The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
103) เพื่อนกูรักมึงว่ะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://wall.alphacoders.com
มาวินเหม่อมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดมัวสลัว เด็กหนุ่มหวาดระแวงอยู่ตลอด เพราะเขากลัวว่าผีงูยักษ์จะตามมาหลอกหลอน
“ แล้วเราจะรอดมั้ยเนี่ย ดันเผลอพูดออกไปตั้งหลายคำ มิหนำซ้ำ ยังสะเหล่อไปเหยียบหัวงูยักษ์ตัวนั้นอีก เจ้าประคูณ ขออย่าได้มาหลอกหลอนลูกช้างเลย ข้าน้อยผิดไปแล้ว ” มาวินยกมือไหว้ท่วมหัว พร้อมบนบานศาลกล่าวอยู่หลายตลบ
“ เฮ้ น้องชายหัวเขียว นายยกมือไหว้ทำไมฟะ ฟ้าจวนจะมืดแล้ว มาออกกำลังกายก่อนมื้อค่ำกันดีกว่า ” โจจี้ทำคิ้วย่น เพราะเห็นเด็กหนุ่มทำท่าแปลกๆ
“ เอ๊ะ ได้ อุ้บ…..ไม่ได้ วันนี้ห้ามพูด ” มาวินทำท่าจะตอบ แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตนยังต้องปิดทวารที่หนึ่ง เขาก็ยกมือขึ้นปิดปาก
“ ฮ่าๆ พระอาทิตย์ตกดินแบบนี้ถือว่าพ้นวันแล้ว นายสามารถพูดได้ตามปกติ ” โจจี้หัวเราะ ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้ม
“ เอ๋......ยังตกลงมาไม่เต็มดวงเลย เหลือให้เห็นอีกตั้งเสี้ยว ” มาวินเถียง พร้อมชี้ให้โจจี้ดูพระอาทิตย์บนท้องฟ้า
“ เอาน่า หายไปเกินครึ่งดวงถือว่าตกแล้วเฟ้ย ” โจจี้เริ่มขึ้นเสียงนิดๆ ทว่าเด็กหนุ่มหัวเขียวยังไม่ปักใจเชื่อ เขาเพียงหรี่ตามองด้วยอาการระแวงและถามย้ำอีกครั้ง
“ แน่ใจนะ ”
“ เออ แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีก จะฝึกดาบต่อมั้ย ” โจจี้เริ่มกระชากเสียง ภายในนึกเสียใจที่ดันเผลอไปหลอกคนบ้าบอแบบมาวิน
ทันทีที่มาวินได้ฟังคำตอบ ปฏิกิริยาแรกของเด็กหนุ่มก็คือ……การทำหน้าซึ้งแบบสุดฤทธิ์ โมเมนต์ต่อมาคือ……การทำตาโศกๆ คล้ายจะร่ำไห้แบบนางเอกหนังไทยในยามที่กำลังสมหวัง ปิดท้ายด้วยการตะโกนดังลั่นป่า
“ เย้….. สำเร็จแล้ว ไม่ต้องคอยหุบปากอีกแล้ว เทพวานรจุติอีกครั้ง ”
สิ้นเสียงตะโกน มาวินก็ตีลังกากลับหลังอีกหลายตลบ จากนั้นก็หมุนตัวกลางอากาศแบบไม่ใช้มือ แล้วทิ้งตัวลงพื้นอย่างนิ่มนวล แน่นอนว่าการอาละวาดอย่างบ้าคลั่งย่อมประจักษ์ต่อสายตาของโจจี้ มันสร้างความรำคาญแก่หนุ่มหล่ออย่างมากมายจนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ เฮ้อ……อย่างกะปล่อยลิงออกจากกรงเลย ”
……………………
โจจี้เริ่มฝึกการใช้ดาบขั้นพื้นฐานให้มาวิน คราวนี้เขาสามารถยืนตำแหน่ง ฟัน ปัด เสย แทง และป้องกันได้อย่างคล่องแคล่ว แน่นอนว่าหนุ่มผมทองได้สั่งให้เจ้าลิงจอมซนทบทวนกระบวนท่าอีกหลายสิบรอบ พอเห็นว่าเด็กหนุ่มน่าจะไม่หลงลืม จึงหยุดการฝึกชั่วคราว
“ เอาล่ะ ดีมาก พักก่อน นายก้าวหน้าเร็วกว่าที่ชั้นคิด ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ”
“ ฟู่….. เป็นไงเล่า แบบนี้เขาเรียกว่าสุดยอดอัจฉริยะ เอางี้มั้ย ชั้นขอพักเหนื่อยอีกซักสิบนาที จากนั้นเรามาดวลดาบกันอีกครั้ง คราวนี้จะแสดงให้นายเห็นเพลงดาบซึ่งร้ายกาจที่สุดในปฐพี ” มาวินเริ่มโม้คำโต
“ ไม่ล่ะ ชั้นไม่กล้าดวลด้วยหรอก กลัวจะแพ้อัจฉริยะอย่างนาย เชิญฝึกท่าพื้นฐานต่อไปเถอะ ” โจจี้ส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธ พร้อมแสร้งกลัวลนลาน
“ ฮ่าๆ นั่นปะไร ขนาดนายยังเกรงกลัว ก็บอกแล้วว่าอย่ามาแหยมกับอัจฉริยะ เอาล่ะหายเหนื่อยแล้ว ฝึกต่อดีกว่า ” พอเห็นโจจี้แกล้งหงอ มาวินก็ยืดอกด้วยความภาคภูมิ พร้อมบิดตัวไปมา เพื่อขับไล่ความเมื่อยขบตามร่างกาย
“ เฮ้อ…..เชิญอัจฉริยะฝึกต่อได้ครับ ” โจจี้ถอนหายใจ พร้อมหลีกทางให้มาวิน
“ ไม่มีปัญหา ไอ้พี่ชาย ” มาวินถึงขั้นตบไหล่โจจี้ ราวกับว่าทั้งสองเป็นคนรุ่นเดียวกัน คิ้วของหนุ่มผมทองเลยขมวดเล็กน้อย เพราะนึกหมั่นไส้ อยากเตะเจ้าลิงจ๋อที่อยู่ตรงหน้า โทษฐานปีนเกลียว
มาวินหัวเราะเอิ๊กอ๊าก จากนั้นเขาก็ยกกิ่งไม้ยาวขึ้นมาและย่อตัวลงต่ำ เพื่อตั้งกระบวนท่าต่อสู้
“ เฮ้ เดี๋ยวก่อน ชั้นลืมอะไรไปบางอย่าง ” โจจี้ร้องทัก
“ อะไร ของกินรึ แฮ่…… ” มาวินรีบหันกลับมาถาม น้ำลายเริ่มสอด้วยความหิวโหย
“ ไม่ใช่โว้ย นายต้องฝึกต่ออีกชั่วโมง ถึงจะได้กินมื้อค่ำ เอ้า รับไป….ชั้นทำไอ้นี่ให้นาย ” โจจี้โวยดัง จากนั้นก็โยนบางสิ่งให้กับมาวิน
มาวินยกมือขึ้นรับวัตถุบางอย่าง เขาพบว่าเจ้าสิ่งนั้นคือ…...ดาบไม้ที่ยาวประมาณสองศอกเศษ มันถูกแกะสลักอย่างประณีตจนดูคล้ายดาบเหล็กเล่มหนึ่ง
“ ไอ้นี่คือ….” มาวินทำหน้าเอ๋อ โจจี้จึงยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนตอบกลับมาเบาๆ
“ ฮะๆ มันคือดาบไม้ยังไงเล่า แจ๋วมั้ย ชั้นนั่งแกะสลักให้นายเมื่อกี้นี้เอง แต่กว่าจะได้ท่อนไม้ที่เหมาะมือ ต้องใช้เวลาหาถึงสามวัน ”
“ โคตรซึ้งเลยว่ะ นายมีน้ำใจจริงๆ โอ้…..มายเฟรนด์ ” มาวินเกิดความตื้นตันใจจนน้ำหูน้ำตาไหล เขาตรงรี่เข้ามากอดโจจี้ ทว่าหนุ่มผมทองกลับดันตัวถอยห่าง พร้อมตะโกนดังจนสุดเสียง
“ ถอยไป อย่าเข้ามา ชั้นไม่ชอบให้ผู้ชายมากอด นี่คือนิยายแฟนตาซีนะเฟ้ย ไม่ใช่นิยายวาย ”
……………………
มื้อค่ำของวันนี้เป็นเนื้อตากแห้ง อันเป็นเสบียงที่โจจี้ซื้อมาก่อนเดินทาง แม้ว่าจะด้อยรสชาติกว่าอาหารที่ปรุงสดๆ แต่ด้วยความหิวโหยและเหน็ดเหนื่อย ก็ทำให้วัยรุ่นทั้งสามรู้สึกอร่อย
พอมื้อค่ำที่แสนสุขจบลง ความเหน็บหนาวก็คืบคลานเข้ามา รอบด้านถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดยามราตรี ทำให้มาวินต้องนั่งขดตัวอยู่หน้ากองไฟที่ลุกโชน
“ บรื้อ…… หนาวชะมัด นี่เราอยู่ที่ขั้วโลกเหนือกันรึไง อีกซักพัก คงได้เห็นไอ้ตีนโตโผล่ออกมา ” มาวินบ่นพึมพำไปตามประสา โจจี้จึงส่ายหัวไปมาด้วยความระอา พร้อมตอบกลับมาเบาๆ
“ เฮ้อ….. ที่มันหนาวแบบนี้ เพราะพวกเราอยู่บนภูเขาสูง อุณหภูมิเลยลดต่ำกว่าปกติ แต่นายไม่ต้องกังวลไปหรอก ” โจจี้พูดจบ เขาก็หันไปค้นหาบางสิ่งในเป้หลัง
“ เฮ้ นายหาอะไรอยู่น่ะ ” มาวินร้องถามด้วยความสงสัย แม้แต่เหมยลี่ที่นั่งอยู่ไม่ห่างก็แอบฉงนจนถึงขั้นเหล่มองโจจี้
“ เอาน่า ชั้นกำลังหาบางสิ่งที่ทำให้พวกเราผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ ฮ่าๆ ” โจจี้ยังค้นหาต่อไป พร้อมหัวเราะแบบคนอารมณ์ดี
“ เหอ เหอ เหอ สงสัยหมอนี่คงจะหนาวจัดจนกลายเป็นบ้าไปแล้วมั้ง ” มาวินหันมาปรึกษาเหมยลี่ แน่นอนว่าเด็กสาวมาดเข้มไม่ได้ตอบกลับมาแต่ประการใด เธอเพียงมองโจจี้นิ่งๆด้วยอาการพินิจ
โจจี้ง่วนกับการค้นหาอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็หยิบเสาเหล็กที่มีความยาวขนาดฝ่ามือขึ้นมาสี่ต้น ปากก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
“ นี่ไง เจอแล้ว เสาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คืนนี้เราหลับสบายแน่ ”
มาวินมองโจจี้ พร้อมทำปากห้อย ตาค้าง อันเป็นอาการที่ไม่ใคร่จะเลื่อมใส ปากก็เอ่ยถามเป็นเชิงดูถูก
“ นายหยิบเสาเหล็กเส็งเคร็งขึ้นมาสี่ต้น แล้วบอกพวกเราว่า…..คืนนี้จะหลับสบาย เมากาวรึเปล่าฟะ หรือนายผิดหวังในความรักมากเกินไปจนเพี้ยนไปซะแล้ว ”
“ ไอ้บ้า พูดจาเละเทะ เมากาวนี่แปลว่าอะไรฟะ ส่วนประเด็นที่สอง ชั้นเคยแต่หักอกเฟ้ย ไม่เคยโดนสาวหักอก แกไม่รู้จักเจ้าสิ่งนี้ ก็อย่าพูดมากดีกว่า ไอ้เด็กบ้านนอก ” โจจี้เถียงกลับ ท่าทางขุ่นเคืองผสมงุนงง
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเปิดศึกน้ำลาย กรรมการกลางอย่างเหมยลี่ก็ตรงเข้ามาขวาง เพื่อตัดบท มิให้เรื่องไร้สาระนี้เกิดขึ้น
“ อย่าเพิ่งเถียงกันดีกว่า เจ้าลิงหัวเขียวคงไม่รู้จักสิ่งนี้ พอนายสาธิตวิธีใช้ให้ดู มันก็รู้เอง ”
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ