Demon สัตว์อสูรจอมราชันย์
-
เขียนโดย Dinnsor
วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.50 น.
15 ตอน
0 วิจารณ์
15.39K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 16.55 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) บทที่ 8 Park : สวนสาธารณะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 8
Park : สวนสาธารณะ
Judy : ถ้าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แล้วอะไรคือประตูของหัวใจล่ะ?......คงไม่ใช่รูจมูกนะ
หนาว...ทรมาน...ที่นี่ที่ไหนกัน
นี่ ฉันตายแล้วเหรอ?
ในห้องกว้างว่างโล่งที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว แต่จะเรียกว่าห้องโล่งก็คงไม่ถึงกับถูกนัก เพราะกลางห้องยังมีเตียงนอน สไตล์ ยุโรปจัดตั้งไว้ และบนเตียงนอนมีร่างของหญิงสาวผมบลอนด์ในชุดนอนสีขาวเบาบางนอนหลับไหลอยู่
เหมือนกับว่าเธอนอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก ดูจากเม็ดเหงื่อจำนวนมากที่ผุดขึ้นจากผิวหนังทั่วร่างกาย อาการหอบหายใจ และการพลิกตัวไปมาราวกับกำลังนอนหลับฝันถึงสิ่งที่เลวร้ายอยู่
แกร๊ก
เสียงลูกบิดประตูดังขึ้น ชายในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงนอน มองดูหญิงสาวที่กำลังดิ้นทุรนทุรายไปมาด้วยสีหน้าราบเรียบ ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่เห็นจนชาชินแล้ว
เวลาผ่านไป...
หญิงสาวเริ่มมีอาการชักรุนแรงยิ่งขึ้น ก่อนที่เธอจะเกร็งทั้งร่างเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนอนสงบแน่นิ่งไป ลมหายใจที่เคยหนักหน่วงค่อยๆ ผ่อนเบาลงจนแทบจะไม่แสดงออกถึงการมีชีวิต
ชายชุดกาวน์เอื้อมมือไปแตะชีพจรข้อมือของหล่อนครู่หนึ่ง ก่อนใช้ปากกาจะเช็คเครื่องหมายลงในสลิปที่นำติดตัวเข้ามา เขามองดูใบหน้าที่สวยงามแต่ขาวซีดของเธอครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องไป และปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา
ประตูที่ติดป้าย No.013 Project Natalie
…………………………………………………………
สวนสาธารณะยิ้มแฉ่ง ได้ก่อสร้างขึ้นมาแล้วเป็นเวลากว่าสิบปี สวนสาธารณะแห่งนี้นับว่าเป็นที่สุดของผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมชิ้นหนึ่งในโลกเลยก็ว่าได้ เฉพาะ แค่การจัดวางเครื่องตกแต่ง และการวางผังสวน ก็ได้จัดไว้ลงตัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว
ความสวยงามของประตูทางเข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง มันคือซุ้มคริสตัลใสสวยที่ถูกสลักเสลาด้วยลวดลายของเทพทวารผู้เฝ้าประตูสวรรค์ไว้อย่างงดงาม คล้ายกับพยายามบอกเป็นนัยให้ชนชาวโลกรับรู้ว่าว่าสวนแห่งนี้เป็นสรวงสวรรค์บนโลกมนุษย์ แต่ว่าบัดนี้ความงดงามที่เคยมีอยู่นั้น ได้ถูกบดบังโดยเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งกำลังเดินวุ่นไปมากับการรวบรวมพยานหลักฐาน
“ตำรวจมากันทั้งกรมเลยหรือยังไงเนี่ย”
“ฉันว่าไม่แน่นะเพราะคดีนี้เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของเมืองเรา”
“หวังว่านาตาลีคงไม่ได้อยู่ในนั้นตอนระเบิดนะ......”
“ได้ยินว่ามันระเบิดกลางสวนสาธารณะเลยนะ”
อาเธอร์กวาดตามองไปในกลุ่มตำรวจ เขาพยายามมองหาบางสิ่งบางอย่าง หรือมองหาใครบางคนอยู่
“พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่” นายตำรวจในชุดสูทสีขาวมาดเข้มเดินมาทางพวกเขาหลังจากสังเกตเห็นพวกเขายืนกระซิบกระซาบกันอยู่ “นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเธอจะมาเดินเล่นกันนะ”
“พวกเราไม่ได้มาเดินเล่นครับ เรามาตามหาเพื่อนที่ชื่อนาตาลี” อาเธอร์ตอบ ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง เมื่อมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนายตำรวจ
ตำรวจหนุ่มชุดสูทขาวขยับแว่นตากันแดดเมื่อได้ยินชื่อ นาตาลี
เขามีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ แต่นั่นก็ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาช่างสังเกตของอาเธอร์
“นี่เป็นเรื่องของตำรวจ เด็กๆ ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง และ มันก็ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องบอกให้เด็กนักเรียนอย่างพวกเธอรู้!” ตำรวจหนุ่มในชุดสูทขาวเดินกลับเข้าไปยังกลุ่มตำรวจ ทำท่าทางบอกใบ้ให้ตำรวจในเครื่องแบบอีกสองนายมาจัดการกับพวกเขา
“พวกเรารีบไปกันเถอะ” บัดดี้ที่เห็นท่าไม่ดีบอกกับเพื่อนๆ ก่อนจะเดินออกไปเป็นคนแรก
…………………………………………………………
“ฉันว่าฉันเคยเจอหน้าเขานะ แต่นึกไม่ออก เอ...... ” จูดี้พยายามนึกถึงใบหน้า ของนายตำรวจคนนั้น
“อาเธอร์นายเคยเจอตำรวจคนนั้นมาก่อนรึเปล่า“
“ไม่“
“หรือว่าฉันจำคนผิด” จูดี้ บิ๊กโนส พยายามรีดเร้นความทรงจำทั้งหมดจากรอยหยักสมองจนทำให้ใบหน้าของเธอดูบิดเบี้ยวประหลาดพิกล
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ มีงานที่อาจารย์เอลแกนสั่งให้ทำค้างไว้น่ะ” ริวยะ สุซากุ เพื่อนร่วมชั้นของนาตาลี เขาเป็นคนผิวสีคล้ำถึงคล้ำมาก ริวมีเชื้อชาติญี่ปุ่นเขาสูงกว่าบัดดี้นิดหน่อยแปลว่าต้องสูงกว่านาตาลีด้วย...ที่สำคัญเขาเป็นชายผู้ซึ่งเห็นนาตาลีเป็นครั้งสุดท้าย ได้ขอตัวกลับก่อนเป็นคนแรก
“ฉันกลับด้วยละกัน เย็นนี้มีนัดน่ะ” บัดดี้เสยผมสีน้ำตาลอ่อน ก่อนจะเดินจากไป
อาเธอร์มองดูบัดดี้เดินจากไปด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ เขายังมีเรื่องที่ค้างคาใจอยู่มากเกี่ยวกับ บัดดี้ ดูโอ ทวิน เด็กชายที่อาจจะดูเพี้ยนๆ ในสายตาของคนรอบข้าง
บัดดี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องที่อาเธอร์ได้ประสบในคืนนั้น...ในวัดแห่งนั้น เขายืนคิดอยู่เป็นเวลานานจนในที่สุดจูดี้ก็ส่งเสียงดังยิ้มแสดงความยินดีจนแก้มปริ ทำให้อาเธอร์อดที่จะถามไม่ได้
“อะไรอีกละจูดี้”
“ฉันนึกออกแล้ว นึกออกแล้วววว”
“………”
“ฉันนึกออกแล้วว่าฉันเคยเห็นเขาที่ไหน...นายตำรวจนั่น หน้าของเขาคล้ายกับนักเรียนใหม่โรงเรียนเรา ริชาร์ด โซอา ไงล่ะ”
“อืม” อาเธอร์เอ่ยรับอย่างขอไปที เพราะเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เขายังไม่อยากคิดถึงมันให้มากนัก เพราะการคิดไปในสิ่งที่ยังไม่รู้ ผลสุดท้ายก็ทำได้เพียงคาดเดาเพียงอย่างเดียว และที่สำคัญก็คือ เขาไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกตำรวจ
“อาเธอร์ ฉันนึกออกอีกแล้วว่าเราเคยเจอเค้าที่ไหน เราเคยเจอเค้าที่โรงเรียนในวันที่ ผอ.ถูกฆ่าไง!!” จูดี้แสดงความยินดีออกมาทั้งน้ำเสียง และใบหน้า คล้ายกับเด็กทารกที่ยิ้มแย้มเวลาได้ของเล่นที่ถูกใจ
“อืม” อาเธอร์บอกอย่างขอไปทีอีกครั้ง ความจริงแล้วสิ่งที่เขานึกกลัวก็คือความอยากรู้อยากเห็นของแม่สาวแสนแสบคนนี้ต่างหาก อาเธอร์ฉวยโอกาสในขณะที่จูดี้กำลังก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดเดินหลบออกมาจากบริเวณนั้น
…………………………………………………………
ฤดูหนาว
ลมหนาวพัดพาเอาความรู้สึกอบอุ่นที่เคยมีมาในร่างกายให้หายไป คงเหลือไว้แต่ความหนาวเย็นเสียดกระดูก ขอทานเฒ่าคนหนึ่งนอนขดตัวเพราะความหนาวเย็นข้างเสาไฟในมุมมืด เบื้องหน้าของเขาวางไว้ด้วยขันโลหะเก่าคร่ำคร่า
ในขันไม่มีน้ำ เพราะมันไม่ใช่ขันน้ำ แต่มันเป็นขันของขอทานคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นขอทานเฒ่า จะมีอะไรอีกที่สมควรอยู่ในขันของขอทานนอกจากเศษเงินที่ผู้คนหยิบยื่นให้ด้วยความเวทนาในสภาพของเขา
เสียงฝีเท้าคนดังแว่วมาแต่ไกล......จากแผ่วเบา กลายเป็นดังขึ้น เสียงจากที่เคยอยู่ไกลกลับใกล้ขึ้น
ผู้มามีเพียงคนเดียว ผู้มาเป็นเด็กหนุ่มและไม่แก่ชรา ชุดที่สวมใส่ยังเป็นชุดเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนชื่อดังประจำมหานครแห่งนี้
เด็กหนุ่มผู้มามีดวงตาสีเขียวมรกต เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าขอทานเฒ่า เขาใช้ดวงตาสีเขียวมรกตสำรวจสภาพขอทานผู้น่าสงสารจนถี่ถ้วน แล้วจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างช้าๆ
ขอทานคล้ายกำลังรู้สึกตัวว่ามีคนมายืนหยุดอยู่ตรงหน้า รีบพนมมือไหว้ด้วยท่วงท่าที่เคยชินพร้อมกับเอามือแตะขันใบนั้น ชายหนุ่มกวาดตามองทุกอิริยาบถที่ขอทานกระทำแล้วถอนหายใจเบาๆ
เสียงเศษเหรียญกระทบก้นขันโลหะ ฟังจากเสียงก็พอจะคาดเดาว่ารายได้ในวันนี้ของเจ้าของขันโลหะ ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“ขอบคุณมากพ่อหนุ่ม ขอให้พบแต่ความสุขความเจริญ” เสียงแหบแห้งของขอทานชราแสดงความรู้สึกตื้นตันใจในความมีน้ำใจของเด็กชาย ความมีน้ำใจที่ทำให้มนุษย์ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ความมีน้ำใจนี้เองที่ทำให้สังคมมนุษย์ยังดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
เด็กชายไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มให้เท่านั้น......เท่านั้นจริงๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นจัดทรงผมให้เรียบร้อย แล้วเดินจากไป
…………………………………………………………
ป้ายวัดจิตสงบที่ดูไปแล้วไม่สงบ เพราะบัดนี้ ป้ายที่เคยตั้งตรงอยู่ได้เอียงลงมาเสียกว่าครึ่ง เด็กหนุ่มเดินมาหยุดยืนมองความผิดปกติของมันด้วยดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้น
“สงสัยจะต้องซ่อมอีกแล้วแฮะ......” ชายหนุ่มพูดจบก็เดินเสยผมเข้าประตูวัดไป
เขาคือ บัดดี้ ดูโอ ทวิน เด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่สามของโรงเรียนมัธยมปลายยิ้มแฉ่ง โรงเรียนชื่อดังชองประเทศ
บัดดี้มองหาที่ซึ่งมีแสงไฟก่อน เพราะเมื่อมีแสงไฟ ก็ย่อมมีคน
…เขาพบมันแล้ว
แสงไฟส่องลอดออกมาจากหน้าต่างกระท่อมไม้บริเวณด้านหลังของวัด เขาไม่ลังเลใจเลยที่จะเดินเข้าไปหา ไม่มีเหตุผลที่จะต้องลังเล เพราะสถานที่แห่งนี้เขาคุ้นเคยกับมันดีแม้จะปิดตาไว้ก็ยังคงเดินไปได้ถูกทาง
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านหน้าต่างห้องเข้ามากระทบเปลวเทียนสั่นไหววูบ ส่องให้เห็นเงาร่างคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บริเวณส่วนหลังของห้อง
เป็นนักบวชชราคนหนึ่ง
เบื้องหลังของนักบวชจัดตั้งไว้ด้วยเทวรูปทองเหลืองขนาดใหญ่ แสงเงาที่สั่นไหววูบวาบไปมาตามจังหวะลมพัด เพิ่มบรรยากาศความลี้ลับจนน่าหวาดหวั่นให้แก่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ได้พบเห็น แต่นักบวชเฒ่ายังคงนั่งนิ่งในสมาธิ ดุจดั่งภูเขาหินที่มั่นคงไม่มีวันโยกคลอนไปตามสายลมที่พัดผ่าน
เปลวเทียนที่สงบไปแล้วกลับสั่นไหวขึ้นอีกครั้งจากบานประตูที่ถูกเปิดออก บัดดี้ ดูโอ ทวินเดินเข้ามานั่งคุกเข่ากราบนักบวชชราอย่างนอบน้อม
“ป้ายหน้าวัดต้องซ่อมอีกแล้วครับ” เด็กหนุ่มเริ่มต้นสนทนา
นักบวชชรายังคงนั่งนิ่งอยู่ในสมาธิ เมื่อไม่เห็นการตอบรับจากนักบวชเฒ่า เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“เขาพอใช้ได้รึเปล่าครับ”
“ใช้ได้”
“ให้ไปพาตัวมาเลยไหมครับ”
“ไม่ต้อง” นักบวชชราค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปทางเบื้องหน้า ดวงตาของท่านช่างเป็นดวงตาที่สดใสอะไรอย่างนั้น เป็นดวงตาที่เข้มแข็งอะไรอย่างนั้น ท่านหันมามองบนใบหน้าของบัดดี้อย่างช้าๆ คล้ายกับว่ากำลังมองเห็นอะไรบางอย่างจากใบหน้าของเขา
“เมื่อถึงเวลาสิ่งที่ควรจะมาก็มาเอง ชะตาของบุคคลทั้งหลาย ได้ลิขิตไว้แล้วด้วยตัวกรรมนั่นเอง”
“กรรม?“
“กรรม คือ การกระทำ หากได้กระทำกรรมไม่ดีไว้ก็จะทำให้ทุกข์ทรมาน ทุกข์จากการกระทำที่ตนเคยทำทั้งอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ส่งผลให้ตนเองได้รับผลสะท้อนนั้น ทำให้ชีวิตเกิดทุกข์ต่างๆ”
“แล้วถ้าหากเรากระทำ กรรมดี ไว้ล่ะครับ”
“หากทำกรรมดี ก็ย่อมได้รับผลดีตอบแทน”
“แล้วกรรมคืออะไรกันแน่ครับ”
“กำ คือ การไม่แบมือ เช่นกำมือเป็นต้น”
“…” บัดดี้ได้ยินแล้วก็อ้าปากค้าง
…………………………………………………………
สวนสาธารณะยิ้มแฉ่ง ได้ก่อสร้างขึ้นมาแล้วเป็นเวลาหลายสิบปี สวนสาธารณะแห่งนี้นับว่าเป็นที่สุดของผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมชิ้นหนึ่งในโลกเลยก็ว่าได้ เฉพาะ แค่การจัดวางเครื่องตกแต่ง และการวางผังสวน ก็จัดแต่งไว้ลงตัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว
ความสวยงามของประตูทางเข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง มันคือซุ้มคริสตัลสวยใสที่ถูกสลักเสลาด้วยลวดลายของเทพทวารบาลผู้เฝ้าประตูสวรรค์ไว้อย่างงดงาม และยังมีกำแพงกรงแก้วที่ล้อมรอบสวนแห่งนี้ไว้เพิ่มเติมความพิเศษลี้ลับสวยงามในยามค่ำคืนให้แก่มันได้เป็นอย่างดี
แต่หลังจากเกิดคดีระเบิดปริศนา ทำให้พวกตำรวจกันพื้นที่แห่งนี้ไว้เพื่อทำการสืบสวน และในตอนนี้ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายคอยยืนเฝ้าประตูราวกับว่าจะมาแย่งหน้าที่เทวดาเฝ้าสรวงสวรรค์ไปเสียอย่างนั้น แต่อาเธอร์กลับไม่ได้สนใจเรื่องที่พวกตำรวจแย่งหน้าที่ของเทพพิทักษ์ประตู
สิ่งเดียวที่อาเธอร์สนใจ คือทำอย่างไรถึงจะสามารถเข้าไปในสวนสาธารณะแห่งนี้ได้ต่างหาก จะปีนกำแพงเข้าไปก็คงจะยาก เพราะ เขาคงไม่มีความสามารถปีนกำแพงลูกกรงขึ้นไปได้โดยไม่เกิดซุ่มเสียงที่ผิดปกติเป็นแน่
อีกทั้งพวกตำรวจยังจัดวางกำลังไว้ตามแต่ละช่วงของกำแพง ยิ่งทำให้อาเธอร์คิดล้มเลิกความตั้งใจในการเข้าไปด้านใน คงไม่มีใครอยากเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับพวกตำรวจให้เสียประวัติหรอก เขาเองก็เช่นกัน
นายตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าประตูยืนหนาวสั่นจากอากาศยามค่ำคืนของฤดูหนาว แต่ก็รีบเปลี่ยนเป็นยืนตรงทำความเคารพทันทีเมื่อเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบในชุดสูทขาวนายหนึ่งเดินมา เมื่อตำรวจในชุดสูทขาวเดินเข้าไปในสวนสาธารณะการเฝ้าเวรยามหน้าประตูก็ดูจะหละหลวมลง
อาเธอร์เห็นว่าโอกาสมาถึงแล้ว แต่เขารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เมื่อลองมาคิดดูอีกที เขาตัดสินใจที่จะไม่เข้าไป…ไม่ใช่เพราะอาเธอร์กลัวว่าจะเข้าไปไม่ได้ แต่เขากลัวว่าจะออกมาไม่ได้ต่างหาก
"กลับบ้านดีกว่า"
To be continued...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ