Demon สัตว์อสูรจอมราชันย์

-

เขียนโดย Dinnsor

วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.50 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.04K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 16.55 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) บทที่ 15 Entrance : ทางเข้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 15

 

Entrance : ทางเข้า

 

Albert Einstein : ทำไมวิทยาศาสตร์ประยุกต์เหล่านี้ ซึ่งทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบายและทำงานง่ายขึ้น จึงไม่สามารถก่อให้เกิดความสุขที่แท้จริงแก่พวกเรา

 

 

                สายฝนที่ตกลงมาประปรายเริ่มตกหนักขึ้น หยดน้ำสีใสไหลลงมาตามหลังคาโบสถ์ วิหาร ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม การต่อสู้ระหว่างอมนุษย์ทั้งสี่กำลังเปิดฉากขึ้น

 

ร่างของชายใส่หน้ากากตัวตลกเบลเซบัพสั่นกระตุกเมื่อถูกเข็มโลหะมันวาวนับสิบเล่มทิ่มแทงเข้าไป เข็มทั้งสิบเล่มเมื่อแทงถูกเป้าหมายก็หดกลับเข้าไปในร่างสัตว์อสูรเกราะเหล็กร่างแปลงของขอทานเฒ่า เบลเซบัพรูดตัวลงกับร่างเกราะเหล็ก เลือดสีเขียวเปรอะเปื้อนบนเกราะอัศวินรูปเม่น

 

ตูม

                ไวท์ฮอร์นที่สู้อยู่ถูกอสูรตั๊กแตนถีบกระเด็นไปชนกำแพงวัด อสูรเกราะเม่นเห็นจึงพุ่งเข้าไปร่วมต่อสู้  พื้นที่ภายในวัดต่างเสียหายจากการจู่โจมด้วยแรงอันมหาศาลของเหล่าอมนุษย์ พวกDemonหารู้ไม่ว่าขณะที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่นั้นได้มีเงาดำสายหนึ่งเร้นกายเข้ามาในบริเวณวัดแล้ว

ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักช่วยอำพรางร่องรอยให้เงาดำนั้นเป็นอย่างดี เขาไม่มองการต่อสู้ของอมนุษย์ทั้งสามเลยแม้แต่น้อยแต่กลับรีบวิ่งด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ไปยังกระท่อมเก่าทรุดโทรมด้านหลังวัด เมื่อมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นชายชุดคลุมดำจึงกระโดดลอยตัวขึ้นไปบนกระท่อม

 

                เมื่อเขาเข้ามาในกระท่อมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

 

                "คนเรา อยู่ในวัดแท้ๆ กลับต่อสู้กัน" นักบวชที่นั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมาจ้องมองผู้ที่บุกรุกเข้ากระท่อมมา

 

                "พวกเขาอาจต่อสู้เพื่อปกป้องมวลมนุษย์"

 

ผู้บุกรุกเปิดหมวกฮู้ดคลุมหัวออก เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาคมเข้ม หากแต่ว่าใบหน้าซีกขวาต้องเสียโฉมเพราะรอยแผลเป็นที่ลากยาวตั้งแต่หางคิ้วลงมาถึงปลายคาง

 

ริชาร์ด โซอาร์นั่งลงตรงหน้าของนักบวชชรา

 

                "ต่อสู้กัน จนเทวสถานเสียหาย...เพื่อผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายต่างหาก" นักบวชชรายื่นมือข้างขวาออกมาตรงหน้า คล้ายแบมือรอรับของบางอย่างจากริชาร์ด

 

                "......................"

 

ริชาร์ดจ้องมองมือที่แบมาของท่าน

 

                "ไม่ต้องสงสัย หนังสือที่เก็บได้นั่นแหละ เอามาก่อน" นักบวชยิ้มเล็กน้อย มือข้างขวารับหนังสือเก่าขาดที่ริชาร์ดยื่นให้เปิดกางออกในมุมที่สายตาของเขาเห็นได้ ทุกหน้ากระดาษล้วนว่างเปล่า ริชาร์ดเงยหน้าขึ้นจ้องหน้านักบวชชรา

 

                "ก็มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ ไม่จำเป็นต้องรู้มากเกินไปหรอก...อ้อ ฝากเอาไปคืนให้เจ้าของเค้าด้วยนะ" นักบวชยื่นหนังสือคืนให้กับเขา

 

                "เจ้าของ?"

 

ริชาร์ดลุกขึ้นยืนหันหลังให้นักบวช ก่อนที่เขาจะออกเดินไปก็หันกลับมาพูดช้าๆ เน้นย้ำคำถามเดิมอีกครั้ง

 

"เจ้าของ? "

 

                นักบวชยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มละมุนละไม "ถ้าว่าง ก็ลองไปเที่ยวสวนสาธารณะดู"

 

                ริชาร์ดได้ยินดังนั้นก็ไม่ถามอะไรต่อ เขาดึงดาบยักษ์สีดำทะมึนที่กลางหลังออกมาแล้วก้าวเท้าเดินลงบันไดกระท่อมอย่างเชื่องช้า ริชาร์ดรวบรวมพลังงานแสงสีเขียวทุกครั้งที่เท้าสัมผัสกับพื้น ภาพจินตนาการฐานเก็บพลังที่บริเวณท้องน้อยจากรูปทรงกลมสีขาวขุ่น ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นแสงสว่างเขียวสดใสประกายพรึก สมาธิทั้งหมดรวมอยู่ที่ขาและปลายเท้า เมื่อเท้าก้าวสะกิดพื้นอีกครั้งร่างเขาก็กลับกลายเป็นเงาดำหนึ่งสายพุ่งตรงไปยังเหล่า Demon ที่กำลังต่อสู้กันอยู่

             

…………………………………………………………

 

องค์กรลึกลับ

 

                "ประชุมด่วน"

 

สกอต แมคโดนัล เดอแฮมเบิร์ก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว ชายหนุ่มสมาชิกองค์กรเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของสกอตแล้วก็รีบรับคำวิ่งเข้าไปในห้องสมุดทันที นาตาลีเองก็รู้สึกตื่นเต้นตึงเครียดไม่แพ้กัน

 

ในที่สุดเธอก็ได้รับรู้ความรู้สึกของชายชราที่ต้องต่อสู้และหลบหนีกับศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในโลก ศัตรูที่มีอำนาจบงการความเป็นไปของโลก ศัตรูผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ปฏิวัติทั่วโลก องค์กรอิลูมินาติ

 

                "ไม่น่าเชื่อว่าพวกนั้นจะได้ส่วนหนึ่งของวิทยาการที่ถูกลืมไปจริงๆ" สกอตพูดพึมพำเคร่งเครียด

 

"พวกมันล้ำหน้าไปมากกว่าที่เราคิดไว้" เขาเดินอย่างเร่งรีบไปยังห้องสมุดขององค์กร นาตาลีต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อที่จะตามเขาได้ทัน สีหน้าของชายชราดูเคร่งเครียดมากที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะเป็นได้ นาตาลีสัมผัสได้ถึงคลื่นความกดดันมหาศาลที่ชายชราแผ่ออกมารอบตัว

 

                ทั้งคู่มาถึงหน้าห้องสมุดอย่างรวดเร็ว ประตูห้องถูกเปิดรอไว้โดยชายหนุ่มคนที่ได้รับคำสั่งจากสกอต เขารอจนทั้งคู่ก้าวผ่านประตูจึงเดินตามมา

 

                "ทุกคนพร้อมแล้วครับท่าน" ชายหนุ่มล้วงหน้ากากรูปสิงโตออกมาจากด้านในของเสื้อสูท

 

                "ไปเปิดประตู" สกอตพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด จนชายหนุ่มที่เพิ่งสวมหน้ากากเรียบร้อยต้องรีบออกวิ่งไปเปิดทางเข้าห้องลับตามคำสั่ง

 

                ทั้งสามตรงดิ่งสู่ห้องประชุมทันที ทุกคนต่างนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัวแต่ละหมายเลข ยกเว้นนาตาลีที่นั่งเก้าอี้เสริมอยู่ด้านหลังชายชราหัวหน้าองค์กร สกอต แมคโดนัล เดอร์แฮมเบิร์ก

 

ความเงียบ และความกดดันอย่างรุนแรงแผ่เข้าปกคลุมห้องประชุม เหล่าผู้เข้าร่วมประชุมต่างนั่งกระสับกระส่ายรอการเปิดประเด็นจากผู้มีอำนาจสูงสุด ชายหน้ากากงูหมายเลขหนึ่งหันหน้ามองมายังนาตาลีครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับไปมองชายชราเหมือนเดิม

 

                "พวกมันรู้เรื่องความหมายของความฝัน...พวกมันรู้ความหมายของดอกไม้แห่งความหวัง" สกอตพูดเปิดประเด็น ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต่างมีทีท่าตกใจ บางคนถึงกับเผลอเอามือทุบแขนเก้าอี้ บางคนยกมือขึ้นมาปิดปาก ยกเว้นชายหน้ากากงูหมายเลขหนึ่งที่หันมาสบตากับนาตาลี

 

                "พวกมันส่งคนระดับสูงมาจัดการกับผม" ชายชราหันหน้ามองทุกคนก่อนจะพูดต่อ "และมันรู้ด้วยว่าเรากำลังตามหากุญแจเปิดกลไกอาวุธเส้นแสง"

 

                "ไม่น่าเชื่อ "

 

                "เป็นไปไม่ได้ "

 

                "แย่แน่ "

 

                "โลกถึงกาลอวสานแล้ว!"

 

เสียงที่ดังขึ้นอย่างสับสนของคนในที่ประชุมทำให้นาตาลีรับรู้ถึงความหนักหน่วงของหัวข้อการประชุมครั้งนี้ จวบจนสกอตยกมือขึ้นห้ามทุกคนจึงสงบเสียงลง

 

                "โลก จะยังไม่ถึงกาลอวสาน ตราบเท่าที่ยังมีพวกเราอยู่" ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงปลุกปั่นมีพลัง "ในตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจ คือ กุญแจไม่ได้อยู่กับพวกมัน" เมื่อได้คำพูดชายชรา คนในห้องประชุมก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นมา

 

                "ตุ๊กตาผลึกที่เป็นกุญแจของอาวุธเส้นแสงยังคงอยู่ในมหานครยิ้มแฉ่งแน่นอน" ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง

 

"มีใครอยากที่จะเสนอความคิดเห็นบ้าง" ทุกคนในที่ประชุมหันไปมองหน้ากันและกัน เมื่อไม่มีคนเสนอความคิดเห็น สกอตจึงสั่งการให้ทุกคนนำหน่วยรบของตนออกตามหากุญแจอาวุธเส้นแสงทันที

 

ชายชราเดินนำนาตาลีออกจากที่ประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้ตอนเข้ามา เธอเองยังคงนึกสงสัยในใจว่าอาวุธเส้นแสงคืออะไร ทำไมองค์กรของพวกเราต้องรีบกันตามหามันด้วย

 

สกอตเหมือนจะเดาความคิดนาตาลีออก หรือต้องการที่จะระบายความเครียดจึงหันมาขยับปากบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง

 

"อาวุธเส้นแสง คือส่วนหนึ่งของวิทยาการที่ถูกลืม มันคือตัวการที่ทำให้นครแอตแลนติสล่มสลาย" นาตาลีรับฟังด้วยความมึนงงสงสัย อาวุธเส้นแสง นครแอตแลนติส และวิทยาการที่ถูกลืม ทำไมทั้งหมดนี้ถึงเกี่ยวข้องกันได้

 

"คุณเองเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกคงสงสัยว่าทั้งสามสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันได้ยังไง ผมอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ วิทยาการที่ถูกลืม คือชื่อที่พวกเราตั้งให้กับวิทยาการของชาวแอตแลนติส จุดจบของชาวแอตแลนติสเกิดขึ้นเพราะพวกเขาได้ทำลายล้างฆ่าฟันกันเองเพียงเพื่อแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่"

 

ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องสมุดตรงดิ่งผ่านทางเดินต่างๆ ไปยังทางออกองค์กร เมื่อทั้งคู่เดินถึงทางออกฐานทัพ ชายชราจึงหันมาพูดกับนาตาลีอีก

 

                "วิทยาการของพวกเขาสูงล้ำกว่าพวกเราในยุคสมัยนี้มาก แต่หากจิตใจของพวกเขากลับต่ำทรามลงเพราะลุ่มหลงไปกับอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของมัน จนผลที่สุดพวกเขาได้ใช้อาวุธเส้นแสงยิงลงมาเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม แต่หารู้ไม่ว่ามันไม่ได้ทำลายศัตรูให้พินาศไปเพียงอย่างเดียว พวกเขาเองก็หายสาบสูญไปด้วย เกาะแอตแลนติสทั้งเกาะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรภายใต้การยิงเพียงครั้งเดียว ผลึกแห่งพลังงานที่พวกเขาใช้ ก็จมลงในมหาสมุทรด้วยเช่นกัน"

 

สกอตล้วงตุ๊กตาผลึกรูปผีเสื้อออกมายื่นให้นาตาลีดู

 

                "นี่คือแหล่งกำเนิดพลังงานของชาวแอตแลนติส พวกเขาฉลาดมากที่ใช้มันแปรเป็นพลังงานแทนไฟฟ้า แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าการใช้ผลึกกับร่างกายมนุษย์นั้นให้ผลอย่างไร" ทันทีที่พูดจบก็เกิดแสงสว่างจ้าออกมาจากตุ๊กตาผลึก มือข้างที่ถือผลึกของชายชราเปลี่ยนเป็นเกราะเหล็กอัศวิน แต่เปลี่ยนเพียงแค่ช่วงมือถึงข้อศอกเท่านั้น ชายชราหันมายิ้มให้นาตาลีก่อนจะพูดต่อ

 

                "พวกเราควบคุมมันได้ เพียงแค่มีสติและสมาธิ ยิ่งพลังสมาธิสูงส่งเท่าไหร่ เราก็สามารถดึงพลังงานของมันออกมาใช้ได้มากเท่านั้น" แสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับมือของชายชราที่กลับคืนสู่สภาพผิวหนังปกติ ชายชรายื่นตุ๊กตาผลึกรูปผีเสื้อมาให้นาตาลีรับไว้

 

......มันรู้สึกอุ่นๆ เมื่อตุ๊กตาผลึกถูกวางลงในมือเธอ

 

                "แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตามหาผลึกพลังงาน ชิ้นที่เป็นกุญแจเปิดอาวุธเส้นแสงให้ได้ก่อนพวกอิลูมินาติ

 

"นาตาลีมองดูตุ๊กตาผลึกในมือที่ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างขดตัวกลายเป็นก้อนกลม สกอตมองดูผลึกในมือเธอด้วยความสนใจครู่หนึ่ง เมื่อนาตาลีซุกเก็บตุ๊กตาผลึกไว้ในกระเป๋ากางเกง ชายชราก็เลิกสนใจแล้วเดินนำออกประตูไป

 

                ทันทีที่ทั้งคู่เดินขึ้นมาจากทางออกองค์กร หมอกควันสีขาวขุ่น ก็ลอยขึ้นมาปกคลุมเกือบทั่วทั้งบริเวณ กลิ่นเหม็นไหม้ของเนื้อย่างลอยเข้ามาเตะจมูกนาตาลี เสียงเซ็งแซ่ของลูกค้าที่มาอุดหนุนร้านเนื้อกระทะย่างดังไปทั่วบริเวณ ลูกค้าบางโต๊ะยกมือขึ้นทักทายสกอต ชายชราเองก็พยักหน้าตอบรับ 

 

พนักงานในร้านคนหนึ่งรีบวิ่งตรงมากระซิบกระซาบบางอย่างข้างหูชายชรา เมื่อเขาพยักหน้าให้ครั้งหนึ่งพนักงานคนนั้นก็รีบวิ่งจากไป

 

                ชายชราหันหน้ามาถามนาตาลีด้วยท่าทีมีเลสนัย "คุณสนใจไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะไหมครับ"

               

…………………………………………………………

 

สวนสาธารณะ

 

            ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มเหมือนเดิม แต่สายฝนที่ตกลงมาเริ่มเบาบางลง ฟิลิปยืนมองซุ้มประตูทางเข้าสวนสาธารณะ ด้านหน้าทางเข้ามีป้าย 'กำลังก่อสร้าง' วางกั้นไว้เพื่อกันไม่ให้คนภายนอกเข้าไปเดินเตร็ดเตร่เที่ยวเล่น

 

ฟิลิปมาที่นี่ตามคำบอกของนักบวช...มายังสวนสาธารณะแห่งนี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องทำตามที่นักบวชชราบอก แต่ความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายในใจลึกๆ มันชักนำร่างกายของเขาให้ทำตามความต้องการ

 

เด็กสองคนยังคงนั่งรออยู่ในรถ เด็กสาวจูดี้มีอาการเปลี่ยนไปหลังออกจากวัด อาการเงียบเหงาซึมเซาเหมือนคนนอนละเมอหายไป อาการที่แย่กว่าเดิมเข้ามาแทนที่ เธอเริ่มต้นถามคำถามทุกอย่างที่เธออยากรู้ทันที ตั้งแต่ออกจากวัดจนมาถึงสวนสาธารณะก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

 

ดูเหมือนตัวเธอเองยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปที่วัดได้ยังไง ฟิลิปเองทนรำคาญไม่ไหวเมื่อมาถึงสวนสาธารณะแล้วเขาจึงทำทีแกล้งเป็นออกมาสูบบุหรี่ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดพักผ่อนหูจากเสียงที่น่ารำคาญของเด็กสาว

 

                ฟิลิปมองดูมวนบุหรี่ที่เขาคาบไว้ในปาก คาบมันไว้เฉยๆ นั่นแหละแต่ไม่ได้จุด นึกไปถึงตอนที่ควันมันลอยขึ้นมาแล้วอดแสบตาไม่ได้ นายตำรวจหนุ่มหยิบแว่นตากันแดดขึ้นมาใส่แล้วกวาดตามองไปรอบๆ เขาคิดจะเข้าไปสำรวจด้านในสักหน่อย ไปบอกเด็กสองคนนั้นก่อน...ไม่ดีกว่าเขาคงทนรำคาญไม่ไหวจนหมดอารมณ์สำรวจแน่ถ้าพาสองคนนั้นมาด้วย

 

ฟิลิปเดินผ่านป้าย 'กำลังก่อสร้าง' เข้ามาในสวนสาธารณะ ความทรงจำแย่ๆ เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เริ่มผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ในหัวเขา มันเป็นภาพของปีศาจอสูรกายขนาดยักษ์ โผล่ขึ้นในสวนแห่งนี้ หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก

 

ครืนๆ

 

                จู่ๆ ผืนแผ่นดินทั่วทั้งสวนสาธารณะก็เกิดการสั่นสะเทือน ทำให้ฟิลิปที่กำลังเดินอยู่รีบหมอบราบลงไปกับพื้นเพื่อความปลอดภัย แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนรุนแรงถึงขนาดต้นไม้บางต้นหักโค่นลง เศษใบไม้ร่วงกระจายลงเต็มพื้น แต่ที่น่าอกสั่นขวัญผวาที่สุดนั่นคือเขามองเห็นมันแล้ว

 

กลางหลุมระเบิดที่กินบริเวณกว้างเกือบกิโลเมตรนั้นมีร่างของสัตว์ประหลาดค่อยๆ แทรกตัวขึ้นมาจากรอยแยกของพื้นดิน ตัวของมันใหญ่โตพอๆ กับช้างสองตัวซ้อนทับกันอยู่ ผิวหนังของมันดำเลื่อมเป็นประกาย บริเวณลำตัวของมันคล้ายกับมีดวงตานับร้อยพันผุดงอกออกมา

 

ฟิลิปแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตตรงหน้าอีกครั้ง ผิวหนังสีดำเลื่อมของมันกำลังมีบางสิ่งขยับเคลื่อนไหวอยู่ภายใน มันค่อยๆ ปูดพองขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จน

 

ผลั๊วะ เส้นสายยาวคล้ายงวงนับสิบๆ เส้นแทงทะลุออกมาจากใต้ผิวหนัง น้ำเมือกสีเหลืองไหลออกมาจากปากแผลที่ถูกงวงของมันแทงทะลุออกมา

 

            มันเป็นอสูรกายตัวเดียวกันกับที่เขาเคยเจอมาก่อน!

 

            ฟิลิปพยายามเคลื่อนตัวเข้าใกล้มันให้ได้มากที่สุดที่ตัวเขาจะปลอดภัยจากระยะงวงของมัน ปืนพกคู่ใจอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมที่จะลั่นไกได้ทุกเมื่อ

 

หวอ หวอ หวอ หวอ

 

                เสียงไซเรนรถตำรวจดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฟิลิปประหลาดใจกับเสียงที่ได้ยินจนลืมตัวลุกขึ้นหันไปมองตาม แต่ทันใดนั้นร่างของเขาก็ถูกยกลอยสูงขึ้น งวงของสัตว์ประหลาดรัดเขาไว้ทันทีที่ลุกขึ้นยืน!

 

                อ๊ากกกกกก

 

            ฟิลิปร้องลั่น ความเจ็บปวดเกิดขึ้นรอบบริเวณที่โดนงวงรัด เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะอ่อนแรงลงจนไม่สามารถทำอะไรได้ ดวงตาที่ยังเบิกกว้างของเขาเห็นภาพกลับหัวของคนกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กับตำรวจ

 

จะเรียกว่าคนคงไม่ถูกนัก เพราะคนพวกนั้นเริ่มกลายร่างเป็นตัวประหลาดในชุดเกราะอัศวินพุ่งตรงเข้าฆ่าฟันเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่เข้าขัดขวาง ฟิลิปพยายามกวาดสายตามองหารถของเขาที่จอดไว้ เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าเด็กทั้งสองอยู่ในรถฟิลิปถึงเผยอยิ้มออกมาได้

 

            "หวังว่าสองคนนั้นจะโชคดีนะ " เขาพูดขึ้นก่อนที่ดวงตาจะปิดลง

 

…………………………………………………………

 

            "เธอต้องเลือกแล้วล่ะ ว่าจะอยู่ข้างไหน อาเธอร์ จอนส์ตัน ลูกชายของนักวิทยาศาสตร์ผู้เกี่ยวข้องกับองค์กรอิลูมินาติ "

 

เสียงดังขึ้นจากริมฝีปากบางของหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดหนังรัดรูปสีดำมันวาวสุดเซ็กซี่ เธอยืนพิงต้นไม้ต้นใหญ่มองดูสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ งวงนับร้อยเส้นโบกสะบัดอยู่กลางอากาศ สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งที่เข้าใกล้รัศมีต่างถูกงวงของมันตวัดรัดขึ้นไป

 

                "สงครามโลกกำลังจะเปิดฉากขึ้น ภายใต้การบงการของอิลูมินาติ องค์กรที่พ่อเธอทำงานให้ยังไงล่ะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

 

"ชั้นไม่สำนึกบุญคุณที่เธอช่วยไว้หรอกนะ ดูเธอตอนนั้นสิ ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอด ถ้าชั้นไม่ตามไปถึงที่โบสถ์ เธอคงโดนลูกน้องพ่อเธอล้างสมองให้กลายเป็นทาสไปแล้ว!" อาเธอมองเห็นงวงของสัตว์ประหลาดยักษ์จับเหยื่อในชุดสูทขาวได้ก็ตกใจอุทานขึ้น  แต่เมื่อหันกลับมองมองหน้าหญิงสาวเขาก็เผลอหลุดปากพูดไป

 

                "แต่คุณเองก็... "

 

                "นั่นไม่ใช่ความผิดชั้น ที่ถูกพวกมันจับได้" เธอสวนขึ้นทันที

 

"มันเพราะเธอต่างหาก ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ในการแปลงร่างเป็นสัตว์อสูรชุดเกราะครั้งแรก ไอ้เราอุตส่าห์บินตามจะไปช่วยสักหน่อย นี่อะไรกัน เล่นต่อยชั้นซะร่วงสลบ" เธอดูเหมือนยังอารมณ์เสียกับเรื่องนั้นไม่หาย

 

"ถ้าตาแก่สกอตไม่สั่งมา จ้างให้ชั้นก็ไม่มีวันมาตามก้นเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเธอหรอก"

 

มันเกิดขึ้นอีกแล้ว พอเธอพูดถึงเรื่องนี้ทีไรเป็นต้องอารมณ์เสียใส่เขาทุกที อาเธอร์ทำเป็นไม่สนใจใช้มือขวาเลื่อนกรอบแว่นตาให้เข้าที่ มองดูคนในชุดสูทขาวที่กำลังโดนงวงของสัตว์ประหลาด โบกเขย่าไปมา

 

                "ผมจะไปช่วยเขา" อาเธอร์พูดขึ้น

 

หญิงสาวหันมามองหน้าเขาด้วยสายตาสื่อความหมายประมาณว่า ฉันไม่เชื่อว่านายจะทำได้หรอกไอ้น้อง

 

                "เดี๋ยวคนของฉันก็จะมาช่วยแล้ว เธอน่ะอยู่เฉยๆ ไม่ต้องสร้างปัญหาให้ฉันดีกว่า "

 

เขาทำเป็นไม่สนใจอีกครั้ง และตั้งใจจดจ่อกับการเปลี่ยนร่าง พอรวบรวมสมาธิไปที่มือข้างซ้ายเส้นแสงสีเขียวสว่างวาบก็เข้าปกคลุมทั่วร่างกายเขาจนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นบังแสงสว่างไว้

 

                Cut Mode Ready

 

            เสียงสังเคราะห์คอมพิวเตอร์ดังขึ้นจากดาบที่ถูกสลักตัวอักษร ES - 9 BlueBlade ติดไว้บนด้าม อาเธอร์ที่แปลงร่างเป็นสัตว์อสูรเกราะเหล็กบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เม็ดฝนที่ตกลงมาพร่างพรมลงบนร่างเขา อาเธอร์กำดาบในมือให้แน่นที่สุด ดวงตาสีเขียวเรืองรองจ้องมองดูงวงนับร้อยเส้นที่กำลังพุ่งตรงมาหาเขา

 

…………………………………………………………

 

            หญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา นอนหลับตาอยู่บนเตียงสไตล์ยุโรปสีขาวใหญ่ยักษ์ ชุดขาวบางเบาปกคลุมเรือนร่างที่มีส่วนโค้งส่วนเว้ารัดรึงตรึงใจสะกดทุกผู้คนที่ได้มองให้หลงใหล ใบหน้าของเธอดูสงบ งดงาม และบริสุทธิ์ ผมสีทองยาวสลวยแผ่สยายไปอย่างสวยงาม เปลือกตาเธอเริ่มมีการสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาสีม่วงคู่สวยจะค่อยๆ เผยออกมา

 

เธอมองขึ้นไปบนเพดานอย่างเลื่อนลอย

 

                "พวกเขาพบแล้ว" เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลดังขึ้นผ่านริมฝีบางบางสวย ดวงตาของเธอเริ่มปรากฏแสงสีม่วงสว่างขึ้น

 

"ริชาร์ดคะ พวกเขาพบทางเข้าแล้ว" เธอรีบลุกขึ้นนั่งพับเพียบ กดปุ่มบนหัวเตียงเรียกหญิงรับใช้เข้ามา

 

วี้บ เสียงประตูอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้น พร้อมกับปรากฏหญิงรับใช้นางหนึ่งเดินเข้ามาคุกเข่าข้างเตียง

 

"ถวายบังคมองค์หญิงเพคะ"

 

                "อืม" เธอตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบา นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แพทริเซียจึงบอกหญิงรับใช้ให้ไปตามคนที่เธอต้องการพบมา

 

เมื่อหญิงรับใช้ออกไปจากห้องแพทริเซียก็หยิบชุดคลุมมาสวมใส่ แล้วเดินออกไปนอกระเบียงห้องนอน ใช้ดวงตาคู่สวยเหม่อมองดูเม็ดฝนสีใสที่พากันตกลงมาจากท้องฟ้ามืดครึ้ม เวลาผ่านไปไม่นานนักเสียงเลื่อนเปิดของประตูอิเล็กทรอนิกส์ก็ดังขึ้น

 

"องค์หญิง" หญิงงามในชุดคลุมยาวสีแดงสดคนหนึ่งเดินเข้ามา ถึงแม้เธอจะไม่สวยงามเท่าแพทริเซีย แต่ก็มีความงามพอที่จะทำให้ชายหนุ่มทั้งหลายต้องหันมาจ้องมองตาเป็นมัน

 

แพทริเซียหันไปมองหน้าเธอ "เฟย์ ครั้งนี้เขาคนเดียวอาจรับมือกับจักรวรรดิไม่ไหว"

 

                เธอหันกลับไปเหม่อมองดูสายฝนที่ตกลงมา "ครั้งนี้จักรวรรดิต้องการก่อสงครามขึ้นบนดาวดวงนี้ มนุษย์โลกจะเดือดร้อนเพราะขาดที่พึ่งพา"

 

"แต่ลำพังเพียงท่านริชาร์ดก็แทบจะไม่มีมนุษย์โลกคนไหนต่อกรได้แล้ว องค์หญิงไม่น่าเป็นห่วงถึงขนาดนี้" แพทริเซียยื่นมือออกไปรองรับน้ำฝน ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ   

 

"ความประมาท เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ.........เราเองในฐานะองค์หญิงแพทริเซีย ต้องคอยทำตัวเข้มแข็งเพื่อเป็นผู้นำของเหล่าประชาราษฎ์ เพื่อต่อสู้กับอำนาจมืดแห่งจักรวรรดิ แต่ในฐานะของผู้หญิงคนหนึ่ง เราก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้"

 

                "เราขอร้องเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งได้ไหม" หญิงสาวชุดคลุมแดงแววตาทอประกายสั่นไหว คล้ายกำลังนึกถึงผลที่จะตามมาหากเธอยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้อง

 

                "เฟย์"

 

แพทริเซียอ้อนวอนเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน หญิงสาวหมุนตัวเดินออกไปผ้าคลุมสีแดงสดโบกสะบัด เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว

 

"ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปอัศวินองครักษ์เฟย์ เดอะ โทรนกาเดี้ยนได้หายสาบสูญไปจากสหพันธ์แห่งอวกาศแล้ว"

 

เสียงเลื่อนประตูอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นทันทีที่เสียงของหญิงสาวในชุดคลุมสีแดงขาดหายไป

 

                "ขอบคุณ...เพื่อนรัก"

 

แพทริเซียหลับตาลง ปล่อยให้มือทั้งสองสัมผัสกับเม็ดฝนที่ยังคงตกลงมาจากท้องฟ้า

 

 

 

To  be  continued…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา