โอสถกำหนดสรรพสิ่ง

-

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 14.36 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,995 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2561 14.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) สายฟ้าประกาศิต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ลมพายุรุนแรงประกอบกับห่าฝนซัดซาด ทำให้เส้นทางที่มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านผิงอันเต็มไปด้วยดินโคลนหนาทึบ สร้างความลำบากแก่สามร่างที่เดินบนเส้นทางนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชายร่างใหญ่ที่ต้องลากเกวียนไม้ตามมาด้วย
 
“ท่าน..แม่  ข้า..หนา..ว” เด็กน้อยเอ่ยเสียงสั่น ผู้เป็นแม่จึงถอดเสื้อคลุมบางที่เหลือเพียงตัวสุดท้าย ห่มไปที่ร่างของบุตรชาย พลางกุมฝ่ามือเล็กพร้อมกับเอ่ยคำปลอบประโลม
 
“อีกนิดเดียวก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว พวกเจ้าอดทนอีกสักหน่อยเถิด” เสียงทุ้มหนาของชายร่างใหญ่นามหลวนซานดังขึ้น พร้อมกับหรี่ตา มองแสงไฟสลัวจากสถานที่อันเป็นจุดหมาย
 
หากไม่ใช่เพราะเดือนนี้ พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากกว่าที่ผ่านมา เขาคงจะไม่ให้ภรรยาและบุตรชายต้องเดินทางมาช่วยเป็นแน่ และทั้งสองคงไม่ต้องมายืนตากลมตากฝนเช่นนี้ ชายหนุ่มคิดแล้วได้แต่ถอนหายใจให้กับความโชคร้ายของตน
 
ร่างทั้งสามเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ไฟที่สลัวเลือนรางในตอนแรกจึงเริ่มเด่นชัด แต่แล้วเสียงตะโกนก็ดังขึ้น
 
“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!!” สิ้นเสียง ปรากฏเงาร่างของชายฉกรรจ์คนหนึ่งยืนขวางเส้นทางของทั้งสามเอาไว้
 
“ส่งเงินและหญิงนางนั้นมาซะ แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป!” มันพูดขึ้น แล้วก้าวเดินมาทางหญิงสาวที่ตัวเปียกปอน จนผ้าผืนบางไม่สามารถที่จะปกปิดร่างอรชรนั้นไว้ได้ มันคว้าแขนของนางพร้อมกับฉุดกระชากอย่างรุนแรง
 
“เจ้าเป็นใคร ปล่อยมือจากนางเดี๋ยวนี้!!” หลวนซานพุ่งตรงไปยังชายผู้นั้น และปล่อยหมัดออกไปเต็มแรง
 
ชายผู้นั้นเพียงแค่ชายตามอง ก็สามารถหลบหมัดของหลวนซานได้อย่างง่ายดาย มันจับแขนที่เหวี่ยงมานั้นกระชากเข้าหาตัว และบิดอย่างแรง
 
กรอบ!!!
 
เสียงกระดูกป่นดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของชายหนุ่ม หลวนซานล้มลงไปกับพื้น จับแขนข้างที่บาดเจ็บเอาไว้แน่น พยายามคุมสติที่เหลือเพียงน้อยนิดไม่ให้ดับวูบไป
 
“ท่านพ่อ!!!” หลวนชุนตะโกนขึ้นเมื่อเห็นพ่อของตนถูกทำร้าย เด็กน้อยมองชายผู้นั้นตาแดงก่ำ
 
ในขณะที่ชายผู้นั้นกำลังฉุดกระชากหลวนฮว่าน หลวนชุนเร่งพุ่งตัวกระโดดเกาะแขนของมัน และกัดเข้าที่เนื้อของมันจนจมเขี้ยว!
 
อ้ากกกก
 
ชายผู้นั้นร้องตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ถึงแม้ว่ามันจะไม่รู้สึกระคายกับการโจมตีของหลวนชุน แต่ในฐานะที่มันเป็นผู้ฝึกตน การถูกเด็กโจมตีใส่เช่นนี้ ทำให้มันรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก มันรวบรวมพลังปราณที่กรงเล็บแหลมคม อันเป็นวิชาลับของมัน แล้วตวัดปลายแหลมนั้นออกไปหมายจะกำจัดเด็กน้อยตรงหน้าให้สิ้นซาก
 
“ไม่!!!!” หลวนซานร้องตะโกน พร้อมกับฝืนลุกขึ้นยืน พาร่างของตนกระโจนไปยังทิศทางของบุตรชาย
 
แต่...มันสายไปเสียแล้ว.....
 
2 เซียะ
 
1 เซียะ
 
ก่อนที่กรงเล็บนั้นจะทันได้สัมผัสผิวของเด็กชาย กลับมีท่อนแขนบางยื่นออกไปผลักเด็กน้อยให้พ้นจากรัศมีการโจมตีของมัน พร้อมกับรับเอากรงเล็บนั้นเอาไว้เสียเอง
 
“หนีไป!!!” หลวนซานพุ่งกระแทกชายผู้นั้น ทำให้ทั้งสองล้มลงไปกองกับพื้น เขาตะเกียกตะกายคลานไป แล้วใช้แขนทั้งสองข้างรวบขาของมันเอาไว้ พยายามใช้แรงที่เหลืออยู่กดมันลงไป ไม่ให้มันสามารถยืนขึ้นมาได้ โชคดีเพียงหนึ่งเดียวของหลวนซานคือ ชายผู้นี้บำเพ็ญตบะอยู่แค่รวบรวมลมปราณขั้นต้นเท่านั้น เพราะหากอยู่ในขั้นที่สูงกว่านี้ กายของเขาคงดับสูญไป ภายในฝ่ามือเดียวของมันเป็นแน่
 
หลวนฮว่านเมื่อโดนกรงเล็บนั้นโจมตี ก็กระเด็นถอยหลังไป 10 ก้าว พร้อมกับกระอักเลือดออกมาคำโต ดวงตาพร่าเลือนแทบสิ้นสติ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเงาร่างเล็กนั้น ดวงตาที่เคยพร่าเลือนกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง
 
ก่อนที่เสียงของชายอันเป็นที่รักจะดังขึ้น นางก็พุ่งตัวออกไป รวบตัวเด็กชายไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างที่แทบจะแตกสลาย แล้วออกวิ่งไปยังแสงเลือนรางทันที…..
 
“หลวนชุน!”
 
“หลวนชุน!! เจ้าเป็นอะไร”
 
หลวนชุนหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่อได้ยินเสียงหวานของมารดาร้องถามอย่างเป็นห่วง
 
“ท่านแม่ข้าไม่ได้เป็นอันใด ข้าเพียงแค่เหม่อลอยไปเท่านั้น” หลวนชุนกล่าวตอบ พร้อมกับแย้มรอยยิ้มบาง
 
เมื่อหลวนฮว่านได้ยินเช่นนั้นจึงคลายสีหน้ากังวลลง เก็บผ้าผืนหนาและถังน้ำที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก ก่อนจะเดินออกไป
 
หลวนชุนมองแขนบาง ที่ยังคงเหลือร่องรอยบาดแผลจากในอดีต เขายังจดจำได้ว่ามันเป็นรอยกรีดยาวแค่ไหน ยังจดจำได้ว่ามันบาดลึกเพียงใด และยังจดจำได้ยามที่แขนบางโอบกอดเขาในครั้งนั้น พร้อมกับโลหิตที่หลั่งรินดั่งสายธาร เพราะความโง่เขลาและอ่อนแอในวันวาน จึงทำให้บุคคลที่รัก ต้องตายจากไป....
 
และหนทางเดียวที่จะรักษาสิ่งที่รักไว้คือ....
 
ความแข็งแกร่งเท่านั้น!!!
 
 
 
 
เช้าวันถัดมา.....
 
เสียงพูดคุยระคนเสียงหัวเราะของชาวบ้าน ดูจะทำให้หมู่บ้านผิงอันครึกครื้นกว่ายามปกติเป็นพิเศษ โต๊ะตัวยาวถูกนำมาจัดเรียงเป็นแถว เพื่อให้เพียงพอต่อจานอาหารที่ถูกวางลงอย่างต่อเนื่อง ชายฉกรรจ์ทำหน้าที่ในการจัดสถานที่จัดงาน ส่วนหญิงสาวก็เร่งมือจัดเตรียมอาหารให้เพียงพอต่อทุกคน เด็กเล็กนั่งมองสถานที่อันวุ่นวายแห่งนี้ พูดคุยและหัวเราะไปกับเรื่องราวที่ชายชราเล่าให้ฟัง
 
เมื่ออาหารและสถานที่ถูกจัดเตรียมเรียบร้อย ชาวบ้านต่างพากันจับจองพื้นที่ของตนเอง และเตรียมจัดการกับอาหารตรงหน้า บริเวณกลางโต๊ะไม้ มีอาหารสุดพิเศษคือเนื้อกวางนุ่ม โชยกลิ่นอันหอมหวานจนทุกสายตาต้องจับจ้องไปที่มัน
 
สายตาของหลวนชุนเป็นหนึ่งในนั้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ แลบลิ้นเลียริมฝีปากพร้อมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนหัวดึงคอเสื้อด้านหลังของหลวนชุนไว้ คาดว่าเนื้อกวางชิ้นโตนั่นคงจะลงไปอยู่ในกระเพาะของเขาเสียแล้ว
 
เสียงตบมือดังขึ้นสามครั้ง พร้อมกับเยี่ยนหัวที่ยืนตัวตรงขึ้น เสียงพูดคุยจึงค่อยๆเบาลงจนเงียบสนิท
 
“เอาละทุกท่าน ข้า เยี่ยนหัว ขอขอบคุณพวกท่านทุกคนที่ช่วยกันจัดงานในครั้งนี้ หากมีข้าเพียงคนเดียวคงไม่สามารถจัดงานใหญ่เช่นนี้ได้เป็นแน่ เพื่อเป็นการขอบคุณแก่ทุกท่าน ข้าได้เตรียมอาหารสุดพิเศษรอพวกท่านไว้แล้ว ขอเชิญพวกท่านลงมือได้!”
 
สิ้นเสียง ชาวบ้านทุกคนต่างเฮโลไปรุมยื้อแย่งกัน ทุกคนต่างสนุกสนานกับงานเลี้ยงครั้งนี้อย่างเต็มที่ บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
 
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในงานเลี้ยงคือ น้ำหมักรสเลิศ ที่ทำเอาเหล่าชายฉกรรจ์พากันสลบไสลไม่ได้สติกับเป็นแถว หญิงสาวได้แต่ถอนใจ ช่วยกันลากร่างกายอันใหญ่โตไปเก็บให้เข้าที่เข้าทาง
 
ในมือของหลวนชุนเป็นจอกกระเบื้องขาว สลักลวดลายดอกบัว ภายในเป็นน้ำสีใสเหมือนกับน้ำดื่มธรรมดา แต่เมื่อสูดกลิ่นแล้วพบว่ามีกลิ่นฉุนแรง หลวนชุนขยับจอกจรดลงบนริมฝีปาก และดื่มรวดเดียวจนหมด ใบหน้าเหยเกเล็กน้อยเนื่องจากรสสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย
 
“อี๋ ดื่มกันเข้าไปได้อย่างไร ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ” หลวนชุนพึมพำเบาๆหลังจากดื่มน้ำตามอีกอึกใหญ่ แต่ดูเหมือนจะช่วยได้ไม่มากนัก เพราะเขายังคงรู้สึกถึงกลิ่นฉุดในลำคออยู่
 
หลวนชุนกวาดตามองบรรยากาศรอบๆ พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต คิดถึงยามที่ได้หัวเราะ คิดถึงยามที่ร้องไห้ ภาพมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว ย้ำเตือนว่าเขาได้ผ่านสิ่งใดมาบ้าง และใครคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างเขา.....
 
ยามที่มารดาเดินเข้ามาปลอบประโลม ยามที่มารดาบรรจงเช็ดหน้าให้ หัวสมองยังคงจำภาพเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ทั้งหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่นเสมอยามนึกถึง
 
และหัวใจของเขาก็เจ็บปวดทุกครั้ง ยามนึกไปถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น...ครั้งที่มารดาต้องบาดเจ็บ บิดาต้องตายจาก ครั้งที่เขาในตอนนั้นอ่อนแอจนไม่สามารถช่วยอะไรได้ ทำได้เพียงแค่มอง และปล่อยให้มันเกิดขึ้น.....
 
ดวงตาของหลวนชุนหม่นลง เขาหลับตาลงอย่างช้าๆ ตรึกตรองสิ่งต่างๆในหัว…
 
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาฉายแสงประหลาด สายลมพัดผ่านร่างเหมือนว่ามันจะตอบสนองต่อการตัดสินใจเด็กหนุ่ม หลวนชุนกำหมัดแน่น ก่อนจะยืดตัวขึ้น
 
“ท่านทั้งหลาย ข้าตัดสินใจแล้ว!!”
 
เมื่อเสียงตะโกนเปล่งออกไป อากาศรอบด้านพลันบิดเบี้ยว ต้นไม้ที่อยู่บริเวณนั้นกลับสั่นสะท้าน กิ่งก้านพัดไปมาราวกับตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างหยุดนิ่งพร้อมกับหันหน้าไปยังทิศทางที่หลวนชุนอยู่ ในขณะที่ชาวบ้านทุกคนรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน มือเท้าชาหนึบ แต่ศีรษะกลับหันไปทางหลวนชุนราวกับถูกบังคับให้ต้องหันมอง
 
“ข้าจะออกเดินทางเพื่อเข้าเป็นศิษย์สำนัก!!”
 
เปรี้ยง!!!
 
ฉับพลันเกิดสายฟ้าผ่าเหนือศีรษะของหลวนชุน ทั้งที่ไม่มีเค้าลางว่าจะเกิดพายุแต่อย่างใด สายฟ้าพุ่งดิ่งลงมา หมายจะพิฆาตร่างเด็กหนุ่มให้กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ก่อนที่สายฟ้านั้นจะทันได้สัมผัสเขา มันกลับค่อยๆสลายไปเสียก่อน ราวกับว่าหน้าที่ของมันคือการประกาศให้ทุกสรรพสิ่งได้รู้ว่า...
 
‘คำพูดของมันคือประกาศิต!!!’
 
‘ผู้ใดที่กล้าขัดขวางมันจะถูกสายฟ้าลงทัณฑ์!!!’
 
เมื่อสายฟ้าสลายไปจนหมด ทุกชีวิตกลับนิ่งสนิท ก่อนที่ลมจะพัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ต้นไม้โอนเอนแทบจะล้มลง สัตว์อสูรต่างร้องเสียงดังระงมราวกับยินดีต่อคำประกาศิตนี้ ในขณะที่ชาวบ้านต่างแข้งขาอ่อนล้มพับไปกองกับพื้น เสมือนเป็นการสักการะเทพเจ้าองค์หนึ่ง
 
ในตอนนี้ชาวบ้านทุกคนต่างนั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
 
“สายฟ้า...” ผู้เฒ่าหยางเอ่ยเสียงแผ่วเบา ราวกับยังติดอยู่ในห้วงแห่งความฝัน หลวนชุนเห็นชาวบ้านล้มลงก็ตกใจ หันไปเห็นใบหน้าไร้สีเลือดของผู้เฒ่าหยาง จึงรีบเข้าไปถามไถ่อาการทันที
 
“สายฟ้าอะไรรึท่านผู้เฒ่า มีสายฟ้าเกิดขึ้นด้วยหรือ” หลวนชุนเข้าไปพยุงผู้เฒ่าหยางและถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงสายฟ้าใดๆเลย แม้แต่เสียงสัตว์หรือเสียงอื่นๆเขาก็ไม่ได้ยิน เขารู้เพียงแค่หลังจากเขาพูดจบ ทุกคนก็ล้มลงไปกับพื้นแล้ว
 
“เจ้า.......เจ้าไม่ได้ยินเสียงใดเลยรึ” ผู้เฒ่าหยางเบิกตาโพลง มองหลวนชุนราวกับเห็นตัวประหลาด
 
หลวนชุนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงง พลางหันไปมองรอบกาย เห็นสายตาของชาวบ้านทุกคนมองตรงมายังเขาเป็นตาเดียว เด็กหนุ่มเริ่มคิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เหตุใดทุกคนจึงล้มลง เหตุใดทุกคนจึงมองเขาด้วยสายตาประหลาดเช่นนี้ ทันใดเขาก็ต้องตกตะลึง หรือว่า......
 
“ข้า ข้าไม่ได้ทำนะ!” หลวนชุนรีบตะโกนออกมาพลางโบกมือพัลวันเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน
 
“ข้าไม่ได้บำเพ็ญตบะนะ ข้าสาบานได้ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของข้านะ!” เด็กหนุ่มทำหน้าคล้ายจะร้องไห้เต็มที ปากยังคงย้ำว่านี่ไม่ใช่ความผิดของตน
 
ชาวบ้านที่อยู่ในอาการตกตะลึงในตอนแรก กลับต้องส่ายหัวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นท่าทางของหลวนชุน ผู้เฒ่าหยางเองก็คลายจากอาการตกใจ รอยยิ้มบางค่อยๆปรากฏบนใบหน้าเหี่ยวย่นอีกครั้ง
 
เยี่ยนหัวเองเมื่อตั้งสติได้ก็ถอนหายใจเบาๆ ยืนขึ้นและเดินไปหาเด็กหนุ่ม
 
“ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กพิลึกอย่างเจ้า จะมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านธรรมดาๆแห่งนี้” เยี่ยนหัวเอ่ยขึ้น พร้อมกับเอามือขยี้เส้นผมของหลวนชุนอย่างหมั่นไส้ ใบหน้าแสดงความระอาใจอย่างยิ่ง
 
“ท่านลุงเยี่ยน ข้าไม่ได้ทำจริงๆนะ” หลวนชุนว่าพลางแสร้งปาดน้ำตา
 
“เอาละๆ ไม่ว่าเจ้าจะทำหรือไม่ ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อยู่ดี หากข้าทำอะไรเจ้าขึ้นมา ข้าคงไม่มีโอกาสได้ดูหน้าหลานของข้าเป็นแน่” เยี่ยนหัวว่า นึกย้อนไปถึงสายฟ้าเมื่อครู่ ขนทั้งร่างกลับลุกชัน แข้งขาสั่นขึ้นมาทันที
 
“ท่านพูดอะไรของท่าน ข้าไม่เข้าใจ อ๊ะ หรือว่าสมองของท่านจะมีปัญหาเพราะการล้มเมื่อครู่นี้ เฮ่อ ข้าเศร้าใจแทนเยี่ยนฉือจริงๆ ยังไม่ทันได้แต่งงานก็ต้องมาดูแลท่านก่อนเสียแล้ว” หลวนชุนเอ่ยพร้อมกับเอามือกุมขมับราวกับเศร้าใจหนักหนา
 
เมื่อเยี่ยนหัวได้ยินเช่นนั้น หน้าตาพลันแดงก่ำควันออกหูทันที ไล่ตีก้นเจ้าเด็กปากเสียจนเขียวช้ำ
 
หลังจากเหตุการณ์สงบลง ชาวบ้านก็ตระหนักถึงสิ่งที่หลวนชุนประกาศไว้อีกครั้ง เด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา ต่างพากันเศร้าหมองและอวยพรให้กับการเดินทางของเขา โดยไม่มีใครคิดจะรั้งให้เขาอยู่ที่หมู่บ้านแม้แต่คนเดียว
 
หลวนชุนนึกขึ้นได้ว่ายังไม่เห็นมารดาของตน ใจก็ร้อนรนไล่ถามหาที่อยู่ของนางกับชาวบ้าน และก็พบว่านางนั่งอยู่ที่เนินเขาเล็กห่างไกลจากหมู่บ้านออกมาเล็กน้อย
 
เนินเขานี้เป็นที่ผ่อนคลายอารมณ์ของชาวบ้าน ปกติแล้วมักจะมีเด็กๆมาวิ่งเล่นอยู่เสมอ แต่เนื่องจากในวันนี้มีการจัดงานเลี้ยงขึ้น ทำให้แทบทุกคนไปรวมตัวกันที่ใจกลางหมู่บ้าน
 
บริเวณยอดของเนินดิน มีต้นไม้ต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาออกมา ลำต้นของมันไม่อาจเรียกว่าเล็กแต่ก็ไม่อาจเรียกว่าใหญ่ได้เช่นกัน ใบอ่อนพัดไปตามแรงลมที่โชยมา และหอบเอากลุ่มเส้นผมยาวของสตรีนางหนึ่งให้ปลิวไสวไปมา
 
“ท่านแม่ ท่านไม่เข้าไปในงานหรือ” หลวนชุนนั่งลงข้างกายนาง สายตากวาดมองไปยังทิวทัศน์รอบกาย ลมเย็นโชยอ่อนที่พัดมา ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากทีเดียว
 
เมื่อหลวนชุนไม่เห็นท่าทีว่าหลวนฮว่านจะตอบกลับมา เขาจึงมองไปที่นาง และสังเกตว่าฝ่ามือบางของนางกำลังลูบต้นไม้ข้างกายอย่างแผ่วเบา
 
“ต้นไม้นี่....” หลวนชุนเอ่ยถาม ดวงตาสบเข้ากับมารดา เขาสังเกตว่านัยน์ตาของนางวูบไหลราวกับว่านางกำลังเศร้าเสียใจกับบางสิ่งอยู่ ริมฝีปากบางค่อยๆขยับอย่างเชื่องช้า
 
“ต้นไม้ต้นนี้ แม่และพ่อของเจ้าได้ช่วยกันปลูกขึ้นมา” หลวนฮว่านเอ่ยขึ้น พลางใช้ฝ่ามือลูบไปตามเปลือกหนาของลำต้น กิ่งก้านของมันส่ายไปมาราวกับตอบสนองต่อสัมผัสนั้น
 
“ทุกๆวันแม่จะต้องมารดน้ำและพรวนดินให้มัน เพราะแม่หวังว่าสักวันหนึ่ง มันจะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป และปกป้องทุกๆชีวิตที่หวังจะพึ่งพาบารมีของมัน” หลวนฮว่านนิ่งเงียบไป แล้วกล่าวต่อ
 
“แต่ดูเหมือนว่า แม่จะคอยรดน้ำพรวนดินให้มันตลอดไปไม่ได้ เพราะหากแม่ไม่อยู่แล้ว….
วันใดที่พายุแรง แม่คงไม่อาจเข้าไปพยุงไว้ ไม่ให้มันหักโค่น....
วันใดที่ฝนแล้ง แม่คงไม่อาจรดน้ำพรวนดินให้มันได้….
วันใดที่มีน้ำป่า แม่คงไม่สามารถสกัดกั้นสายน้ำเหล่านั้นไว้ และปกป้องมันได้….
แม่เองก็อยากจะปกป้องมันไว้ตลอดไป แต่มือคู่นี้คงไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ดังนั้น....
ทำสิ่งที่ใจเจ้าปรารถนาเถิดลูกรัก….
แม่จะคอยมองเจ้าจากที่แสนไกล....
และจะคอยปกป้องเจ้าจากที่แห่งนั้นเอง....”
 
หลวนชุนเงยหน้าขึ้น พยายามสกัดกั้นหยดน้ำใสไม่ให้ไหลรินลงมา บรรจงนั่งท่าคำนับ มือวางที่หน้าตัก เล็บจิกแน่นจนเนื้อผ้าหยาบทะลุขาด พลางกล่าวว่า
 
“ท่านแม่....ข้า...จะออกเดินทางขอรับ” สิ้นเสียง หลวนชุนจึงก้มลงคำนับมารดา สายลมเย็นพัดผ่าน แต่คงไม่อาจชะล้างหยาดน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าของคนทั้งสองได้
 
เสียงร้องรำทำเพลงของชาวบ้านยังคงลอยก้องอยู่ในอากาศ แต่คืนวันแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ไม่นานหมู่ดาราและจันทราที่ลอยล่อยอยู่กลางนภากาศ ก็ถูกดวงตะวันเบียดทับ ส่องสว่างอยู่แทนที่
 
หน้าประตูใหญ่ของหมู่บ้านผิงอันในขณะนี้ ชาวบ้านต่างยืนเบียดเสียดกันเพื่อรอส่งหลวนชุนออกเดินทาง เด็กเล็กที่ร่วมเล่นกันมาต่างร้องไห้งอแง ส่วนผู้ใหญ่ก็พยายามปาดหยดน้ำที่หางตาออกไปอย่างเต็มที่ เยี่ยนหัวเองก็เตรียมม้า เพื่อไปส่งหลวนชุนยังส่วนกลางของดินแดนเปลวพิรุณ อันเป็นสถานที่ตั้งของสำนักทั้งสามแห่ง
 
ที่ต้องออกเดินทางอย่างกะทันหันเช่นนี้ เป็นเพราะทั้งสามสำนักกำลังอยู่ในช่วงรับสมัครศิษย์ใหม่พอดี หากล่าช้ากว่านี้อาจทำให้ไม่ทันการได้
 
หลวนชุนพูดคุยและบอกลากับทุกคนเป็นเวลานาน เยี่ยนหัวจึงต้องเร่งให้รีบออกเดินทาง เพราะถ้ามืดเข้าจะทำให้เดินทางลำบาก หลวนชุนจำต้องบอกลาชาวบ้าน ผู้เฒ่าหยาง เยี่ยนฉือ และหลวนฮว่านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าพร้อมกับสัมภาระ ส่วนเยี่ยนหัวก็กระโดดขึ้นหลังม้าอีกตัว
 
เมื่อหลวนชุนจัดการกับสัมภาระเรียบร้อย ก็หันกลับไปมองผู้คนและหมู่บ้านอีกครั้ง
 
หมู่บ้านผิงอัน สถานที่ที่เขาเกิดและเติบโตขึ้น ไม่ต้องบอกว่าสถานที่แห่งนี้สำคัญกับเขามากเพียงใด ตัวเขานั้นรู้ดีเกินกว่าใคร สถานที่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและรอยน้ำตา ผู้คนที่ทั้งรักและห่วงใย สถานที่ที่....
 
หลวนชุนหลับตาลง ปล่อยให้ภาพเรื่องราวมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัว และประทับภาพเหล่านั้นให้ฝังลึกลงไปในความทรงจำ ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง
 
‘หมู่บ้านผิงอัน รอข้าก่อนเถอะ เมื่อใดที่ข้าแข็งแกร่งแล้ว ข้าจะกลับมาที่แห่งนี้อีกแน่นอน!’
 
“ออกเดินทางได้!!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา