The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
161) เหนือชั้นกว่ามาก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://www.goodfon.com
ออร่าดังกล่าวแผดแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด กระแสนั้นก็ครอบคลุมไปทุกทิศทุกทางจนดูเหมือนมีอาทิตย์เพิ่มขึ้นมาอีกดวง สิ่งถัดมาที่บังเกิดก็คือ.....แรงมหาศาลที่สามารถผลักมารร้ายให้กระเด็นไกล
" โครม......"
" อั้ก....." มารร้ายรู้สึกจุกเสียด แต่นั่นไม่หนักหนาเท่ากับความฉงนสงสัยว่าตนโดนอะไร และในตอนนี้ มันได้ลอยไปไกลจากจุดที่เคยยืนถึง 100 เมตร
" อู้ย.....นี่ข้าโดนอะไร " มารร้ายประคองสังขารที่บอบช้ำ เพื่อลุกขึ้นยืน สายตาสอดส่ายไปรอบๆ จึงพบกับอดีตเมืองที่กลายสภาพเป็นซากปรักหักพัง มีไฟแดงฉานปรากฏเป็นหย่อมๆ
อมนุษย์ยอมรับว่าไม่เคยเจอพลังแบบนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตา ก็สามารถบันดาลความพินาศย่อยยับให้กับเมืองทั้งเมือง ขณะที่มันมองหาเด็กสาว ก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศที่ด้านขวา
" วิ้ว......."
มารร้ายรีบหันไปมอง จึงพบว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง แค่อึดใจเดียว วัตถุประหลาดนั้นก็เข้าประชิดตัว ทำให้รู้ว่านั่นคือ.....อากิเนะ
" เปรี้ยง....." ใบหน้าเรียวเล็กของมารร้ายถึงกับสะบัด พร้อมปลิวไปกระแทกไม้ใหญ่ เหตุเพราะโดนหมัดลุ่นๆของเด็กสาว สร้างความแปลกใจแก่อมนุษย์
" เฮ้ย.....เป็นไปได้ไง ที่ผ่านมา ยัยเด็กนั่นจู่โจมด้วยการยิงเวทใส่อย่างเดียว แต่นี่ถึงกับต่อยด้วยหมัด แถมยังหนักจนทำให้ข้าบาดเจ็บอีกต่างหาก บ้าไปแล้ว "
ทว่า การจู่โจมยังไม่จบเพียงเท่านี้ อากิเนะยังทะยานเข้ามาจัดหนักอีกชุดใหญ่ด้วยการระดมหมัดซ้ายขวาใส่อย่างดุเดือด ทำให้มารร้ายถอยร่นไม่เป็นกระบวน แถมแต่ละดอกยังหนักหน่วง ไม่ต่างจากกระสุนปืนใหญ่
" เปรี้ยง ปัง ตูม โครม "
มารร้ายโดนไล่ต่อยจนเสียรูปมวย สองเท้าถดถอยอย่างต่อเนื่อง แต่โชคดีที่แผ่นหลังยังมีต้นไม้ใหญ่คอยค้ำยัน จึงทำให้พอตั้งหลักได้บ้าง และเมื่อเห็นว่าตนไม่ควรโดนโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว อมนุษย์จึงตัดสินใจแลกด้วยการปล่อยหมัดขวา
" ปัง "
หมัดที่ห่อหุ้มด้วยออร่าดำที่กร้าวแกร่ง กระแทกใส่แก้มใสๆเข้าอย่างจัง ทำให้ใบหน้าของเด็กสาวสะบัดและเซถอยหลังไปเล็กน้อย
" หึ หึ หึ เป็นไงเล่า " มารร้ายเริ่มลิงโลดใจ เพราะรู้ดีว่าอริวัยเยาว์นั้นเป็นเพียงนักเวทสาวที่มีร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจทนทานหมัดที่มีน้ำหนักขนาดล้มช้างอย่างแน่นอน ดังนั้น การจู่โจมครั้งนี้ น่าจะทำให้คอของเจ้าหล่อนหักในทีเดียว แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นตามนั้น เพราะอากิเนะหันกลับประจัน แล้วกล่าวเบาๆ
" แกทำได้แค่นี้เหรอ มารร้าย "
" เฮ้ย....บ้าน่า แกมะ....ไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ ทะ....ทนหมัดของข้าได้ยังไง " มารร้ายสะอึกหลายครั้งติด เพราะหมัดที่ปล่อยสุดกำลัง สร้างอาการบาดเจ็บให้กับอากิเนะแค่รอยช้ำตรงแก้มและหยดเลือดน้อยๆที่ไหลตรงมุมปาก
อากิเนะไม่สนว่ามารร้ายจะคิดยังไง แต่เธอเริ่มย่อตัวลงต่ำ พร้อมพุ่งเข้าไปถีบขวาใส่หน้าท้อง ด้วยความเร็วแรงที่มากมายพอๆกับมิตไซด์ ส่งผลให้อมนุษย์กระเด็นไกล
" โครม ตูม ตูม ตูม..... "
คราวนี้ อมนุษย์ลอยไปไกลกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่อัดต้นไม้ใหญ่จนสิ่งที่ค้ำยันหักสะบั้นในทีเดียว จากนั้นก็ปลิวไปกระแทกบ้านในละแวกนั้น แต่ไม่อาจหยุดยั้งความแรง จึงทำให้ทะลุกำแพงต่อๆกันถึงสามหลังติด
" อั้ก....." มารร้ายนอนคว่ำหน้า พร้อมกระอักโลหิตสีดำออกมากองโต ใจอยากลุกขึ้นยืน เพราะรู้ดีว่าคู่ต่อกรกำลังจะก้าวเข้ามา แต่ร่างกายกลับสูญเรี่ยวแรงจนไม่อาจขยับ ทว่านับหนึ่งไม่ถึงสิบ มันก็รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหลัง
" เอ๊ะ....หรือว่า...." มารร้ายแอบเหล่มองด้วยหางตา กายสั่นเทา ในใจนึกลุ้นไม่ให้เป็นอริสาวหน้าใส แต่แล้ว ปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง เพราะบุคคลผู้นั้นก็คือ....อากิเนะ สตรีผู้น่าสะพรึงกลัว
มารร้ายคาดว่าอริร่างบางจะตรงเข้ามาขยี้ให้สมแค้น หรือไม่ก็คาดคั้นหาคำตอบที่อยากรู้ แต่เด็กสาวกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ พร้อมกล่าวถากถาง
" เชอะ นึกว่าจะแน่ ที่ไหนได้ โดนอัดไม่กี่ที ก็ม่อยจนลุกไม่ขึ้น "
มารร้ายตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากของอากิเนะที่แสนอ่อนโยน มันน่าจะเป็นถ้อยวาจาของนักรบผู้เย่อหยิ่งและหยาบกร้านมากกว่า แต่อมนุษย์ก็ยังเจ็บใจอยู่ดี ด้วยถูกหยามหมิ่นอย่างรุนแรง
" กรอด.....นี่ถ้าข้าไม่พลั้งเผลอ โดนเจ้าชิงจู่โจมก่อน ก็คงไม่ย่อยยับถึงเพียงนี้ " มารร้ายกัดฟันแน่น มือขวาทุบลงไปเต็มแรง ทำให้พื้นปฐพียุบลงไปสองนิ้ว
ถึงมารร้ายจะไม่ตั้งใจ แต่คำพูดนั้นกลับสะกิดบางต่อมของอากิเนะ เธอจึงหยุดความคิดที่จะประหาร แล้วถามกลับทันควัน
" ฝีมือห่างกันขนาดนี้ เจ้ายังคิดว่าสู้ได้อีกเหรอ "
มารร้ายตะลึงงัน เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใส่ใจ สมองพอเห็นทางรอดอยู่รำไร เลยลองเจรจา เพื่อหยั่งเชิง
" ก็ใช่น่ะสิ ที่พลาดจนลุกไม่ขึ้นแบบนี้ เป็นเพราะประมาทเกินไป ถ้าตั้งใจสู้แต่แรก แกก็ยังล้มข้าไม่ได้ " พอพูดจบ มารร้ายก็ลอบมองคู่สนทนา เพื่อประเมินท่าที ก็เห็นว่าอากิเนะเริ่มยิ้มมุมปากเป็นเชิงเย้ยหยัน จากนั้นก็ออกอาการโอหัง
" งั้นก็ดี ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกที ดูซิว่าจะเก่งอย่างปากว่ามั้ย "
มารร้ายอยากถามว่าอากิเนะจะทำยังไง เพราะรู้ดีว่าเวทแสงที่เด็กสาวชำนาญนั้นไม่สามารถฟื้นพลังให้เหล่ามาร แต่ไม่ทันได้อ้าปาก อริร่างบางก็ยิงแสงสีม่วงอมดำใส่
" เฮ้ย.....ไหนบอกว่าอยากให้ข้าสู้ต่อไง แต่ที่ทำลงไป น่าจะให้โอกาสไปเกิดใหม่ซะมากกว่า " อมนุษย์อ้าปากเหวอ ในใจพยายามคิดว่าจะไปขอร้องยมบาลยังไง เพราะถึงตนมาจากเผ่ามาร แต่ก็ไม่อยากลงไปทัวร์นรกเลย
" ซูม.....พรึบ...."
ปรากฏเสียงดังสะท้านแก้วหู ฟังดูใกล้เคียงกับเสียงเครื่องบินในยามร่อนลง จากนั้นก็บังเกิดเปลวเพลิงทมิฬห่อหุ้มกาย แต่มารร้ายกลับไม่รับรู้ถึงความร้อน อันที่จริง แอบเย็นสบายเสียด้วยซ้ำ
" เอ๊ะ......นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงรู้สึกดีแบบนี้ "
" หึ หึ หึ นั่นคือพลังมาร เจ้ารีบซึมซับมันเข้าไป จะได้ฟื้นฟูตัวเอง แล้วลุกขึ้นมาสู้ต่อ " อากิเนะหัวเราะเบาๆ พร้อมเอื้อไมตรีให้อมนุษย์
แม้มารร้ายจะนึกสงสัยที่มนุษย์ธรรมดาปล่อยพลังของเหล่ามาร แต่เมื่อโอกาสทองลอยมา ก็จำต้องรีบคว้าเอาไว้ จึงสำรวมจิตของตัวเองโดยพลัน เพื่อดูดซับคลื่นพลังที่รายล้อมรอบตัว
" อึบ....." เปลวเพลิงทมิฬที่ห่อหุ้มกายถูกดูดเข้าไปในตัวของมารร้ายอย่างฉับพลัน ทำให้อมนุษย์ฟื้นพลังจนสามารถลุกขึ้นยืนได้เต็มสองขา พร้อมเป่าปากระบายลม
" ฟู่......นี่เจ้าทำแบบนี้ได้ยังไง " มารร้ายสำรวจตัวเอง จึงพบว่าบาดแผลบนร่างกายเริ่มสมานจนเกือบหาย กำลังกายกลับคืนถึง 80 เปอร์เซ็นต์
" หึ หึ หึ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ไง ข้าแค่คิดว่าอยากให้เจ้าฟื้นตัวมาสู้ต่อ ก็เท่านั้น " อากิเนะยิ้มมุมปาก ดวงตาที่เคยกลมโตและใสซื่อแปรเปลี่ยนดุดันและน่ากลัว
ทันทีที่ได้ยินน้ำคำของอีกฝ่าย มารร้ายก็สะอึก แม้ตนจะเป็นอมนุษย์ที่ชื่นชอบการสัประยุทธ์เป็นชีวิตจิตใจ แต่เด็กสาวนางนี้น่าจะบ้าสงครามมากกว่าเป็นเท่าทวี
" ว่าแต่เจ้าพร้อมรึยัง จะได้ต่อยกสอง ให้หายค้างคาใจกันไปเลย " อากิเนะพูดจบ ก็ฉีกกระโปรงยาวออกมาครึ่งนึง ทำให้มันสั้นลงจนเหลือแค่โคนขาอ่อน อันสะดวกต่อการต่อสู้ระยะประชิดมากขึ้น
" อืม.....พร้อมแล้ว คราวนี้ ข้าไม่ประมาทแน่ แล้วเจ้าจะเสียใจที่มอบดาบให้ศัตรู " มารร้ายตะคอกใส่อย่างดุดัน พร้อมเกร็งกำลัง เพื่อเร่งออร่าสีดำให้พวยพุ่งรอบกาย
" ก็มาดูกันว่าเจ้าจะทำให้ข้าเสียใจได้มั้ย " อากิเนะตอกกลับทันควัน แล้วตั้งท่าต่อสู้
" เปรี้ยง....." ทั้งสองจ้องมองกันอยู่อึดใจ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ด้วยกำลังที่มีทั้งหมด ก่อให้เกิดเสียงดังกัมปนาท ราวกับโลกจะถล่ม ซากบ้านเรือนในแถบนั้นถึงกับแตกกระจาย กลายเป็นพื้นที่ราบเรียบ แต่เงาร่างของพวกเขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่ตามมาคือ......เสียงระเบิดที่ดังถี่รัว
" ปัง ปัง ปัง......"
เสียงนั้นเกิดจากการประหมัด เท้า เข่า ศอก และทุกครั้งที่กระทบถูก จะก่อกำเนิดคลื่นแสงสีดำอมม่วงในหลากหลายจุดในละแวกนั้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นดิน ท้องฟ้า แผ่นน้ำ อันบ่งบอกถึงความรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อของสองปีศาจ
การประลองที่เกินบรรยายดำเนินอยู่หลายนาที ก็สิ้นสุดลงที่การปรากฏตัวของสองมาร ซึ่งขณะนี้ ได้ลอยตัวอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า
" แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก.......เป็นไงเล่า " มารร้ายหอบถี่ ท่าทางเหน็ดเหนื่อย ส่วนอากิเนะยังดูชิวๆ ลมหายใจไม่ขาดห้วงซักนิดเดียว
เด็กสาวยืนจ้องหน้านิ่ง เพื่อพินิจอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะเอ่ยถามตรงๆ สีหน้าฟ้องถึงความผิดหวัง
" เจ้าทำได้แค่นี้เองเหรอ เคลื่อนไหวเร็วกว่านี้ไม่ได้รึไง "
" เชอะ อย่ามาอำดีกว่า ข้าอ่านแผนออก เจ้าคิดจะปั่นว่าตัวเองเคลื่อนที่ได้เร็วกว่านี้ เพื่อทำให้ข้ากลัวล่ะสิ " มารร้ายแสร้งยิ้ม เพื่อปลุกปลอบใจ เพราะเชื่อมั่นมาตลอดว่าไม่มีใครว่องไวเกินตน แต่เด็กสาวกลับปฏิเสธห้วนๆว่า......
" คนอย่างข้าไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์หลอกล่อ "
" พิสูจน์สิ ทำให้ข้าเห็นความเร็วที่แท้จริงของเจ้าหน่อย " มารร้ายเริ่มท้าทาย มันคิดว่าเด็กสาวก็แค่พูดพล่ามไปเรื่อย เพื่อเขียนเสือให้วัวกลัว
" ได้เลย " อากิเนะรับคำแบบไม่ต้องคิด วินาทีต่อมา ร่างบางก็หายวับไปกับตา
" เฮ้ย......ไอ้เด็กนั่นหายไปไหน " มารร้ายหันซ้ายแลขวา แม้จะมีสายตาที่เฉียบคมกว่าเหยี่ยวถึง 10 เท่า แต่ก็มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเด็กสาว จวบจนได้ยินเสียงใสๆที่ด้านหลัง จึงรู้ตำแหน่งของคู่ประลอง
" มองไปที่ไหน ข้าอยู่ข้างหลังเจ้า "
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/Jalando.darksidewriter
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ