สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
64.69K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บ้านแฝด (บทนำ)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
*สืบสู้ผี ภาค 1*
จากสมุดบันทึกของ 'กิตติ นิราศสกุล'
{นี่เป็นบันทึกเรื่องราวของเรื่องลึกลับของวิญญาณที่วนเวียนอยู่ในพื้นที่สองสถานที่อย่างมีปริศนาเมื่อราวสิบปีผ่านมาแล้ว เเละในเหตุการณ์ครั้งนั้น ผมเองก็ได้เข้ามีประสบการณ์ข้องเกี่ยวด้วยอย่างบังเอิญ แม้ว่าการข้องเกี่ยวกับเรื่องราวลึกลับในอดีตนี้จะทำให้ผมต้องเดือดร้อนและแทบเอาชีวิตไม่รอดในเวลาต่อมา รวมทั้งต้องสูญเสียคนใกล้ชิดที่ผมรักมากที่สุดคนหนึ่งไปในท้ายสุดนั้น แต่มันก็ได้ทำให้ผมกลายเป็นคนที่เปลี่ยนทัศนะคติในเรื่องลึกลับของจิตและวิญญาณจากหน้ามือไปเป็นหลังมือเลยทีเดียว
ใช่แล้ว... ผมเองแต่เดิมนั้นเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องของภูตผีวิญญาณใดๆมาก่อนเลยทั้งสิ้น แต่พอหลังจากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์เหล่านี้ครั้งหนึ่งแล้ว มันก็ได้ทำให้วิถีชีวิตของผมต้องเปลี่ยนไปจนเกือบจะสิ้นเชิง และนี่ก็ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้ตัวผม... ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล...! }
'บ้านแฝด' (บันทึกเริ่มต้น)
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ สิบปีมาแล้ว ซึ่งในตอนนั้นผมกำลังมองหาบ้านเช่าราคาถูกๆบรรยากาศดีๆที่อยู่ในละแวกกรุงเทพมหานครเพื่อที่จะใช้เป็นที่พักและสตูดิโอส่วนตัวสำหรับทำงานอาร์ตและเขียนคอลัมภ์หนังสือให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งไปด้วย โดยผมได้ใช้เวลาว่างส่วนหนึ่งออกตระเวนไปยังหลายๆย่านของกรุงเทพอยู่พักใหญ่ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจอบ้านเช่าในแบบที่ถูกใจพร้อมกับราคาค่าเช่าที่โดนใจสักที
แล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้บังเอิญนั่งรถเข้าไปเที่ยวในซอยๆหนึ่งของถนนย่านรามอินทรา ก็เลยลองลงเดินสำรวจหมู่บ้านจัดสรรค์ที่อยู่ในซอยนั้นไปด้วย และในที่สุดผมก็ได้พบว่ามีหมู่บ้านจัดสรรค์แห่งหนึ่งที่ดูจะเงียบสงบและมีบรรยากาศรอบด้านที่ดูจะโดนใจผมเข้าพอดี
หมู่บ้านจัดสรรค์แห่งนี้ตัดเข้าจากถนนรามอินทราเข้าไปไม่ลึกนัก และเป็นหมู่บ้านที่มีอณาเขตบริเวณกว้างขวางพอสมควร และเมื่อมองดูคร่าวๆแล้วผมก็เห็นว่ามีบ้านจัดสรรค์อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ราวๆไม่ต่ำกว่ายี่สิบหลัง ซึ่งบางหลังก็สร้างเป็นบ้านเดี่ยว บางหลังก็สร้างเป็นบ้านแฝด และแต่ละหลังก็มีสวนเล็กๆและมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดีด้วยกันทุกหลัง
และเมื่อเดินสำรวจไปทางด้านหลังของหมู่บ้าน ผมก็ได้เห็นว่ายังมีทุ่งนาเก่าที่รกร้างอยู่ทางด้านฝั่งตรงข้ามของถนนเส้นเล็กๆที่ทอดขนานอยู่ด้านหลังของหมู่บ้านแห่งนี้จึงทำให้บรรยากาศโดยรวมของที่นี่ดูคล้ายๆกับบรรยากาศในหมู่บ้านจัดสรรค์ที่มีอยู่ในต่างจังหวัดหรือในชนบทอยู่ไม่น้อย ซึ่งก็ถูกใจผมมากเลยทีเดียว
และหลังจากที่ผมได้เดินวนไปรอบๆหมู่บ้านอย่างมีความหวัง ผมก็ได้มาสะดุดตากับบ้านจัดสรรค์สองชั้นหลังหนึ่ง และที่ถูกควรจะกล่าวว่าเป็นบ้านสองหลังก็น่าจะถูกต้องมากกว่า เพราะบ้านจัดสรรค์หลังนี้ เป็นบ้านที่ถูกสร้างให้เป็นบ้านแฝดที่มีสองหลังติดกัน และที่สำคัญ ได้มีป้ายปิดประกาศให้เช่าอยู่ที่รั้วหน้าบ้านอย่างชัดเจน !
บ้านจัดสรรค์หลังนี้ ถือได้ว่าเป็นบ้านที่น่าสนใจเกินคาดสำหรับผม และอาจจะไม่ได้น่าสนใจหรือสะดุดตาใครคนอื่นที่เข้ามาพบเจอเลยก็ได้ เเต่สำหรับผมแล้ว แค่เพียงมองข้ามประตูรั้วเข้าไป ผมก็รู้สึกสะดุดตาหรือถูกใจเป็นพิเศษ จนรู้สึกราวกับว่า บ้านหลังนี้กำลังกวักมือเรียกคนที่มีรสนิยมประหลาดๆอย่างผมให้จดจ่ออยู่ที่นี่โดยที่ไม่ต้องไปสนใจกับบ้านหลังอื่นๆอีกเลย
และหลังจากที่ผมได้มองข้ามรั้วบ้านที่ไม่ได้สูงเกินไปนักผ่านเข้าไปยังตัวบ้านแล้ว ผมก็ได้สังเกตุเห็นว่า บ้านแฝดหลังนี้มีลักษณะสภาพที่ค่อนข้างจะเก่าคร่ำและอณาบริเวณโดยรอบตัวบ้านทั้งซ้ายและขวานั้นก็ดูรกเรื้อไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าต่างๆที่ขึ้นสูงจนแทบจะท่วมท้นรั้วบ้านออกมา ราวกับว่าพวกมันเหล่านั้นจะไม่ได้รับการดูแลตัดแต่งจนเนิ่นนานแสนนานแล้ว ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากๆที่บ้านที่ต้องการให้คนมาเช่าแต่กลับปล่อยให้รกเรื้ออย่างนี้ เเละหากจะเทียบกับบ้านจัดสรรค์หลังอื่นๆที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งเดียวกันนี้ ก็ไม่ได้มีหลังไหนที่ดูจะทรุดโทรมเก่าคร่ำถึงขนาดนี้เลยสักหลังเดียว
แต่ผมก็ชอบบ้านแฝดหลังนี้ขึ้นมาอย่างทันที เพราะบ้านโทรมๆที่เก่าคร่ำและหญ้ารกๆที่ขึ้นอยู่โดยรอบจนเกือบจะเป็นป่าเล็กๆนั้น มันแสนจะดูลึกลับมีเสน่ห์ประหลาดๆสำหรับผมมากจริงๆ
ไม่ช้าไม่นานผมก็ได้ติดต่อคนที่ดูแลบ้านแฝดหลังนี้ตามเบอร์โทรที่ได้ติดประกาศไว้ และหลังจากนั้นผมก็ได้ทำสัญญาเช่าบ้านแฝดหลังที่อยู่ด้านซ้ายด้วยราคาที่ถูกแสนถูกอย่างไม่น่าเชื่อ
และก็ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่ได้พักอยู่ในบ้านแฝดนี้ เพราะทางฝั่งด้านขวาของตัวบ้านก็ยังมีคนงานต่างด้าวราวสี่ห้าคนมาพักรวมอยู่ด้วยกันในห้องโถงขนาดใหญ่บนชั้นสอง โดยที่ในตอนเช้าของแต่ล่ะวัน พวกคนงานต่างด้าวเหล่านี้ก็จะลงไปทำงานอยู่ที่หน้าบ้านแฝดทางฝั่งด้านขวา และงานที่พวกคนงานเหล่านี้ได้ทำกันก็คือการคั้นน้ำเสาวรสให้กับนายจ้างที่เป็นคนที่ดูแลบ้านแฝดหลังนี้และเป็นคนเดียวกันกับคนที่ได้ให้ผมเช่าพักอยู่ในบ้านแฝดหลังนี้นั่นเอง
แต่แล้วหลังจากที่ผมได้มาเช่าพักและทำงานอย่างมีความสุขอยู่ได้ราวเจ็ดแปดเดือน ต่อมาผมก็กลับรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างที่ไม่ธรรมดา และมันเป็นสิ่งผิดปกติที่ได้เกิดขึ้นกับพวกคนงานคั้นน้ำเสาวรสที่เป็นคนต่างด้าวเหล่านี้นั่นเอง
และไอ้สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นจนเกิดเป็นคำถามขึ้นในใจของผมอย่างรุนแรงก็คือ เหตุใดพวกคนงานจำนวนไม่น้อยถึงได้ค่อยๆทยอยลาออกจากงานที่นี่กันไปอย่างไม่ใยดีทั้งๆที่เพิ่งเข้ามาทำงานกันได้เเค่เเผล็บเดียว ?
เอ... มันผิดปกติจริงๆนะ ผมได้ครุ่นคิดอยู่ในใจถึงเรื่องนี้บ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ เพราะเท่าที่ผมสังเกตุเห็นก็คือ ทั้งๆที่คนงานบางคนได้เข้ามาทำงานได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก็กลับลาออกจากงานเสียดื้อๆ หนำซ้ำบางคนเข้ามาทำงานได้แค่เพียงวันเดียวคืนเดียวแต่พอยังไม่ทันจะเช้าดีก็กลับรีบเก็บกระเป๋าข้าวของเผ่นอ้าวไปเลยก็มี
และไม่ว่าจะมีคนงานใหม่เข้ามาทำงานกันอีกกี่คน ก็ล้วนแต่อยู่กันไม่ทนแทบทั้งสิ้น
เอ... ก็แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันล่ะนี่ หรือว่าคนงานต่างด้าวเดี๋ยวนี้จะเปลี่ยนไปจากคนงานต่างด้าวในสมัยก่อนกันนะ ?
ใช่ล่ะ ผมอดที่จะคิดอย่างนี้ไม่ได้ เเละตอนแรกๆผมก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ หรือติดใจสงสัยอะไรมากมายนัก ก็เลยได้แต่คิดว่าเดี๋ยวนี้สมัยนี้ พวกคนงานต่างด้าวบางคนมันช่างไม่ค่อยมีความอดทนอะไรเอาซะเลย เพราะงานคั้นน้ำเสาวรสของที่นี่นั้นก็ดูจะไม่ใช่เป็นงานที่หนักหนาสาหัสอะไรเท่าไรนัก ซึ่งที่จริงก็นับว่าเป็นงานค่อนข้างสบายด้วยซ้ำ เพราะทำอยู่แต่ในร่มหรืออยู่แค่ในบ้านนี้เท่านั้น แต่พอหลังจากมีคนงานจำนวนไม่น้อยทยอยเผ่นกันไปมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ผมก็รู้สึกว่า ข้อสรุปของผมที่ว่าพวกคนงานบางคนไม่ค่อยมีความอดทนก็คงไม่ใช่ล่ะ
มันจะต้องมีสิ่งผิดปกติอย่างอื่นที่อยู่เบื้องหลังของความผิดปกติของพวกคนงานซะแล้วกระมัง ? แต่... สิ่งนั้น มันคืออะไรกันล่ะ ?
แล้วในที่สุดวันหนึ่ง ผมก็รู้สึกอดรนทนไม่ได้อีกต่อไปกับความสงสัยในเรื่องนี้ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ และผมก็คิดว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จำจะต้องไปไถ่ถามถึงความสงสัยคาใจนี้กับใครคนใดสักคนหนึ่งให้มันได้รู้เรื่องหรือได้คลายความสงสัยกันไปเสียทีในคราวนี้
ให้บังเอิญผมก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมเองนั้นก็ได้เคยพูดคุยทักทายกับคนงานต่างด้าวชาวลาวสองสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ได้เข้ามาทำงานคั้นน้ำเสาวรสอยู่ที่นี่ได้ราวสองสามเดือนแล้ว จนกระทั่งได้เกิดความคุ้นเคยเป็นกันเองอยู่ในระดับหนึ่ง ผมจึงคิดว่า เดี๋ยวถ้ามีโอกาส ก็จะลองสอบถามเขาสองคนถึงเรื่องนี้ดูสักหน่อย และชื่อของสองสามีภรรยาคู่นี้ก็คือ 'จันและมะลิ'
"จัน... พี่มีเรื่องอยากจะถามอะไรจันสักหน่อยน่ะ ...?" ผมเอ่ยขึ้นกับจัน หลังจากที่เห็นเขาเพิ่งเลิกงานมาในเย็นวันหนึ่ง โดยขณะนั้นผมก็ได้รอคอยที่จะดักถามเขาอยู่ในมุมหนึ่งของตัวบ้าน
"คร้าบพี่กิต... อยากจะถามผมถึงเรื่องไรล่ะกันล่ะครับพี่...?" จันทำหน้าสงสัยแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างตามสไตล์คนต่างด้าวต่างจังหวัดที่ดูซื่อๆ
"คืองี้นะ... นี่เป็นเรื่องที่ฉันสงสัย และอยากจะถามจันในตอนนี้มาก คือฉันน่ะ ก็เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้สักพักใหญ่แล้ว ก็อย่างที่เคยบอกจันไปแล้วนั่นล่ะ แต่ฉันก็สังเกตุว่า ทำไมพวกคนงานที่นี่แต่ล่ะคนถึงได้ทำงานกันไม่ค่อยจะทนทานเลย เห็นอยู่กันแป๊บๆก็รีบทยอยลาออกกันไปอย่างเร็ว บางคนเห็นมาอยู่แค่วันเดียวคืนเดียวแล้วก็รีบเก็บข้าวของกันไปในตอนเช้าเลยก็มี ไอ้งานที่นี่มันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรนักไม่ใช่หรือจัน ?"
แล้วรอยยิ้มที่มีชีวิตชีวาเป็นธรรมชาติของจัน ก็พลันสลายหายไปครึ่งค่อน เเละคงเหลือไว้แต่เพียงรอยยิ้มแบบแห้งๆเท่านั้น ส่วนสีหน้าของเขาก็ดูจะซีดขาวลงไปอย่างทันตาเห็น จนผมก็อดที่จะเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างแปลกใจไม่ได้
"อ๋อ เรื่องนั้นน่ะหรือพี่กิต... คือเรื่องนั้นน่ะ..." จันกลับทำหน้านิ่วขึ้นมา และก็มีอาการกระสับกระส่ายขึ้นมาเล็กน้อย "มันก้อมีสาเหตุ อยู่หน่อยนึงน่ะพี่กิต... แบบว่า... เอ่อ... แบบว่า..."
"แบบว่าๆ อะไรกันวะจัน ?" ผมเริ่มจะรำคาญขึ้นเล็กน้อย ที่จันกลับมีอาการติดอ่างซะอย่างนั้น
"แหะๆ โทษทีๆ พี่กิต" จันเกาหัวยิกๆ "คือเรื่องนี้น่ะ ผมก็ดันเคยคิดว่า พี่กิตน่ะ ก็คงจะรู้เรื่องมาก่อนหน้านี้แล้วซะอีก..."
ผมเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูงทันที
"โทษเถอะวะจัน...ฉันน่ะ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรๆอย่างที่จันคิดไว้หรอกนะ เพราะแต่ละวันๆฉันก็ต้องรีบออกไปทำงาน กลับมาก็ค่อนข้างดึก หลังจากนั้นก็รีบล็อกประตูห้อง เพื่อจะนั่งทำพวกงานอาร์ตต่างๆและงานเขียนอีกตั้งครึ่งค่อนคืน เพราะอย่างนั้น ฉันน่ะจะไม่ค่อยจะมีเวลาได้พูดคุยกับใครคนอื่นที่อยู่ที่นี่นักหรอก ก็มีวันนี้ล่ะ ที่ฉันไม่ได้ออกไปทำงาน และก็มีเรื่องสงสัยคาใจพวกนี้อยู่ ถึงได้รอถามจันอยู่นี่ไงล่ะ เพราะฉะนั้นมันเรื่องอะไรกันล่ะที่จันคิดว่า ฉันน่ะ น่าจะรู้แล้ว...?"
จันหรี่ตาลง แล้วก็ทำท่าเหลียวซ้ายแลขวาราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยินคำพูดที่เขากำลังจะพูดออกมา
"ก็เรื่อง... ก็เรื่อง..." จันลดเสียงลงอีกหน่อย "ก็เรื่อง... ที่นี่มี ผีน่ะสิพี่กิต..."
"ฮ๊าาา...?! พูดว่าไงนะ ผีงั้นเหรอ...?!" ผมอดจะอุทานเสียงดังไม่ได้ ส่วนจันก็ตกอกตกใจขึ้นมากับเสียงของผม จึงรีบทำท่าจุ๊ปากทันที
"เบาๆก็ได้ครับพี่กิต... บรื๊อ... ผมงี้เสียวสันหลังวาบๆเลยพี่..." จันว่าแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวาอีก และก็ทำให้ผมอดที่จะต้องเหลียวตามไปด้วยไม่ได้
แล้วผมก็หันกลับมาจ้องหน้าจัน "ผี... ผีอะไร...? ผีที่บ้านนี้น่ะเหรอ ? เป็นไปไม่ได้น่ะจัน พูดเป็นเล่นไปได้นะเรานี่...?"
จันทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที "ผมไม่ได้พูดเล่นนะพี่กิต ที่บ้านแฝดหลังนี้ มี... ผีจริงๆ...!"
จันเน้นคำสุดท้ายอย่างเบาหวิว และผมก็อดที่จะเลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้างอย่างตื่นตะลึงไม่ได้...?!
(โปรดติดตามเรื่องราวต่อไปในบทที่ 2 ครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ