7 Dungeon
-
เขียนโดย psfatman
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 01.06 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
3,392 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 04.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Dungeon 1 : ทอมมี่ ฮาติแกน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1 ทอมมี่ ฮาติแกน
แสงไฟที่บางตาจากเสาไฟริมถนนเวสสตรีทในช่วงสี่ทุ่มวันเสาร์ เมืองที่ดูมีชีวิตชีวาในตอนกลางวันก็ดูจะกลายเป็นหลับใหลจากแสงไฟที่เริ่มสลัว ในขณะที่ชาวเมืองบางส่วนยังพักผ่อน นอนหลับกันอยู่บนเตียง ชีวิตความเป็นไปในเมืองก็ยังดำเนินไป กลุ่มสัตว์จรจัดทั้งหมาแมวเริ่มคุ้ยเศษขยะจากถังขยะของร้านอาหาร เหล่าหนูตัวเล็กตัวน้อยออกมาจากท่อระบายน้ำ รวมไปถึงแมลงอีกมากมาย เหล่าสิ่งมีชีวิตต่างๆที่ไม่ได้เห็นยามกลางวันต่างดำเนินชีวิตในยามค่ำคืน ไม่ใช่แค่มีแต่เหล่าสัตว์ต่างๆที่ออกมา แต่ว่ายังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยามค่ำคืนเป็นเวลาในการเริ่มใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพนักงานเก็บขยะที่เริ่มดำเนินกิจการของตัวเอง เหล่ารปภ.ที่พึ่งเริ่มงาน เดินไปเดินมาหน้าธนาคาร และออฟฟิตต่างๆ กลุ่มวัยรุ่ยที่พึ่งออกมาจากร้านโอลบูธร้านเหล้าชื่อดังประจำเมือง เดินกอดคอกันร้องเพลงเสียงดังที่หน้ามุมตึก ซึ่งในมุมอีกด้านของตึกนั้นมีรถสายตรวจกะดึกที่จอดอยู่ นายตำรวจทั้งสองนายกำลังจิบกาแฟร้อนๆควันฉุย และหยิบโดนัทเคลือบน้ำตาลขึ้นมากินแก้ง่วง แต่ก็เหลือบสายตาไปมองกลุ่มวัยรุ่นเหล่านั้นว่าคงไม่ก่อเรื่องแผลงๆอะไรอีก
เสียงนาฬิกาตีระฆังดัง 12 ครั้งจากหอนาฬิกาประจำเมืองในขณะที่ชีวิตต่างๆในเมืองกำลังดำเนินไปตามปกติของทุกวัน นายตำรวจทั้งสองนายเจมส์ ทาคอฟสกี้ และนายตำรวจสตีฟ บาวเออร์ ได้ขับรถออกจากมุมตึกเริ่มวนรอบเมืองเพื่อตรวจตราตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
“ก็อย่างที่ฉันบอกแหละเจมส์ ชั้นว่ามันงี่เง่ามากที่ผู้กำกับเขาให้ฉันไปสอบปากคำไอ้เด็กนั่นอีกทั้งๆที่หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่” นายตำรวจสตีฟ บาวเออร์ พูดขึ้นมาขณะเลี้ยวรถหน้าธนาคาร ขณะที่เพื่อนตำรวจเขาสาดสายตาส่องไปตามถนนเพื่อดูสิ่งผิดปกติ แต่ในมือก็ยังคีบโดนัทเข้าปากอยู่
“ใช่เลยเพื่อน แต่นายก็ต้องไปทำนี่เพราะผู้กำกับเขาสั่งมานี่”
“นายคิดดูซิ ฉันต้องมานั่งสอบปากคำหมอนั่นตั้งสองชั่วโมง เพื่อให้ได้คำสารภาพว่าหมอนั่นขโมยมันฝรั่งทอด และนมอีกสองขวด แล้วสุดท้ายที่ร้านก็ไม่เอาเรื่องนี่นะ เสียเวลาชิบ...”
“แต่ก็น่าสงสารเจ้าเด็กนั่นนะ ได้ข่าวว่าพ่อมันหายไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว แม่ก็ไม่มีต้องอยู่ตัวคนเดียว”
“ก็ใช่นะไม่รู้ว่า พ่อของมันหายไปไหน ลองตามทั้งที่พักทั้งที่ทำงานก็ไม่มีใครรู้ ที่น่าแปลกใจคือในเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนของหมอนั่นก็หายไปด้วยน่ะซิ ตอนนี้เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น ผู้กำกับเลยให้ “ไอ้ฉลาม” เป็นคนทำคดีไป”
“หา!!!....แค่กๆ แค่กๆ” เจมส์ ทาคอฟสกี้ สำลักโดนัทชิ้นที่พึ่งยัดเข้าปากไป พลางควานหาถ้วยกาแฟยกซดไปแต่ด้วยความที่กาแฟยังร้อนอยู่ทำให้เขาสำลักมากกว่าเดิมจนต้องคว้าผ้าเช็ดหน้าลายหัวใจออกมาจากกระเป๋าเพื่อซับทั้งกาแฟและเศษโดนัทที่หกเปรอะเปื้อนเต็มตัว
สตีฟ เห็นเพื่อนคู่หูตัวเองก็ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา แต่ก็อดขำไม่ได้ทุกครั้งที่ เจมส์ ควักผ้าเช็ดหน้าลายหัวใจขึ้นมา เขาชอบอ้างว่ามันเป็นเครื่องรางประจำตัวเขา ครั้งนึงเขาเคยถูกคนร้ายแทงที่แขนจนเลือดออกเขาได้ใช้ผ้าเช็ดหน้านี้รัดต้นแขนห้ามเลือดจนเขารอดตายมาได้ เขาจึงถือเป็นผ้าเช็ดหน้านำโชคของเขา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สตีฟ ที่อยู่ในเหตุการเห็นว่าที่เจมส์ถูกแทงนั้น คนร้ายแทงไม่โดนเจมส์เลยแต่เจมส์ดันล้มทับรั้วลวดหนามที่อยู่แถวนั้นจนเลือดออกแล้วเจ้าตัวก็ร้องโวยวายว่าถูกแทง เป็นอันต้องเรียกกำลังเสริมกันให้วุ่นวาย แต่สตีฟก็ไม่เคยปริปากเรื่องนี้เพราะเห็นแก่หน้าเพื่อนร่วมงาน
“ไอ้ฉลาม...ทอมมี่ มันกลับมาแล้วเหรอ” เจมส์พูดขึ้นมาหลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อยและเก็บผ้าเช็ดหน้าลายหัวใจของเขา “ไหนว่า มันโดนพักงานไป 2 เดือนไง จากคดีที่แล้ว”
“ก็ใช่ที่มันโดนพักงานไป 2 เดือน แต่ผู้กำกับเรียกตัวให้กลับมาเพราะคนไม่พอ นายก็รู้นี่อาทิตย์หน้า ที่สถานีเราจะต้องมีตัวแทนไปที่กรมเพื่อไปรายงานประจำปี แถม ตาเฒ่าเชวี่ ก็ลากลลับไปเยี่ยมลูกสาวที่คลอดลูกอีก จนมีคนทำงานจริงๆก็มีแค่ เทเลอร์ ลิซ่า นาย แล้วก็ชั้น เพราะงั้นผู้กำกับเลยจำเป็นต้องเรียก “ไอ้ฉลาม” ของเรากลับมาไง”
“ไอ้ทอมมี่นี่มันก็สมชื่อ “ไอ้ฉลาม” จริงๆนะ เวลามันสืบคดีต่างๆถ้ามันเห็นเค้าลางอะไร หรือสงสัยอะไรสักอย่าง มันจะตามแบบไม่มีปล่อย เหมือนฉลามได้กลิ่นคาวเลือดเลย”
“แต่ด้วยนิสัยมันก็สุดๆเหมือนกัน เวลามันโมโหเลือดเข้าตาแล้วใครก็เอาไม่อยู่ อย่างที่มันโดนพักงานไป 2 เดือนนี่เพราะดันไปเถียงกับสายสืบของผู้กำกับเข้า พอไอ้ฝ่ายนั้นพูดกระทบถึงน้องสาวของหมอนั่นเท่านั้นแหละ มันก็หักกรามเจ้าสายสืบปากไม่ดีเข้าให้เลย”
“โชคดีของมันนะที่ผลงานเก่าๆช่วยมันไว้ ไม่งั้นป่านนี้มันคงต้องไปนอนซังเตแล้ว ฮ่าๆๆ”
“ แต่พูดไปก็น่าสงสารน้องสาวมันนะ ยายหนูซาซ่าน่ะ เจ็บออดๆแอดๆ จนไม่สามารถไปโรงเรียนได้เลย “
“นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ผู้กำกับยังเก็บมันไว้แม้ว่าจะก่อเรื่องอะไรมากมาย เพราะความจริงฝีมืออย่างมันสามารถย้ายไปรับตำแหน่งที่เติบโตได้ แต่มันก็ไม่ยอมไปยอมเป็นแค่ผู้หมวดธรรมดาๆเพื่อที่จะดูแลน้องสาวมัน จริงๆแล้วชั้นก็เห็นใจมันนะแต่ครั้นจะให้ทำงานกับมันคงต้องขอบาย”
ขณะที่รถตำรวจแล่นไปกลับรถที่วงเวียนกลางเมืองช้าๆเพื่อที่จะกลับมายังมุมตึกที่เดิม เจมส์ ก็เห็นการเคลื่อนไหวอยู่ที่มุมตึกข้างธนาคาร เป็นเงาตะคุ่มๆ 2-3 คน กำลังยืนอยู่หน้าถังน้ำมันที่จุดไฟไว้สำหรับไล่อากาศหนาว คนเหล่านี้เป็นคนจรจัดที่มาอาศัยอยู่ในระแวกนี้ ซึ่งเริ่มมีมาเยอะขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้ เพราะหลังจากเศรษฐกิจเริ่มเติบโต ก็มีคนต่างถิ่นเริ่มเข้ามาหางานทำกันมากขึ้น ที่ได้งานทำก็มี ที่ไม่ได้งานทำบางครั้งก็ไม่ย้ายไปที่อื่นกลับกลายมาเป็นคนจรจัดอยู่ตามถนน ชาวเมืองก็เริ่มจะกังวลถึงความปลอดภัย รวมไปถึงธุรกิจต่างๆ จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจของเมืองที่ต้องดูแลรักษาความปลอดภัย แต่เนื่องจากกำลังพลในท้องที่มีน้อยรวมทั้งโรงพักมีเจ้าหน้าที่ประจำการแค่ 6 นาย จึงทำให้ขาดกำลังสนับสนุนครั้นจะขออนุมัติกำลังเพิ่มเติมจากส่วนกลางก็ต้องทำเรื่องเป็นปี โดยทุกไตรมาศจะต้องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปรายการเกี่ยวกับการขออนุมัติต่างๆ และดำเนินเอกสารต่างๆ ซึ่งสร้างความวุ่นวายอย่างมาก ด้วยเหตุนี้กิจการที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยจึงเกิดขึ้นและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะธุรกิจหลายๆแห่งก็นิยมจ้างบริษัทเหล่านี้ ทางตำรวจเองก็ยินดีเพราะนัยว่าเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นการแบ่งเบาภาระหน้าที่ที่มีอยู่ล้นมือให้ลดน้อยลงไป
“เจมส์ ชั้นว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไม่ชอบมาพากลนะ ดูไอ้หมอนั่นซิ”
สิ่งที่เจมส์กับ สตีฟ เห็นมีสิ่งผิดสังเกตเพราะมีชายคนหนึ่งใส่เสื้อโค๊ทยาวสีน้ำตาลท่าทางมอซอเดิน เข้าไปหากลุ่มคนจรจัดแต่ละกลุ่มในมือถือถุงกระดาษสีน้ำตาล ทำท่าลุกลี้ลุกลน เดินไปเข้าไปพูดคุย แล้วก็เดินออกมาสักพักก็เดินเข้าไปใหม่จนเริ่มมีปากเสียงกับคนจรจัด
“ลองวนรถไปดูมั้ย”
จบคำสตีฟก็ขับรถเลียบถนนหน้าธนาคาร เข้าไปแบบเงียบๆใกล้กับกลุ่มคนจรจัดที่กำลังถกเถียงกันอย่างเสียงดัง จนไม่ได้สนใจว่ากำลังมีรถตำรวจขับมาอยู่ใกล้ๆ
พอระยะห่างสัก 300 เมตรรถตำรวจก็จอดนิ่งสนิท นายตำรวจทั้งสองก้าวลงจากรถพร้อมกระชับกระบองคู่มือและขยับปืนที่เอวให้เข้าที่ ค่อยๆก้าวเดินอ้อมเข้าไปหลังกลุ่มคนจรจัดที่กำลังเสียงดังกันอยู่ ฉับพลันหนึ่งในคนจรจัดเห็น เงาตะคุ่มๆของตำรวจทั้งสองนายก็ส่งเสียงดังจนคนอื่นๆตกใจและวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
เหลือแต่ชายใส่เสื้อโค๊ทยาวสีน้ำตาลกำลังถือถุงกรดาษทำท่าจะล้วงไปที่ถุงกระดาษ สตีฟ เห็นเข้าจึงชักปืนในมือของเขาขึ้นมา แต่ฉับพลันชายคนนั้นปาถุงกระดาษใส่ใบหน้าของสตีฟอย่างแรงทำให้สตีฟตกใจผงะถอยหลัง เป็นเวลาเดียวกับที่ชายคนนั้นพุ่งเข้าไปด้านข้างของเขา ชายคนนั้นจับมือเขาบิดจนเขาล้มลงและเอาแขนเขาไขว้หลัง พร้อมทั้งหยิบปืนจากมือของเขามาจ่อข้างหลังแล้วกระชากเขาให้ยืนขึ้นพร้อมทั้งหันหน้าไปยังเพื่อนตำรวจอีกนายของเขา ซึ่งในขณะนั้นนายตำรวจเจมส์ได้แต่ชักปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ชายคนดังกล่าว และพูดด้วยเสียงสั่นระรัว
“วางอาวุธลง ไม่เช่นนั้นฉันจะยิง!!!”
“ไม่ต้องห่วงฉัน ยิงแม่มเลย!!!” สตีฟตะโกนบอกเจมส์ในขณะที่เขานั้นถูกจับเป็นตัวประกันซะแล้ว
“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันจะยิงจริงๆนะ” เจมส์ตะโกนขู่ด้วยเสียงสั่นระรัว เขาไม่คิดว่าตัวเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ในชีวิตการเป็นตำรวจเขาไม่เคยยิงคนร้ายเลยแม้แต่นัดเดียว เพราะคดีในเมืองนี้ก็มีแต่เล็กๆน้อยๆ คดีที่เป็นตำนานของเค้าก็ไม่ทำให้เขาได้ลั่นกระสุนออกมาสักนัด
ปืนในมือเขาสั่นเทา ขาของเขาสั่นจนไม่รู้ว่าเขาค่อยๆก้าวเข้าไปทีละน้อยๆ เมื่อชายในชุดโค๊ทเห็นดังกล่าวจึงอาศัยจังหวะที่เจมส์ยังไม่ทันตั้งตัว จึงผลักสตีฟเข้าไปชนกับเจมส์ นายตำรวจทั้งสองคนชนกันล้มลงไปทั้งคู่ ฉับพลันชายในชุดโค๊ทพุ่งเข้าไปฉกปืนจากมือของนายตำรวจอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่พยายามจะลุกขึ้นแต่ชายในชุดโค๊ทไวทายาทหมุนตัวเตะสกัดขา ทำให้นายตำรวจทั้งสองล้มกลิ้งอย่างไม่เป็นท่า และเมื่อหันมาอีกทีก็พบปากกระบอกปืนทั้งสองกระบอกจ่ออยู่ที่เขาแล้ว
ทั้งสองตกใจแทบสิ้นสติ เจมส์ หลับตาปี๋พูดพร่ำถึงพ่อแก้วแม่แก้ว ส่วนสตีฟขบเคี่ยวเขี้ยวฟัน อย่าแค้นเคือง พลางพูดเบาๆ
“แกรู้มั้ยว่าเราสองคนเป็นตำรวจ แกต้องการอะไรมีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน”
ชายในชุดโค๊ทยังเงียบ แต่ปากกระบอกปืนยังจ่ออยู่ที่ทั้งสองคน เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สตีฟจึงพูดต่อ
“งั้นเอาแบบนี้ดีไหมถ้าแกปล่อยเราไป เราสองคนจะไม่เอาเรื่องแก ต่างคนต่างไปไงล่ะ”
ชายในชุดโค๊ทหัวเราะ หึหึ พลางส่ายหัว สตีพเริ่มโมโหขึ้นมาเลยตวาดออกไปเสียดัง
“แล้วแกจะเอายังไงวะ ต้องการอะไรก็บอกมา ไม่ก็จะยิงก็ยิงเลย”
จบคำนั้นมีเสียงดังคลิ๊กดังขึ้นมา เป็นเสียงขึ้นนกของปืน ทั้งคู่ตกใจจนหน้าซีด สตีฟหลับตาลงพลางคิดถึงความเป็นตาย ที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนเจมส์นั้นได้แต่อาลัยอาวรณ์กับชีวิตปากก็พร่ำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น เขายังอยากมีชีวิตให้ยาวกว่านี้ หรือเรื่องที่เขายังไม่ได้ไปนัดแนนซี่สาวเสริฟร้านโอลบูธไปเที่ยว และหนักกว่านั้นคือเขายังไม่ได้ลบหนังสำหรับผู้ใหญ่ที่เขาโหลดเอาไว้ดูด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่โรงพัก
ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเผชิญวาระสุดท้ายของชีวิต ท่ามกลางความเงียบชายในเสื้อโค๊ทก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง
“งั้นของเป็นโดนัทสักกล่อง กับผ้าเช็ดหน้าลายหัวใจละกัน คุณตำรวจเจมส์ คุณตำรวจสตีฟ”
เจ้าหน้าที่ทั้งสองได้ยินดังกล่าวจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น แสงจากเปลวไฟจากถังน้ำมันสาดแสงมาที่ท้องถนน เผยให้เห็นใบหน้าของชายใส่เสื้อโค๊ทท่าทางมอซอ เป็นใบหน้าเรียวยาวมีหนวดเคราหรอมแหรม ผมเผ้ายาว ดวงตากลมโตสีเขียว ริมฝีปากและรอยยิ้มอันยียวน ของทอมมี่ ฮาติแกน
“ไอ้ทอมมี่!!!” ทั้งสองคนพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ส่วนทอมมี่ “ไอ้ฉลาม” หัวเราะงอหายลงไปนั่งกับพื้นถนน
“โธ่!!!ไอ้บ้า เกือบจะโดนยิงตายแล้ว เล่นอะไรบ้าๆ” สตีฟพูดขึ้นมาในขณะที่พยายามฉุด เพื่อนนายตำรวจอีกคนที่อ้าปากค้างไปให้ลุกขึ้นยืนเหมือนกัน
“แกมาทำอะไรที่นี่วะ ทอมมี่” เจมส์หลังจากอึ้งไปพักใหญ่ๆพูดขึ้นมา
ทอมมี่ยิ้มยื่นปืนทั้งสองกระบอกคืนให้นายตำรวจทั้งสอง เอามือเสยผมที่ยุ่งๆรุงรังให้เรียบและใช้หนังยางที่ข้อมือรัดไว้
“พอดีเดินมาซื้อยาให้ซาซ่า แล้วเห็นคนพวกนี้เลยมาหาข้อมูลนิดหน่อย รับงานผู้กำกับไว้แล้วไม่อยากให้เสีย”
นายตำรวจทั้งสองคนปัดฝุ่นเก็บปืนจัดเครื่องแบบให้เรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่รถ ส่วนทอมมี่เดินไปเก็บของจากถุงกระดาษแล้วเดินตามไปที่รถของทั้งสอง
“แล้วนี่ได้เรื่องอะไรบ้างรึเปล่า” สตีฟถามในขณะที่กำลังสตาร์รถ ทอมมี่มองไปทางกลุ่มคนจรจัดที่กำลังเดินกลับมาหลังจากเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มสงบแล้ว
“ยังไม่ได้อะไรมาก แต่ก็มีเค้าลางบางอย่าง” แล้วก็หันเหลือบไปเห็นเจ้าหน้าที่ทั้งสองกำลังจะออกรถ ทอมมี่ยิ้มแล้วพูดขึ้นมา
“แต่ก็ได้บางเรื่องมา เช่น พรุ่งนี้จะไม่มีใครรู้ว่ามีคนใช้คอมพิวเตอร์ในโรงพักในทางที่ผิด ถ้าให้ชั้นติดรถไปลงที่บ้านสักหน่อยนะ ”
แล้วทอมมี่ก็ก้าวขึ้นรถตำรวจด้วยรอยยิ้มอันยียวนก่อนที่รถตำรวจจะแล่นออกไปช้าๆในความมืด
..................................................
แสงไฟที่บางตาจากเสาไฟริมถนนเวสสตรีทในช่วงสี่ทุ่มวันเสาร์ เมืองที่ดูมีชีวิตชีวาในตอนกลางวันก็ดูจะกลายเป็นหลับใหลจากแสงไฟที่เริ่มสลัว ในขณะที่ชาวเมืองบางส่วนยังพักผ่อน นอนหลับกันอยู่บนเตียง ชีวิตความเป็นไปในเมืองก็ยังดำเนินไป กลุ่มสัตว์จรจัดทั้งหมาแมวเริ่มคุ้ยเศษขยะจากถังขยะของร้านอาหาร เหล่าหนูตัวเล็กตัวน้อยออกมาจากท่อระบายน้ำ รวมไปถึงแมลงอีกมากมาย เหล่าสิ่งมีชีวิตต่างๆที่ไม่ได้เห็นยามกลางวันต่างดำเนินชีวิตในยามค่ำคืน ไม่ใช่แค่มีแต่เหล่าสัตว์ต่างๆที่ออกมา แต่ว่ายังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยามค่ำคืนเป็นเวลาในการเริ่มใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพนักงานเก็บขยะที่เริ่มดำเนินกิจการของตัวเอง เหล่ารปภ.ที่พึ่งเริ่มงาน เดินไปเดินมาหน้าธนาคาร และออฟฟิตต่างๆ กลุ่มวัยรุ่ยที่พึ่งออกมาจากร้านโอลบูธร้านเหล้าชื่อดังประจำเมือง เดินกอดคอกันร้องเพลงเสียงดังที่หน้ามุมตึก ซึ่งในมุมอีกด้านของตึกนั้นมีรถสายตรวจกะดึกที่จอดอยู่ นายตำรวจทั้งสองนายกำลังจิบกาแฟร้อนๆควันฉุย และหยิบโดนัทเคลือบน้ำตาลขึ้นมากินแก้ง่วง แต่ก็เหลือบสายตาไปมองกลุ่มวัยรุ่นเหล่านั้นว่าคงไม่ก่อเรื่องแผลงๆอะไรอีก
เสียงนาฬิกาตีระฆังดัง 12 ครั้งจากหอนาฬิกาประจำเมืองในขณะที่ชีวิตต่างๆในเมืองกำลังดำเนินไปตามปกติของทุกวัน นายตำรวจทั้งสองนายเจมส์ ทาคอฟสกี้ และนายตำรวจสตีฟ บาวเออร์ ได้ขับรถออกจากมุมตึกเริ่มวนรอบเมืองเพื่อตรวจตราตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
“ก็อย่างที่ฉันบอกแหละเจมส์ ชั้นว่ามันงี่เง่ามากที่ผู้กำกับเขาให้ฉันไปสอบปากคำไอ้เด็กนั่นอีกทั้งๆที่หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่” นายตำรวจสตีฟ บาวเออร์ พูดขึ้นมาขณะเลี้ยวรถหน้าธนาคาร ขณะที่เพื่อนตำรวจเขาสาดสายตาส่องไปตามถนนเพื่อดูสิ่งผิดปกติ แต่ในมือก็ยังคีบโดนัทเข้าปากอยู่
“ใช่เลยเพื่อน แต่นายก็ต้องไปทำนี่เพราะผู้กำกับเขาสั่งมานี่”
“นายคิดดูซิ ฉันต้องมานั่งสอบปากคำหมอนั่นตั้งสองชั่วโมง เพื่อให้ได้คำสารภาพว่าหมอนั่นขโมยมันฝรั่งทอด และนมอีกสองขวด แล้วสุดท้ายที่ร้านก็ไม่เอาเรื่องนี่นะ เสียเวลาชิบ...”
“แต่ก็น่าสงสารเจ้าเด็กนั่นนะ ได้ข่าวว่าพ่อมันหายไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว แม่ก็ไม่มีต้องอยู่ตัวคนเดียว”
“ก็ใช่นะไม่รู้ว่า พ่อของมันหายไปไหน ลองตามทั้งที่พักทั้งที่ทำงานก็ไม่มีใครรู้ ที่น่าแปลกใจคือในเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนของหมอนั่นก็หายไปด้วยน่ะซิ ตอนนี้เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น ผู้กำกับเลยให้ “ไอ้ฉลาม” เป็นคนทำคดีไป”
“หา!!!....แค่กๆ แค่กๆ” เจมส์ ทาคอฟสกี้ สำลักโดนัทชิ้นที่พึ่งยัดเข้าปากไป พลางควานหาถ้วยกาแฟยกซดไปแต่ด้วยความที่กาแฟยังร้อนอยู่ทำให้เขาสำลักมากกว่าเดิมจนต้องคว้าผ้าเช็ดหน้าลายหัวใจออกมาจากกระเป๋าเพื่อซับทั้งกาแฟและเศษโดนัทที่หกเปรอะเปื้อนเต็มตัว
สตีฟ เห็นเพื่อนคู่หูตัวเองก็ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา แต่ก็อดขำไม่ได้ทุกครั้งที่ เจมส์ ควักผ้าเช็ดหน้าลายหัวใจขึ้นมา เขาชอบอ้างว่ามันเป็นเครื่องรางประจำตัวเขา ครั้งนึงเขาเคยถูกคนร้ายแทงที่แขนจนเลือดออกเขาได้ใช้ผ้าเช็ดหน้านี้รัดต้นแขนห้ามเลือดจนเขารอดตายมาได้ เขาจึงถือเป็นผ้าเช็ดหน้านำโชคของเขา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สตีฟ ที่อยู่ในเหตุการเห็นว่าที่เจมส์ถูกแทงนั้น คนร้ายแทงไม่โดนเจมส์เลยแต่เจมส์ดันล้มทับรั้วลวดหนามที่อยู่แถวนั้นจนเลือดออกแล้วเจ้าตัวก็ร้องโวยวายว่าถูกแทง เป็นอันต้องเรียกกำลังเสริมกันให้วุ่นวาย แต่สตีฟก็ไม่เคยปริปากเรื่องนี้เพราะเห็นแก่หน้าเพื่อนร่วมงาน
“ไอ้ฉลาม...ทอมมี่ มันกลับมาแล้วเหรอ” เจมส์พูดขึ้นมาหลังจากจัดการกับตัวเองเรียบร้อยและเก็บผ้าเช็ดหน้าลายหัวใจของเขา “ไหนว่า มันโดนพักงานไป 2 เดือนไง จากคดีที่แล้ว”
“ก็ใช่ที่มันโดนพักงานไป 2 เดือน แต่ผู้กำกับเรียกตัวให้กลับมาเพราะคนไม่พอ นายก็รู้นี่อาทิตย์หน้า ที่สถานีเราจะต้องมีตัวแทนไปที่กรมเพื่อไปรายงานประจำปี แถม ตาเฒ่าเชวี่ ก็ลากลลับไปเยี่ยมลูกสาวที่คลอดลูกอีก จนมีคนทำงานจริงๆก็มีแค่ เทเลอร์ ลิซ่า นาย แล้วก็ชั้น เพราะงั้นผู้กำกับเลยจำเป็นต้องเรียก “ไอ้ฉลาม” ของเรากลับมาไง”
“ไอ้ทอมมี่นี่มันก็สมชื่อ “ไอ้ฉลาม” จริงๆนะ เวลามันสืบคดีต่างๆถ้ามันเห็นเค้าลางอะไร หรือสงสัยอะไรสักอย่าง มันจะตามแบบไม่มีปล่อย เหมือนฉลามได้กลิ่นคาวเลือดเลย”
“แต่ด้วยนิสัยมันก็สุดๆเหมือนกัน เวลามันโมโหเลือดเข้าตาแล้วใครก็เอาไม่อยู่ อย่างที่มันโดนพักงานไป 2 เดือนนี่เพราะดันไปเถียงกับสายสืบของผู้กำกับเข้า พอไอ้ฝ่ายนั้นพูดกระทบถึงน้องสาวของหมอนั่นเท่านั้นแหละ มันก็หักกรามเจ้าสายสืบปากไม่ดีเข้าให้เลย”
“โชคดีของมันนะที่ผลงานเก่าๆช่วยมันไว้ ไม่งั้นป่านนี้มันคงต้องไปนอนซังเตแล้ว ฮ่าๆๆ”
“ แต่พูดไปก็น่าสงสารน้องสาวมันนะ ยายหนูซาซ่าน่ะ เจ็บออดๆแอดๆ จนไม่สามารถไปโรงเรียนได้เลย “
“นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ผู้กำกับยังเก็บมันไว้แม้ว่าจะก่อเรื่องอะไรมากมาย เพราะความจริงฝีมืออย่างมันสามารถย้ายไปรับตำแหน่งที่เติบโตได้ แต่มันก็ไม่ยอมไปยอมเป็นแค่ผู้หมวดธรรมดาๆเพื่อที่จะดูแลน้องสาวมัน จริงๆแล้วชั้นก็เห็นใจมันนะแต่ครั้นจะให้ทำงานกับมันคงต้องขอบาย”
ขณะที่รถตำรวจแล่นไปกลับรถที่วงเวียนกลางเมืองช้าๆเพื่อที่จะกลับมายังมุมตึกที่เดิม เจมส์ ก็เห็นการเคลื่อนไหวอยู่ที่มุมตึกข้างธนาคาร เป็นเงาตะคุ่มๆ 2-3 คน กำลังยืนอยู่หน้าถังน้ำมันที่จุดไฟไว้สำหรับไล่อากาศหนาว คนเหล่านี้เป็นคนจรจัดที่มาอาศัยอยู่ในระแวกนี้ ซึ่งเริ่มมีมาเยอะขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้ เพราะหลังจากเศรษฐกิจเริ่มเติบโต ก็มีคนต่างถิ่นเริ่มเข้ามาหางานทำกันมากขึ้น ที่ได้งานทำก็มี ที่ไม่ได้งานทำบางครั้งก็ไม่ย้ายไปที่อื่นกลับกลายมาเป็นคนจรจัดอยู่ตามถนน ชาวเมืองก็เริ่มจะกังวลถึงความปลอดภัย รวมไปถึงธุรกิจต่างๆ จึงเป็นหน้าที่ของตำรวจของเมืองที่ต้องดูแลรักษาความปลอดภัย แต่เนื่องจากกำลังพลในท้องที่มีน้อยรวมทั้งโรงพักมีเจ้าหน้าที่ประจำการแค่ 6 นาย จึงทำให้ขาดกำลังสนับสนุนครั้นจะขออนุมัติกำลังเพิ่มเติมจากส่วนกลางก็ต้องทำเรื่องเป็นปี โดยทุกไตรมาศจะต้องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปรายการเกี่ยวกับการขออนุมัติต่างๆ และดำเนินเอกสารต่างๆ ซึ่งสร้างความวุ่นวายอย่างมาก ด้วยเหตุนี้กิจการที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยจึงเกิดขึ้นและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะธุรกิจหลายๆแห่งก็นิยมจ้างบริษัทเหล่านี้ ทางตำรวจเองก็ยินดีเพราะนัยว่าเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นการแบ่งเบาภาระหน้าที่ที่มีอยู่ล้นมือให้ลดน้อยลงไป
“เจมส์ ชั้นว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไม่ชอบมาพากลนะ ดูไอ้หมอนั่นซิ”
สิ่งที่เจมส์กับ สตีฟ เห็นมีสิ่งผิดสังเกตเพราะมีชายคนหนึ่งใส่เสื้อโค๊ทยาวสีน้ำตาลท่าทางมอซอเดิน เข้าไปหากลุ่มคนจรจัดแต่ละกลุ่มในมือถือถุงกระดาษสีน้ำตาล ทำท่าลุกลี้ลุกลน เดินไปเข้าไปพูดคุย แล้วก็เดินออกมาสักพักก็เดินเข้าไปใหม่จนเริ่มมีปากเสียงกับคนจรจัด
“ลองวนรถไปดูมั้ย”
จบคำสตีฟก็ขับรถเลียบถนนหน้าธนาคาร เข้าไปแบบเงียบๆใกล้กับกลุ่มคนจรจัดที่กำลังถกเถียงกันอย่างเสียงดัง จนไม่ได้สนใจว่ากำลังมีรถตำรวจขับมาอยู่ใกล้ๆ
พอระยะห่างสัก 300 เมตรรถตำรวจก็จอดนิ่งสนิท นายตำรวจทั้งสองก้าวลงจากรถพร้อมกระชับกระบองคู่มือและขยับปืนที่เอวให้เข้าที่ ค่อยๆก้าวเดินอ้อมเข้าไปหลังกลุ่มคนจรจัดที่กำลังเสียงดังกันอยู่ ฉับพลันหนึ่งในคนจรจัดเห็น เงาตะคุ่มๆของตำรวจทั้งสองนายก็ส่งเสียงดังจนคนอื่นๆตกใจและวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
เหลือแต่ชายใส่เสื้อโค๊ทยาวสีน้ำตาลกำลังถือถุงกรดาษทำท่าจะล้วงไปที่ถุงกระดาษ สตีฟ เห็นเข้าจึงชักปืนในมือของเขาขึ้นมา แต่ฉับพลันชายคนนั้นปาถุงกระดาษใส่ใบหน้าของสตีฟอย่างแรงทำให้สตีฟตกใจผงะถอยหลัง เป็นเวลาเดียวกับที่ชายคนนั้นพุ่งเข้าไปด้านข้างของเขา ชายคนนั้นจับมือเขาบิดจนเขาล้มลงและเอาแขนเขาไขว้หลัง พร้อมทั้งหยิบปืนจากมือของเขามาจ่อข้างหลังแล้วกระชากเขาให้ยืนขึ้นพร้อมทั้งหันหน้าไปยังเพื่อนตำรวจอีกนายของเขา ซึ่งในขณะนั้นนายตำรวจเจมส์ได้แต่ชักปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ชายคนดังกล่าว และพูดด้วยเสียงสั่นระรัว
“วางอาวุธลง ไม่เช่นนั้นฉันจะยิง!!!”
“ไม่ต้องห่วงฉัน ยิงแม่มเลย!!!” สตีฟตะโกนบอกเจมส์ในขณะที่เขานั้นถูกจับเป็นตัวประกันซะแล้ว
“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันจะยิงจริงๆนะ” เจมส์ตะโกนขู่ด้วยเสียงสั่นระรัว เขาไม่คิดว่าตัวเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ในชีวิตการเป็นตำรวจเขาไม่เคยยิงคนร้ายเลยแม้แต่นัดเดียว เพราะคดีในเมืองนี้ก็มีแต่เล็กๆน้อยๆ คดีที่เป็นตำนานของเค้าก็ไม่ทำให้เขาได้ลั่นกระสุนออกมาสักนัด
ปืนในมือเขาสั่นเทา ขาของเขาสั่นจนไม่รู้ว่าเขาค่อยๆก้าวเข้าไปทีละน้อยๆ เมื่อชายในชุดโค๊ทเห็นดังกล่าวจึงอาศัยจังหวะที่เจมส์ยังไม่ทันตั้งตัว จึงผลักสตีฟเข้าไปชนกับเจมส์ นายตำรวจทั้งสองคนชนกันล้มลงไปทั้งคู่ ฉับพลันชายในชุดโค๊ทพุ่งเข้าไปฉกปืนจากมือของนายตำรวจอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่พยายามจะลุกขึ้นแต่ชายในชุดโค๊ทไวทายาทหมุนตัวเตะสกัดขา ทำให้นายตำรวจทั้งสองล้มกลิ้งอย่างไม่เป็นท่า และเมื่อหันมาอีกทีก็พบปากกระบอกปืนทั้งสองกระบอกจ่ออยู่ที่เขาแล้ว
ทั้งสองตกใจแทบสิ้นสติ เจมส์ หลับตาปี๋พูดพร่ำถึงพ่อแก้วแม่แก้ว ส่วนสตีฟขบเคี่ยวเขี้ยวฟัน อย่าแค้นเคือง พลางพูดเบาๆ
“แกรู้มั้ยว่าเราสองคนเป็นตำรวจ แกต้องการอะไรมีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน”
ชายในชุดโค๊ทยังเงียบ แต่ปากกระบอกปืนยังจ่ออยู่ที่ทั้งสองคน เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สตีฟจึงพูดต่อ
“งั้นเอาแบบนี้ดีไหมถ้าแกปล่อยเราไป เราสองคนจะไม่เอาเรื่องแก ต่างคนต่างไปไงล่ะ”
ชายในชุดโค๊ทหัวเราะ หึหึ พลางส่ายหัว สตีพเริ่มโมโหขึ้นมาเลยตวาดออกไปเสียดัง
“แล้วแกจะเอายังไงวะ ต้องการอะไรก็บอกมา ไม่ก็จะยิงก็ยิงเลย”
จบคำนั้นมีเสียงดังคลิ๊กดังขึ้นมา เป็นเสียงขึ้นนกของปืน ทั้งคู่ตกใจจนหน้าซีด สตีฟหลับตาลงพลางคิดถึงความเป็นตาย ที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนเจมส์นั้นได้แต่อาลัยอาวรณ์กับชีวิตปากก็พร่ำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น เขายังอยากมีชีวิตให้ยาวกว่านี้ หรือเรื่องที่เขายังไม่ได้ไปนัดแนนซี่สาวเสริฟร้านโอลบูธไปเที่ยว และหนักกว่านั้นคือเขายังไม่ได้ลบหนังสำหรับผู้ใหญ่ที่เขาโหลดเอาไว้ดูด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่โรงพัก
ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเผชิญวาระสุดท้ายของชีวิต ท่ามกลางความเงียบชายในเสื้อโค๊ทก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง
“งั้นของเป็นโดนัทสักกล่อง กับผ้าเช็ดหน้าลายหัวใจละกัน คุณตำรวจเจมส์ คุณตำรวจสตีฟ”
เจ้าหน้าที่ทั้งสองได้ยินดังกล่าวจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น แสงจากเปลวไฟจากถังน้ำมันสาดแสงมาที่ท้องถนน เผยให้เห็นใบหน้าของชายใส่เสื้อโค๊ทท่าทางมอซอ เป็นใบหน้าเรียวยาวมีหนวดเคราหรอมแหรม ผมเผ้ายาว ดวงตากลมโตสีเขียว ริมฝีปากและรอยยิ้มอันยียวน ของทอมมี่ ฮาติแกน
“ไอ้ทอมมี่!!!” ทั้งสองคนพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ส่วนทอมมี่ “ไอ้ฉลาม” หัวเราะงอหายลงไปนั่งกับพื้นถนน
“โธ่!!!ไอ้บ้า เกือบจะโดนยิงตายแล้ว เล่นอะไรบ้าๆ” สตีฟพูดขึ้นมาในขณะที่พยายามฉุด เพื่อนนายตำรวจอีกคนที่อ้าปากค้างไปให้ลุกขึ้นยืนเหมือนกัน
“แกมาทำอะไรที่นี่วะ ทอมมี่” เจมส์หลังจากอึ้งไปพักใหญ่ๆพูดขึ้นมา
ทอมมี่ยิ้มยื่นปืนทั้งสองกระบอกคืนให้นายตำรวจทั้งสอง เอามือเสยผมที่ยุ่งๆรุงรังให้เรียบและใช้หนังยางที่ข้อมือรัดไว้
“พอดีเดินมาซื้อยาให้ซาซ่า แล้วเห็นคนพวกนี้เลยมาหาข้อมูลนิดหน่อย รับงานผู้กำกับไว้แล้วไม่อยากให้เสีย”
นายตำรวจทั้งสองคนปัดฝุ่นเก็บปืนจัดเครื่องแบบให้เรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่รถ ส่วนทอมมี่เดินไปเก็บของจากถุงกระดาษแล้วเดินตามไปที่รถของทั้งสอง
“แล้วนี่ได้เรื่องอะไรบ้างรึเปล่า” สตีฟถามในขณะที่กำลังสตาร์รถ ทอมมี่มองไปทางกลุ่มคนจรจัดที่กำลังเดินกลับมาหลังจากเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มสงบแล้ว
“ยังไม่ได้อะไรมาก แต่ก็มีเค้าลางบางอย่าง” แล้วก็หันเหลือบไปเห็นเจ้าหน้าที่ทั้งสองกำลังจะออกรถ ทอมมี่ยิ้มแล้วพูดขึ้นมา
“แต่ก็ได้บางเรื่องมา เช่น พรุ่งนี้จะไม่มีใครรู้ว่ามีคนใช้คอมพิวเตอร์ในโรงพักในทางที่ผิด ถ้าให้ชั้นติดรถไปลงที่บ้านสักหน่อยนะ ”
แล้วทอมมี่ก็ก้าวขึ้นรถตำรวจด้วยรอยยิ้มอันยียวนก่อนที่รถตำรวจจะแล่นออกไปช้าๆในความมืด
..................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ