The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
148) ผู้ข้ามขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://hdqwalls.com
“ โอ้……นะ…นี่มัน ” เทพศาสตราอุทานเบาๆ สีหน้าฉายแววประหลาดใจ เพราะรู้สึกถึงพลังและความเร็วที่เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมากมาย
“ นี่คือเวทที่ทำให้ท่านปู่แข็งแรงและรวดเร็วขึ้น แถมร่างกายก็ยังคงทนต่อแรงปะทะทั้งปวง ” อากิเนะอธิบาย พร้อมรอยยิ้ม ทว่าสิ่งนี้กลับทำให้ผู้ปู่อึ้ง ด้วยมันคือเวทมนตร์สายขาวที่มีแต่นักบวชชั้นสูงใช้กัน
“ นี่เจ้าก้าวล้ำไปถึงขั้นนี้แล้วเหรอ ”
“ ไม่หรอกค่ะ คะ…แค่บังเอิญฝึกได้เท่านั้น ” อากิเนะก้มหน้าลง ท่าทางขัดเขินที่ถูกชม แต่อึดใจต่อมา เธอก็นึกถึงเรื่องสำคัญออก
“ อะ…เอ่อ….ท่านปู่ ดูเหมือนพวกเราจะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้นะ เพราะกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ ”
“ ชะ…ใช่ ตอนนี้ พวกเรากำลังอยู่กลางศึก งั้นหลานช่วยถอยไปก่อน ” เทพศาสตราหันมาสนใจในสิ่งที่สมควร เขาเกร็งกาย เพื่อปลดปล่อยพลัง ส่วนอากิเนะก็ถอยห่างตามคำสั่ง
ออร่าสีขาวที่ฉาบทั่วร่างของเทพศาสตราเริ่มเปล่งประกายและพวยพุ่งออกมาอย่างมากมาย ประดุจดังเปลวเพลิงที่ร้อนแรง พร้อมเสียงคำรามที่กร้าวแกร่ง
“ อ่า……..”
สามมารสัมผัสได้ถึงพลังที่รุนแรง พวกมันถึงกับตะลึงงันจนลืมรวมร่างกัน ด้วยมนุษย์เบื้องหน้าสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์
“ เฮ้ย…..มนุษย์มีพลังถึงขนาดนี้เลยเหรอ เทียบเท่ากับมารชั้นสูงได้เลยนะเนี่ย ”
แต่ไม่ทันได้ทำอะไร เปลวเพลิงสีขาวที่ห่อหุ้มเทพศาสตราก็เปล่งแสงแรงกล้าขึ้นมาอีกระดับจนทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นเริ่มแสบตา และเมื่อพลังจิตต่อสู้พุ่งทะยานถึงขีดสุด ผู้อาวุโสก็ตะโกนดัง
“ ฮ่า……...”
เกิดแรงลมมหาศาลพุ่งกระจายออกจากเทพศาสตรา กระแสนั้นรุนแรงจนแทบจะทำให้สามมารปลิว โชคดีที่อากิเนะถูกเตือนล่วงหน้า เธอเลยไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แต่ก็แอบชะโงกไปดูเหตุการณ์เป็นระยะ สองมือกำแน่น เพื่อรอสนับสนุน
“ ท่านปู่ พยายามเข้านะ ”
หลังจากสามมารตั้งหลักได้ พวกมันก็หันมามองเทพศาสตรา จึงพบกับชายชราร่างสูง ที่ตอนนี้ยืนองอาจอยู่กลางสายลมแรง รอบกายแผ่ซ่านไปด้วยเปลวเพลิงสีขาวที่เข้มข้นจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า แถมใบหน้าก็ดูหนุ่มขึ้น ผมและเคราสีเงินที่ยาวสลวยกลับกลายเป็นดำสนิท
“ โอ้…..นะ…นี่เจ้าปะ…..เปลี่ยนไปมาก ” มารผู้เป็นหัวหน้าทีมกล่าวเบาๆ และนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มันเริ่มปากสั่น
“ การใช้พลังจิตต่อสู้ขั้นสุดยอด ทำให้ข้ากลับเป็นหนุ่มชั่วขณะ ” เทพศาสตราตอบเรียบๆ ดวงตากร้าวแกร่งส่องประกายจริงจัง
ด้วยพลังจิตกล้าแข็งที่แผ่ซ่านออกมา ทำให้สามมารร้ายถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เทพศาสตราจึงใช้เท้างัดกิ่งไม้ยาวเท่าท่อนแขนขึ้นสูง แล้วจับมันเหวี่ยงไปมาประดุจดังกระบี่คู่ใจ
“ อืม…..ได้อาวุธใช้แล้ว ” เมื่อเห็นว่ากิ่งไม้นี้เหมาะมือ เทพศาสตราก็เปิดฉากลุยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ ตูม…..”
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น เพราะเทพศาสตรากระทืบพื้นดิน ก่อนพุ่งทะยานเข้าหาอริร้าย เพียงเสี้ยววินาที ผู้อาวุโสก็เข้าถึงตัวมารที่โดนเวทแสง ส่งผลให้มันตกตะลึง
“ เฮ้ย! ”
ทว่ามารร้ายตนนั้นร้องได้คำเดียว ด้วยเทพศาสตราได้ปลดปล่อยกระบวนท่าเด็ดออกมา นั่นก็คือ......
“ พันเข็มทิ่มแทง ”
กิ่งไม้ยาวนับสิบพุ่งเข้าใส่มารร้ายตนนั้น ดุจดังเงาปีศาจ แถมยังมีออร่าเพลิงขาวห่อหุ้มศาสตรา มิหนำซ้ำ ทุกการโจมตียังเข้าจุดตายอย่างแม่นยำ
“ เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…….”
“ อั้ก อั้ก อั้ก…..” มารผู้เคราะห์ร้ายถึงกับกระอัก กายบางที่ขะมุกขะมอม ซวนเซไปตามแรงทิ่มแทง และทุกจุดที่ถูกกิ่งไม้กระทบ ก็เกิดบาดแผลฉกรรจ์จนเลือดสีดำพุ่งทะลักออกมา
เทพศาสตราปล่อยกระบวนท่าเด็ดได้ไม่ถึงสามวินาที ก็ทิ่มทะลวงไปเกินกว่าพันครั้ง ส่งผลให้ร่างบางชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีดำ ท่าทางสาหัสเป็นอย่างยิ่ง เเต่เท่านี้ยังไม่อาจหยุดลมหายใจของมัน เขาจึงปิดฉากด้วยกระบวนท่า……
“ ดาบผ่าพสุธา ”
สิ้นประกาศิต เทพศาสตราก็รีบเอาท่อนไม้มาเสียบข้างเอว แล้วชักออกมาฟันมารร้ายที่สะบักสะบอมอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังรูปจันทร์เสี้ยวสีขาวแผ่ออกมาจากแรงเหวี่ยง แล้วพุ่งปะทะอริร่างเล็ก ก่อให้เกิดเสียงระเบิดที่ดังสนั่นกว่าครั้งไหนๆ
“ ตูม…….”
พื้นดินสั่นสะเทือน แรงลมมหาศาลพัดกระพืออีกครั้ง คราวนี้รุนแรงกว่าเดิมจนพัดสองมารที่เหลือให้กระเด็น โชคดีที่พวกมันมีฝีมือไม่ธรรมดา จึงรั้งตัวเองไม่ให้หลุดลอยไปไกล
“ กร็อด….ทำไมเจ้าแก่ถึงได้……” มารร้ายหัวหน้าทีมรู้สึกโกรธเกรี้ยว แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ มันจึงไม่ยอมพูดให้จบ เดือดร้อนให้ปีศาจอีกตนมากล่าวต่อ
“ เก่งนัก ”
มารหัวหน้าทีมหันมามองร่างแยกอีกตน แม้มันไม่อยากยอมรับ แต่ก็จำใจ เพราะความจริงก็คือความจริง (คำนี้คุ้นๆนะ ทำให้นึกถึงครูบางคน) ภายในนึกห่วงมารร้ายที่ถูกกระบวนท่านี้
“ ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้านั่นคงไม่เหลือซากแล้ว หันมาป้องกันตัวดีกว่า ” ร่างแยกตนนั้นตอบกลับ ซึ่งก็ตรงกับความคิดของหัวหน้ามาร
เหล่ามารร้ายเพ่งมองกลุ่มควันที่ฟุ้งกระจาย จิตสัมผัสได้แต่พลังของเทพศาสตราเพียงผู้เดียว จวบจนสิ่งอำพรางเริ่มเบาบางลง พวกมันก็ได้เห็นร่างสูงที่หยัดยืนอยู่ตรงกลาง เขาคนนั้นคือ….นักสู้อาวุโส ผู้เอาชนะขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์
นักสู้สูงวัยยังคงยืนสงบ เปลวเพลิงสีขาวยังห่อหุ้มกายเหมือนเดิม ชวนให้คิดว่าเขามีจิตต่อสู้มหาศาลแค่ไหน ขนาดใช้กระบวนท่าที่รุนแรงจนน่าตะลึง พละกำลังยังไม่ตกลงเลย ดวงตาคมกร้าวจับจ้องมาที่สองมาร โดยไม่สนอมนุษย์ที่นอนราบอยู่บนพื้นข้างๆ ร่างกายของมันขาดเป็นสองท่อน
“ อั้ก อั้ก อั้ก…..” มารตนที่ถูกฟันขาดกลาง เริ่มกระอักเลือดสีดำออกจากปาก ท่าทางทุรนทุรายสุดขีด ด้วยความตายที่นิรันดร์กำลังมาเยือน ไม่นาน มันก็แน่นิ่งและสลายกลายเป็นฝุ่นผง
“ อั้ก….” มาวินด้านมืดที่เป็นร่างต้นเริ่มกระอักบ้าง สีหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวด เพราะได้สูญเสียร่างแยก ซึ่งเป็นพลังงานบางส่วน เขาจึงแก้เกมด้วยการเรียกอีกตนมารวมตัว
“ เอาล่ะ แกรีบเข้ามารวมร่างกับข้าได้แล้ว ไม่งั้นถูกเจ้าแก่นั่นสังหารแน่ เร็วเข้า ”
คราวนี้มารร้ายตนนั้นไม่อิดเอื้อน เพราะถ้าชักช้า ได้ตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของเทพศาสตราแน่ มันจึงรีบวิ่งเข้ามารวม แต่ก่อนจะเข้าถึงตัว ก็ต้องรีบถอยกลับ ด้วยประสบกับคลื่นพลังรูปจันทร์เสี้ยวขนาดมหึมา
“ เฮ้ย! ” สองมารตกใจจนอุทานพร้อมกัน เพราะรู้ดีว่าคลื่นพลังงานลูกนี้ร้ายกาจเพียงใด ถ้าโดนเข้าไปเต็มๆ ไม่ตายในทีเดียว ก็สาหัสจนยืนไม่อยู่
คลื่นพลังงานรูปจันทร์เสี้ยววิ่งผ่านหน้าของสองมาร พอลอยขึ้นไปบนอากาศได้ราวๆห้าสิบเมตร ก็ระเบิดอย่างรุนแรงไม่แพ้ครั้งแรก ทำให้พสุธาสั่นสะเทือน ประหนึ่งว่าเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่
“ ตูม…….”
“ ตกลง เจ้าแก่นี่ มะ…มันเป็นมนุษย์จริงๆหรือ ” สองมารเหม่อมองท้องฟ้าที่เปล่งแสงสว่างสีขาว อันเป็นผลพวงจากพลังทำลายมหาศาล แต่ไม่ทันได้ทำสิ่งใด เทพศาสตราก็มาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหลัง ผิดแต่ว่ามันไม่ได้มีแค่ร่างเดียว
“ นะ…นี่แก……” สองมารร้ายผวา พวกมันหันไปมองเทพศาสตรานับสิบที่รายล้อมรอบตัว
“ หึ หึ หึ ใช่แล้ว ไม่ได้มีแกคนเดียวที่แยกร่างได้ เตรียมตัวตายได้แล้ว ร้อยเงาสังหารศัตรู ” เทพศาสตราหัวเราะเบาๆ แต่เขาไม่ใช่พวกพิรี้พิไรหรือดึงเกม เพื่อทรมานคู่ต่อสู้แบบมาวินด้านมืด จึงรีบปิดศึกด้วยกระบวนท่าพิฆาต
ทันทีที่ผู้อาวุโสลงมือ เทพศาสตรานับสิบก็พุ่งเข้าใส่สองมารร้ายที่เหลือโดยพลัน เงาร่างวิ่งฉวัดเฉวียนรอบเป้าหมาย มันเป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วจนคนธรรมดามองตามไม่ทัน สิ่งที่ปรากฏต่อโสตประสาทก็คือ…..เสียงของมีคมเฉือนเนื้อหนังและเสียงโอดครวญที่แหบแห้งของอมนุษย์
“ ฉั้ว ฉั้ว ฉั้ว……”
“ อั้ก โอ๊ย อึก อ้าก……”
ท่ามกลางเงาดำที่วิ่งวนไปมาด้วยความเร็วสูงจนเหมือนมีพายุสลาตันลูกย่อมๆบังเกิดตรงหน้า ปรากฏโลหิตสีดำสาดกระจายออกมา อันดูไม่ต่างจากเนื้อสดที่หล่นลงไปในเครื่องบด และเมื่อกระบวนท่าสังหารสิ้นสุด สิ่งที่หยัดยืนอยู่กลางวงก็คือ…..เทพศาสตราเพียงผู้เดียว
หลายท่านอาจสงสัยว่าสองมารร้ายหายไปไหน ก็ให้คำตอบว่า…มันกองเป็นเศษเนื้ออยู่บนพื้น ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว นับเป็นภาพที่ชวนสยองถึงขีดสุด ทว่ากลับไม่ปรากฏซากศพของหัวหน้าใหญ่ เพราะเป็นตนเดียวที่หนีรอดจากพายุเครื่องบด
หลังจากเทพศาสตรามองดูซากร่างที่สลายกลายเป็นผง เขาก็จับสัมผัสถึงจิตปีศาจ เพื่อหาตัวหัวหน้า จึงพบว่ามันไปหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 30 เมตร
“ ฮึ่ม….อุก เจ็บใจนัก เจ้ามนุษย์ ” มาวินด้านมืดตนสุดท้าย ยกมือขึ้นกุมหน้าอก สีหน้าฉายแววเจ็บปวด เพราะได้สูญเสียร่างแยกไปอีกหนึ่ง ทำให้อมนุษย์อ่อนแรงลงไปอีก
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/Jalando.darksidewriter
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ