลาย”
เล่ามาถึงตอนนี้ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนต่างสะเทือนใจกับอดีตอันปวดร้าวของเพื่อนรัก
“ภาพที่เห็นคือ... ภาพคนรักของตัวเองกำลัง... เอ่อ... กำลังมีอะไรกับผู้หญิงอื่น บนเตียงนอนที่เมย์และแฟนนอนอยู่ด้วยกันทุกวัน ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นเพื่อนร่วมชั้น เป็นพาร์ตเนอร์แล็บ และเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของคนคู่นี้ สองคนลักลอบคบหากันมานานโดยเมย์ไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย นานมากกว่า 1 ปี จนฝ่ายหญิงตั้งครรภ์อ่อน ๆ มันน่าเจ็บใจไหม... ทันทีที่ฉันกับแอลลิสันรู้เรื่อง เราสองคนกังวลว่าเมย์จะแย่ แต่เมย์เข้มแข็งกว่าที่คาดเดาไว้เยอะ อาจารย์เธอเก็บตัว ร้องไห้อยู่คนเดียว เพียง 3 วันก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือใจ ใจที่ปิดกั้น ไม่ยอมรับความรัก ความหวังดีจากใครอีก ไม่ต่างอะไรกับคนที่ขังตัวเองไว้ในห้องมืด ปล่อยจมอยู่กับความทุกข์ ความผิดหวัง กลายเป็นคนไร้ความรู้สึก ไม่สนใจใคร ไร้รอยยิ้มประดับใบหน้า ไม่มีเสียงหัวเราะเล็ดลอดจากริมฝีปาก”
คนเล่าเว้นจังหวะเพื่อลอบสังเกตปฏิกิริยาของเด็กสาว
“เอริ... อาจารย์เธอเป็นคนแบบนั้นมานาน นานหลายปี แม้จะย้ายจากสถานที่สร้างความเจ็บปวด มาเรียนต่อและตั้งรกรากอยู่ที่นี่ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น เมย์ยังคงเหมือนเดิม จนวันที่ได้พบเธอ วันที่รับเธอเข้ามาเป็นลูกศิษย์ในการปกครอง พวกฉันเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย เธอเหมือนแสงสว่างที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในใจที่มืดมิด เหมือนมือที่ยื่นไปดึงเมย์ให้ก้าวออกจากห้อง เธอทำให้เมย์ยอมเปิดใจอีกครั้ง และฉันเชื่อ เชื่อเหลือเกินว่าเธอ... คือรักครั้งสุดท้ายของเพื่อนฉัน รักที่เมย์ไม่เคยมีให้ใคร แม้แต่กับผู้ชายสารเลวคนนั้น รักเธอจนหมดหัวใจ มาก... มากจนไม่มีที่ว่างสำหรับใครอื่น รักขนาดชีวิตก็มอบให้ได้ เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม... เอริ”
ไม่มีคำพูดออกจากปากของคนเป็นลูกศิษย์ มีแต่น้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม
Email: saruta.map@gmail.com
Facebook: https://www.facebook.com/saruta.map/
Ebook: The Last Love
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ