กุ่ยสิงเทียนเซี่ย หนึ่งหนู หนึ่งแมว ผ่าคดีปริศนา (ลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์ เรือนหอมหมื่นลี้ B2S)
10.0
เขียนโดย จอมยุทธ์หญิงนักแปล
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.00 น.
19 บท
2 วิจารณ์
27.80K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561 16.26 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ 1 ตอนที่ 1.4 ตำนานหม่าฟู่แห่งแม่น้ำอี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ซานเฟิ่งมีสติมากกว่าน้องสาว หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของไป๋อวี้ถังแล้ว นางก็ยังคงครองสติไว้ได้ เมื่อหลุบตาลงก็เห็นดาบเล่มยาวที่อยู่ในมือของเขา เท่านั้นเองก็ทำให้ต้องสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไปหนึ่งครั้ง มือเริ่มกำแขนเสื้อของซื่อเฟิ่งแน่นขึ้น
ซื่อเฟิ่งถูกนางดึงแขนเสื้อแน่นและแรงขึ้นจนรู้สึกเจ็บ แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่ซานเฟิ่งอยากจะสื่อ ยังคงเอ่ยถามไป๋อวี้ถังต่อ “ท่านต้องการหาคนเสื้อฟ้าคนนั้น ที่ตามองไม่เห็นใช่หรือไม่……”
ทันทีที่คำว่า ตามองไม่เห็น หลุดออกมาจากปากของซื่อเฟิง สายตาของไป๋อวี้ถังก็เริ่มฉายแววเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที จนทำให้ซื่อเฟิ่งรู้สึกใจหายวูบ
ซานเฟิ่งรีบชิงเอ่ยขึ้นทันที “ท่านจอมยุทธ์ น้องสาวข้าพูดจาเหลวไหล พวกเราเห็นคนๆ นั้นจริงๆ เห็นตอนที่อยู่หน้าประตูทางเข้าเมือง พวกเขาทั้งสามคนได้เข้าเมืองมาแล้ว น่าจะครึ่งชั่วยามได้แล้วกระมัง เข้ามาทางประตูทิศเหนือ ดูเหมือนว่าจะเดินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ท่านลองไปถามโรงเตี๊ยมทางด้านทิศใต้ดูสิ”
ซื่อเฟิ่งมารู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าพี่สาวพูดทุกอย่างจนหมดเปลือกแล้ว น่าโมโหจริงๆ ทำไมเล่าความจริงจนหมดเปลือกอย่างนี้ล่ะ น่าจะเก็บไว้รีดไถเงินเขาบ้างก็ยังดี
ไป๋อวี้ถังสีหน้าเริ่มผ่อนคลายลง ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเลยหรือ?”
“ไม่มี เขาแค่ถามเรื่องของหม่าฟู่……” ซานเฟิ่งยังคงไม่สนใจซื่อเฟิ่งที่กำลังถลึงตามองอยู่ด้วยความโกรธ ยังคงเล่าให้ไป๋อวี้ถังฟังต่อ “เพราะมีมือปราบนายหนึ่งตายลงต่อหน้าต่อตาพวกเขา ดังนั้นเขาจึงถามคำถามเรื่องหม่าฟู่เยอะมาก”
ไป๋อวี้ถังพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณมาก” แล้วก็รีบเร่งเดินจากไป มุ่งหน้าไปหาโรงเตี๊ยมทางด้านใต้ตามที่ซานเฟิ่งบอก
เมื่อเขาคล้อยหลังไปแล้ว ซานเฟิ่งถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความโล่งอก ซื่อเฟิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ “พี่ ทำไมไปใจดีแบบนั้นล่ะ เราไม่ได้เงินสักตำลึง บอกข่าวเค้าแบบนั้นให้เขาจ่ายเงินค่าข่าวเรามาเสียหน่อยก็ยังดีนะ”
ซานเฟิ่งไม่เอ่ยใดๆ หันมาทำเสียง “ชวู่….”แล้วหงายมือขึ้น
“ว้าว” ซื่อเฟิ่งรีบยื่นมือทั้งสองมากอบไว้ “เงิน เงินทั้งนั้นเลย”
เวลานี้ ไป๋อวี้ถัง เดินจากไปจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
“เงิน เงินจริงๆ ด้วย” ซื่อเฟิ่งยิ้มหน้าบาน”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นผู้ใด” ซานเฟิ่งพูดพร้อมคิ้วขมวดเข้าหากัน ในใจรู้สึกเครียดเล็กน้อย “วันหลังนะ อย่าคิดจะหาเรื่องใส่ตัวอีก ดีนะที่เจ้าไม่ไปขโมยเงินเขา”
“ใครน่ะ” ซื่อเพิ่งถามพลางเก็บเงินเข้ากระเป๋า เตรียมคิดหาโรงน้ำชาดีๆ สักแห่ง เพื่อจะได้กินอาหารอร่อยๆ สักมื้อ
“เคยได้ยินหรือไม่ หนูขนทองไป๋อวี้ถังน่ะ”
“โอ้ ! ……” ซื่อเฟิ่งปรบมือ “มิน่าล่ะ ใต้ฟ้านี้ ข้ายังไม่เคยเห็นบุรุษใดที่รูปงามเช่นนี้มาก่อนเลย ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง”
“เจ้าก็รู้แค่รูปงามสินะ ” ซานเฟิ่งพูดพร้อมดึงนางให้รีบไปจากที่นี่โดยเร็ว “บุรุษผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความโหดเหี้ยม ดีไม่ดีเขาจะจับเจ้าสับเป็นชิ้นๆ !”
.........................................................................................................................................................
จั่นเจายืนอยู่ภายในห้องพักชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมแห่งนั้น นิ้วเรียวยาวของเขาแตะลงเบาๆ บนผนัง ค่อยๆ คลำไล่ไปข้างหน้าทีละนิด ทีละนิด
เขาทำแบบนี้อยู่นาน คลำเรื่อยไปบนผนังจากสูงไล่ลงมาต่ำอย่างช้าๆ เจอตรงไหนที่นูนขึ้นมาก็ค่อยๆ เอามือเคาะเบาๆ แล้วก็หาต่อไปอีกเรื่อยๆ
เสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียงได้ทำภาพพิมพ์เสร็จแล้ว ทั้งสองนำลวดลายที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นมาประทับพิมพ์ไว้บนกระดาษ
เจ้าเด็กน้อยสองคน เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก ตอนแรกทำกลับหัว ดูแล้วรู้สึกว่าไม่ถูก ก็เลยทำใหม่อีกครั้ง อันที่ทำถูกก็นำไปให้จั่นเจานำเก็บไว้ที่อกเสื้อของเขา ส่วนอันที่ทำผิดกลับหัวเสี่ยวซื่อจึก็พับเก็บขึ้นเองนำไว้ในถุงผ้าใบเล็กๆ ที่คาดอยู่บนสายรัดเอว ถุงผ้าใบนี้กงซุนเป็นผู้ที่ให้เขามา ให้เขาไว้เก็บเงิน ตั๋วและอะไรอีกหลายๆ อย่าง ทุกๆ ปีของช่วงปีใหม่เสี่ยวซื่อจึจะได้รับเงินอั่งเปา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เป็นอ๋องน้อยแล้ว ดังนั้นถ้านับกันดีๆ แล้ว เจ้าเด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้ที่มีเงินทองไม่น้อยเลยทีเดียว
จั่นเจาคลำหา แบบนี้อยู่เป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังคงไม่พบเบาะแสใดๆ เขาถอนหายใจเบาๆ ออกมา
“พี่จั่น” เซียวเหลียงเดินเข้ามาดึงแขนเขาไว้ “ท่านนั่งพักสักครู่ก่อนเถอะ ข้าจะช่วยท่านหาเอง”
จั่นเจาหยุดมือ คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่งั้น พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันก่อนดีหรือไม่ ?”
เซียวเหลียงและเสี่ยวซื่อจึดีใจอย่างออกนอกหน้า หมกตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้มานานจนรู้สึกเบื่อ ทั้งสองจึงรีบช่วยกันพาจั่นเจาไปล้างไม้ล้างมือ แล้วพากันออกไปข้างนอก
ออกจากโรงเตี๊ยมเดินมาจนถึงถนนใหญ่
“เมี้ยวเมี้ยว พวกเราจะไปที่ไหนกันดี” เสี่ยวซื่อจึเอ่ยถามขึ้น
“เดินไปเรื่อยๆ แล้วก็หาโรงน้ำชาที่มีคนเยอะๆ นั่งกันสักหน่อย ข้าอยากจะถามเรื่องของหม่าฟู่”
เสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียงหันมองสบตากัน แล้วจึงพาจั่นเจาเดินมุ่งหน้าไปทางที่มีคนพลุกพล่าน
พวกเขาเพิ่งจะเดินเลี้ยวออกไปทางถนนใหญ่ไม่นาน ไป๋อวี้ถังก็เดินเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง มาถึงยังหน้าประตูโรงเตี๊ยมซวี่หยาง 旭阳
ทันทีที่เสี่ยวเอ้อเห็นมีแขกเข้ามา ก็รีบกุลีกุจอไปต้อนรับทันที
ไป๋อวี้ถังกวาดตามองไปรอบๆ หนึ่งครั้ง จึงเอ่ยถามว่า “มีชายหนุ่มใส่ชุดสีน้ำเงิน พาเด็กสองคนมาด้วย เคยมาที่นี่หรือไม่ ?”
เสี่ยวเอ้อชะงักไปครู่หนึ่ง นึกถึงกลุ่มของจั่นเจาที่พักอยู่ในห้องพักชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม
เมืองฉวีซานแห่งนี้มีผู้คนแวะเวียนมามากมาย ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า บ้างก็พูดจากักขฬะ ใครจะรู้ว่าว่าคนกลุ่มไหนคือคนดี กลุ่มไหนคือคนร้าย เหล่าร้านรวงที่ทำการค้าก็แค่รู้จักเงินของพวกเขาไม่ได้รู้จักถึงตัวตนของคนๆ นั้นจริงๆ ที่สำคัญคือ แขกที่ยอมจ่ายหนักล้วนแต่จะเป็นห่วงเรื่องความลับความปลอดภัยกันทั้งนั้น และยิ่งแปลกก็คือไป๋อวี้ถังคนนี้ดูเป็นคนลึกลับไม่น่าไว้ใจ ปีกของหมวกงอบสานที่สวมอยู่ก็กดต่ำลงจนปิดหน้าปิดตามิดชิด อีกทั้งยังพกดาบเล่มยาว แถมท่าทางช่างเย็นชานัก เถ้าแก่จึงยิ้มแล้วตอบว่า “นายท่าน ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
ไป๋อวี้ถังหมดหนทาง หันหลังเดินออกไปเพื่อค้นหาต่อที่อื่น จั่นเจาพาเสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียงเดินเข้าไปยังตลาดฉวีซานที่ดูคึกคักวุ่นวาย เซียวเหลียงหาโรงน้ำชาที่มีผู้คนมากๆและบรรยากาศดีๆ ได้แห่งหนึ่ง
“ตรงนี้มีโรงน้ำชาฝูล่ะ” เสี่ยวซื่อจึแหงนหน้าขึ้นมองไปที่ป้ายชื่อโรงน้ำชา พูดพึมพำเบาๆ “ถ้าหากไป๋ไป๋อยู่แถวนี้ จะต้องเข้าโรงน้ำชานี้แน่ๆ”
จั่นเจาชะงักไปนิดนึง เสี่ยวซื่อจึทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้นึกว่าไป๋อวี้ถังจะมา ?
“นี่นะ ถ้าไป๋ไป๋อยู่ตรงนี้ก็ดีสิ” เสี่ยวซื่อจึพูดกับเซียวเหลียง “จะได้ช่วยเมี้ยวเมี้ยวหาสิ่งของที่ต้องการ”
เซียวเหลียงก็พยักหน้าเห็นด้วย “นั่นน่ะสิ คุณชายห้าผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ”
จั่นเจาเลิกคิ้วหนึ่งที พึมพำเบาๆ “หากเทียบกันแล้วดูเหมือนข้าจะละเอียดรอบคอบกว่านะ ?”
เสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียงพากันกลั้นยิ้ม
เสี่ยวซื่อจึเอ่ย “เมี้ยวเมี้ยว หากพวกเราไปตามไป๋ไป๋ให้มาช่วย ดีหรือไม่ ?”
อีกครั้งที่จั่นเจาเอื้อมมือไปหยิกแก้มเสี่ยวซื่อจึเบาๆ “ไม่ต้องไป๋ไป๋แล้ว เข้าไปข้างในดื่มชากันเถอะ”
เสี่ยวซื่อจึเดินตามจั่นเจาเข้าไปข้างในอย่างเสียไม่ได้ ในใจก็ยังคงคิด ‘ท่านพ่อได้เขียนจดหมายถึงไป๋ไป๋บ้างหรือไม่นะ ? ถ้าหากว่าไป๋ไป๋มาก็ดีสิ เมี้ยวเมี้ยวตาไม่ค่อยดี จะได้ถือโอกาสนี้ประสานรอยร้าวของพวกเขาทั้งสอง ให้ไป๋ไป๋คอยเป็นเพื่อนเมี้ยวเมี้ยวกินข้าว อาบน้ำ นอนหลับ และทำอย่างอื่นอีกด้วย‘
เซียวเหลียงยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเห็นเสี่ยวซื่อจึ กำลังเหม่อลอย แววตาเป็นประกาย มือข้างหนึ่งกำลังลูบคางไปมา จึงยื่นมือไปจิ้มแก้มเจ้าตัวเล็กเบาๆ “เด็กน้อย กำลังคิดอะไรอยู่”
เสี่ยวซื่อจึย่นจมูก ยกมือทั้งสองไหว้ขึ้นฟ้า “ไป๋ไป๋ รีบมาเถอะ อั้ยย่ะ” เพิ่งจะพูดจบ ก็ถูกคนที่วิ่งลุกลี้ลุกลนมาทางด้านหลังชนเข้าอย่างจัง
------------------โปรดติดตามตอนต่อไป อัพตอนใหม่ทุกวัน จันทร์ พฤหัส เสาร์ ตอน 2 ทุ่มครึ่งค่ะ-----------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ