The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) จุดเปลี่ยนของโชคชะตา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เครดิตภาพจาก http://www.thaithesims3.com
…………………….
มอเตอร์ไซด์ฮอนด้าเคลื่อนล้อมาหยุดอยู่ที่หน้าอนามัย สถานที่แห่งนั้นเป็นตึกสองชั้นทาสีขาว พื้นที่โดยรอบกว้างพอที่จะจอดรถได้ถึงสี่คัน ชั้นล่างของตัวตึกเป็นห้องใหญ่ที่มีกระจกบานเลื่อนขวางกั้นแทนประตู ส่วนชั้นสองถูกแบ่งซอยออกเป็นสามห้องเล็กๆ ซ้ายมือของตัวตึกคือหอสูง มีแท็งค์น้ำเก่าสนิมเขรอะประดับอยู่บนยอด
เด็กวัยรุ่นทั้งสองสำรวจอนามัยหมู่บ้านอยู่ครู่หนึ่ง จันจึงได้ตะเบ็งสุดเสียง เพื่อร้องเรียกน้าชายเจ้าปัญหา
“ น้าเดช จันมาหาค่า....... ”
“ เบาๆ หนวกหูน่า ยัยบ้า ” เด็กหนุ่มหัวเขียวร้องห้าม พร้อมยกมือขึ้นปิดหู เพื่อป้องกันพลังเสียงที่รุนแรงของเพื่อนสาว แต่จันไม่สนใจ เธอยังคงตะโกนต่อไป
“ น้าเดช ออกมาเดี๋ยวนี้ ”
ระหว่างที่เด็กสาวแหกปากอยู่นั้น ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องเล็กบนชั้นสอง เขาซ่อนร่างสันทัดในชุดเสื้อฟุตบอลสีเขียว กางเกงบอลสีขาว สังเกตให้ดี ก็จะพบว่าหนุ่มนายนี้สูงวัยกว่าจันและมาวินอยู่เล็กน้อย ผิวกายค่อนข้างคล้ำ ผมสั้นเกรียน ดวงตาโตที่ดูขี้เล่นถูกซ่อนอยู่ในแว่นตาทรงกลม
ทันทีที่หนุ่มรุ่นพี่เห็นเด็กวัยรุ่นทั้งสอง ใบหน้าซูบผอมก็เริ่มแย้มยิ้มขึ้นมานิดๆ จากนั้นก็กล่าวทักด้วยน้ำเสียงที่นุ่มทุ้มลึก
“ ไง นั่น จันกับมาวิน ใช่มั้ย ”
จันเกิดอาการขรึมขึ้นมาอย่างฉับพลัน ใบหน้าเรียวยาวเริ่มแดงระเรื่อ ดวงตามองต่ำลงไปที่พื้น ส่วนปากก็ตอบกลับแผ่วเบา
“ ค่ะ พี่โอม ”
“ เชอะ หวัดดี พี่โอม ” เด็กหนุ่มหัวเขียวทักบ้าง แต่ท่าทางที่แสดงออกมากลับดูไม่เต็มใจ
“ แหม..... ไม่เจอกันตั้งนาน โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว ครั้งที่แล้วยังเป็นแค่เด็กตัวกะเปื๊ยกที่คอยวิ่งไล่เตะบอลกับพี่อยู่เลย โดยเฉพาะจัน เธอน่าจะสูงพอๆกับพี่แล้วล่ะมั้ง ” หนุ่มรุ่นพี่ผู้มีนามว่า “โอม” กล่าวทักทายด้วยอัธยาศัยอันดี
“ ค่ะ พี่โอม ” เด็กสาวตอบสั้นๆ ใบหน้ายังก้มมองพื้นอยู่นิ่งๆ
“ เออ...... ยังไงขอตัวลาก่อนนะ กะว่าจะแวบหนีน้าเดชน่ะ ช่วงนี้ถ้าเข้าไปหา ก็ระวังตัวกันหน่อย เขากำลังทำการทดลองอยู่ ที่ผ่านมาพี่ต้องมาทำหน้าที่เป็นหนูทดลองให้แกทุกทีเลย ” โอมกระซิบบอกเด็กวัยรุ่นทั้งสอง พร้อมเหลียวซ้ายแลขวาด้วยท่าทางหวาดระแวง
“ การทดลองอะไรหรือคะ ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาถาม ดูเหมือนความสงสัยจะทำให้เธอลืมความอาย
“ ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก พวกเธอต้องเป็นหนูทดลองเอง ถึงจะรู้ ” หนุ่มรุ่นพี่แจงเบาๆ สีหน้ากระอักกระอ่วน คล้ายไม่อยากพูดถึงสิ่งที่กำลังเล่า
ทุกสิ่งคืนสู่ความสงบ แต่ละคนต่างมีสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ เวลาต่อมาหนุ่มรุ่นพี่ก็รีบออกปากลาด้วยท่าทางที่ดูร้อนรน
“ เอาล่ะ พี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวน้าเดชมา จะชิ่งหนีแกไม่ได้ แล้วเจอกัน ”
“ ค่ะๆ ” จันรับคำ แต่ไม่ทันได้หายใจ หนุ่มโอมก็จรลาอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้วัยรุ่นทั้งสองมองตาม หัวสมองมีแต่คำถาม
“ น้าเดชกำลังทำอะไร ทำไมพี่โอมถึงต้องกลัวขนาดนั้น ”
……………………..
จันและมาวินพยายามค้นหาน้าชายจอมเพี้ยนในทุกซอกทุกมุมของอนามัย แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ทำให้ทั้งสองรู้สึกหงุดหงิด
“ น้าเดชหายไปไหนนะ ” เด็กสาวเริ่มโวยวาย
“ นั่นดิ หาจนเหนื่อยแล้ว ตาแก่สติเฟื่องหายไปไหนฟะ ” มาวินโวยมั่ง นับเป็นครั้งแรกที่วัยรุ่นทั้งสองมีความคิดเห็นตรงกัน
สองหนุ่มสาวยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวอยู่พักใหญ่ ดวงตาของเด็กหนุ่มหัวเขียวก็ลุกวาวและตื่นตัว
“ รู้แล้วว่าจะหาแกที่ไหน แม่ของเธอบอกว่าน้าเดชมักจะคลุกอยู่ที่แท็งค์น้ำบนยอดหอสูงใช่มั้ย นั่นแหละคือที่ๆเราจะไปหา ”
“ เออ จริงด้วยซิ ดี งั้นเราไปหากันเถอะ ” เด็กสาวร้องอ้อขึ้นมามั่ง
…………………….
เหล่าวัยรุ่นร่วมกันค้นหาคุณน้าผู้ลึกลับ แรกเริ่มก็สำรวจพื้นที่โดยรอบหอสูงอย่างละเอียด จากนั้นก็ปีนขึ้นไปหาต่อบนยอดหอ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบน้าชายจอมป่วน ทำให้พวกเขาเริ่มท้อใจ
“ เฮ้อ…… ไอ้น้าบ้านี่มันหายไปไหนกันนะ ” มาวินนอนแผ่หลาท้าแสงแดดยามบ่ายอยู่ตรงพื้นที่ว่างบนยอดหอสูง
“ เอาน่า ชั้นเชื่อว่าแกต้องอยู่แถวนี้แหละ เดี๋ยวก็คงหาเจอ ” เด็กสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆพูดขึ้น สายตาทอดลงไปยังพื้นเบื้องล่าง
“ เหรอ แล้วจะเจอเมื่อไหร่ล่ะ ชาติหน้าตอนบ่ายๆหรือไง ” มาวินร้องถาม น้ำเสียงส่อแววหงุดหงิด
เด็กสาวจนด้วยเกล้าที่จะตอบ เพราะตัวเธอเองยังไม่รู้เลยเหมือนกันว่าจะไปหาน้าชายตัวดีได้ที่ไหน ขณะที่กำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้า โสตประสาทก็แว่วเสียงประหลาด
“ ครืด……ตื้ด…… ”
“ เสียงอะไรน่ะ คล้ายเสียงของเครื่องจักรเลย ” เด็กสาวนิ่งคิด พลางสงบใจ เพื่อจับที่มาของเสียงให้ชัดเจน
“ ครืด…..ติ้ด….ตื้ด…. ”
เสียงเครื่องจักรเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง เด็กสาวสงบจิตจนสามารถจับที่มาของเสียง เมื่อรู้ก็ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์แปรเปลี่ยนเป็นมึนงง เพราะเสียงประหลาดนั้นมันดังมาจาก “แท็งค์น้ำ”
“ เฮ้..... ยัยจัน เธอเป็นอะไรไป ทำไมถึงหน้าเครียดแบบนั้น ” เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเด็กสาว มาวินก็ถามไถ่ด้วยอาการร้อนรน
“ ชู่ว...…เงียบๆ แล้วเดินมาทางนี้ ” เด็กสาวร้องเรียกเบาๆอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าเสียงประหลาดที่ได้ยินจะหายไป ถ้าเผลอส่งเสียงดัง
พอมาวินเห็นสีหน้าของเพื่อนสาว เขาก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล จึงลุกขึ้นไปหาจัน พร้อมเอ่ยถามแผ่วเบา
“ มีอะไรหรือ ยัยจัน ”
“ นายลองเงี่ยหูฟังที่แท็งค์น้ำดูสิ มีเสียงอะไรก็ไม่รู้ดังมาจากข้างใน ” เด็กสาวบอกให้เด็กหนุ่มลองสงบใจเพื่อลอบฟังเสียงประหลาดที่กำลังดัง
“ ครืด……ตื้ด……”
“ เฮ้ย นี่มันเสียงอะไรวะเนี่ย ” มาวินถึงกลับถอยหลังหนี เด็กหนุ่มหันกลับไปมองเด็กสาว สีหน้าฉายแววฉงน
“ ไม่รู้ว่านี่คือเสียงอะไร แต่มันฟังคล้ายเสียงของเครื่องจักร น่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน ” เด็กสาวนิ่งคิด ดวงตาส่อแววสงสัยไม่ต่างจากเด็กหนุ่ม
“ เฮื้อก....... แล้วเราจะทำไงต่อ ” มาวินกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
“ ลองเคาะดูก่อนแล้วกัน ” เด็กสาวเสนอแผนการ
“ เฮ้ย อย่าเพิ่งเคาะ คิดให้ดีก่อนซิ ยัยจัน ” เด็กหนุ่มหัวเขียวห้ามปราม แต่ไม่ทันกาล จันตรงเข้าไปทุบแท็งค์น้ำเป็นที่เรียบร้อย
“ ปัง…… ”
“ ใครอยู่ข้างใน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ” เด็กสาวทุบ พลางร้องตะโกน โดยหวังว่าอะไรที่อยู่ข้างในจะเข้าใจคำพูดของเธอ
“ เบาๆ เดี๋ยวมันรู้ตัว เรายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ” เด็กหนุ่มสะกิดไหล่ พลางกระซิบสาวห้าวผู้เป็นญาติห่างๆ
“ จะเบาทำไม ก็ให้รู้กันไปเลยว่ามันคืออะไร นายอย่าปอดน่า ” เด็กสาวหน้าดุหันกลับมาเถียง
“ ใครปอดฟะ แค่ขอให้รอบคอบหน่อยเท่านั้นเอง รู้จักคำว่าวางแผนมั้ย ยัยทอมบ้าพลัง ” มาวินขึ้นเสียง เขาเริ่มยั้วขึ้นมามั่ง เพราะถูกกล่าวหาว่าปอดแหก
“ ไม่ต้องวางให้มันยุ่งยากแล้ว ลุยเข้าไปเลย ” เด็กสาวเถียงเสียงดัง
ระหว่างที่เด็กวัยรุ่นทั้งสองกำลังโต้เถียง ตัวถังของแท็งค์น้ำทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ก็เปล่งแสงประหลาด วินาทีต่อมาผนังด้านหน้าของภาชนะเก็บน้ำรุ่นลายครามก็เลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ต่างจากประตูอัตโนมัติในร้านสะดวกซื้อ
“ ฟรืด…….. ”
“ เฮ้ย อะไรกัน ” เด็กวัยรุ่นทั้งสองร้องเสียงหลง พร้อมถอยห่างออกไป เพื่อระวังภัยตามสัญชาตญาณ
ทันทีที่ผนังเลื่อนขึ้นไปจนสุด ก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวออกมา เขาสวมแว่นตาทรงกลมซึ่งปกปิดดวงตาที่ดูไม่เป็นมิตร ผมยาวยุ่งเป็นกระเซิงแถมยังหงอกขาวเป็นหย่อมๆ ร่างผอมบางถูกซ่อนอยู่ในชุดกราวด์สีขาว ส่วนเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็คที่ใส่ก็ดูรุ่มร่ามและหลุดลุ่ย
ชายวัยกลางคนเหลือบมองสองเด็กวัยรุ่นผู้มาเยือน ทันใดนั้นใบหน้าหงิกๆแบบโรคจิตก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาจางๆ ก่อนร้องทักเสียงดัง
“ ว่าไง ไอ้หลานตัวแสบทั้งสอง ”
“ น้าเดช ” จันและมาวินขนานนามบุรุษผู้ปรากฏกายอย่างพร้อมเพรียง
หลังการทักทาย น้าเดชรีบกวักมือเรียกหลานทั้งสองให้ตามเข้ามาในตัวถัง ปากก็กล่าวเร่งเร้า
“ รีบเข้ามาเร็วๆ ไอ้สองแสบ ”
สองหนุ่มสาวมองหน้ากันเอง คล้ายจะปรึกษากันด้วยสายตา วินาทีต่อมาทั้งคู่ก็ตกลงใจตามน้าชายสติเฟื่อง ทันทีที่เข้ามา พวกเขาก็ถึงกลับตะลึงจนตาค้าง เพราะภายในนั้นถูกบุด้วยผนังสีขาวสะอาดตา ตรงพื้นปูกระเบื้องสีเดียวกัน มีโต๊ะทำงานจัดวางอยู่สองชุด บนนั้นปรากฏคอมพิวเตอร์รูปทรงประหลาดที่ดูทันสมัยอยู่สามเครื่อง ข้างๆมีอุปกรณ์หน้าตาแปลกๆวางอยู่หลายชิ้น บนเพดานมีหลอดไฟทรงกลมติดอยู่เพียงหลอดเดียว ทว่าแสงสว่างที่ส่องออกมากลับเจิดจ้ากว่าปกติราวกับมีพระอาทิตย์ซัก 100 ดวง
“ ว้าว…… นี่มันอะไรเนี่ย ” มาวินมองไปรอบๆ พลางถามด้วยความสงสัย
“ ห้องทดลองลับไง เอ็งสองคนมันเก่งสมกับเป็นหลานรักของข้าเลย สามารถหาที่นี่เจอได้ด้วยตัวเอง เห็นทีน้าต้องบุผนังด้วยวัสดุเก็บเสียงแล้วล่ะมั้ง เพราะเสียงเครื่องคอมในนี้มันดันดังเกินไป ” น้าเดชกล่าวไปเรื่อย จากนั้นก็เอื้อมมือไปกดแป้นพิมพ์ เพื่อสั่งให้ผนังแท็งค์น้ำเลื่อนปิดลงมา
“ ทดลองอะไรอยู่เหรอ น้า ” เด็กสาวมองซ้ายมองขวา ท่าทางตื่นตระหนก ดูเหมือนว่าเธอยังฉงนกับสิ่งที่พบเจออยู่ไม่น้อย
“ ฮะๆ ถ้าพวกเอ็งอยากรู้ ก็เข้ามาใกล้ๆ เพราะนี่คือความลับสุดยอด ” น้าชายสติเฟื่องเริ่มลดเสียงลงและกวักมือเรียก
“ อืม….เรื่องอะไร ” เด็กวัยรุ่นทั้งสองล้อมวงเข้ามาใกล้ พร้อมเตรียมรับฟังในสิ่งที่น้าสติเฟื่องกำลังจะเล่า หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ
“ น้ากำลังสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่จะพลิกโฉมโลกนี้ไปตลอดกาล ” น้าเดชบอกหลานรักด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง ส่งผลให้สองหนุ่มสาวตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน
“ ฮ้า…… น้าบ้าไปอีกแล้ว ”
“ เฮ้ย เบาๆหน่อย จะตะโกนทำไมฟะ นี่คือความลับสุดยอดนะโว้ย และอีกอย่างน้าไม่ได้บ้า พวกเอ็งอยากดูสิ่งประดิษฐ์นี้มั้ย ” น้าเดชรีบร้องห้าม เพราะไม่ต้องการให้เด็กวัยรุ่นทั้งสองส่งเสียง น้ำเสียงฉายแววตื่นเต้นดีใจ อากัปกิริยาคล้ายเด็กน้อยที่อยากจะโชว์ของเล่นใหม่ให้เพื่อนดู
“ แฮะๆ เอาไงดีอ่ะ ” เด็กวัยรุ่นทั้งสองมองหน้ากันเอง ประสบการณ์แสนแย่จากสิ่งประดิษฐ์พิลึกพิลั่นตัวก่อนๆยังคงจารึกอยู่ในความทรงจำอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
“ น้าแน่ใจนะว่าคราวนี้มันจะไม่เกิดอะไรที่ตื่นเต้นเหมือนครั้งที่แล้ว ” เด็กสาวร่างสูงถามน้าชายจอมเพี้ยน
“ แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีก สิ่งประดิษฐ์ตัวนี้ปลอดภัยแบบสุดๆ น้าได้ทดลองกับมนุษย์มาหลายครั้ง และมันก็ประสบความสำเร็จทุกครั้ง ที่สำคัญเมื่อเช้านี้น้าเพิ่งจะทดลองกับตัวเองมาหมาดๆ รับประกันไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน เอางี้มั้ยเรามาทดลองร่วมกันเลยเป็นไง ” นักวิทยาศาตร์สติเฟื่องรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะ ใบหน้าที่ขมุกขมัวราวคนเสียสติเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
เด็กวัยรุ่นทั้งสองแอบสบตากัน ทั้งคู่รู้ในทันทีว่าหนูทดลองที่น้าชายกล่าวถึง เห็นจะไม่พ้น “พี่โอม” นั่นจึงทำให้มาวินรีบส่ายหัวเป็นเชิงว่าให้จันตอบปฏิเสธ ทว่าเด็กสาวกลับนิ่งตรึกตรอง
“ ถ้าปฏิเสธสิ่งประดิษฐ์ของน้าเดช แล้วเราจะเกลี้ยกล่อมให้เขาหายบ้าได้ยังไง ”
วินาทีต่อมาเด็กสาวจึงตัดสินใจทดลอง พร้อมพยักหน้ารับคำ
“ โอเค ส่งไอ้สิ่งประดิษฐ์ที่ว่าเจ๋งของน้าออกมาเลย พวกหนูพร้อมลุยแล้ว ”
“ เยี่ยมมาก อย่างนี้ถึงจะสมกับเป็นหลานรักของน้า ฮ่าๆ….. ” คุณน้าจอมเพี้ยนขยับร่างผอมๆไปยังโต๊ะยาวตรงมุมห้อง จากนั้นเขาก็ควานหาบางสิ่งที่อยู่ในลิ้นชัก
“ เอาอีกแล้วหรือเนี่ย ” เด็กหนุ่มหัวเขียวถึงกลับคอตก เขารู้สึกละเหี่ยใจที่ต้องทดลองสิ่งประดิษฐ์บ้าบอของน้าชายที่ไม่ค่อยเต็ม
น้าเดชใช้เวลาค้นหาไม่นาน ก็หยิบสิ่งประดิษฐ์วิเศษขึ้นมาโชว์ สิ่งนั้นมีหน้าตาคล้ายกล้องอินฟราเรดแบบครอบหัว ต่างก็แต่เพียงด้านข้างของตัวกล้องมีปุ่มสีสันสวยงามประดับอยู่ ที่สำคัญกล้องประหลาดนั้นมีสามตัวอันเท่ากับจำนวนคนที่ร่วมทดลอง
“ โชคดีที่น้าทำเผื่อไว้สามอัน ” น้าเดชพูด พลางกดโน่นนี่นั่นบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ เพื่อทำการเซ็ตระบบ
เด็กวัยรุ่นทั้งสองรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะไม่รู้ว่าพวกตนต้องเจอกับอะไร ในที่สุดมาวินก็ทนต่อความกดดันที่ก่อตัวไม่ได้ เลยเอ่ยถามรัวเร็ว
“ ตกลงไอ้กล้องประหลาดนี่มันคืออะไรอ่ะ หรือมันจะเป็นแว่นตาที่ใช้สำหรับถ้ำมองสาว ”
“ เฮ้ย ไอ้บ้านี่ ” เด็กสาวตวาดใส่ พร้อมบิดเนื้อที่แขนจนทำให้เด็กหนุ่มหน้าเบ้ เหตุที่ทำเช่นนี้ เพราะเธอรู้ดีว่าน้าชายผู้ไม่สมประกอบค่อนข้างเซ้นซิทีฟกับสิ่งประดิษฐ์ของตนเอง ดังนั้นการที่ไปดูถูกสมบัติอันล้ำค่า ( ในความคิดของน้าเดชคนเดียว ) ย่อมไม่ต่างอะไรจากการเหยียบย่ำที่ใบหน้า
“ ไม่ใช่ว่ะ หลานวิน ไอ้นี่มันเจ๋งกว่านั้นอีก แต่ตอนนี้น้ายังไม่บอกหรอก อีกเดี๋ยวพวกเอ็งจะได้รู้ซึ้งถึงพลังของมัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า…… ” ไม่เพียงน้าเดชจะไม่โกรธ แต่เขากลับหัวเราะชอบใจ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูตื่นเต้นจนผิดปกติ
“ เอ้า ดูให้ดี ” น้าเดชเปิดไฟล์ mp 4 ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ ทันใดนั้น บนหน้าจอก็ฉายบรรยากาศในงานลีลาศ ชายและหญิงทุกคนต่างพากันสวมใส่อาภรณ์ที่งามสง่า หลายคนในที่นั้นโชว์สเต็ปใส่กันอย่างสวยงาม โดยมีเพลง “ชื่นชีวิต” ของสุนทราพรดังคลอ
“ น้า...... ผมจะหลับแล้วนะ น้ามาเปิดอะไรให้ดูเนี่ย ฮ้าว….. ” มาวินเปิดปากหาว เขารู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆแล้ว
“ เหอ เหอ เหอ นี่แค่โหมโรงเฟ้ย ยังไม่ถึงตาพระเอกออกงาน เอาล่ะ ถ้าทุกอย่างพร้อมแล้ว พวกเอ็งใส่แว่นวิเศษของน้าได้ ” น้าเดชเริ่มติดสาย usb เข้ากับพอรต์ที่อยู่ใต้แว่นวิเศษ จากนั้นก็ทำการเชื่อมสาย usb เข้ากับพอรต์ของคอมพิวเตอร์ที่กำลังเล่นคลิปงานเต้นลีลาศ
“ ฮะๆ ” มาวินใส่ไปก็หัวเราะไป อาการประมาณว่าเริ่มจะเซ็งๆที่ให้เขามาทำอะไรบ้าๆบอๆ ส่วนเด็กสาวก็สวมใส่แว่นวิเศษด้วยท่าทางที่เงียบขรึมจนผิดปกติ
ทันทีทุกคนสวมใส่แว่นวิเศษเป็นที่เรียบร้อย มาวินและจันก็รู้สึกว่าเลนส์ที่มองผ่านคือเลนส์สามมิติทั่วๆไป ทำให้เด็กหนุ่มผิดหวังจนอดไม่ได้ที่จะกล่าวแบบเซ็งๆ
“ น้า...... นี่มันก็แค่แว่นสามมิติธรรมดาเองไม่ใช่หรือ ”
“ ก็จริง ตอนนี้มันแค่แว่นสามมิติทั่วไป แต่ไอ้หลานเอย ลองกดปุ่มสีแดงที่อยู่ด้านบนสุดตรงแถบขวามือดูสิ แล้วเอ็งจะรู้ว่ามันไม่ใช่แว่นสามมิติธรรมดาอย่างที่เข้าใจ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…. ” เสียงหัวเราะแปร่งๆจากปากน้าเดชเริ่มปรากฏ
“ เชอะ จะมีอะไรกันนักหนา ” เด็กหนุ่มพูดเบาๆกับตัวเอง ท่าทางไม่ใส่ใจ แต่ภายในกลับรู้สึกตื่นตระหนกจนหัวใจแทบเต้นเป็นจังหวะรุมบ้า
“ เฮื้อก...... ” เด็กสาวร่างสูงกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หันไปสบตากับเด็กหนุ่ม เหมือนจะส่งกระแสจิตบอกว่า “กดพร้อมกันนะ” พอทั้งคู่พยักหน้าให้แก่กัน มาวินก็กลั้นใจกดปุ่มแดงที่อยู่ด้านบน
“ ปี้บ….. ”
เสียงสุดท้ายที่มาวินได้ยินก็คือ….เสียงสัญญาณบอกเวลาของนาฬิกาข้อมือ สิ่งที่สัมผัสได้ในเวลาต่อมาคือความว่างเปล่า เขาไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้สึกอะไรเลย ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้อีกต่อไป
“ เฮ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ” เด็กหนุ่มร้องตะโกนจนสุดเสียง แต่เขากลับไม่ได้ยินอะไร
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังหวาดกลัว ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าตนได้มานั่งอยู่ที่เชิงบันไดของคฤหาสน์หรู มีบรรดาไฮโซชายหญิงในชุดราตรีจับคู่เต้นลีลาศตรงลานกว้างเบื้องหน้าอย่างสนุกสนาน แน่นอนบทเพลงที่กำลังบรรเลงก็คือ “ชื่นชีวิต”
“ เอ๊ะ เดี๋ยว มันคุ้นๆนะ เอ..... นี่มันฉากงานเต้นรำในคลิปวิดิโอที่เราดูนี่หว่า เฮ้ย แล้วดูตัวเราดิ ว้าว….เท่วุ้ย ” เด็กหนุ่มงงกับสภาพแวดล้อมอยู่ชั่วขณะ แต่พอหันไปมองตัวเอง ก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ในชุดสากลสีดำราคาแพง ทันใดนั้นก็ปรากฏเสียงเด็กสาวร่างสูงดังมาจากทางด้านหลัง
“ เฮ้..... นายวิน ”
มาวินหันกลับไปมอง สิ่งที่ได้ประสบ แทบทำให้เด็กหนุ่มลืมหายใจ เพราะนั่นคือภาพของ…….จันที่อยู่ในชุดราตรีแบบเสื้อกระโปรงสีแดงซึ่งยาวไปถึงตาตุ่ม เสื้อที่สวมใส่เป็นแบบเปิดไหล่เผยให้เห็นเนื้อนวลขาวผ่อง เรือนผมที่เคยปรกหน้าถูกจัดมวยและรวบไว้ที่ด้านหลังด้วยปิ่นปักผมสีทอง ทำให้ใบหน้าเนียนใสไร้สิวฝ้าดูโดดเด่น ดวงตาคมเข้มถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ทำให้ดูหวานซึ้ง น่าค้นหาและชวนมอง จมูกโด่ง ริมฝีปากก็รับกับใบหน้ารูปไข่อย่างเหมาะเจาะ เมื่อนำมาผสมกับร่างสูงเพรียวได้สัดส่วน ยิ่งทำให้ดูงามสง่าราวกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์
“ ฮะแฮ่ม จ้องพอรึยัง นายวิน ” จันแกล้งกระแอมเบาๆ เพื่อให้มาวินรู้สึกตัว ใบหน้าของเด็กสาวแดงระเรื่อมากขึ้นด้วยความเขินอาย
“ เอ๊ะ อ้อ พอแล้ว ตกลงที่เห็นนี่คือ.... จัน จริงๆใช่มั้ย ” มาวินเริ่มรู้สึกตัว ปากก็เอ่ยถามออกมา ภายในใจนึกทึ่งกับภาพที่เห็นตรงหน้า ทั้งที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยรู้เลยว่าญาติห่างๆของตนจะสวยสง่าได้ถึงขนาดนี้
“ ก็ใช่อ่ะสิ จะมีใครอีกเล่า ตาบ้า เลิกจ้องชั้นได้แล้ว ” จันตอบกลับ ท่าทางยังคงเขินอายอยู่เล็กน้อย
“ ฮ่าๆ เป็นไงหลานรักทั้งสอง แว่นวิเศษของน้าเจ๋งมั้ย นี่แหละคือความสำเร็จขั้นสุดยอด ฮ่าๆ ” วินาทีนั้นเองน้าชายสติเฟื่องก็ปรากฏตัวที่ด้านหลัง พร้อมโถมเข้ามาโอบกอดหนุ่มสาวทั้งสอง ปากเริ่มคุยโวโอ้อวดถึงความสำเร็จด้วยท่าทางที่ดีใจจนสุดกู่
“ เออ.......ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในคลิปที่น้าเปิดให้เราดู ใช่มั้ย ” เด็กสาวรีบถามน้าชายสติเฟื่อง ท่าทางตื่นเต้น
“ แม่นแล้ว หลานเอย ” น้าเดช ผู้ซ่อนร่างผอมๆในชุดสากลสีเขียวแสบตากล่าวตอบด้วยท่าทางที่ภาคภูมิใจ
“ น้าทำได้ไง สุดยอดมากเลย ” เด็กหนุ่มหัวเขียวถามมั่ง สีหน้าดูทึ่ง
“ น้าสามารถคิดค้นระบบทางวิทยาศาสตร์บางอย่างที่มีคุณสมบัติในการยักย้ายถ่ายเทจิตวิญญาณของมนุษย์เข้าสู่ระบบดิจิตอล ผลที่ได้คือเราสามารถพาตัวเองเข้าไปท่องเที่ยวในไฟล์ดิจิตอลจำพวกภาพเคลื่อนไหวได้ทุกชนิด และขณะนี้พวกเราก็ได้เข้าสู่งานเต้นลีลาศซึ่งอยู่ในคลิปไฟล์ MP 4 ” น้าเดชแจงระบบการทำงานแบบคร่าวๆให้หลานทั้งสองฟัง
“ ว้าว…… สุดยอดไปเลย ” เด็กวัยรุ่นทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมๆกัน
“ เหอๆ ฮี่ๆ ฮ่าๆ ก้ากๆ วุ้ยๆ ข้าคือสุดยอดนักประดิษฐ์ เราจะดัง เราจะรวย ฮ่าๆ ” น้าเดชเริ่มหัวเราะ โดยมีสองหลานร่วมดีใจด้วย แต่พอคุณน้าจอมเพี้ยนหัวเราะดังขึ้นและเริ่มเต้นเอง ร้องเพลงเองคนเดียว หนุ่มสาวทั้งสองก็รีบฉากออกมา ปล่อยให้หนุ่มวัยกลางคนสติเฟื่องสนุกสนานกับตัวเองไปตามลำพัง ส่วนสาเหตุที่ทำเช่นนั้น เพราะรู้สึกอายผู้คนที่กำลังเมียงมอง
เด็กวัยรุ่นทั้งสองหนีมายืนตรงมุมห้อง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจางๆด้วยความดีใจกับความสำเร็จของน้าชาย แต่ก็ไม่ได้พูดคำใดออกมา พวกเขาได้แต่ยืนมองงานเต้นรำเบื้องหน้า เวลาต่อมา ท่าทางก็แปรเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน สับสน ว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างที่กระสับกระส่ายอยู่นั้นเอง มาวินก็แกล้งพูดออกมาดังๆ เพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัด
“ เฮ้อ..... หิวน้ำแล้ว ยัยจันเอาน้ำอะไรรึเปล่า ”
“ ไม่เอา นายไปเอาเถอะ ” เด็กสาวพูดเรียบๆ ใบหน้างามก้มนิ่งมองพื้น
เด็กหนุ่มรีบเผ่นไปยังเคาน์เตอร์บาร์ พอเจอบาร์เทนเดอร์ เขาก็สั่งเครื่องดื่มในทันที
“ ไวตามิลค์เพียวๆแก้วนึง ”
“ ครับ ” บาร์เทนเดอร์หัวล้านร่างใหญ่ตอบยิ้มๆ แน่ล่ะตั้งแต่เปิดบาร์มา คงจะมีเพียงมาวินล่ะมั้งที่สั่งไวตามิลค์มารับประทาน
เด็กหนุ่มนั่งซดนมเย็นสีขาวถึงสามแก้วรวด เพื่อย้อมใจให้เกิดความกล้า ภายในนึกปรึกษาตัวเอง
“ เอาไงดีวะ อยากชวน แต่ใจไม่กล้าน่ะ ทำไงดี ”
เด็กหนุ่มนั่งสับสนอยู่พักใหญ่ เขาก็ผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภายในนึกตัดสินใจ
“ เป็นไงเป็นกันฟะ ”
เด็กหนุ่มรีบเดินกลับไปหาจัน ทันทีที่ถึงจุดหมาย เขาก็เหลือบไปเห็นภาพที่ทำให้หัวใจต้องแตกสลายภาพนั้นคือ……
ภาพหนุ่มรูปงามประมาณเจ้าชายในนิยาย ดวงตาบนใบหน้าคมเข้มจับจ้องไปที่จันซึ่งกำลังยืนสง่าราวกับหงส์ ใบหน้าของเด็กสาวประดับรอยยิ้มที่แสนหวาน เจ้าชายหนุ่มนายนั้นค่อยๆค้อมร่างสูงสมส่วนลงต่อหน้า พร้อมกล่าวเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล
“ กรุณาเต้นรำกับผมซักเพลงเถอะครับ ”
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ มาวินก็รีบหนีในทันที ความเจ็บปวดรวดร้าวเริ่มทวีความรุนแรง เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเดินผ่านใครบ้างและกำลังจะไปที่ไหน รู้สึกตัวอีกที ก็มายืนอยู่ตรงระเบียงรับลมของคฤหาสน์หรู
มาวินทรุดกายลงนั่งตรงริมระเบียง ใบหน้าหมอง ดวงตาฉายแววโศก น้ำน้อยๆเริ่มเอ่อล้นที่ขอบตา ในใจนึกด่าตัวเองว่า.....ทำไมถึงไม่ตัดสินใจทำอะไรให้เร็วกว่านี้ บางครั้งก็โกรธเกรี้ยวจนนึกอยากเอาหัวโขกราวกั้น โทษฐานที่ขี้ขลาดเกินไป แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ได้คิดและฉีกยิ้มเศร้าๆ
“ ฮะๆ……แบบนี้แหละดีแล้ว เขาทั้งคู่เหมาะสมกันอย่างกับเจ้าชายเจ้าหญิง และตัวเราล่ะ ดูยังไงก็ดอกฟ้ากับหมาวัดชัดๆ ไม่คู่ควรกับเธอเลย ”
ดวงตาของเด็กหนุ่มเอ่อล้นไปด้วยน้ำใส เขาเอนหลังพิงราวระเบียง พร้อมปล่อยใจให้ล่องลอย ไม่สนใจเสียงหัวเราะของหนุ่มสาวที่มาร่วมงาน ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเพลงที่บรรเลง ทันใดนั้นเองหูก็พลันผึ่งในบัดดล เมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบาๆของสาวนางหนึ่งที่คุ้นเคย
“ ฮะแฮ่ม มานั่งบื้ออะไรอยู่ตรงนี้ ”
เด็กหนุ่มหัวเขียวเงยหน้าขึ้นมอง ภาพที่เห็นแทบทำให้เขาไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะนั่นคือภาพของสาวสวยในชุดราตรีสีแดง ผู้มีนามว่า “จัน”
“ จัน ทะ…เธอไม่ได้ไป….กับหนุ่มคนนั้นหรอกหรือ ” มาวินถามเสียงสั่น
“ อ้อ.....ชั้นปฏิเสธหนุ่มคนนั้นไปน่ะ น่าเสียดายนะ เขาโคตรหล่อเลย แต่ช่างเถอะ ชั้นกำลังรอคนที่ใช่อยู่ ” เด็กสาวตอบหน้าตาเฉย เหมือนกับเธอจะไม่รู้สึกเสียดายจริงๆ
“ เอ่อ….แล้วคนที่ใช่ของเธอคือใครล่ะ ” เด็กหนุ่มแกล้งถามเบาๆ ดวงตาเสไปมองทางอื่น แต่ในใจแอบลุ้นอยู่ลึกๆ
“ อยากรู้จริงๆน่ะหรือ ” สาวจันตอบกลับด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า
“ อืม….. ” เด็กหนุ่มรับคำ พลางกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
“ อืม……คนนั้นก็คือ….” เด็กสาวลากเสียง ใบหน้างามแย้มยิ้ม
“ คือ…… ” มาวินลุ้นตัวโก่ง ดวงตาของสองหนุ่มสาวสบกันอย่างมีความหมาย
“ ไม่บอก ฮะๆ… ” เด็กสาวเฉลยแบบหักมุม พร้อมเสียงหัวเราะ
“ หน็อย...... ยัยจัน แกล้งกันได้ คนอุตส่าห์ลุ้น ” มาวินเริ่มฉุนที่ถูกล้อเลียน แต่เด็กสาวกลับหัวเราะร่าเริง จากนั้นก็ก้มหน้าลงต่ำจนแทบชิดกับใบหน้าของเด็กหนุ่ม ปากก็ร้องถามเสียงใส
“ ลุ้นอะไร หือ…..”
การกระทำของจัน ทำให้มาวินต้องเบือนหน้าหนี เพื่อเลี่ยงการสบตา แม้เขาจะดูเคอะเขิน แต่ก็ไม่วายปากเสีย
“ เชอะ ก็ลุ้นให้เธอไม่ต้องขึ้นคานทองยังไงเล่า ”
“ ฮะๆ นายนี่มันจริงๆเลย ” เด็กสาวหัวเราะร่วน คราวนี้เธอไม่ถือสากับความเกรียนที่มาวินมักแสดงให้เห็นเป็นประจำ
ความเงียบเข้ามาเกาะกุมอยู่แวบนึง จากนั้นเด็กสาวก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่หวานใส พร้อมยื่นมือมาให้มาวินที่กำลังนั่งเท้าคาง
“ ระหว่างที่ชั้นรอคนที่ใช่ นายสนใจจะมาเต้นรำ เพื่อคั่นเวลามั้ยเล่า ”
“ เอ่อ….” เด็กหนุ่มถึงกับเหวอจนทำอะไรไม่ถูก
“ เอ้า เร็ว เดี๋ยวเพลงก็จบซะก่อน เป็นผู้ชายแท้ๆทำอะไรให้มันเด็ดขาดหน่อยสิ ” เด็กสาวเร่งเร้า น้ำเสียงของเธอดูแข็งขึ้น
“ อะ…..อืม ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำแบบงงๆ จากนั้นก็ยื่นมือไปจับมือบางที่แข็งแรงของจันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่กลางระเบียงที่มีแสงจันทร์สาดสว่างอยู่อ่อนๆ เพลงที่บรรเลงในขณะนั้นคือเพลง “หัวใจช้ำๆ” ซึ่งถูกดัดแปลงให้ออกมาในทำนองกึ่งช้ากึ่งเร็ว เพื่อให้เหมาะกับการเต้นลีลาศ
“ แล้วจะเต้นกันยังไงเนี่ย ” เด็กสาวหันไปถามคู่เต้น ท่าทางมึนงง เพราะนี่คือการเต้นลีลาศครั้งแรกของเธอ
“ ชวนเต้นรำ ทั้งที่ตัวเองไม่เคยเต้นนี่นะ เธอนี่มันบ้าชะมัด ” เด็กหนุ่มสบถ แต่ใบหน้ากลับดูแดงๆยังไงชอบกล
“ แล้วนายเต้นเป็นรึไง ” เด็กสาวเริ่มฉุนขึ้นมานิดๆ ซึ่งก็ควรเป็นเช่นนั้น เพราะมาวินมีสกิลปากเสียที่สูงจนไม่น่าจะมีใครทนได้
“ เอ่อ….เต้นไม่เป็นเหมือนกัน ” มาวินอ้าปากค้าง ก่อนยิ้มแห้งๆ
“ เอางี้ ลองนึกทบทวนความจำที่เห็นในหนัง แล้วค่อยเต้นตาม โอเคมั้ย ” เด็กสาวตัดสินใจ
“ อืม....... ตามนั้นแหละ ” เด็กหนุ่มรับคำ
เด็กวัยรุ่นทั้งสองพยายามทำตามตัวอย่างที่เคยเห็นในหนัง แรกๆก็ดูเก้ๆกังๆจนมองไม่ออกเลยว่านี่คือการเต้นลีลาศ แต่ด้วยความที่เป็นคนหัวไวและมีสมรรถภาพทางร่างกายที่ดีเยี่ยม จึงทำให้สามารถเต้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ทั้งคู่โอบเอวและหัวไหล่ พร้อมขยับเท้าก้าวไปตามจังหวะอย่างสนุกสนาน
“ ก็ง่ายๆนี่นะ ไม่เห็นยากตรงไหนเลย ” เด็กหนุ่มร้องบอก น้ำเสียงดูย่ามใจ เพราะรู้ว่าตัวเองเริ่มจับจังหวะการเต้นได้บ้างแล้ว
“ ก็นั่นน่ะซิ แต่จริงๆไอ้เต้นแบบนี้มันก็สนุกดีนะ วันหลังน่าจะไปซ้อมเต้นกันอีก ” เด็กสาวร้องบอก ใบหน้าสวยใสเริ่มแย้มยิ้ม
“ โอ๊ย...... ไม่เอาหรอก ที่ผ่านมาเธอเหยียบเท้าชั้นไปตั้งเจ็ดทีแล้วมั้ง ” เด็กหนุ่มตอบปฏิเสธ เพราะเข็ดรองเท้าส้นสูงของเด็กสาว
“ ทำอย่างกับนายไม่เหยียบ นายน่ะย่ำโดนฝ่าเท้าของชั้นไปตั้งแปดครั้งแล้วมั้ง ” เด็กสาวเถียง
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเต้นไปเถียงไป ก็ได้ยินเสียงตะโกนแหบแห้งของชายวัยกลางคน ทั้งสองก็รู้ในทันทีว่านั่นคือเสียงนั้นของน้าชายตัวแสบ
“ เฮ้ย ที่นี่เป็นงานเต้นรำนะ ชั้นเต้นรำของชั้น มันผิดอะไรฟะ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะโว้ย ปล่อยช้านนนน...... ให้ตายสิ นี่ชั้นต้องโดนลากออกจากงานอีกแล้วหรือเนี่ย ”
ไม่ต้องเห็นภาพ พวกเขาก็นึกออก น้าเดชน่าจะกำลังโดนสองการ์ดร่างยักษ์ในชุดทักซิโด้ประกบข้างพร้อมหิ้วปีกให้ออกจากงาน
“ ฮะๆ แกพูดว่าโดนอีกแล้ว สงสัยว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรก ” เด็กสาวพูดไปก็หัวเราะไป
“ ก็แกดันเต้นและร้องเพลงแบบประหลาดอยู่คนเดียว มันก็ไปป่วนงานเขาน่ะสิ โดนเชิญออกไปก็ไม่แปลกอะไร ตาแก่นี่เพี้ยนชะมัดเลย ” เด็กหนุ่มพูด ท่าทางดูเซ็งๆในความบ้าบอของน้าตัวเอง
“ แต่ยังไงก็ถือว่าแกคือสุดยอด ไม่งั้นเราคงไม่ได้มางานเต้นรำเลิศหรูอลังการแบบนี้หรอก ” เด็กสาวพูดพลางยิ้มชื่นชมในความสามารถอันเหนือโลกของผู้เป็นน้า
“ อืม…… ” มาวินรับคำเบาๆ เพราะเริ่มรู้สึกอายดวงตาคมซึ้งที่คอยสบเป็นระยะ
เพลงบรรเลงไปได้ซักพัก ก็มาถึงบทเพลงสุดท้าย เพลงนั้นคือ “คนพิเศษ” ทุกคนเริ่มแนบชิดกันมากขึ้น ทันใดนั้นเองมาวินก็เกิดอาการเกร็งจนขยับไม่ได้อย่างกะทันหัน ทว่าเด็กสาวกลับส่งสายตาคมซึ้งมาที่หน้าแดงๆ รอยยิ้มน้อยๆเริ่มเผยอออกมา มือเรียวบางแต่แกร่งเอื้อมมาจับมือเล็กๆของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ยกมือข้างนั้นให้เลื่อนมาโอบกอดที่เอวบางของตนเอง พร้อมยื่นริมฝีปากไปกระซิบที่ซอกหู
“ ทำตามคู่อื่น เอามือมาโอบเอวชั้นไว้ เข้าใจมั้ย ”
เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่ง ไม่ตอบคำใด แต่เขาเองก็ไม่ได้ขัดขืนเช่นกัน เท่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นสัญญาณตอบรับโดยปริยาย
ทั้งคู่เต้นรำด้วยการโอบกอดกันเบาๆ โดยมีเพลงช้าหวานซึ้งคอยคลอเคลีย เบื้องบนมีแสงจันทร์สาดส่องสว่างกลางท้องนภาที่มืดสลัว นับบรรยากาศที่สุดแสนคลาสสิกและชวนฝัน
“ เธอเท่านั้น เธอคือคนพิเศษ เสกให้ใจของชั้นโบกปีกบินสู่ฟ้า คอย ยังคอยให้เธอมาประคองแล้วพูดว่า เมื่อเธอหลับตาก็ยังคิดถึงกัน ”
เด็กหนุ่มพยายามเบือนหน้าหนี แต่ในจังหวะหนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงของเด็กสาว กระแสนั้นหวานซึ้งกินใจผิดกับที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
“ นายวิน ”
มาวินหันหน้ามามอง ตั้งใจจะถามว่า......เรียกทำไม เลยทำให้พบกับดวงตาหวานซึ้งของเด็กสาว เขาถึงกลับชะงักงันในทันที เรือนกายของสองหนุ่มสาวเริ่มแนบชิดมากยิ่งขึ้น
เพลงหวานอันชวนเคลิ้มบรรเลงได้อย่างซาบซึ้ง พอจบลง จันก็ซบศีรษะลงไปที่หัวไหล่ของมาวินอย่างนิ่มนวล แขนเล็กบางของเด็กหนุ่มก็ขยับเข้ามาโอบประคองร่างสูงสมส่วนของเด็กสาวอย่างแผ่วเบา เรือนร่างแนบชิดเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อสัมผัสถึงหัวใจของอีกฝ่าย เวลานี้ทั้งโลกได้กลายเป็นของพวกเขาไปแล้ว
สองหนุ่มสาวหลับตาพริ้ม เพื่อรับรู้ถึงความอบอุ่นที่มอบให้แก่กัน จนไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่าขณะนี้พวกเขาได้มานั่งสงบอยู่ในแท็งค์น้ำไฮเทค โดยมีสิ่งประดิษฐ์วิเศษครอบดวงตาอยู่ พอรู้สึกตัว ก็ค่อยๆแกะมันออกด้วยท่าทีเขินอาย สายตาไม่ยอมสบกัน
ระหว่างที่ทั้งคู่วางตัวไม่ถูก น้าชายสติเฟื่องก็กระโดดเข้ามากอดคอหลานรักทั้งสอง พร้อมคุยโม้เสียงดัง โดยไม่ยอมพิจารณาถึงสถานการณ์ที่เป็น
“ เจ๋งมั้ย ไอ้หลานทั้งสอง เฮ้ย พวกเอ็งเป็นไรวะ หน้าแดงพิกล ป่วยไข้อยู่หรือไง ”
“ เออ..... ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูขอตัวไปรายงานพ่อกับแม่ก่อนนะว่า น้ายังไม่เพี้ยนและกำลังประดิษฐ์บางสิ่งที่สุดยอด ” จันพูดเร็วปรื้อ จุดประสงค์คือต้องการหนีไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด
“ เออ..... แล้วไปบอกด้วยนะ คืนนี้น้าจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน เพื่อฉลองที่หลานรักทั้งสองกลับมาเยี่ยม และฉลองที่สามารถคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…. ” ชายวัยกลางคนสติเฟื่องตอบกลับเสียงดัง อันเกิดจากความดีใจที่เก็บไว้ไม่อยู่
“ จ้ะ น้า หนูไปก่อนนะ ” เด็กสาวกล่าวจบ เธอก็รีบจากไปในทันที
“ เออ เจอกันคืนนี้ หลานจัน ” น้าเดชพูดปนหัวเราะ
หลังจากจันจรลา ในแท็งค์น้ำไฮเทคก็เหลือเพียงมาวินกับน้าเดช แน่นอนว่าเวลาที่เหลืออยู่ เป็นเวลาที่น้าชายสติเฟื่องพล่ามอธิบายถึงสรรพคุณของแว่นวิเศษและสิ่งประดิษฐ์อื่นๆให้เด็กหนุ่มรับฟังอย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจJalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ