The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
164) พลังปริศนา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://rare-gallery.com
มารร้ายทั้งสิบตนแสยะยิ้ม แล้วตะโกนอย่างพร้อมเพรียง ราวกับทหารหาญที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี
" เพลิงทมิฬจงแผดเผาอริของข้า "
ถึงอากิเนะจะมองไม่ค่อยเห็น แต่หูยังทำงานอยู่ จึงรู้ว่าเหล่ามารร้ายร่างแยกคิดจะทำอะไร ในใจนึกปลงตกต่อโชคชะตา
" แย่แล้ว นี่มันเวทระเบิดตัวเอง แถมคราวนี้ยังใช้พร้อมกันถึง 10 ตน เราไม่รอดแน่ "
แสงสว่างแรงกล้าแผ่มาจากมารร้ายร่างแยกทั้งหมด ไม่นาน กายของอมนุษย์ก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ สิ่งที่ปรากฏลำดับถัดไปก็คือ.....เพลิงทมิฬที่พวยพุ่งขึ้นมา กะประมาณด้วยสายตา น่าจะสูงไม่ต่ำกว่า 50 เมตร
" ตูม........"
มารร้ายร่างต้นรีบถอยหนี เนื่องจากไฟนรกสีนิลกำลังขยายขอบเขตออกมา เพียงพริบตา ก็กินพื้นที่ไปถึง 30 เมตร
" เยี่ยม รุนแรงกว่าที่คิด แต่ยังไม่พอหรอก " มารร้ายยังไม่วางใจ จึงกระโดดขึ้นไปลอยตัวอยู่กลางอากาศ พร้อมเปล่งออร่าสีดำที่รุนแรงออกมา
" เมเทโอ "
ลูกบอลพลังงานสีดำนับสิบแผ่กระจายออกมาจากมารร้าย ทุกลูกมีขนาดใหญ่กว่าศีรษะมนุษย์เล็กน้อย แถมยังปรากฏไฟฟ้าไหลเวียน ทำให้ดูน่าสะพรึงกลัว แต่อมนุษย์ไม่ยอมยืดเยื้อ เพราะรู้ดีว่าถ้าอากิเนะตั้งหลักได้ ความตายจะกลายเป็นของมัน
" ทำลาย " สิ้นเสียงตะโกนของมารร้าย บอลพลังสีดำนับสิบก็พุ่งไปยังกองไฟทมิฬที่กำลังลุกโชน
" ตูม ตูม ตูม......." เกิดเสียงดังสนั่น ไม่ต่างลูกระเบิดปืนใหญ่ และทุกครั้งที่บอลพลังงานผสานกับเพลิงอเวจี ไฟนรกก็จะกระพือแรงจนพุ่งสูงกว่าเดิม
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า......สำเร็จแล้ว และนี่ก็ตรงกับสุภาษิตที่พวกมนุษย์ชอบพูดกัน นั่นก็คือ......ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย " มารร้ายหัวเราะร่า มันรู้สึกสาแก่ใจที่เป็นฝ่ายพลิกเกม แต่นั่นก็เป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น เพราะสายตากลับประสบกับออร่าสีม่วงอมดำที่แรงกล้า อันปรากฏอยู่ตรงกึ่งกลางของเพลิงทมิฬ
" เดี๋ยวนะ ชักไม่เข้าทีแล้ว " มารร้ายสังหรณ์ใจไม่ดี จึงรีบเพ่งมองไปยังจุดเกิดเหตุ ทำให้ประจักษ์กับเจ้าของออร่าสีม่วงอมดำ นั่นก็คือ........อากิเนะ
" เฮ้ย.....มันยังไม่ตาย แล้วยัยเด็กนั่นกำลังทำอะไร " มารร้ายตะโกนดัง พร้อมจ้องมองไปที่คู่กรณี จึงเห็นว่าอากิเนะเอี้ยวตัวเล็กน้อย สองมือประสานกัน แล้วเหวี่ยงไปข้างหลัง ท่าทางเหมือนคนที่กำลังจับดาบสองมือ
มารร้ายงงเป็นไก่ตาแตก เพราะท่วงท่าดังกล่าวดูไม่เหมือนคนที่กำลังทรมานในกองเพลิง แถมดวงตาของเด็กสาวก็แลเยือกเย็นจนน่าสะพรึงกลัว
" แปลกมาก ต้องเกิดเรื่องน่ากลัวแน่ๆ "
ในที่สุด การคาดเดาของมารร้ายก็เป็นจริง เมื่อออร่าสีม่วงอมดำที่ห่อหุ้มกายของเด็กสาวเริ่มกระพือแรงและขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เพลิงทมิฬที่รายล้อมรอบตัวถึงกับปลิวกระจาย พร้อมพลังที่พุ่งสูงจนน่าตกใจ
" เฮ้ย.....พลังของยัยเด็กนั่นสูงขึ้นเรื่อยๆ นี่มันเกินกว่ามารชั้นสูงหลายสิบตนรวมกันซะอีก บ้าน่า เป็นไปไม่ได้ "
.........................
เสี้ยววินาทีที่อากิเนะคิดว่าจะตายแน่ๆ ก็ดันเกิดเรื่องประหลาด ร่างกายพลันตื่นตัวกว่าปกติ ออร่าสีม่วงอมดำเปล่งประกายขึ้นมาเอง ราวกับว่ามันเป็นระบบป้องกันตัวอัตโนมัติที่ปรากฏในยามมีภัย มิหนำซ้ำ ยังมีเสียงหวานใสของหญิงสาวกระซิบที่ข้างหู มันเป็นกระแสที่เยือกเย็นและลึกลับในเวลาเดียวกัน
" จงประสานมือ แล้วเหวี่ยงไปข้างหลัง "
แม้เสียงดังกล่าวจะไพเราะและอ่อนหวาน แต่ก็มีอำนาจบางอย่างที่สะกดให้อากิเนะรู้สึกเลื่อนลอย ปิดท้ายด้วยการทำตามคำสั่งแบบไม่มีเงื่อนไข ดวงตาจับจ้องมารร้ายที่ลอยอยู่กลางอากาศ
" จากนั้น ก็เพ่งมองเป้าหมายให้ดีๆ แล้วปล่อยท่าไม้ตายของเจ้าออกไป "
" ท่าไม้ตายของข้าหมายความว่าไง ข้ามีของแบบนั้นด้วยเหรอ " ถึงอากิเนะจะครองสติได้ไม่เต็มร้อย แต่ก็ยังสำนึกได้ว่าตนไม่มีกระบวนท่าแบบนั้น เพราะตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยฝึกอาวุธหรือการต่อสู้ใดๆเลย ทว่า เสียงปริศนาก็ไม่ยอมคืนตั๋ว
" ลองนึกดูให้ดีๆ สิ่งนั้นอยู่กับเจ้ามาอย่างยาวนาน มันเป็นกระบวนท่าที่รุนแรงจนถึงขั้นถล่มฟ้า ทลายดินได้อย่างง่ายดาย "
ถึงจะได้รับคำขาดจากเสียงปริศนา แต่อากิเนะก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ขณะที่จะส่งกระแสจิตเถียง ในหัวก็บังเกิดคำๆนึงขึ้นมา
" เฟอรัน "
หลังสิ้นคำนั้น อากิเนะก็รู้สึกถึงพลังที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างมากมาย ออร่าสีม่วงอมดำแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆจนผลักดันให้ไฟนรกถอยห่าง และในวินาทีดับจิต อากิเนะก็เหวี่ยงสองแขนออกไปข้างหน้า ท่วงท่าดูคล้ายคลึงกับการตวัดดาบขนาดใหญ่ถึงเก้าส่วน ปากก็ตะโกนดัง
" เฟอฟารันคอสโม "
" ซูม......."
คลื่นพลังสีม่วงอมดำขนาดมหึมาพุ่งออกจากสองมือของอากิเนะ ความแรงของมันมีมากมายถึงขั้นสะท้อนเพลิงทมิฬและบอลพลังงานสีดำให้ปลิวกลับไปหาเจ้าของ นั่นก็คือ......มารร้ายที่ลอยอยู่กลางอากาศ
" เฮ้ย.......แย่แล้ว " สิ่งเดียวที่มารร้ายกระทำได้คือร้องเสียงหลง พร้อมกับยกสองแขนขึ้นป้องกันร่างกาย หวังให้บาดเจ็บน้อยที่สุด และนั่นคือภาพสุดท้ายที่อากิเนะเห็น เพราะอมนุษย์ได้ถูกคลื่นพลังขนาดยักษ์กลืนกินจนหายไปทั้งตัว
คลื่นพลังงานสีม่วงอมดำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็ลอยไกลเป็นสาย ประดุจดังมังกรยักษ์ที่กำลังทะยานสู่สรวงสวรรค์ เพียงอึดใจเดียว กระแสของมันก็ลอยหายไปจนลับสายตา ทิ้งให้ความเงียบงันเข้าปกคลุมสถานการณ์
อากิเนะยืนงง เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีท่าโจมตีที่รุนแรงระดับนี้ แต่สิ่งที่ควรสนใจจริงๆก็คือ.....มารร้ายที่หายไป
" ถึงจะเหลือเชื่อ แต่เราต้องให้ความสนใจกับอมนุษย์ตนนั้นก่อน ว่าแต่มันหายไปไหน "
อากิเนะเหลียวซ้ายแลขวาอยู่หลายวาระ ไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงโอดโอยที่ดังอยู่ไม่ไกล
" โอย......"
เด็กสาวหันไปยังทิศทางที่เกิดเสียง แล้วลอยเข้าไปหา มันอยู่กลางซากปรักหักพัง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 20 เมตรเท่านั้น และพอไปถึง เธอก็พบกับ......มารร้ายตนนั้น
" อูย....." อมนุษย์ครวญเบาๆ สภาพยับเยิน ไม่ต่างจากสุนัขที่ถูกรถสิบล้อทับซักสิบหน มันนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น เลือดสีดำโชกร่างที่เกือบเปลือย เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ ขาดวิ่นจนเกือบหมด เส้นผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แถมดวงตาเรียวเล็กก็เหมือนจะปิดมิปิดแหล่
แม้อากิเนะจะยังทึ่งกับพลังทำลายของกระบวนท่า แต่ก็ยังสลัดสิ่งที่อยู่ในใจไม่ได้ นั่นก็คือ.....
" ทีนี้เจ้าก็หมดฤทธิ์แล้ว บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าข้าคือใคร ทำแบบนี้ได้ยังไง "
มารร้ายดูอิดโรยและไม่มีทีท่าจะหมกเม็ดเหมือนที่ผ่านมา สีหน้าแฝงแววศิโรราบอย่างแท้จริง ถ้าให้พูดตามตรง มันดูหวาดกลัวเสียด้วยซ้ำ ปากคอสั่นเทา ราวกับได้เห็นมัจจุราชมาล้างผลาญชีวิต
" กะ....กลัวแล้ว ยะ....อย่าทะ....ทำข้าเลย ยะ....ยอมบอกทุกอย่างแล้ว "
นี่คือรีแอคชั่นที่อากิเนะคาดไม่ถึง แต่เธอก็ไม่ว่าอะไร เพราะมันทำให้เข้าใกล้ความจริง จึงตามติดด้วยการคาดคั้นเสียงแข็ง
" ในเมื่อยอมแพ้ ก็รีบบอกสิ่งที่ข้าอยากรู้มา "
มารร้ายดูลนลานเหลือประมาณ ถ้ามันยังขยับตัวได้ รับประกันว่าคลานหนีไปถึงสุดขอบโลกแน่ๆ แต่ด้วยสังขารที่ใกล้ตาย จึงทำได้แค่แสดงสีหน้าหวาดกลัว พร้อมตอบเสียงสั่น
" ทะ....ท่านไม่ได้เป็นทายาทของเหล่าองครักษ์ ตะ....แต่ทะ.....ท่านคือ...."
" คืออะไร รีบว่ามา " อากิเนะตะโกนดัง เพราะร้อนใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมเฉลยซักที ทันใดนั้นเอง มือของมารร้ายก็ยกขึ้นมา พร้อมเปล่งแสงสีดำ
" เฮ้ย......มือของข้าขยับไปเอง อย่าทำแบบนั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจ " มารร้ายร้องบอกสุดเสียง แต่ตัวเองกลับปล่อยมนต์มรณะออกมา ทว่าอากิเนะก็เอี้ยวหลบได้อย่างหวุดหวิด
" นะ.....นี่เจ้าช่างเกินเยียวยา ลอบกัดข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า " อากิเนะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะถึงเป็นเธอในตอนนี้ แต่ถ้าโดนเวทนั้นเข้าไปเต็มๆ ก็น่าจะม้วยมรณา
" มะ.....ไม่นะ คะ....คราวนี้ ขะ...ข้าไม่ได้ทำ มะ....ไม่ใช่ฝีมือข้า " มารร้ายรีบแก้ตัวพัลวัน และคราวนี้ดูเหมือนมันจะพูดความจริง เพราะสีหน้าฉายแววฉงนอย่างชัดเจน
" ไม่ต้องมาแก้ตัว ไอ้มารร้ายจอมสับปลับ เจ้ามันเชื่อไม่ได้ " พออากิเนะพูดจบ ออร่าสีม่วงอมดำก็พวยพุ่งจากร่างบาง รังสีอำมหิตแผ่กระจายไปโดยรอบ นี่ยังไม่นับดวงตากลมโตที่เปล่งประกายเคียดแค้น
" ซะ.....ซวยแล้ว คะ.....คราวนี้ ไม่รอดนะ....แน่ " มารร้ายถึงทางตัน เพราะร่างกายดันน่วมจนขยับไม่ได้ แถมอริยังเป็นผู้ที่ทรงพลังถึงขั้นเขย่าโลก และเมื่อเด็กสาวยกมือขวาที่เปล่งแสงขึ้นมา อมนุษย์ก็หลับตา
" ฉึก......."
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/Jalando.darksidewriter
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ