Demon สัตว์อสูรจอมราชันย์
เขียนโดย Dinnsor
วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.50 น.
แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 16.55 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) บทที่14 Beelzebub : เบลเซบัพ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่14
Beelzebub : เบลเซบัพ
Richard Soar : ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สิ่งที่อยู่ข้างนอก ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็คือใจของเราเอง
"ถ้าคิดช่วยคน ก็หยิบดาบขึ้นมา" ริชาร์ด โซอาร์พูดขึ้น ก่อนที่จะกลืนหายไปในความมืดมิดราวกับวิญญาณภูติพราย
อาเธอร์ใช้ดวงตาสีเขียวเรืองรองเหม่อมองไปยังดาบรูปทรงไฮเทคที่ปักอยู่บนพื้นดิน ลำแสงพลังงานสีฟ้าที่สว่างจ้าออกมาจากสันดาบยาวขึ้นไปถึงปลายแหลมทำให้พื้นดินบริเวณนั้นเริ่มเกิดการหลอมละลาย เสียงกรีดร้องทรมานของหญิงสาวเรียกสติเขากลับมาอีกครั้ง อาเธอร์ไม่รอช้ารีบดึงดาบออกจากพื้นแล้วพุ่งเข้าไปช่วยเธอทันที
Cut Mode Of เสียงสังเคราะห์คอมพิวเตอร์ดังขึ้นจากตัวดาบ พร้อมกับการสลายไปของพลังแสงสีฟ้าที่สันดาบ
เปรี้ยง!
อาเธอร์ใช้ดาบกวาดเหล่าผู้ทำพิธีกระเด็นหายไปจำนวนหนึ่ง เขารู้สึกถึงพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเมื่ออยู่ในร่างเกราะเหล็กนี้
เหล่าผู้ทำพิธีที่เหลือหยุดการปล่อยหมอกควันสีม่วงแดงทำให้ร่างของหญิงสาวตกลงมากลิ้งกับพื้น พวกเขาหันมามองทางอาเธอร์ ทุกคนต่างมีของเหลวสีดำไหลวนอยู่ภายในดวงตา กล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกายกำลังจะขยายตัวขึ้น ชุดสีดำที่ใส่อยู่เริ่มฉีกขาด
"ร....รีบ จัดการเร็ว......" หญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้นพยายามร้องบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงก่อนจะหมดสติไป ทำให้อาเธอร์มัวแต่ลังเลตัดสินใจว่าจะพาเธอหนีหรือสู้กับพวกมันดี
ขณะที่มัวแต่ลังเลอยู่ เหล่าผู้ทำพิธีก็พุ่งมากระโดดเกาะตัวเขาอย่างรวดเร็ว จากคนหนึ่งที่เกาะติดไม่ยอมปล่อยเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ อาเธอร์พยายามสะบัดให้หลุดแต่พวกมันกลับใช้กล้ามเนื้อที่แข็งแรงผิดมนุษย์กอดรัดตัวเขาเอาไว้ ดาบในมือขวาของเขาสะบัดฟาดฟันพวกที่พุ่งเข้ามาให้กระเด็นออกไป
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อแม้แต่คมดาบก็ไม่อาจระคายผิวหนังของมันได้ เขาพยายามใช้ปีกสะบัดโจมตีใส่พวกมัน แต่มันก็สามารถวิ่งกลับเข้ามาจู่โจมใส่เขาได้ทุกครั้ง
ทันใดนั้นเหล่าผู้ทำพิธีชุดดำก็ปลิวกระเด็นหลุดออกจากร่างเกราะเหล็กของอาเธอร์ เหมือนมีพลังอำนาจบางอย่างผลักพวกมันออกไปอย่างรุนแรง อาเธอร์ตัดสินใจอุ้มร่างหญิงสาวขึ้นมาแล้วบินหนีขึ้นฟ้าไปในทันที เหล่าผู้ทำพิธีต่างกรีดร้องราวกับสัตว์ร้ายถูกแย่งชิงเหยื่อชิ้นสำคัญไป
"เขาไปแล้วค่ะ" เสียงอ่อนหวานของหญิงสาวดังขึ้นในความมืด บนต้นไม้ที่สูงใหญ่แพทริเซียยืนหอบหายใจในอ้อมอกของริชาร์ด เธอมีท่าทางเหนื่อยล้าจากการใช้อำนาจจิตช่วยเหลืออาเธอร์
"เราจะช่วยพวกเขาได้รึเปล่า"
ริชาร์ดมองไปยังกลุ่มคนชุดดำที่เริ่มกลับคืนสู่สภาพมนุษย์ เสื้อผ้าของพวกเขาฉีกขาดทั้งชายหญิง ต่างคนต่างมีสภาพที่ไม่น่าดู แววตาทุกคนกลับคืนสู่ความหม่นหมองไร้ประกายดังเดิม
"พวกเขาถูกครอบงำโดยสมบูรณ์แล้วค่ะ เราเกือบจะไม่มีวิธีช่วยพวกเขาได้เลย"
ริชาร์ดหันหน้ามามองหญิงสาวผู้ยืนแอบอิงอยู่ในอ้อมแขนของเขา เธอดูมีอาการอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นริชาร์ดก็เกิดความรู้สึกตื่นตัวขึ้น เมื่อเขามองลงไปด้านล่างก็ต้องตกตะลึง เมื่อริชาร์ดได้เห็นชายสวมหน้ากากตัวตลกในชุดทักซิโดขาวคนหนึ่งยืนถือหมวกโค้งคำนับให้แก่เขา
"สวัสดีครับ คุณสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรีผู้อยู่เหนือความคาดหมาย"
มันสวมหมวกทรงสูงกลับคืนไป ยืนมองดูพวกริชาร์ดอย่างพินิจพิจารณา แม้ว่าภายนอกจะมีท่าทีสุภาพดูเป็นมิตรแต่ในความรู้สึกของคนทั้งคู่ ชายใส่หน้ากากตัวตลกดูน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นไปได้
"โอ๊ะโอ๋! คุณไม่ใช่มนุษย์บนโลกนี้นี่ครับ...และก็ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งนะครับ คุณร่างทดลองที่สมบูรณ์”
ชายสวมหน้ากากพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวล แพทริเซียจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่ส่องประกายสีม่วงเรืองรอง
"เขาไม่ใช่มนุษย์! " ทันทีที่ได้ยินริชาร์ดก็รีบสะบัดชุดคลุมขึ้นมาบังทั้งคู่ไว้
ปัง! ~~~ เสียงปืนดังขึ้น ชายสวมหน้ากากผงะล้มลงตามแรงกระสุนทันที บนหน้ากากตัวตลกเพิ่มรูกระสุนขึ้นที่กลางหน้าผาก เลือดสีเขียวไหลรินไปตามรอยแตกร้าว
"..........หึหึ" เสียงหัวเราะดังขึ้นภายใต้หน้ากากตัวตลก ร่างที่ล้มลงนอนอยู่กับพื้นค่อยๆ ลอยขึ้นมายืนดังเดิม เมื่อเขามองกลับขึ้นไปบนต้นไม้อีกครั้งคนทั้งสองก็หายสาบสูญไปแล้ว
"ช่างเป็นบุคคลที่อยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ เลยนะครับเนี่ย" เขาหยิบหมวกทรงสูงขึ้นสวมอีกครั้งก่อนจะล้วงกระป๋องสเปรย์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วเดินตรงไปยังซากร่างของบาทหลวงปีเตอร์
…………………………………………………………
"การทำสมาธิเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่คุณตั้งใจ และผ่อนคลาย....แล้วคุณจะพบกับความสงบ"
เสียงเพลง Canon in D และเสียงพูดของสกอต แมคโดนัล เดอแฮมเบิร์ก ดังประสานกันเป็นจังหวะลงตัวอย่างมหัศจรรย์ เบื้องหน้าของเขาเต็มไปด้วยผู้คนนั่งเรียงรายเป็นแถวอย่างมีระเบียบ ทุกคนต่างนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ภายในศาลาพื้นวงกลมอันกว้างขวาง ด้านนอกศาลามีต้นไม้ต้นหญ้านานาพันธุ์สีสันเขียวขจี ทำให้บรรยากาศดูสบายเป็นธรรมชาติ
นาตาลีเองก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วย วันนี้เธอสวมชุดปกปิดมิดชิดแต่หลวมสบายเพื่อให้สะดวกแก่การทำสมาธิ ผู้คนมากมายที่นั่งรายรอบเธอดูมีสีหน้าสดใสอิ่มเอิบ
แต่หลังจากที่นั่งสมาธิไปได้พักหนึ่งนาตาลีก็ต้องลืมตาขึ้นมาเพราะมีภาพบางอย่างเข้ามารบกวนจิตใจของเธอ....มันไม่สงบตามที่ชายชราพูดเลย ยิ่งพยายามนั่งหลับตาภาพนิมิตก็ยิ่งไหลเข้ามาในหัว เธอมองเห็นตัวเองวิ่งเล่นอยู่ภายในสวนดอกไม้ มองเห็นต้นไม้พูดได้ แต่ภาพทั้งหมดก็ยังไม่ชัดเจนนัก
"คุณนาตาลี มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ"
สกอตเดินเข้ามาถามนาตาลี หลังจากเห็นเธอนั่งกระสับกระส่ายอยู่เพียงคนเดียว
"คุณมองเห็นอะไรรึเปล่าครับ อย่างเช่นภาพนิมิตน่ะ"
นาตาลีเงยหน้าขึ้นสบตากับชายชราทันที "คุณรู้ได้ยังไง! "
สกอต แมคโดนัล เดอแฮมเบิร์ก ยิ้มเล็กน้อย มองนาตาลีด้วยแววตาเป็นประกาย "ผมรู้สึกได้ตั้งแต่แรกพบ คุณมีพรสวรรค์ทางด้านนี้นาตาลี" เขามองตาเธออย่างลึกซึ้งก่อนจะเดินจากไป
…………………………………………………………
มีเรื่องเหลือเชื่อเรื่องหนึ่งที่ผลักดันให้ฟิลิปต้องการตรวจสอบโรงเรียนนี้อีกครั้ง โรงเรียนมัธยมปลายยิ้มแฉ่ง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นในกล้องวีดิโอวงจรปิดของสถานีรถไฟกลาง จากในภาพเธอน่าจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เหตุการณ์เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วันเธอก็สามารถกลับมาเข้าเรียนได้ตามปกติ
ฟิลิปก้าวเท้าออกจากรถ หยิบแว่นตากันแดดจากกระเป๋าสูทขาวมาใส่ก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในตัวโรงเรียน
"ฟิลิป โซอากองสืบสวนคดีฆาตกรรมพิศวง ขอพบจูดี้ เมก้านอสทริล และ บัดดี้ ดูโอ ทวิน ครับ"
ฟิลิปบอกจุดประสงค์ในการมาทันทีเมื่อพบหน้าอาจารย์ชายคนหนึ่ง อาจารย์ชายคนนั้นเชิญให้ฟิลิปไปนั่งรออยู่ภายในห้องรับแขก ทำให้เขามีเวลานั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ทั้งเรื่องของนาตาลีที่มาปรากฏตัวอีกครั้งในสถานีรถไฟกลาง พร้อมกับเดมอนอีกตัวที่ดูเหมือนจะพยายามช่วยเหลือฝ่ายมนุษย์มากกว่า และยังมีเรื่องของจูดี้
ฟิลิปหยิบตุ๊กตาผลึกรูปช้างออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อสูท...มันตามเขามาอีกแล้ว ไม่ว่าจะเอามันไปทิ้งที่ไหน มันก็สามารถกลับมาหาตัวเขาได้......แล้วทำไมถึงต้องเป็นเฉพาะตัวนี้ด้วย เขาใช้นิ้วชี้ดุนแว่นตากันแดดให้เข้าที่
แกร๊ก
เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มหญิงสาว บัดดี้ ดูโอ ทวิน และจูดี้ เมก้านอสทริล
เด็กสาวดูมีสีหน้าเรียบเฉยผิดกับที่เขาพบเธอครั้งแรกในวันที่ ผอ.คนเก่าถูกฆาตกรรม ส่วนทางด้านเด็กชายดูมีท่าทางหวาดๆ มองดูจูดี้สลับกับมองดูเขาด้วยทีท่าไม่ชอบมาพากล
"สวัสดีครับผมร้อยตำรวจตรีฟิลิป โซอาร์ ที่เรียกพวกคุณมาเพื่อ.."
"คุณฟิลิป ไปกับพวกเราได้มั้ยครับ" เด็กชายบัดดี้พูดโพล่งขึ้นมา
"ไปกับพวกเรา...ที่วัดจิตสงบ"
เหงื่อเย็นยะเยียบไหลซึมออกมาเมื่อฟิลิปได้ยินชื่อวัดจิตสงบ เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงต้องไปที่วัดร้างนั้นด้วยหรือเด็กพวกนี้รู้เรื่องที่เขาทำไว้กับริชาร์ดแล้ว
ไม่...ไม่น่าจะเป็นไปได้ ฟิลิปใช้นิ้วชี้ดันแว่นตากันแดดให้เข้าที่ มองสำรวจเด็กสาวเจ้าเนื้อจูดี้ที่นั่งแววตาเลื่อนลอยมาทางเขา จนฟิลิปอดรู้สึกขนลุกขนพองไม่ได้
"ได้โปรดเถอะนะครับ คุณฟิลิป ไปกับพวกเราในตอนนี้เลย ไปที่วัดจิตสงบ" บัดดี้บอกกับเขาด้วยท่าทีร้อนรนพลางชำเลืองมองไปยังเด็กสาวจูดี้ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น...ไม่ใช่แล้ว! คงจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเด็กชายหญิงคู่นี้มากกว่าความลับของตัวเขา
"ตกลง เดี๋ยวผมจะขออนุญาตอาจารย์ของพวกคุณให้" ฟิลิปเลื่อนแว่นตากันแดดให้เข้าที่
แกร๊ก
เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของอาจารย์ชายวัยกลางคนผู้ที่นำฟิลิปเข้ามาในห้อง
"ขอโทษที่รบกวนนะครับ ผม เอลแกน แมคแคนดี้ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักเรียนสองคนนี้....เอ๊ะ ทำไมมองหน้าผมแปลกๆ กันอย่างนั้นล่ะ? "
…………………………………………………………
"ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อน"
"......ใช่ค่ะ"
"ทำไมเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนั้น...ถ้าเดาไม่ผิด คงเป็นวิทยาการที่ถูกลืมของพวกมันสินะ"
หญิงสาวผู้ถูกถามหันหน้ามาตามเสียง ดวงตาสีม่วงคู่สวยมีประกายเศร้าสร้อยอยู่ภายใน ชายหนุ่มในชุดคลุมดำยาว เที่ยวเดินหยิบจับหาอาวุธที่ต้องการในห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องมือไฮเทคแห่งนี้
"เพราะพวกเขายึดมั่น เชื่อมั่นในทางที่เขาเหล่านั้นศรัทธา" ชายหนุ่มชุดคลุมดำวางปืนรูปร่างประหลาดลง ก่อนที่จะหันไปมองหน้าหญิงสาว
"ศรัทธาโดยขาดปัญญาชี้นำ นั่นคือหลงเชื่องมงาย" เขาหันหน้ากลับไปสำรวจอาวุธแปลกประหลาดชิ้นใหม่ หญิงสาวเหม่อมองลงที่พื้นห้อง เดรสยาวสีชมพูสวยสดใสที่เธอสวมใส่ ดูตรงข้ามกับใบหน้าที่หมองเศร้า
"นั่นเป็นอีกด้านหนึ่งของวิทยาการที่ถูกลืมค่ะ องค์กรอิลูมินาติเป็นผู้ได้สิทธิครอบครองความรู้ในส่วนนั้นไป" เธอพูดเสียงสั่น
"มีวิธีแก้ไหม" ชายหนุ่มลูบคลำคมดาบของดาบใหญ่สองคมหนาหนักสีดำเลื่อมเล่มหนึ่ง
"หนัก…พวกเธอใช้มันได้เหรอ "
"ES - 0 beta GrandBlade ค่ะ เป็นรุ่นต้นแบบเราทำมันขึ้นมาเพื่อทดสอบพลังงาน" เธอเดินไปหยุดยืนเคียงข้างชายหนุ่ม
"ดาบไร้คมที่สามารถหยุดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้...วัตถุดิบที่สามารถรองรับตัวจ่ายพลังสองชนิดที่แตกต่างกันได้มีไม่มากนัก เราจึงใช้มันในการวิจัยพลังงานเท่านั้นค่ะ"
"มีวิธีที่ไม่ต้องฆ่ามนุษย์ไหม"
ริชาร์ด โซอาร์ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉยฉา พลางยื่นปลายดาบไปข้างหน้า แพทริเซียเอื้อมมือไปกดสวิตซ์บนโกร่งดาบรูปทรงไฮเทค
คมดาบซีกนึงเริ่มเปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีแดง ไอความร้อนแผ่พุ่งจากรูระบายอากาศบนตัวดาบอีกด้าน คมดาบซีกที่แดงร้อน เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีสว่างจ้าขึ้น เสียงสังเคราะห์คอมพิวเตอร์กำลังเริ่มนับถอยหลัง
Three - - Two - - One กลิ่นเหม็นไหม้เริ่มลอยออกมาจากโกร่งดาบ คมดาบจากสีแดงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสว่างสุกใส
ShockMode Ready กระแสไฟฟ้าไหลวิ่งออกมาตามเส้นพลังงานสีเหลืองที่คมดาบ
"น้ำหนักมาก ใช้เวลาชาร์ตกระแสพลังงานนานกว่า และมีความคมน้อยกว่า ES - 9 BlueBlade ที่คุณเคยใช้ค่ะ" เธออธิบายประสิทธิภาพของดาบยักษ์สีดำทะมึน โดยไม่มองหน้าริชาร์ดเลย
"แต่ เพราะมีตัวจ่ายพลังงานถึงสองตัวจึงใช้ได้ในเวลาที่จำกัด"
"ดาบเหล็กไหล...แค่นี้ก็พอแล้ว"
…………………………………………………………
ฝนตก...ทั้งที่อยู่ในฤดูหนาว สภาพอากาศเริ่มเกิดการวิปริตแปรปรวน เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นในหลายประเทศ ฟิลิปเปิดที่ปัดน้ำฝนแล้วขับรถต่อไป ผู้โดยสารทั้งสองคนต่างนั่งเงียบไม่พูดจา
โลกเราเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากมายแต่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังคงหลงระเริงอยู่กับกิเลส ตัณหาของตัวเอง ที่ปัดน้ำฝนยังคงทำหน้าที่ของมันไปตามปกติ แต่ฝนที่ตกมาอย่างผิดปกติก็ยังคงตกต่อไป และมีทีท่าว่าจะตกหนักขึ้นอีก
เอี๊ยดดด!
เสียงล้อรถเสียดสีพื้นถนนดังขึ้น เนื่องจากมีชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถไป ฟิลิปมองสำรวจผู้โดยสารทั้งสองคนพบว่าเด็กชายบัดดี้ยกมือกุมศีรษะท่าทางเจ็บปวด ส่วนเด็กสาวที่นั่งข้างหลังกลับไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่
"ไม่เป็นอะไรมากนะ แย่จริงเชียว คนบ้านี่นึกยังไงมาวิ่งตัดหน้ารถ" ฟิลิปทุบพวงมาลัยรถระบายอารมณ์
"ถ ถึงแล้วครับ" บัดดี้สลัดทิ้งอาการเจ็บปวดเปิดประตูรถเดินลงไปเป็นคนแรก ฟิลิปลงจากรถตามเด็กชาย สายฝนที่ตกลงปรอยๆ และท้องฟ้าที่ถูกเมฆฝนครอบคลุม ทำให้คนทั้งสองรู้สึกถึงความหนาวเย็นของอากาศ ฟิลิปมองดูประตูวัดที่ยังคงสภาพเดิมเหมือนหลายสิบปีก่อน
"ตามเข้ามาเลยครับ"
บัดดี้พูดพลางเดินนำเข้าไปในประตูวัดที่เก่าแก่ทรุดโทรม ฟิลิปกับจูดี้ได้แต่เดินตามเข้าไป แสงไฟสีส้มสว่างลอดออกมาจากหน้าต่างกระท่อมหลังวัด บัดดี้พาทุกคนเดินขึ้นไปบนบันไดกุฏิ ทันใดนั้นประตูกระท่อมก็เปิดออกเหมือนมีคนผลักจากด้านใน ฟิลิปตกใจเล็กน้อยกับประตูที่เปิดออกได้เอง หลังจากนั้นบัดดี้ก็เดินนำทุกคนเข้าไปนั่งในกระท่อม
นักบวชชราหน้าตาเหี่ยวย่นคนหนึ่งนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสาม บัดดี้กราบทำความเคารพท่านก่อนจะเริ่มต้นพูดขึ้น
"ท่านนักบวชครับ ผมพาทั้งสองคนมาแล้ว"
นักบวชเมื่อได้ยินแล้วก็ลืมตาขึ้นมามองฟิลิปผ่านๆ ก่อนที่สายตาของท่านก็มาหยุดลงที่จูดี้ นักบวชหันหลังไปยกขันน้ำขันหนึ่งมาวางตรงหน้าเธอ
"ดื่มซะ" นักบวชชราพูดกับจูดี้ด้วยความเมตตา
"ไม่" เธอตอบด้วยท่าทีแข็งขืนนักบวชจึงจ้องตาเธอพักนึง จากนั้นคอเธอก็พับตกลงทั้งที่ยังนั่งอยู่เหมือนเดิม
"คุณบัดดี้ ยกให้เธอดื่มซะ เร็วเข้าหมดขันเลยนะ" บัดดี้รีบยกขันน้ำป้อนเข้าในปากของจูดี้ ฟิลิปมองดูคนทั้งหมดด้วยความสงสัยมึนงง
"ฟิลิป" เขาตกใจทันทีเมื่อได้ยินหลวงพ่อเรียกหา หลวงพ่อรู้จักชื่อของเขาได้อย่างไร
"ตุ๊กตาผลึกนั่นน่ะ ครั้งแรกอาจจะใช้ลำบาก แต่ต้องตั้งสติให้ดีนะ" ฟิลิปได้ยินที่นักบวชพูดยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังใกล้เข้ามา
เสียงต้นไม้หักโค่นดังมาจากด้านนอกกุฏิ บัดดี้ที่กำลังกรอกน้ำเข้าปากจูดี้เผลอตกใจทำขันหลุดมือหล่น นักบวชขมวดคิ้วมองลงไปยังขันน้ำที่คว่ำอยู่กับพื้นกระท่อม ฟิลิปได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว!
"ไปซะ รีบพาทุกคนหนีไปคุณฟิลิป" ทุกคนต่างตกใจในคำพูดของนักบวชชรา จูดี้ที่ตอนนี้เริ่มได้สติกลับคืนมา มองสำรวจไปรอบๆ เหมือนคนกำลังตื่นนอน บัดดี้ก็ตกใจจนมือไม้ปั่นป่วน
เมื่อนักบวชสบตากับฟิลิปอีกครั้งเขาก็เข้าใจความหมายทันที และรีบดึงเด็กหนุ่มสาวสองคนให้ลุกขึ้นตาม
"ไปสวนสาธารณะ" เสียงของท่านนักบวชดังก้องอยู่ภายในหัวของเขา หลังจากนั้นเสียงเฮลิคอปเตอร์ก็เข้ามาแทนที่ ฟิลิปรีบพาทั้งหมดขึ้นรถแล้วขับจากไปทันที
…………………………………………………………
เฮลิคอปเตอร์สีดำลำหนึ่งลงจอดที่บริเวณลานวัด ด้านตัวถังส่วนที่เป็นประตูมีตราสัญลักษณ์สามเหลี่ยมพีรามิดสีเขียวที่มีรูปดวงตาสีเหลืองทองดวงหนึ่งอยู่ภายใน ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์สัมผัสกับพื้นดินประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา สกอต แมคโดนัล เดอแฮมเบิร์ก จูงมือ นาตาลีเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เมื่อเท้าของทั้งสองเหยียบลงบนพื้นเรียบร้อย ขอทานเฒ่าหน้าวัดจิตสงบก็รีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ
"พวกเขาออกไปก่อนแล้วครับท่าน" ชายขอทานรายงานกับสกอต เสื้อสูทหรูสีน้ำตาลที่ชายชราใส่เริ่มมีสีเข้มขึ้นเพราะเม็ดฝนที่ตกลงมา ตัวนาตาลีเองที่ใส่ชุดกางเกงสีดำยาว ก็เปียกปอนพอๆ กับชายชรา
"อืม"
สกอตทำท่าทีไม่สนใจ พานาตาลีเดินเคียงคู่ไปยังบริเวณกุฏิด้านหลังวัด ชายขอทานรีบเดินจนนำหน้าคนทั้งสองไปยังบริเวณด้านหลังของกุฏิไม้ที่กลับกลายเป็นเก่าผุจนแทบไม่เหลือเค้าของที่อยู่อาศัย
ทั้งหมดมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ที่หักโค่นลงเพราะแรงลม
"ตรงนี้ล่ะครับท่าน" ชายขอทานบอกกับคนทั้งสอง สกอตหันหน้ามองมายังนาตาลีที่กำลังหลับตายื่นมือออกไปสัมผัสกับอะไรบางอย่างอยู่
"ใช่ค่ะ" นาตาลีหันไปพยักหน้าให้กับชายชรา เมื่อเธอพูดจบเด็กชายในชุดเครื่องแบบโรงเรียนมัธยมปลายยิ้มแฉ่งคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม ชายชราหันไปพยักหน้าให้กับเขา
"ใต้ต้นไม้ต้นนี้ริวยะ เธอรู้สึกได้สินะ" ชายชราพูดกับเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"ลงมือเลย" เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับ เขาหลับตาทำสมาธิอยู่เพียงครู่เดียว เส้นแสงสีเขียวสว่างจ้าก็ได้แผ่ออกมาครอบคลุมไปทั่วทั้งตัว นาตาลียกมือขึ้นมาบังแสงสีเขียวแสบตา เมื่อลดมือลง ริวยะ สุซากุ ในชุดสัตว์อสูรเกราะเหล็กไวท์ฮอร์น ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของทุกคน
ขณะที่เขากำลังจะเริ่มต้นลงมือขุดอยู่นั่นเองเสียงไซเรนรถตำรวจก็ดังแว่วเข้ามาในหูของนาตาลี
สกอตโบกมือส่งสัญญาณให้กับชายในชุดขอทาน ก่อนที่ชายขอทานจะวิ่งจากไป
ไวท์ฮอร์นยังคงตั้งใจขุดพื้นดินใต้ต้นไม้ต่อไป เสียงไซเรนของรถตำรวจที่ดังใกล้เข้ามาทำให้นาตาลีรู้สึกตื่นเต้นตึงเครียด
ทันใดนั้นพื้นดินที่ทุกคนยืนอยู่ก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้นาตาลี และสกอตถึงกับสูญเสียการทรงตัวล้มลงไปนั่งกับพื้น เมื่อแผ่นดินไหวหยุดลงไวท์ฮอร์นก็หันมาส่ายหน้าให้กับชายชรา ก่อนที่จะยื่นตุ๊กตาผลึกรูปผีเสื้อให้กับเขา สกอตรีบรับมันมาเก็บไว้ในกระเป๋าในเสื้อสูท เสียงไซเรนของรถตำรวจดังมาถึงประตูหน้าวัดแล้ว
ปัง ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเงียบลงไป
สกอตรีบเดินนำ นาตาลี และ ไวท์ฮอร์นที่กลับคืนสู่ร่างมนุษย์แล้วไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ แต่พอนาตาลีเดินไปถึงเธอก็ตกใจจนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ชายสวมหน้ากากตัวตลก ในชุดทักซิโดขาวคนหนึ่งกำลังถอดหมวกทรงสูงยืนโค้งตัวทำความเคารพพวกเธอ มันยืนขวางระหว่างเฮลิคอปเตอร์กับคนทั้งสามไว้พอดี บนพื้นข้างตัวชายสวมหน้ากากมีร่างของคนขับเฮลิคอปเตอร์ และชายขอทานที่สกอต ส่งไปจัดการกับพวกตำรวจนอนอยู่
"ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีกเลยนะครับ คุณสกอต"
ชายใส่หน้ากากสวมหมวกกลับคืนไปบนศีรษะ ก่อนจะใช้มือข้างขวายกร่างคนขับเฮลิคอปเตอร์ขึ้นมา สกอตยกมือขวางริวยะที่กำลังจะพุ่งเข้าไปช่วยเพื่อน
"สมาชิกองค์กรระดับสูงที่หายตัวไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว"
ชายสวมหน้ากากพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน ก่อนจะใช้มือข้างซ้ายล้วงเข้าไปในลำคอของคนขับเฮลิคอปเตอร์!
หมอกควันสีม่วงแดงลอยทะลักออกมาตามรูหู รูจมูก และปาก ของเขาทันที คนขับเฮลิคอปเตอร์ดูมีท่าทางทรมานอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะสงบลง ความรู้สึกสะอิดสะเอียนเกิดขึ้นภายในร่างกายของนาตาลีทันทีเมื่อเธอมองเห็นหมอกควันสีม่วงแดงนั้น
"เบลเซบัพ" สกอตทำท่าทางเตรียมพร้อมต่อสู้
"จุ๊ๆ ๆ " ชายใส่หน้ากากบอกอย่างสุภาพ
"ใจร้อนอยากต่อสู้เสียเหลือเกินนะครับ ฝ่ายผมยังมีคนเดียวเอง รอให้ผมปลุกอีกคนก่อนสิครับ"
เมื่อมันพูดจบ คนขับเฮลิคอปเตอร์ก็ค่อยๆ ลุกยืนขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่ของเขามีของเหลวสีดำไหลวนอยู่ภายใน เส้นแสงสีเขียวเริ่มสว่างวาบขึ้นทั่วทั้งตัว เมื่อแสงสว่างจางหายไปสัตว์อสูรเกราะเหล็กรูปร่างตั๊กแตนก็ปรากฏกายขึ้นแทนที่เขา ดวงตาสีเขียวเรืองรองจ้องมองมายังนาตาลีอย่างไม่เป็นมิตร
ริวยะเดินเอาตัวเข้ามาบังนาตาลีไว้ และเปลี่ยนร่างตนเองเป็นสัตว์อสูรไวท์ฮอร์น เบลเซบัพเห็นดังนั้นจึงก้มตัวลงไปยกชายขอทานขึ้นมา
แต่ทันใดนั้นเส้นแสงสีเขียวก็ส่องสว่างออกมาจากชายขอทาน เข็มโลหะมันวาวนับสิบพุ่งออกไปทิ่มแทงร่างของเบลเซบัพจนตัวมันสั่นกระตุก ไวท์ฮอร์นรีบพุ่งเข้าไปจู่โจมสัตว์อสูรตั๊กแตนทันที สกอตเห็นดังนั้นก็รีบจับมือข้างขวาของนาตาลี แล้วหลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของเธอก็ดูเหมือนจะเล็กลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ
To be continued…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ