The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
43) มหกรรมประจำเมือง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เครดิตภาพจาก https://notebookspec.com
.............................
ณ.เส้นทางสายหลัก ได้ปรากฏสองมนุษย์ขี่ม้าเคียงกัน คนแรกเป็นเด็กสาวร่างสูงที่สวมชุดกังฟูสีแดง เธอขี่ม้าศึกสีขาว ด้วยใบหน้าคมเข้มและบุคลิกที่เคร่งขรึมเกินวัย ทำให้ดูคล้ายนักสู้ผู้ทระนง ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ไว้ผมรากไทรย้อมเขียว เขาทำหน้าเบื่อโลกและเอาคางเกยคอม้าแคระสีกระดำกระด่าง จากสายตาของบุคคลภายนอก สามารถบอกได้ทันทีว่านายคนนี้น่าจะเป็นเด็กรับใช้
ตอนนั้นยังเป็นเวลาเช้าตรู่ สองข้างทางปรากฏแมกไม้หนาทึบ ดูไม่น่าไว้ใจ แต่ไม่ถึงกับน่ากลัว เพราะมีผู้คนสัญจรไปมา ด้วยปลายทางคือเมืองท่าสำคัญที่มีคนอยู่อาศัยมากมาย สิ่งนี้ทำให้เด็กหนุ่มหัวเขียวคึกคัก
“ โห…..เมืองที่เราจะไปคงใหญ่พอสมควร ” เด็กหนุ่มหัวเขียวมองไปยังพ่อค้าร่างยักษ์ที่กำลังขี่เกวียนบรรทุกสินค้า คาดว่ากระทาชายนายนี้น่าจะไปทางเดียวกัน เขาจึงแลบลิ้นเลียปากและเตร่เข้าไปคุยกับเพื่อนร่วมทางรายใหม่
“ ไม่ได้การ เห็นทีต้องแวบเข้าไปคุยซักหน่อย ”
“ เฮ้ รอก่อน อย่าเพิ่งเข้าไป ” เด็กสาวมาดขรึมร้องห้าม แต่ไม่ทันการณ์ เด็กหนุ่มหัวเขียวเข้าถึงตัวพ่อค้าร่างยักษ์เป็นที่เรียบร้อย
ทีแรกเด็กสาวร่างสูงคิดว่าเด็กหนุ่มหัวเขียวจะถูกชายร่างยักษ์ตะเพิดออกมา แต่ดูเหมือนเจ้าจอมซุกซนจะเข้ากับพ่อค้าได้เป็นอย่างดี แถมยังสร้างความสนุกสนานจนอีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ
เด็กหนุ่มหัวเขียวสนทนากับพ่อค้าร่างยักษ์อยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ชักม้ากลับมาหาเด็กสาวร่างสูง พร้อมแจงข่าวด้วยรอยยิ้ม
“ เฮ้ ยัยโย่ง มีข่าวดี พี่ชายคนนั้นบอกว่า.....อีกไม่นาน พวกเราก็จะถึงเมืองท่าแกรนด์ยักแล้ว ”
“ เขาเรียกว่าเมืองท่าแกรนด์ยารด์ นี่นายเคยเรียกอะไรถูกบ้างมั้ยเนี่ย ” เด็กสาวร่างสูงกุมขมับ
“ อ้อ ใช่ แกรนด์อะไรซักอย่างนี่แหละ เห็นเขาบอกว่าน่าจะใช้เวลาเดินทางอีกครึ่งชั่วโมง ” เด็กหนุ่มหัวเขียวพยักหน้ารัวๆ พร้อมตอบรวดเร็ว
“ อืม ” ท่าทางของเด็กสาวร่างดูเฉยเมย เนื่องจากเธอเดินทางในแถบนี้มานานหลายปี จึงจดจำทุกสถานที่จนขึ้นใจ แต่กับเด็กหนุ่มหัวเขียว เขาย่อมต้องตื่นเต้น เพราะนี่คือการเยือนแกรนด์ยารด์เป็นครั้งแรก
“ พี่ชายคนนั้นยังบอกว่าเมืองแกรนด์อะไรนั่นมีคนผ่านเข้าออกวันละหลายพัน มีร้านค้า ร้านอาหารและเกมกีฬามันๆให้ดูอีกด้วย ” เด็กหนุ่มย้ำคำสุดท้ายเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่ได้เล่นเกมอันเป็นสุดยอดปรารถนามานานถึง 3 เดือน จึงถวิลหาสิ่งนี้เป็นพิเศษ
“ เฮ้อ….. นายนี่มันจริงๆเลย ” เด็กสาวร่างสูงส่ายหัวไปมา เพราะรู้สึกระอากับความไม่รู้จักโต ขณะที่เธอกำลังจะบอกว่าไม่มีเวลาไปสนใจเกมดังกล่าว อีกฝ่ายก็ชิงตอบ
“ พวกเรารีบห้อม้าให้เต็มฝีเท้าดีกว่า จะได้ถึงเมืองไวๆ ชั้นอยากดูการแข่งขันแล้ว เห็นว่าจะเริ่มประมาณบ่ายสามโมงของวันนี้ ”
เด็กสาวร่างสูงมองดวงตาที่แฝงแววตื่นเต้นยินดีของเด็กหนุ่มจอมซุกซน สุดท้าย เธอก็ใจอ่อน
“ ไปก็ไป แต่ชั้นให้นายดูแค่คู่เดียวนะ ”
“ โอเค แท็งค์กิ้ว ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง พร้อมบังคับม้าให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีเด็กสาวร่างสูงควบตามไปติดๆ
………………………
มาวินและเหมยลี่ควบม้าอย่างเร่งร้อน ตลอดเส้นทาง วัยรุ่นทั้งสองสวนกับเหล่าชาวบ้านหลากหลายอาชีพ
เวลาผ่านไปไม่นาน เด็กหนุ่มก็ได้กลิ่นอายของทะเล ดวงตาเรียวเล็กเห็นยอดหลังคาของตึกสูงอยู่ลิบๆ เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย พวกเขาก็พบกับฝูงชนจำนวนมาก มันแออัดจนไม่สามารถควบม้าผ่านไปได้ เนื่องจากถนนหนทางค่อนข้างแคบ
“ โห….. อะไรกันเนี่ย ทำไมคนเยอะแบบนี้ ” เด็กหนุ่มตกใจ เขาเคยคิดว่าเมืองแห่งการเริ่มต้นมีคนเยอะ แต่ถ้าเทียบกับเมืองท่าแกรนด์ยาร์ด ที่นี่น่าจะมีประชากรมากกว่าถึงสามเท่าตัว
“ เอาไงดี ยัยโย่ง ” มาวินหันมาถามเพื่อนสาว
“ บังคับม้าให้เดินไปตามทาง ” เหมยลี่ตอบสั้นๆ
“ อืม……เฮือก ” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ในใจแอบขบคิด
“ ดูไปแล้ว ไม่ต่างจากการจราจรในโลกของชั้นเลย ”
วัยรุ่นทั้งสองพยายามฝ่าฝูงชน ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ ผู้คนก็เยอะขึ้นเท่านั้น มันหนาแน่นซะจนขี่ม้าต่อไปไม่ได้ พวกเขาจึงลงจากหลังม้า แล้วจูงมันเข้าเมืองแทน
“ โห เมืองนี้คนเยอะมาก ” เด็กหนุ่มเดินไปก็บ่นไป พวกเขาได้แต่ไหลไปตามทาง พร้อมกลุ่มคนที่กำลังดันตัวไปข้างหน้า ส่วนทางด้านเด็กสาวไม่ได้พูดอะไร เธอได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ ทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่เคยมีคนเยอะขนาดนี้ มันน่าจะมีมหกรรมอะไรซักอย่าง ”
เมื่อทั้งสองมาถึงหน้าเมือง พวกเขาก็พบกับกำแพงไม้เนื้อหนาซึ่งมีความสูงราวๆ 30 เมตร ประตูเมืองเปิดกว้าง เพียงพอให้ประชาชนเดินเข้าไปพร้อมกันถึง 8 คน ที่สำคัญ เหนือประตูบานใหญ่ มีป้ายขาวขนาดมหึมาติดอยู่ มันถูกเขียนด้วยหมึกแดง อ่านจับใจความได้ว่า………….
“ วันนี้มีการแข่งขัน ROD ระหว่าง ทีมราส V.S. ทีมมัฟฟิน ”
เด็กสาวเข้าใจเหตุการณ์ในทันที ส่วนมาวินนั้นสับสนกว่าเดิม ว่าไปแล้ว ก็น่าจะงง เพราะเขาเพิ่งอยู่ในโลกนี้ได้เพียงสามเดือน
“ นี่......ROD คืออะไร ” มาวินสะกิดหัวไหล่ของเหมยลี่ พร้อมเอ่ยถาม เด็กสาวจึงนิ่งไปอึดใจ ก่อนตอบกลับมาเบาๆ
“ ROD คือกีฬายอดฮิต โดยแบ่งผู้เล่นออกเป็นสองทีม พวกเขาต้องต่อสู้และยึดจุดยุทธศาสตร์ในสนาม ถ้าฝ่ายไหนยึดฐานใหญ่ของศัตรูได้ ก็จะชนะในเกมนั้น ”
พอได้ฟังคำอธิบายคร่าวๆ มาวินก็ถึงกับตาลุกวาว ปากเล็กบางห่อเล็กน้อย พร้อมอุทานออกมาดังๆ
“ ว้าว...... สุดยอด.......”
เด็กสาวยิ้มเล็กน้อย คล้ายจะขบขัน เธอยอมอ่อนข้อให้มาวินด้วยการชักชวน
“ เดี๋ยวเราไปดูเกมกัน ”
“ โอเค ” มาวินทำมือเป็นรูปตัวโอ ทว่าเหมยลี่ได้แต่ยืนอึ้ง เพราะในโลก The Dark World ไม่มีภาษามือแบบนี้
..............................
ทั้งสองผ่านประตูเมืองอย่างยากเย็น เพราะจำนวนคนผ่านเข้าออกมีมากเป็นพิเศษ จะเรียกว่ามืดฟ้ามัวดิน ก็พูดได้แบบไม่กระดากปาก เมื่อเข้าสู่ภายใน สิ่งแรกที่ได้เห็นคือ.....ลานกว้างขนาดครึ่งสนามฟุตบอล ตรงกลางมีบ่อน้ำพุทรงกลมตั้งอยู่
บริเวณนั้นปรากฏผู้คนมากมาย มีทั้งหนุ่มสาวที่ยืนจีบกัน คุณแม่ที่หยอกล้อกับลูก อาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์ จำนวนผู้คนทำให้ลานกว้างแห่งนี้ดูแคบลงถนัดตา
" โห…. นี่มันอะไรกันเนี่ย แหล่งชุมนุมชาวเมืองรึไง ทำไมถึงมีคนเยอะขนาดนี้ " มาวินอุทานดัง เขาเกิดอาการตื่นคน ส่วนเหมยลี่ ดูจะอายกับความเปิ่นของเพื่อนร่วมทาง จึงรีบเดินต่อไป โดยไม่รอเด็กหนุ่มผู้รั้งท้าย
" เฮ้ รอด้วย ยัยโย่ง " มาวินร้องตะโกน พร้อมเดินตามเด็กสาวผู้นำทาง
เมื่อวัยรุ่นทั้งสองผ่านลานกว้าง ก็พบกับตัวเมือง อันประกอบไปด้วยถนนดินขนาด 8 คนเดิน มันมีจำนวนหลายสาย แต่ละสายถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ มีตึกปูนสูงประมาณ 3-4 ชั้นขนาบสองฟากฝั่ง ทุกสิ่งที่ปรากฏ ดูคล้ายความจริงจนเด็กหนุ่มไม่คิดว่ามันคือโลกของเกม
“ เมืองท่าแห่งนี้มีผู้คนผ่านเข้าออกอยู่ทุกวัน จึงนับเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ เลยเจริญอย่างที่เห็น ” เหมยลี่แจงเบาๆ หลังจากเห็นเด็กหนุ่มยืนเอ๋อราวบ้านนอกเข้ากรุง
“ เอ่อ…..อ้อ อย่างนี้นี่เอง ” เด็กหนุ่มตอบตะกุกตะกัก
“ เอาล่ะ เวลานี้ เราควรหาอะไรกิน ไปร้านประจำของชั้น ” เหมยลี่บอกจุดหมายปลายทาง ก่อนเดินนำ
“ อื้อ ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ พร้อมจูงม้าเดินตามอย่างว่าง่าย
...............................
เมืองนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงรองรับประชาชนที่หลั่งไหลเข้ามาได้อย่างสบาย เป็นผลให้ภายในไม่แออัด ถึงกระนั้น ก็ยังมีผู้คนเดินไปมาไม่ขาดสาย
“ โห….. คนเยอะมากเลยนะ ท่าทางทีมราสกับทีมมัสสินอะไรนั่น คงจะดังไม่ใช่น้อย” มาวินเอ่ยถาม ทว่าเด็กสาวกลับหันมามอง ดวงตาฉายแววประหลาด คล้ายจะตำหนิ ส่วนปากก็แจงอย่างละเอียด
“ ทีมราสนั่นมีดีกรีถึงแชมป์โลกเลยนะ ส่วนทีมมัฟฟิน ไม่ใช่ มัสสิน เป็นทีมดังประจำเมืองนี้ ”
“ อ้อๆ เออใช่ มัฟ…. มัฟฟิน ” มาวินพยายามเรียกชื่อทีมให้ถูก
เหมยลี่เดินนำไปได้ซักพัก ก็มาถึงตึกสูง 2 ชั้น ด้านหน้าดูคล้ายร้านเหล้าในหนังคาวบอยตะวันตก เธอผูกม้าไว้กับเสาไม้หน้าร้าน มาวินจึงผูกม้าที่ต้นเสาถัดไป เมื่อเสร็จกิจ เด็กสาวก็หันไปหาหนูน้อยวัย 10 ขวบที่ซ่อนร่างเล็กบางในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์
เหมยลี่มองเด็กน้อยที่กำลังยิ้มแป้นอยู่อึดใจ เธอก็โยนเหรียญเงินให้ผู้เยาว์ จากนั้นก็ออกคำสั่ง
“ ฝากดูแลม้าให้ด้วยนะ เจ้าหนู ”
“ ไม่มีปัญหา ผมจะดูแลม้าให้เป็นอย่างดีเลย พี่ชาย ” เจ้าหนูตอบหนักแน่น ใบหน้าเรียวเล็กดูทะเล้น
สิ้นคำ มาวินก็หัวเราะก๊ากจนลงไปนอนงอตัวกับพื้น เขาขำอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้เด็กน้อยถึงกับเอ๋อรับประทาน เพราะไม่รู้ว่าหนุ่มวัยรุ่นตรงหน้า ปกติดีหรือไม่
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…… เด็กนั่นเรียกเธอว่า…… พี่ชายน่ะ ก๊าก…… อุ้บ โอ๊ย ”
ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะกวนๆก็พลันหายไป ด้วยถูกเหมยลี่เขกกระบาลจนหน้าคะมำ
“ โทษฐานที่กวนประสาท ”
“ อู้ย.... ทำเด็กไม่ได้ แล้วมาลงกับคนอื่นรึไง ” มาวินกุมศีรษะ ปากก็บ่นอุบอิบไปตามประสา
“ หือ….. ว่าไงนะ ” เหมยลี่ทำตาเขียวใส่ พร้อมเตรียมดิ่งเข้ามาจัดชุดใหญ่
“ เปล่าๆ ไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไรจริ้งๆ……. ” เด็กหนุ่มรีบยกมือห้าม เขาปฏิเสธด้วยเสียงที่แหลมจนผิดปกติ
“ แล้วไป ” เด็กสาวหยุดการคุกคาม แล้วเดินเข้าไปในร้าน โดยไม่ทันสังเกตว่ามาวินกำลังแอบนินทา
“ นับวันยิ่งเหมือนยัยจันเข้าไปทุกที เอ.....หรือว่าจะเป็นยัยจัน ไม่น่าเป็นไปได้ ”
……………………….
ภายในร้านอาหารดูกว้างขวาง มีโต๊ะทรงกลมขนาด 4 คนตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ด้านข้างจัดวางโต๊ะยาวทรงสี่เหลี่ยม มุมในสุดปรากฏบาร์ไม้ขัดมัน ด้านหลังมีตู้สูงหลายชั้นประดับอยู่ อันใช้เก็บขวดเหล้าหลากหลายชนิด ทว่าบรรยากาศกลับดูอึมครึม เพราะมีเพียงแสงสลัวที่แผดมาจากหลอดไฟบนเพดาน
“ เหอๆ ตกลง ที่นี่เป็นร้านอาหารหรือโรงยาฝิ่น ” มาวินพึมพำเบาๆ สายตาเรียวเล็กเหลือบมองไปรอบๆ ท่าทางระแวง เด็กหนุ่มพบผู้คนมากมายที่นั่งจับกลุ่มตามโต๊ะต่างๆ พวกเขาสนทนากันอย่างเมามัน มีควันจางๆลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ อันน่าจะมาจากกล้องใส่ยาเส้นที่แทบอยู่ในปากของทุกคน
แม้เหมยลี่จะติดใจในคำพูดเพี้ยนๆของมาวิน แต่ก็ไม่ต่อความยาวสาวความยืด เธอเหลือบมองไปรอบๆ เพื่อหาที่นั่ง ซึ่งก็ยากเต็มที เพราะร้านนี้มีผู้ใช้บริการอยู่มากมาย
เหมยลี่ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง จึงหาที่นั่งได้ มันเป็นโต๊ะทรงกลมตรงมุมห้อง พอประจำที่ เด็กสาวร่างสูงก็ขอตัว
“ เดี๋ยวชั้นไปหาข่าวจากเจ้าของร้านที่บาร์เครื่องดื่มก่อน นายนั่งรอตรงนี้แหละ ”
“ อื้อ อย่าไปนานนักนะ ” มาวินพยักหน้ารับคำ พลางเหลือบมองรอบตัว ท่าทางไม่ไว้วางใจ เพราะเขาคิดว่าบรรยากาศในร้านดูสยองไม่ต่างจากบ้านผีสิง เด็กสาวจึงยิ้มน้อยๆ คล้ายจะกลั้นหัวเราะ หลังจากนั้นก็เดินจากไป
พอได้อยู่คนเดียว มาวินก็ห่อตัว เขาดูสงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นที่สุด ระหว่างนั้นเอง โสตประสาทก็แว่วเสียงทุ้มลึกจากโต๊ะข้างๆ
“ อ้าว มากันอีกแล้วเหรอ จะแก้มือที่หมดตัวคราวที่แล้วรึไง ”
มาวินรีบหันมองตามเสียง สิ่งแรกที่ได้เห็นก็คือ…..หนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อแขนยาวสีขาว ช่วงล่างสวมใส่กางเกงขายาว นอกจากนี้ยังมีผ้าคลุมสีเดียวกัน ใบหน้าขาวเนียนและละเอียดอ่อนราวอิสตรี คิ้วสีทองประดับอยู่เหนือดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่มีประกายคมซึ้ง ทั้งหมดทั้งมวลดูเข้ากับจมูกโด่งเป็นสันและปากบาง เส้นผมยาวสลวยถูกรวบด้วยผ้าขาว เมื่อพิจารณาโดยรวม ชวนให้คิดว่าหมอนี่น่าจะเป็นเจ้าชายเอลฟ์จากแดนไกล
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ