The Last Love รักครั้งสุดท้าย
เขียนโดย ศรุตา
วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.08 น.
แก้ไขเมื่อ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 22.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) บทที่ 6 การเดินทาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 6
การเดินทาง
เมย์ตามเอริทันก่อนประตูลิฟต์ปิดลงพอดิบพอดี
“ขามาก็มาด้วยกัน ทำไมขากลับถึงหนีกลับก่อนคนเดียวล่ะ ทิ้งกันได้ลงคอนะเอริ”
เอริยังคงไม่ยอมพูด ความเงียบจึงคืบคลานปกคลุมตั้งแต่ภายในลิฟต์จนกระทั่งกลับถึงบ้าน
ลงจากรถได้ เอริรีบวิ่งเข้าห้องนอน ขลุกอยู่แต่ในนั้น ข้าวปลาอาหารที่เจ้าของบ้านลงทุนยกไปให้ถึงห้องก็ไม่ยอมแตะ สภาพของผู้เป็นดวงใจตอนนี้ เห็นแล้วเมย์อดห่วงไม่ได้ เด็กสาวที่พกพาความร่าเริง แจกจ่ายรอยยิ้มให้คนมองรู้สึกสว่างไสว ใจละลาย อดไม่ได้กับการยิ้มตาม หายไป เมย์อยากได้เอริคนเดิมของเธอกลับคืนมาเหลือเกิน หากแต่ไม่รู้ควรทำอย่างไร
เมย์เองก็ขลุกตัวอยู่ในห้องด้านหลังบริเวณที่เป็นอ่างจากุซซี่ เพื่ออาศัยความเงียบและการเป็นเอกเทศจากส่วนอื่น ขบคิดหาทางนำเอริคนเดิมกลับมา
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสำนึกผิด พูดคุย หรือปรับความเข้าใจกัน เอริไม่พร้อมฟังคำปลอบโยน หรือการอธิบายความรู้สึกจากเธอ การเผชิญกับปัญหาที่สร้างความไม่สบายใจอย่างท่วมท้น บางครั้งเด็กสาวไม่ต้องการสิ่งใด ๆ แม้แต่คำพูดหวานเพื่อปลอบประโลม แค่เพียงอ้อมกอดจากใครสักคนที่เข้าใจดีถึงความรู้สึก มอบความอุ่นใจให้ได้ ทว่าตอนนี้คงไม่กล้าพอที่จะทำ
สายตาจากนัยน์ตาสีฟ้าครามทอดไปยังผนังห้องฝั่งตรงข้ามกับเก้าอี้ทำงานตัวที่กำลังนั่งอยู่ ผนังด้านนี้ถูกดัดแปลงเป็นตู้โชว์ขนาดใหญ่ ประตูบานเลื่อนทำจากกระจกใส ภายในถูกประดับด้วยสิ่งของที่เจ้าของสถานที่นิยมชมชอบ สบโอกาสก็จะแวะเวียนเข้ามาชื่นชมอยู่เป็นนิจ ของสิ่งนี้คือ Music box หรือกล่องดนตรี เมย์เก็บสะสมนานหลายปี มีมากมายหลายชิ้น หลากรูปแบบ จากหลายสถานที่ และหนึ่งในนั้นมาจากสถานที่ที่ดลใจเมย์ให้พบกับทางออก
“ฉันคงต้องพาเธอไปจากที่นี่สักพักแล้วล่ะเอริ ไปให้พ้นจากความวุ่นวายบ้า ๆ แม้เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ยังดี”
ขณะปลดปล่อยความคิดล่องลอยไปไกลแสนไกล ประตูห้องนอนที่เคยปิดสนิทถูกเปิดออก สะดุ้งสุดตัวเพราะความตกใจ ต้องตกใจยิ่งกว่าเสียงประตูก็กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่อยู่ในมือข้างหนึ่งของคนที่เข้ามา
จู่ ๆ เมย์เข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ไม่พูดอะไรสักคำ รูดซิปกระเป๋าเดินทาง เปิดประตูตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าบางส่วนจากในตู้ใส่ลงกระเป๋า เอริมองผ่าน ๆ เห็นว่าด้านในนั้นมีเสื้อผ้าของเมย์วางอยู่ก่อนแล้ว ไม่เข้าใจว่าผู้เป็นอาจารย์กำลังทำอะไร ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา อดไม่ได้ที่ใจต้องรู้สึกเจ็บแปลบ
หรือเธอต้องออกไปจากที่นี่อีกครั้ง แต่ทำไมถึงมีเสื้อผ้าของเมย์อยู่ด้วยล่ะ ยังไม่ทันคิดตรึกตรอง คนที่วุ่นวายกับกระเป๋าก็ส่งเสียงถาม
“พาสปอร์ตของเธออยู่ที่ไหน”
ไม่รอฟังคำตอบ เจ้าของคำถามเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ หยิบเอาพาสปอร์ตที่อยู่ในนั้นใส่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวเอง ยังไม่ลืมเดินกลับมาหยิบยาประจำตัวของเอริที่โต๊ะข้างเตียงใส่ในกระเป๋าเดินทาง
รูดซิปเรียบร้อย เมย์เข้ามาจับมือเอริ ออกแรงฉุดให้ลุกขึ้นยืน
“ไป! ไปกับฉัน”
“ปะ ไป? ไปไหนคะ?”
ปากอยากถามจุดหมายการเดินทาง เพื่อถ่วงเวลาและหาทางขัดขืน แต่ขาเจ้ากรรมช่างไม่จงรักภักดี เดินตามต้อย ๆ จนถึงหน้าบ้านที่มีรถแท็กซี่จอดรออยู่
“ขึ้นรถสิ”
“เราจะไปไหนกันคะ”
“เดี๋ยวถึงแล้วก็รู้เอง”
เอริเข้านั่งยังเบาะหลังรถแท็กซี่ก่อนเมย์จะตามเข้ามาติด ๆ เด็กสาวได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจ เพราะตลอดทางคนเป็นอาจารย์ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
รถแท็กซี่เลี้ยวเข้าจอด ณ สถานที่คุ้นตาจนเอริต้องอุทานเบา ๆ ด้วยความแปลกใจ “สนามบินคเวเซอร์นี่นา”
“ลงจากรถได้แล้วเอริ” เมย์หันมาพูดกับเอริก่อนพาร่างสูงโปร่งและสมส่วนของตัวเองออกจากรถ
เจ้าของร่างแบบบางรีบทำตาม จนมายืนเคียงกัน และตัดสินใจถามอีกครั้ง
“เรามาสนามบินคเวเซอร์ทำไมคะ จะไปไหนกันเหรอคะ”
ฝ่ายถูกถามยังไม่เฉลย เมย์เอามือข้างที่ว่างจากการถือกระเป๋าเดินทางมาจับมือของคนช่างสงสัย พากันเดินเข้าในอาคารสำหรับผู้โดยสารขาออก จนถึงบริเวณหน้าเคาน์เตอร์เช็คอินสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง
“First Class เหรอเนี่ย”
อดไม่ได้กับการระบายยิ้มหลังได้ยินและเห็นท่าทางน่าขันของผู้เป็นลูกศิษย์
จัดการเรื่องเช็คอินและโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องเรียบร้อย เมย์ยื่นพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินให้เอริดูแลในส่วนของตนเอง
“เอ้า ของเธอ เก็บไว้เองละกัน”
เอริรีบกวาดสายตามองหาจุดหมายปลายทางบนตั๋วเครื่องบินทันที ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าสถานที่ที่กำลังเดินทางไปคือประเทศที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเมย์ กำลังจะเอ่ยปากถามหาเหตุผล กลับถูกอีกฝ่ายชิงตัดหน้าเสียก่อน
“รีบหน่อยเอริ จวนได้เวลาเครื่องออกแล้ว เรามากันช้าไป”
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้พักใหญ่ เอริตัดสินใจหันมาเผชิญหน้ากับเมย์ หลังเฝ้ามองทัศนียภาพนอกหน้าต่างนับตั้งแต่วินาทีที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวนี้
“เมย์”
“หืม” เมย์ตอบรับเสียงเรียกจากคนข้าง ๆ สั้น ๆ ขณะสายตายังไม่ละจากนิตยสารในมือ
“คือไออยากรู้ว่า... เมย์จะพาไอไปที่นั่นทำไม”
ตาสีฟ้าครามยอมละจากนิตยสาร เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำถาม
“พอดีฉันมีธุระต้องไปทำ ก็เลยเอาเธอติดไปด้วย ถ้าธุระของฉันเสร็จเร็วกว่ากำหนด ฉันคงพอมีเวลาพาเธอเที่ยวได้บ้าง มีอะไรอยากรู้อีกไหม”
ตาสีดำกลับมาจับจ้องสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่าง ใบหน้าบ่งบอกความไม่สบอารมณ์ เธอคาดว่าจะได้ยินอะไรทำนองนี้ ‘ฉันตั้งใจพาเธอไปเที่ยวพักผ่อนที่นั่น’ หรือไม่ก็ ‘ฉันอยากพาเธอไปรู้จักบ้านเกิดของฉัน’ แต่นี่อะไร คำตอบที่ได้รับกลับเป็น ‘ฉันมีธุระต้องไปทำที่นั่น เลยเอาเธอติดไปด้วย’
“เชอะ! คนอะไรบ้าชะมัด”
ถึงเสียงบ่นพึมพำจะเบาคล้ายเสียงกระซิบ แต่ไม่อาจรอดพ้นจากการได้ยินของคนข้างเคียงไปได้
“ว่าอะไรนะ?”
“เปล่านี่ หูฝาดรึเปล่า”
เมย์แอบยิ้ม หลังเห็นหน้าไม่สบอารมณ์และกิริยางอนน้อย ๆ
นั่งเครื่องบินยาวนานถึง 8 ชั่วโมงเต็ม ในที่สุดทั้งคู่เดินทางถึงที่หมาย ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าเดินทาง เมย์พาเอริมายังจุดนัดพบของสนามบิน ชายสูงวัย รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ อายุราวหกสิบปีขึ้นไป ท่าทางยังแข็งแรง เดินเข้ามาหาพวกเธอ เมื่ออยู่ในระยะสายตา เอริสังเกตเห็นการแต่งกายที่เรียบร้อยและดูเป็นทางการ กางเกงสแล็คสีดำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ติดกระดุมทุกเม็ด ผูกคอเสื้อด้วยหูกระต่ายสีดำ สวมทับอีกชั้นด้วยเสื้อกั๊กสีเดียวกับกางเกง ก่อนคลุมทับด้านนอกสุดด้วยเสื้อสูทสีดำเช่นเดียวกัน ดูแล้วไม่ต่างอะไรจากชุดพ่อบ้าน หรือคนขับรถหรู เช่น ลีมูซีน
“ดอกเตอร์มาถึงนานหรือยังครับ” คำทักทายจากชายสูงวัยบ่งบอกความนอบน้อมที่มีต่อคู่สนทนา
“เพิ่งมาถึงน่ะ ลุงจอห์นรอนานไหม” คำทักทายของเมย์ราวกับคนรู้จักและสนิทสนม
“ไม่นานครับ ผมเพิ่งมาถึงสักพักเอง ส่งกระเป๋ามาให้ผมเถอะครับ”
เมย์ยื่นกระเป๋าให้ ก่อนแนะนำคนมาด้วยกับชายสูงวัย
“อ้อ ลุงจอห์น นี่เอริ ลูกศิษย์ของฉัน”
“สวัสดีค่ะ” เอริเอ่ยคำทักทายพร้อมรอยยิ้มสดใสอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
“เอริ นี่ลุงจอห์น... ลุงจอห์นเป็นทั้งคนขับรถและช่วยดูแลรถของฉันที่อยู่ที่นี่”
ลุงจอห์นยิ้มให้เอริอย่างเอ็นดู ก่อนหันมาพูดกับเมย์อย่างพินอบพิเทาเช่นเคย
“เชิญทางนี้ครับดอกเตอร์ ผมจอดรถไว้ทางด้านนี้ครับ”
เมย์จูงมือเอริ เดินตามคนขับรถประจำตัวไปตามทางที่ฝ่ายนั้นนำไป
ขณะจูงมือกัน เอริหมกมุ่นกับความคิดว่าอาจารย์ของเธอไปมีคนขับรถส่วนตัวตั้งแต่เมื่อไร ปกติชอบขับด้วยตัวเอง ไม่ค่อยยอมให้ใครขับให้นั่ง แล้วยังคำพูด‘ลุงจอห์นเป็นคนช่วยดูแลรถที่อยู่ที่นี่’ ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร เท่าที่รู้คือเมย์ย้ายออกจากที่นี่ มาตั้งรกรากอยู่คเวเซอร์ตั้งแต่ยังเรียนปริญญาโท
ยังไขข้อสงสัยไม่สำเร็จ เอริถูกพาเดินจนมาถึงรถคันดังกล่าว รถยนต์ตรงหน้าคือเมอร์เซเดส-เบนซ์ คันใหญ่ สีดำ หรูหรา ราคาคงไม่ใช่ถูก ๆ เสียงเรียกของเมย์ทำให้หลุดจากภวังค์
“ขึ้นรถสิเอริ เกือบสองทุ่มแล้ว เดี๋ยวถึงที่พักดึกกันพอดี”
เอริทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนรถเคลื่อนตัว ลุงจอห์นหันมาถามอาจารย์ของเธอซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันที่เบาะหลัง
“ดอกเตอร์จะไปบ้านเลย หรือว่า...”
“ไปหาเจนน่าที่โรงแรมก่อน ฉันบอกให้เตรียมอาหารเย็นไว้ให้ กินเสร็จแล้วค่อยกลับบ้าน”
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง รถยนต์หรู ราคาแพงจอดสงบนิ่งอยู่ด้านหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นตึกสูงสามชั้นติดกันทั้งหมด 3 คูหา ตัวตึกก่อด้วยอิฐก้อนใหญ่สีน้ำตาลเข้ม เมื่อถูกประดับประดาด้วยแสงสีส้มจากโคมไฟยามค่ำคืน ดูสวยงามไปอีกแบบ เอริมองดูความงดงามด้วยความดื่มด่ำใจ จนเสียงหนึ่งดังขัดความสำราญและทำลายความเงียบที่ปกคลุมตั้งแต่ออกจากสนามบินจนถึงปลายทาง
“ถึงแล้วเอริ วันนี้เป็นอะไร เห็นเอาแต่เหม่อลอยทั้งวัน เดี๋ยวเรากินข้าวเย็นที่นี่กันก่อน แล้วค่อยไปที่พักนะ”
“ก็จะไม่ให้เหม่อได้ยังไงกันเล่า วันนี้ทั้งวันตัวเองนั่นแหละ ไม่รู้สรรหาอะไรมาให้แปลกใจอยู่ได้” เอริบ่นพึมพำเบา ๆ คนเดียว แต่ไม่รอดพ้นความสามารถทางการได้ยินของเมย์
“ว่าอะไรนะ?”
“เปล่านี่คะ แล้วทำไมวันนี้ถึงหูฝาดทั้งวันเหมือนกันละคะ”
เมย์ยิ้มก่อนก้าวนำออกจากรถ เดินตรงไปที่ประตูทางเข้าของตึก ซึ่งตรงนั้นมีคนมายืนรออยู่ก่อนแล้วถึงสองคนด้วยกัน
เอริกระวีกระวาดตามผู้เป็นอาจารย์ ด้วยความที่ยังมัวชื่นชมบรรดาโคมไฟ เลยไม่ทันสังเกตว่าเมย์เดินถึงที่หมายเรียบร้อย ทำให้ชนเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่ายเต็มเปา ต้องร้องเสียงดังเพราะความเจ็บ
“โอ๊ย! จะหยุดก็ไม่บอก เจ็บนะเนี่ย”
บ่นไปก็เอามือลูบหน้าไป เจ้าของแผ่นหลังเองหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน และอดหยอกเย้ากลับไปไม่ได้
“อ้าว ทำไมกลายเป็นความผิดของฉันไปแล้วล่ะ ก็เดินไม่ดูเองนี่นา ซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะเราน่ะ”
อากัปกิริยาระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์พลอยทำให้คนรอรับการมาเยือนต้องยิ้มด้วยความสุขใจ เพราะนานเหลือเกินที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะ หรือเห็นรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของเมย์
หยอกเย้าจนพอใจ เมย์กลับมาให้ความสนใจแก่คนที่ยืนตรงประตู
“แพทริค เจนน่า นี่เอริ ลูกศิษย์ฉัน”
“สวัสดีค่ะ” อีกครั้งกับการกล่าวทักทายคนที่เมย์แนะนำพร้อมรอยยิ้มสดใส
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเจนน่า และนี่แพทริค สามีของฉันค่ะ เราสองคนเป็นคนดูแลโรงแรมแห่งนี้ค่ะ” เจนน่ากล่าวทักทาย พร้อมแนะนำผู้ชายที่ยืนข้างกันให้ได้รู้จัก
เมย์กล่าวตัดบทหลังทั้งสองฝ่ายทำความรู้จักกันเรียบร้อย
“เจนน่า อาหารเย็นที่ให้เตรียม พร้อมแล้วใช่ไหม”
“พร้อมแล้วค่ะ เชิญเลย” เจนน่าเดินนำเข้าด้านใน ผ่านล็อบบี้เล็ก ๆ ตกแต่งสวยงาม ดึงดูดใจผู้มาเยือน จนกระทั่งถึงห้องอาหารของโรงแรม
เจนน่าเดินนำจนถึงโต๊ะอาหารตัวหนึ่ง ตั้งอยู่ด้านในสุด และค่อนข้างเป็นเอกเทศจากตัวอื่นที่มีคนกำลังนั่งรับประทาน
“เมย์... นั่งรอสักครู่นะ เดี๋ยวจะเริ่มเอาอาหารมาเสิร์ฟให้ แล้วเครื่องดื่มจะเป็นอะไรดี”
“ของฉันขอไวน์แดง แล้วเธอจะดื่มอะไร เอริ”
“ของหนูขอแค่น้ำเปล่าก็พอค่ะ” เอริจงใจบอกคนกำลังยืนรอ ไม่ใช่คนที่เพิ่งถามคำถามกับเธอ
เจนน่าจากไป และกลับมาพร้อมอาหารเย็นแบบครบสูตร เริ่มต้นจากซุปแครอทรสชาติกลมกล่อม กินคู่กับขนมปังก้อนกลมอบเสร็จใหม่จากเตา ตามด้วยสเต็กปลาจักรผาน (Indian Halibut) เนื้อขาวจั๊ว หมักและปรุงรสด้วยเครื่องเทศสูตรพิเศษของทางโรงแรม ตบท้ายด้วยเค้กช็อกโกแลตเนื้อนุ่ม สอดไส้ระหว่างชั้นด้วยครีมช็อกโกแลตเนื้อเนียนและสตรอเบอร์รี่สด หวานกรอบ ทานแล้วเข้ากันได้ดี รสชาติไม่หวานจัดจนเกินไป
กว่าจะเสร็จจากมื้ออาหาร จนกลับออกมายืนอยู่บริเวณหน้าโรงแรมอีกครั้ง จวนจะสี่ทุ่มอยู่แล้ว เอริบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างอาจารย์กับเจนน่าก่อนก้าวขึ้นรถ
“เมย์... เรื่องนั้นน่ะ....”
“ไว้คุยกันพรุ่งนี้ คืนนี้ดึกแล้ว ฉันขอตัวกลับไปพักก่อน”
เอริได้แต่เก็บงำความสงสัยไว้ในใจ มันต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น และคงสำคัญมากจนทำให้เมย์ดั้นด้นเดินทางมาที่นี่แบบกะทันหัน
รถยนต์คันหรูโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้ง พร้อมความเงียบที่กลับเข้าปกคลุมด้านใน
ออกจากตัวเมืองซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของโรงแรม รถยนต์คันดังกล่าวมุ่งหน้าสู่เขตชานเมือง สังเกตจากทิวทัศน์สองข้างทางที่เปลี่ยนจากตึกรามบ้านช่อง เปิดไฟกันสว่างไสว เป็นทุ่งหญ้า ต้นไม้ และบ้านเดี่ยวที่มีให้เห็นประปราย
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงเมอร์เซเดส-เบนซ์คันงามแล่นเข้าจอดยังสถานที่แห่งหนึ่ง มองดูก็รู้ว่าเป็นบ้านพักของใครสักคน ลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียว ขนาดไม่ใหญ่ แต่ไม่เล็กจนคับแคบ ความสวยของบ้านเทียบไม่ได้กับความงดงามของอาณาบริเวณรอบ ๆ กลางคืนยังสวยสะดุดตาขนาดนี้ ถ้าเป็นกลางวันคงยากสรรหาคำมาอธิบาย
ด้านหน้าคือสนามหญ้าสีเขียวชอุ่ม ตัดด้วยแปลงไม้ดอกที่กำลังผลิดอกอวดสีสันแข่งกัน ต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบแผ่กิ่งก้านสร้างร่มเงาแก่ตัวบ้าน และอาณาบริเวณ ด้านหลังคือทะเลสาบขนาดย่อม บรรจุน้ำใสสะอาด มองแล้วช่วยให้จิตใจสับสนวุ่นวายสงบไปตามความนิ่งของน้ำ
เอริตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งเหล่านี้ จนเสียงเรียกคุ้นเคยช่วยให้คืนสติ
“เอริ เอริ”
“คะ?”
“เข้าบ้านกันเถอะ”
ประตูบ้านเปิดออกจากทางด้านใน ขณะเมย์กำลังเอื้อมมือจับลูกบิดประตู เจ้าของการกระทำเป็นชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่ง อายุคงใกล้วัยเกษียณเต็มทน รูปร่างท้วม ใบหน้าบ่งบอกความใจดี
“สวัสดีครับ/ค่ะ ดอกเตอร์”
“สวัสดีเอ็มม่า สวัสดีโรเบิร์ต สบายดีไหม” เมย์ทักทายด้วยความสนิทสนม ก่อนแนะนำคนข้างตัวให้ได้รู้จัก
“นี่เอริ ลูกศิษย์ฉัน”
“เอริ นี่เอ็มม่า และนี่โรเบิร์ต สองคนนี้เป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ ส่วนบ้านของพวกเขาก็หลังที่เธอเห็นอยู่ไม่ไกลนั่น”
“สวัสดีค่ะ” รอยยิ้มสดใสและจริงใจยังมีมอบให้แก่คนที่อาจารย์แนะนำให้รู้จักไม่เสื่อมคลาย
“กลับไปได้แล้วล่ะ ดึกมากแล้ว ขอบใจมาก เดี๋ยวอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ฉันก็จะเข้านอนเหมือนกัน”
ก่อนเอ็มม่าและโรเบิร์ตจะเดินจากไป เมย์เรียกอีกครั้งเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
“เอ็มม่า พรุ่งนี้ช่วยมาทำอาหารเช้าให้ด้วยนะ สัก 8 โมงก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะดอกเตอร์”
ด้านในของบ้านหลังนี้ดูเผิน ๆ ไม่ต่างจากบ้านของเมย์ที่คเวเซอร์เท่าใดนัก พ้นประตูทางเข้าบ้าน ด้านซ้ายมือถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่าคือห้องครัว มีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารขนาดกลางทำจากไม้วางอยู่ ส่วนที่มีขนาดเล็กกว่าใช้สำหรับซักล้าง ทำความสะอาดเสื้อผ้า
ด้านขวามือ สิ่งสะดุดตาเป็นอันดับแรกคือความงดงามของทะเลสาบที่มองเห็นผ่านผนังของบ้านซึ่งทำจากกระจกใส หากต้องการการชื่นชมแบบไร้สิ่งขวางกั้น สามารถออกไปยืนรับลมและอากาศบริสุทธิ์ได้จากระเบียงไม้สีขาว สร้างยื่นออกไปจากตัวบ้าน หลังกระจกตรงส่วนที่เป็นระเบียงคือชุดโซฟาขนาดใหญ่สีขาวสะอาดตา มุมสุดของห้องคือโต๊ะกลมพื้นหน้าเป็นกระจกใส เก้าอี้สี่ตัวเข้าชุดกัน และชั้นหนังสือขนาดย่อม
ด้านหลังส่วนพักผ่อนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองห้อง คือห้องทำงานขนาดเล็ก และห้องนอนขนาดใหญ่เพียงห้องเดียวของบ้าน
เดินนำเอริเข้าในบ้านจนถึงห้องนอน เมย์จัดการกับบาดแผล และร่างกายของเด็กสาวด้วยการเช็ดตัวให้เหมือนที่ทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนบอกอะไรบางอย่าง
“เอริ ที่นี่มีห้องนอนแค่ห้องเดียว เธอกับฉันคงต้องนอนด้วยกันที่นี่ บนเตียงนี้ หรือ... เธอจะให้ฉันออกไปนอนโซฟาข้างนอก”
เงียบ... ไม่มีเสียงตอบรับแสดงความเข้าใจ ลูกศิษย์ตัวดีกลับมาอยู่ในโหมดนิ่ง เงียบ ไม่ยอมพูดจา เมย์ลอบถอนหายใจ หนักใจกับคนตรงหน้า
“เรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วงนะ เธอไม่ต้องลงมือทำเอง หรืออกไปหาซื้ออะไรเข้ามากิน เอ็มม่าจะเป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง อยากได้อะไร ก็บอกเอ็มม่าได้เลย”
เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เมย์จึงเดินหายเข้าห้องน้ำส่วนตัวที่อยู่ภายในห้องนอน เป็นอีกครั้งที่ต้องใช้เสียงน้ำจากฝักบัวกลบเสียงร้องไห้
Email: saruta.map@gmail.com
Facebook: https://www.facebook.com/saruta.map/
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ