The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
98) มอนสเตอร์โบราณ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://wallpapercave.com
เช้าวันที่สามของการเดินทาง บรรยากาศยังเต็มไปด้วยความสดใสเฉกเช่นทุกวัน คล้ายว่าพวกเขาตั้งแคมป์อยู่กลางพื้นที่โล่งอันมีอากาศถ่ายเทสะดวก แต่แท้จริงแล้ว สถานที่ๆพำนักก็คือ.....กลางดงดิบที่รายล้อมไปด้วยไม้ใหญ่
เหล่าหนุ่มสาวช่วยกันเก็บกวาดแคมป์ไฟ แน่นอนว่าเจ้าลิงหัวเขียวคิดจะเบี้ยวอยู่เนืองๆ แต่พอได้สบตากับเหมยลี่ เขาก็จำใจต้องช่วยงานต่อไป เมื่อถึงเวลา 8 นาฬิกา ทั้งสามก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง
ในการเดินทางครั้งนี้ โจจี้ค่อนข้างระวังตัว สังเกตได้จากท่าทีที่เงียบขรึมและดวงตาที่กวาดไปทุกทิศทุกทาง อากัปกิริยาเช่นนี้ ทำให้เหมยลี่เดินไปปิดท้ายและเริ่มระวังตัวดุจเดียวกัน ถ้าจะมีแกะดำซักตัวก็คงเป็นมาวิน เพราะเจ้าลิงน้อยเอาแต่หาวหวอดๆไปตลอดทาง ดูท่าทางจะไม่สำเหนียกอะไรเลยซักนิด
เมื่อถึงเวลาเที่ยงตรง ทั้งสามก็เดินทางมาถึงเชิงเขาสูง โจจี้สั่งให้หยุดพักชั่วคราว นับว่าเป็นการพูดครั้งแรกของวัน
“ เอาล่ะ หยุดพักกันก่อน เหมยลี่ เธอช่วยก่อกองไฟที เดี๋ยวชั้นจะออกไปสำรวจแถวนี้หน่อย ” โจจี้พูดจบ เขาก็หายลับไปในหมู่ไม้
หลังจากโจจี้ไปแล้ว เหมยลี่ก็เอ่ยขึ้นมาเรียบๆด้วยเสียงที่หนักแน่น อันเป็นการบังคับอยู่กลายๆ
“ เจ้าลิงหัวเขียวก่อกองไฟเดี๋ยวนี้ ถ้าชั้นกลับมา แล้วยังไม่เรียบร้อย นายเจอดีแน่ ”
“ เอ๊ะ เดี๋ยว แล้วเธอจะไปไหนอีกคนล่ะเนี่ย ” มาวินอุทานดังด้วยความตกใจ
แน่นอนว่าเหมยลี่ไม่ได้หันกลับมาตอบ เธอเดินไปทางเดียวกับโจจี้ โดยทิ้งให้มาวินเฝ้าที่พักตามลำพัง พอทุกคนหายไป เด็กหนุ่มก็ได้แต่ทำตาปริบๆ พร้อมรำพันกับตัวเอง
“ นี่เล่นหายไปกันหมด แล้วชั้นจะไปเกี่ยงงานกับใครเล่า เฮ้อ......วัยรุ่นเซ็งเลย ”
หลังจากบ่นเสร็จ เจ้าลิงหัวเขียวประจำคณะก็ลุกขึ้นยืนช้าๆอย่างเกียจคร้าน แล้วเดินไปหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟ
โจจี้เดินไปรอบๆที่พักอย่างระมัดระวัง ทุกย่างก้าวล้วนผ่านการสอดส่องจากสองตาคมกริบ ปลายจมูกเชิดสูง เพื่อดมกลิ่นที่ลอยอยู่กลางอากาศ หูเปิดรับอย่างเต็มที่จนได้ยินแม้กระทั่งเสียงหนอนคลาน ทันใดนั้นเอง ฮันเตอร์หนุ่มก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมชักดาบคาตานะออกมา เพื่อเตรียมรับสถานการณ์
“ ซวบ...... ”
เสียงพุ่มไม้ไหวดังขึ้นที่ด้านหลัง นับว่าโจจี้มีประสาทหูที่ว่องไวสมกับเป็นฮันเตอร์โดยแท้ เขารู้ทันทีว่ามีใครบางคนกำลังฝ่าพุ่มไม้เข้ามา เมื่อพบกับบุคคลที่ก่อให้เกิดเสียง ก็รู้ว่านั่นคือ…..เหมยลี่ นักล่าเงินรางวัลจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมเสียบดาบเข้าฝัก
“ เฮ้อ...... นึกว่าตัวอะไร ที่แท้เหมยลี่นี่เอง ”
เหมยลี่ยังไม่พูดอะไร แต่ดวงตาที่จับจ้องมายังโจจี้นั้นเต็มไปด้วยคำถาม ร้อนถึงฮันเตอร์หนุ่มที่ต้องเป็นฝ่ายเฉลย
“ ไม่มีอะไรหรอก ชั้นแค่อยากสำรวจพื้นที่โดยรอบ เพื่อให้ชัวร์ว่าไม่มีอะไรย่างกรายเข้ามา ”
“ แล้วเจออันตรายมั้ย ” เด็กสาวถามกลับ ดวงตาคมเข้มยังจับจ้องมาที่โจจี้ไม่วางวาย
“ อืม......ยังไม่เจออะไร แต่ก็ควรระวังตัวให้ดี เพราะตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่กลางป่าดงดิบ ” โจจี้มองไปรอบๆ
“ หรืออีกนัยหนึ่ง นายเริ่มระแคะระคายแล้วว่า.....กำลังมีอันตรายรายล้อมรอบเรา ” เหมยลี่ล้วงลึกในสิ่งที่คิด เมื่อโจจี้ได้ฟัง ใบหน้าเรียวก็กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
“ อืม..... ก็กะไว้แล้วว่าน่าจะหลอกเธอไม่ได้ นี่รู้มานานแล้ว ใช่มั้ย ”
“ ใช่ ตกลงนายเห็นร่องรอยของอะไรและเห็นเมื่อไหร่ ” เหมยลี่ถามไถ่ สีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
“ ช่วงกลางวันของเมื่อวาน ชั้นเห็นรอยลากของอะไรซักอย่างที่หนักและใหญ่ตรงด้านหลังแคมป์” โจจี้ตอบเบาๆ ดวงตาคมยังไม่เลิกมองพื้นที่โดยรอบ
“ อืม......งั้นก็น่าจะเป็นรอยเดียวกับที่ชั้นเห็น เพราะเท่าที่นายเล่ามา มันดูใกล้เคียงกันมาก ” เหมยลี่กล่าวอย่างระมัดระวัง สีหน้าครุ่นคิด
“ เอ๊ะ เธอก็เห็นร่องรอยของมันด้วยเหรอ เจอเมื่อไหร่ล่ะ ” โจจี้เลิกคิ้วสูง เขาเชื่อโดยสนิทใจว่าตาไม่ฝาดแน่ๆ เพราะมีเพื่อนร่วมทางพบเห็นเป็นพยานอีกคน
“ ประมาณตอนเย็นของเมื่อวาน ปรากฏข้างถ้ำเล็กๆที่เราพัก หวังว่ามันคงไม่ใช่…… ” เหมยลี่ตอบกลับ สีหน้าแสดงออกถึงความตึงเครียด บ่งบอกว่าสิ่งที่เธอสงสัยเป็นบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัว
“ รอยลากในลักษณะนี้ หรือว่ามันคือ….โอโบอา ” โจจี้ยืนยัน น้ำเสียงไม่ค่อยสู้ดี
สิ้นคำของโจจี้ ทั้งสองก็เงียบไปหลายอึดใจ ราวกับว่าตัวประหลาดที่มีนามว่า….โอโบอา จะมีพิษสงมากพอที่ทำให้ยอดฝีมืออย่างพวกเขานึกหวั่นเกรง แต่ไม่นาน เด็กสาวร่างสูงก็กล่าวในเชิงบวก
“ แต่ร่องรอยที่เจอล่าสุดก็คือเมื่อวาน ป่านนี้มันคงไปไหนต่อไหนแล้ว ”
“ เหอๆ ก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ” โจจี้หัวเราะแปร่งๆ
สองหนุ่มสาวสบตากัน ไม่นาน โจจี้ก็เดินนำไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ส่วนเหมยลี่ก็เดินตามไป โดยไม่ไถ่ถามเช่นกัน
ทั้งคู่เดินตามกันได้ครู่หนึ่ง ก็มาถึงพงหญ้าหนาที่สูงท่วมหัว โจจี้จัดการแหวกวัชพืชไร้ค่าออก แล้วหันมาขยิบตาเป็นสัญญาณให้เหมยลี่เข้ามาดู
“ อืม..... ” เหมยลี่พยักหน้ารับคำ พร้อมก้าวเข้ามาดูตามคำเชิญ ทันใดนั้นเอง เด็กสาวร่างสูงก็พบกับบางอย่างที่ทำให้ตื่นตระหนก
สิ่งนั้นก็คือ……รอยลากของอะไรซักอย่างที่ใหญ่ขนาดท่อนซุงเรียงกัน 4 ท่อน คาดว่าน้ำหนักของมันน่าจะไม่ต่ำกว่า 1 ตัน เพราะกดทับหญ้าคาที่สูงท่วมหัวให้ลู่ลงต่ำจนเห็นพื้นดิน รอยนั้นลากเป็นทางยาวและหายลับไปในคาคบไม้
“ บ้าน่า ” เหมยลี่พึมพำเบาๆ
“ ใช่แล้ว ร่องรอยยังสดใหม่ คาดว่าไม่เกิน 2 ชั่วโมง เมื่อพิจารณาโดยละเอียด พบว่ามันคือมอนสเตอร์โบราณที่มีชื่อว่า….โอโบอา และเจ้านั้นไม่ได้หายไป แต่ยังวนเวียนอยู่ใกล้กลุ่มของพวกเรา ” โจจี้ย้ำ
“ แต่ชั้นได้ข่าวว่าโอโบอาสูญพันธุ์ไปแล้วนี่ และจะเป็นมันไปได้ยังไง ” เหมยลี่แย้ง ทว่าโจจี้ไม่ตอบคำใด เขาล้วงเข้าไปในอกเสื้อ เพื่อเอาบางสิ่งออกมา เมื่อเด็กสาวได้เห็น ใบหน้าก็ถึงกับถอดสี เพราะมันคือเกล็ดงูขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือที่สลักตรงกลางเป็นรูปสายฟ้า
“ ชั้นเก็บเกล็ดนี้ได้ที่พุ่มไม้ใกล้รอยลาก แบบนี้ พอจะยืนยันได้แล้วใช่มั้ยว่าเป็นมัน ” โจจี้เอ่ยถาม
“ อืม..... ทั้งร่องรอยและรูปลักษณ์ของเกล็ดงูบ่งชี้ว่าเป็นโอโบอาอย่างแน่นอน แต่ทำไมมันถึงมาวนเวียนอยู่แถวนี้ล่ะ ” เหมยลี่ครุ่นคิด
“ น่าจะเป็นไปได้ทางเดียว นั่นก็คือ…….มันคิดจะกินพวกเราเป็นอาหาร ” โจจี้เฉลย พร้อมกัดฟันกรอดใหญ่ มือขวาขยับมากุมด้ามดาบ
“ งั้นก็…..เอ๊ะ แย่แล้ว ” เหมยลี่ร้องลั่น ด้วยเธอฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“ อะไร ” โจจี้ร้องถามด้วยความตกใจ
“ เราปล่อยให้เจ้าลิงหัวเขียวอยู่คนเดียว ” เหมยลี่กล่าวถึงสิ่งที่กังวล
สิ้นคำของเด็กสาวร่างสูง ก็ปรากฏเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก ทั้งสองรู้เลยว่ากระแสนั้นเป็นของมาวิน
“ จ้าก...... ช่วยด้วย งู.......”
สองหนุ่มสาวพร้อมใจกันวิ่งกลับมายังที่พัก ในใจรู้สึกร้อนรน ทั้งคู่ใช้เวลาไม่นาน ก็มาถึงจุดเกิดเหตุ ทำให้พบกับ......
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดารค์ไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ