ตลกร้ายใต้สะดือ
เขียนโดย Jalando
วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 15.03 น.
แก้ไขเมื่อ 8 มกราคม พ.ศ. 2562 15.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
30) นอนดีๆหน่อยสิ น้องสาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 30 นอนดีๆหน่อยสิ น้องสาว
บุญกอบรู้สึกเซ็งในอารมณ์เอามากๆ เพราะมีเพียงสาวแจ๋วเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งในยามนี้ และเมื่อน้องนางหายไป เขามีหวังต้องขมขื่นในอกไปตลอดวันอย่างแน่นอน
“ เฮ้อ…ไอ้ห่ายอดทำพิษกูซะแล้ว ”
บุญกอบสบถคำ เขาอยากจะชกหน้าเพื่อน ร.ป.ภ.ที่ชื่อยอดซักที โทษฐานทำให้เขาพลาดสรวงสวรรค์ที่ตามหา แต่สุดท้ายเขาก็กล้ำกลืนความแค้นและเดินไปหาคู่อาฆาต เพื่อทำงานตามหน้าที่ต่อไป
……………..
บุญกอบทำหน้าที่ ร.ป.ภ.ประจำภัตตาคารหรูไปตลอดวัน เขารู้สึกอัดอั้นเป็นอย่างยิ่ง ด้วยค้างคากับสาวแจ๋วกลางคัน แถมสาวน้อยก็ไม่ยอมย่างกรายมาต่อเกมสวาทให้มันจบ บุญกอบเลยต้องคอตกกลับบ้านไปตามระเบียบ
บุญกอบเดินทางกลับมาถึงห้องพักด้วยอาการละเหี่ย เขาเอาโบนัสพิเศษที่ได้ในวันนี้มาซื้อสุรา เพื่อหวังปลอบประโลมจิตใจด้วยการเมา แต่ไม่ทันที่เขาจะได้กระดก 40 ดีกรีลงลำคอ เขาก็ได้ยินเสียงร้องเรียกที่คุ้นหู
“ เฮ้ย…บุญกอบ มึงอยู่มั้ยวะ ”
บุญกอบจดจำได้ในทันทีว่าเสียงนั้นคือเสียงของนายโมทย์ เพื่อนรักจากบ้านเกิด นั่นทำให้เขาถึงกลับสะดุ้งตัวลอย เพราะระลึกนึกถึงความหลังที่เพิ่งย่ำยีเมียเพื่อนมาเมื่อคืน
“ ตายห่า น้องแหววคงจะฟ้องไอ้โมทย์แล้วแน่ๆ นี่มันคงมาเอาเรื่องเรา เอาไงดี เราโดนมันเตะจนน่วมตีนแหงๆ ” แม้ว่าบุญกอบจะเป็นนักมวยเก่า แต่เขาก็แอบหลอน ด้วยรู้อยู่เต็มอกว่าบาทาของนายโมทย์หนักเพียงใดในยามโกรธ
“ อะ…เอ่อ….กะ…กูอยู่นี่ ” บุญกอบตอบเสียงอ่อยๆ พร้อมค่อยๆเขยิบออกไปรับหน้าด้วยท่าทางที่ดูเจี๋ยมเจี้ยม
นายโมทย์ยืนเท้าสะเอวอยู่ที่หน้าห้องพัก เขาแต่งกายเต็มยศด้วยชุด ร.ป.ภ.ที่รัดเข้ารูป อันบ่งบอกได้ว่าคืนนี้ เขาคงเข้างานกะดึก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่ากับใบหน้าถมึงทึงที่ส่งมายังหนุ่มอีสานร่างล่ำซึ่งยืนหงออยู่ที่หน้าประตู
นายโมทย์จ้องมองบุญกอบอยู่หลายอึดใจ ในขณะที่บุญกอบได้แต่ยืนก้มหน้าด้วยกิริยาที่คล้ายสำนึกผิด และเมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่ง นายโมทย์ก็เปิดปาก
“ ทำไมมึงทำท่าแบบนั้น ไปทำผิดอะไรมาวะ ”
พอได้ยินคำถาม บุญกอบถึงกลับเอ๋อเหรอ เขาเงยหน้ามองเพื่อนซี้ผิวหมึก สีหน้าฉายแววงุนงงเต็มพิกัด แต่เมื่อปรับอารมณ์ได้ เขาก็เริ่มกล้าที่จะถามกลับ
“ อะ…เอ่อ แล้วที่มึงมาหากู มีธุระอะไร ”
นายโมทย์มองหน้าบุญกอบนิ่งๆ ดวงตาดำขลับของนายผีดิบส่อประกายสำรวจออกมาอย่างชัดเจนจนบุญกอบนึกหวาดหวั่น แต่ก่อนที่หนุ่มอีสานร่างล่ำจะทันได้พูดอะไรต่อ นายผีดิบก็แจงกิจที่ทำให้ถ่อมาหาห้อง
“ กูมาหามึง เพราะกูเป็นห่วงมึง ช่วงนี้มึงดื่มเหล้าหนักมาก เพลาบ้างเถอะ เพื่อน มันไม่ดีเอาซะเลย ”
ทั้งท่าทางและน้ำเสียงของนายผีดิบเต็มไปด้วยความเป็นห่วงใยอย่างสุดซึ้ง แต่มันกลับสร้างความรำคาญแก่บุญกอบอย่างมากมายจนเขานึกเคือง
“ เชอะ…..แล้วมึงจะมาเทศนาสั่งสอนกูทำไม มึงเป็นพ่อกูหรือไง กลับไปเถอะ อย่ามายุ่งกับกูเลย ”
การแสดงออกที่ก้าวร้าวของบุญกอบ เริ่มทำให้นายผีดิบรู้สึกหงุดหงิด แต่สุดท้ายเขาก็ได้คิดว่า….ทุกคนล้วนมีหนทางของตัวเอง ไม่มีใครสามารถสั่งใครให้เดินไปทางไหนได้โดยสมบูรณ์ เขาจึงปล่อยวางและถอดถอนใจออกมาเบาๆ
“ เฮ้อ….จริงของมึง มึงพูดถูก ทางใครก็ทางมัน ดังนั้นขอให้มึงโชคดีในเส้นทางที่คิดว่าสมควรก็แล้วกัน ”
นายผีดิบพูดจบ เขาก็หันหลังกลับ พร้อมเดินทางไปประจำกะดึกที่ภัตตาคารหรูตามหน้าที่ของตน โดยไม่ร่ำลาเพื่อนรักในแบบที่เคย
บุญกอบยอมรับว่ารู้สึกผิดที่ปฏิบัติต่อเพื่อนซี้จากบ้านเกิดแบบนั้น แต่นั่นก็เป็นเพียงสำนึกดีๆที่วิ่งแล่นมาชั่วคราว ก่อนจะถาโถมลงมาด้วยความเดือดดาลที่ถูกขัดใจ
“ หนอย….บังอาจทำเป็นผู้รู้มาสั่งสอนกู กูจะกินเหล้าต่อไป เพราะนี่คือชีวิตของกู กูจะทำยังไงก็ได้ ”
เมื่อพูดจบ บุญกอบก็ปิดประตูห้อง พร้อมขังตัวเองไว้ข้างใน เพื่อเสพสุขจากเมรัยสีทองต่อไป
……………….
บุญกอบร่ำสุราอยู่เดียวดาย เขายอมรับว่าระยะหลังเขาลุ่มหลงมันอย่างงมงาย และมันก็ทำลายทุกสิ่งที่เขาเป็นอย่างช้าๆ เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ่อยครั้ง ยับยั้งชั่งใจได้น้อยลงและก้าวร้าวมากขึ้น ที่สำคัญเขายังไปทำงานสายแทบทุกวัน นี่ถ้าไม่ใช่คนโปรดของผู้จัดการ เขาคงโดนไล่ออกไปนานแล้ว
“ เอิ้ก…..อะไรมันจะไปดีเท่าเหล้า กินแล้วมีความสุข เอิ้ก….” บุญกอบรำพึงรำพัน พร้อมแย้มยิ้มให้ขวดสุรา ท่าทางของเขาดูไม่ต่างจากคนบ้าเลยซักนิด
ขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับน้ำเมา อารมณ์ที่เริงร่าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดในทันที
“ เอิ้ก…..จะว่าไป….มันก็น่าเศร้าเหมือนกัน เราไม่น่าไปพูดกับไอ้โมทย์อย่างนั้นเลย เพราะเรารู้ดีว่าทุกคำเตือนของไอ้โมทย์ มันมาจากความหวังดีอย่างแท้จริง ”
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของน้ำเปลี่ยนนิสัยจึงทำให้อารมณ์ของผู้เสพมักไม่อยู่กับร่องกับรอย เพียงไม่นานความเศร้าหมองของบุญกอบก็กลับกลายเป็นโกรธแค้นอย่างล้ำลึก
“ ไม่สิ สาเหตุที่ไอ้โมทย์มาพูดกับเราแบบนี้ เป็นเพราะมันอิจฉาเรา ด้วยมันไม่มีโอกาสที่จะกินเหล้าแบบเรา เนื่องจากเมียมันคอยกันท่าอยู่ เอ๊ะ! พูดถึงนังเมียนั่น……ตอนนี้มันอยู่คนเดียวนี่หว่า….”
เมื่อคิดได้ดังนั้น จากอารมณ์โกรธแค้นก็พลันกระโดดมาเป็น…..หฤหื่น อย่างโคตรจะเหลือเชื่อ (อะไรจะแปรปรวนขนาดนี้) และเมื่อใจผันไปเช่นนั้น ก็เป็นผลให้อาวุธร้ายเกิดอาการแข็งเกร็งขึ้นมาในบัดดล
“ อู้ย…..พอคิดถึงนังแหวว เป้าก็ตุงขึ้นมาในทันที นังนั่นช่างน่า…..เสียเหลือเกิน คนอะไรขาวสวยขนาดนั้น แถมหุ่นก็งามกำลังพอมือ อู้ว ” บุญกอบนึกไป ก็ล้วงมือขยับเป้าไป เพื่อคลายความอัดอั้นที่อัดแน่น
บุญกอบยิ่งคิด ก็ยิ่งเพ้อ และเมื่ออารมณ์หฤหื่นทะยานถึงขีดสุด บุญกอบก็ตัดสินใจทำบางอย่างที่อุกอาจ
“ อืม…..เมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นทีต้องแวะไปหานังแหววซะหน่อยแล้ว ”
…………….
บุญกอบแวะเวียนไปหาสาวแหววที่ห้องตามประสงค์ เพียงไม่นานเขาก็ถึงที่หมาย ห้องนั้นตั้งอยู่ริมสุด สภาพแวดล้อมจึงค่อนข้างเงียบสงัด เหมาะแก่การโจรกรรมทรัพย์สินหรือทำอย่างอื่นที่โฉดชั่วยิ่งกว่านั้น
บุญกอบหยุดยืนหน้าห้อง เขาเหลียวมองไปรอบๆอยู่ชั่วครู่ เขาจึงพบว่ายามนั้นเป็นเวลาราวๆสี่ทุ่มเศษ อันเป็นเวลาที่คนหาเช้ากินค่ำทั้งหลายเข้านอนแล้ว โดยรวมจึงดูเงียบฉี่และปราศจากผู้คนโดยสิ้นเชิง มันเป็นนาทีทองที่เขาจะย่องเข้าหาสาวสวยซึ่งพำนักอยู่ในห้องพัก
“ แกร๊กๆ…..” บุญกอบเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู เพื่อทำการเปิด แน่นอน…..มันถูกล็อคตามระเบียบ
“ เอ….ทำไมวันนี้ไม่ลืมล็อคประตูห้องแบบวันก่อนนะ ” บุญกอบนึกเคืองจนอยากจะทะลวงเข้าไปด้วยการถีบประตู แต่วิธีนั้นมันหักหาญเกินไป เขาจึงมองหาแผนที่ละมุนละม่อมกว่านั้น
“ จะทำยังไงดีนะ ถึงจะเข้าห้องของนังแหววได้ ”
บุญกอบเค้นสมองคิด เพียงไม่นานเขาก็เหลือบไปเห็นหน้าต่าง เขาจึงเดินไปที่นั่น เพื่อมองหาช่องทางในการลอบเข้าห้อง ในใจนึกภาวนา
“ โอมเพี้ยง….ขอให้นังแหววมันลืมล็อคหน้าต่างทีเถอะ ”
เมื่อบุญกอบเดินมาถึง เขาก็พบว่าหน้าต่างยังคงปิดอยู่ พอได้ออกแรงขยับ เขาก็รู้ว่ามันล็อค นั่นทำให้เขาหัวเสียและจิตตกจนต้องสบถออกมาหนักๆ
“ ห่าเอย…..มึงจะระวังตัวอะไรนักหนา ประตูก็ล็อค หน้าต่างก็ล็อค นี่กะจะไม่ให้กูลอบเข้าไปสยึ้มกึ๋ยกับมึงเลยรึไง ”
แต่ในทันทีที่บุญกอบสบถคำสุดท้าย ดวงตาของเขาก็พลันเบิกโพลง เมื่อพบกับภาพบรรยากาศภายในห้อง
“ โอ้….ว้าว…นั่นมัน ”
บุญกอบอุทานดัง เพราะภาพที่เห็นผ่านกระจกใสก็คือ……ภาพการนอนของสตรีวัยรุ่นนางหนึ่ง สตรีนางนั้นก็คือ….น้องแหวว สาวร่างเล็กทรงโตที่ขาวเนียน
สาวแหววนอนหงายอยู่บนเสื่อสานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ…ชุดที่เธอสวมใส่ ชุดดังกล่าวคือผ้าถุงสีส้มที่แนบเนื้อแบบสุดๆ อันเผยให้เห็นทรวดทรงที่สมบูรณ์ตามวัยสาว ไม่ว่าจะเป็นซาลาเปาคู่งามที่ใหญ่เต็มมือ สะโพกผาย เอวเว้าคอด เรียวขาที่อวบอัด มันช่างเป็นท่านอนที่ชวนขยี้อารมณ์เสียเหลือเกิน
“ โอ้ว…มันจะมีอะไรสุดยอดไปกว่านี้อีกมั้ย ” บุญกอบรำพันกับตัวเอง มือขวาเริ่มล้วงต่ำต่อเนื่อง เพื่อนวดเคล้นอาวุธร้ายที่กำลังโป่งพองในเป้ากางเกง
ขณะที่บุญกอบกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการนวดท่อนลำอวบใหญ่สลับยลภาพกีฬามันๆในห้องพักราคาถูก หนุ่มอีสานร่างล่ำก็พบจุดบอดของการป้องกัน นั่นก็คือ…..
“ เฮ้ย!.....หน้าต่างมันชำรุดจนปิดไม่สนิทนี่ ”
หน้าต่างกระจกใสแง้มอยู่นิดๆ ทำให้เกิดช่องว่างอยู่เล็กน้อยชนิดที่….ถ้าไม่เดินเข้ามาดูใกล้ๆ ก็คงมองไม่เห็น แต่เพียงเท่านี้ ก็ช่วยเพิ่มกำลังใจให้บุญกอบอีกมากโข
“ เยี่ยมมาก พอมีหวังที่จะได้สอยแล้ว ”
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจJalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ