The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
96) กลับสู่ดินแดนเก่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://www.deviantart.com
......................
ช่วงแรกของการเดินทาง ค่อนข้างจะง่าย เพราะป่าบริเวณนั้นล้วนแต่เป็นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นอยู่ห่างๆ จึงเกิดทางเดินที่สะดวก ความชุ่มชื่นยามเช้าและเสียงสัตว์น้อยใหญ่ยังคงเซ็งแซ่อยู่โดยรอบ ราวกับมันคือดนตรีป่าที่น่าพิศวง ทุกสิ่งที่บังเกิด ทำให้มาวินรู้สึกตื่นตาตื่นใจถึงขีดสุด เมื่อพลพรรคนักล่าถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ก็ได้พบกับสิ่งประหลาดที่แสนคลาสสิก
บนเนินเขานั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าหนุ่มสาวตกตะลึงก็คือป่าประหลาดที่ปรากฏเบื้องหน้า มันเต็มไปด้วยต้นไม้ซุปเปอร์ใหญ่ บรรยากาศโดยรอบดูแปลกๆ เพราะอากาศบริเวณนั้นคล้ายจะเปล่งประกายสีทองออกมาจางๆ
“ โห...... อเมซิ่งขนานแท้เลย ” มาวินเหม่อมองแสงทองเบื้องหน้า เขายอมรับโดยดุษฎีว่ามันคล้ายกับแสงจากสรวงสวรรค์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ ใช่แล้ว ว่าแต่ ซิ่งๆที่นายพูดเมื่อกี้ มันแปลว่าอะไรเหรอ ” โรคขี้สงสัยของโจจี้กลับมาอีกครั้ง
“ เฮ้อ......มันเป็นภาษาพื้นบ้านของชั้นน่ะ แปลว่ามหัศจรรย์จ้า..... พ่อคนอยากรู้อยากเห็น ” มาวินบ่นพึมพำ ท่าทางดูเซ็งๆ
ทั้งสามเดินผ่านป่ามหัศจรรย์ไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งที่ปรากฏล้วนแตกต่างจากที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ซึ่งมีขนาดสูงใหญ่ เพียงแค่ต้นที่เล็กสุดก็มีความกว้างประมาณหกคนโอบ ส่วนขนาดของต้นไม้ใหญ่นั้นแทบไม่ต้องพูดถึง สิบสองคนโอบจะได้ถึงหนึ่งรอบรึเปล่าก็ยังไม่รู้ มิหนำซ้ำ ตามลำต้นยังมีลวดลายแปลกตาที่ดูสวยงาม ราวกับงานศิลป์ชั้นสูงจากยอดจิตรกร
“ โห.....ว้าว นี่มันอะไรกันเนี่ย งามแท้น้อ.... ” มาวินร้องดัง พร้อมยื่นมือไปลูบคลำลายสลักที่แสนวิจิตรบนต้นไม้ใหญ่
“ นั่นคือร่องรอยประวัติของไม้ต้นนั้น มันถูกจารึกไว้ตั้งแต่เจ้านี่เริ่มแตกหน่อ ” โจจี้กล่าวเบาๆ ประกายตาฉายแววซาบซึ้งกินใจ
“ นายรู้ได้ไงฟะ มันอาจเป็นแค่ลายมั่วๆของต้นไม้ทั่วไปก็ได้ ” มาวินไม่ค่อยเชื่อถือ แต่โจจี้ไม่ตอบกลับ เขาก้าวไปชิดไม้ใหญ่ จากนั้นก็เอื้อมมือไปสัมผัสลายสลักบนลำต้น ดวงตาคมซึ้งเหมือนจะปริ่มน้ำอยู่เล็กน้อย
“ ไม้ต้นนี้กำลังบอกพวกเราว่า….ยินดีต้อนรับ พักผ่อนให้สบายนะ สหาย ”
เมื่อโจจี้พูดจบ ใบเขียวขจีจากไม้ใหญ่หลายสิบต้นก็โปรยปรายลงมาพร้อมกันจนดูคล้ายละอองฝนที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
“ โอ้.....ว้าว แม่เจ้า ” มาวินเงยหน้าขึ้นมองความมหัศจรรย์ที่บังเกิด พร้อมอุทานออกมาเบาๆ ส่วนเหมยลี่ แม้ยังนิ่งสงบ แต่กายกลับกระตุกเล็กน้อย อันบ่งบอกว่าเธอเองก็แอบตกใจอยู่เหมือนกัน
.....................
แก๊งล่ามอนสเตอร์เดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าโจจี้จะชำนาญเส้นทางในป่านี้อยู่ไม่น้อย ล่วงเข้า 17.00 น. พวกเขาก็มาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ปากทางเข้ามีความกว้างขนาดสามคนเดิน เมื่อสำรวจภายใน ก็พบว่ามันลึกเพียง 10 เมตรเท่านั้น
“ เอาล่ะ พวกเราพักกันที่นี้แหละ ” โจจี้ยิ้มนิดๆ ก่อนปลดสัมภาระลง เพื่อก่อกองไฟ
เหมยลี่ลอบมองโจจี้เป็นระยะ เธอเกิดสงสัยในตัวชายหนุ่ม แต่มาวินไม่สนใจอะไรเลย เพียงแค่ได้ยินคำว่าพัก เขาก็ทิ้งตัวลงนอนกลางพื้นดิน พร้อมโวยดัง คล้ายเด็กน้อยคนหนึ่ง
“ โอ๊ย..... เดินมาทั้งวัน เหนื่อยชะมัดยาด ขอพักให้สาสมใจเถอะ ”
เหมยลี่ขยับเข้าไป หวังจะตื้บซักทีสองที โทษฐานนอนไม่เป็นที่เป็นทาง ในขณะที่เข้าถึงตัว เธอก็ได้ยินเสียงกรนน้อยๆจากปากของเด็กหนุ่ม
“ คร่อก...... ฟี้........ ”
เสียงนั้นเป็นสัญญาณบอกว่า......มาวินได้เข้าสู่นินทราเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้โจจี้และเหมยลี่ถึงกับส่ายหน้า พวกเขารู้สึกระอาและเอ็นดู
“ ฮะๆ สำนึกบริสุทธิ์จริงๆ หัวถึงหมอน ก็นอนหลับทันที ” โจจี้หัวเราะเบาๆ
“ อืม....... ” เหมยลี่รับคำ ดวงตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มหัวเขียว มันเปล่งประกายอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างประหลาดจนดึงความสนใจของโจจี้ไปทั้งหมด แต่พอตระหนักถึงความจริงที่ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้ชาย (เข้าใจไปเอง) เขาก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น พร้อมนึกเสียดายอยู่ภายใน
“ สวยขนาดนี้ ไม่น่าจะเป็นผู้ชายเลย น่าเสียดายที่สุด ”
.......................
โจจี้เริ่มสร้างแคมป์ไฟตามสไตค์ของตัวเอง ในครั้งนี้ดูไม่ประณีตเท่าไหร่ เต็นท์ทั้งสามเรียงตัวเป็นหน้ากระดานขวางปากถ้ำ ตรงกลางจุดไฟกองใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีการวางกิ่งไม้ไว้โดยรอบ เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้รู้สึกตัวในยามที่มีตัวอะไรย่องเข้ามา อันบ่งบอกว่า.....ป่าแห่งนี้น่าจะอันตรายพอสมควร
“ คร่อก.......ฟี้ ” มาวินยังกรนอย่างต่อเนื่อง
โจจี้ยุ่งอยู่กับการทำอาหาร เมนูในวันนี้หนีไม่พ้นขนมปังปิ้งและเนื้อตากแห้งที่ซื้อตุนมาจากในเมือง อีกรายการก็เป็นเห็ดย่างหลายชนิด ฝ่ายเหมยลี่ เธอได้แต่นั่งชันเข่ามองหนุ่มผมทอง ดวงตาส่อแววสงสัย
“ ไง เหมยลี่ การเดินทางครั้งนี้สะดวกสบายดีมั้ย ” โจจี้เอ่ยถาม ราวกับว่ารู้ว่าเหมยลี่กำลังแอบมองอยู่ ซึ่งเธอก็ไม่แปลกใจที่คู่สนทนาจะเฉียบคม เพราะบุคลผู้นี้คือฮันเตอร์ระดับสูง
“ ก็สบายดี แต่ยังสงสัยอยู่ ” เหมยลี่ตอบเรียบๆ
“ สงสัยว่าทำไมชั้นถึงรู้ทางในป่านี้ดี ใช่มั้ย ” โจจี้ลองคาดเดา ขณะที่สองมือง่วนอยู่กับการปรุงอาหาร
“ ในเมื่อนายอ่านใจชั้นได้ขนาดนี้ ก็ไม่คิดปิดบัง ใช่ ชั้นคิดแบบนั้นจริงๆ ” เหมยลี่ตอบกลับแบบไม่ลังเล สายตาคมเข้มจ้องมาที่โจจี้แน่วนิ่ง
“ หึๆ ” โจจี้หัวเราะในลำคอนิดหนึ่ง ก่อนละมือจากงานทั้งปวง แล้วเงยหน้าขึ้นสบตา
“ เธอพูดตรงดีนะ งั้นขอสารภาพตามจริง ชั้นเคยอยู่ในป่าแห่งนี้มาหลายสิบปี อยู่นานซะจนที่นี่กลายเป็นบ้านไปแล้ว ” โจจี้ยิ้มเศร้าๆ ท่าทางคล้ายคนที่กำลังรำลึกอดีตที่แสนคิดถึง
พอพูดจบ เหมยลี่ก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าไปหลายอึดใจ เพราะสิ่งที่ได้ยิน มันขัดแย้งกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ถ้าโจจี้อยู่ที่นี่มาหลายสิบปี เขาควรจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี แต่ไม่ว่ามองมุมไหน หนุ่มผมทองก็เหมือนชายวัย 20
“ หรือเจ้าหมอนี่จะหลอกเรา สิ่งที่พูดมา แทบไม่มีความเป็นไปได้เลย ” เหมยลี่แอบขบคิด แต่ไม่ทันได้นึกเรื่องใหม่ โจจี้ก็ล้วงลึกถึงจิตใจ
“ ชั้นอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีจริงๆ ว่ากันตามตรง ชั้นน่าจะมีอายุราวๆ 50 ปีเศษ ”
การกระทำของโจจี้ ทำให้เหมยลี่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สีหน้าที่เคยเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นสับสนและงุนงง
“ เดี๋ยวนะ นายล่วงรู้ในสิ่งที่ชั้นคิดได้ยังไง แล้วไหนจะเรื่องที่บอกว่าตัวเองมีอายุ 50 ปีอีก มันเป็นไปไม่ได้ ”
โจจี้มองมาที่เหมยลี่ สีหน้าและแววตาส่อประกายขบขัน อันคล้ายกับอาการของผู้ใหญ่ที่กำลังหยอกเย้าเด็ก แต่พอผ่านไปครู่หนึ่ง หนุ่มผมทองก็ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล
“ ใจเย็นๆ เหมยลี่ นั่งลงก่อน แล้วชั้นจะอธิบายทุกสิ่งให้เธอเข้าใจ ”
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดารค์ไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ