วุ่นนัก รักคุณผู้จัดการ
-
เขียนโดย Hermione001
วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 14.43 น.
20 ตอน
1 วิจารณ์
19.59K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 15.33 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ฝันดีของฉัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความก๊อก ก๊อก ก๊อก..“พาราดา ตื่นได้แล้ว สายแล้วน่ะลูก”“………”“ดาด้า อาบน้ำแต่งตัวลงไปกินข้าวได้แล้ว”“อื้ออออ ขออีกนิดนะคะ แค่อีก5นาที”“ไม่ได้จะสายแล้ว ไม่ตื่นแม่จะเอากุญแจไขเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ”“แม่อ้า!! ตื่นก็ได้ เดี๋ยวหนูลงไปค่ะ”“ให้เร็วเลยนะ”“รับทราบเจ้าค่ะท่านแม่”
กริ้งงงงงงงงงงงงงงงงงง!! เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้น เป็นสิ่งเดียวที่คอยปลุกฉันให้ตื่นมาสู่โลกความจริงในทุกๆ เช้า ใช่แล้วค่ะทุกคนเรื่องที่จะมีคุณแม่แสนสวยมาคอยปลุกทุกๆ เช้านั้น เป็นได้แค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงอีกแล้ว ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากหัวเตียงแล้วก็ต้องตกใจจนหัวใจจะหยุดเต้น เมื่อ...สายแล้ววววว กรี๊ดดดดดดด! สายจริงๆ นี่คงเป็นเสียงนาฬิกาปลุกรอบที่10สิน่ะ โอ๊ยยยยย! ยัยพาราดาจอมเอ๋อเธอจะสายวันไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่วันนี้ ตายๆๆ ชีวิตสาวน้อยผู้น่าสงสาร จะปล่อยให้จบลงแบบนี้ไม่ได้ ฉันรีบวิ่งไม่คิดชีวิตเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว แต่งหน้า ภายในเวลา10นาที หน้าก็ไม่เต็ม อุตส่าห์ซื้อเครื่องสำอางใหม่เพื่อวันนี้แท้ๆ ยังถือว่าโชคดีที่บริษัทอยู่ใกล้กับอพาร์ทเม้นท์ของฉัน หรือที่เรียกว่าห้องนอนรูหนูอะนะ เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึง แต่ ณ ตอนนี้เดินคงไม่ได้ คงต้องใช้เจ้าวีโก้จักรยานคันโปรดของฉันช่วยแล้ว อากาศที่นี่เย็นสบายมากตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงบริเวณรอบๆจึงถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่เปลี่ยนสีสวยงาม อีกไม่กี่วันก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ^-^ แต่เดี๋ยวก่อนดาด้า เธอจะมามัวฟินกับอากาศไม่ได้ นี่สายแล้วนะ ฉันรีบปั่นเจ้าวีโก้เพื่อไปให้ถึงบริษัทโดยเร็วที่สุด
@ บริษัท PST จำกัด และในที่สุด ตอนนี้ฉันก็มาอยู่หน้าบริษัท PST จำกัดแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนศิลปินและค่ายเพลงยักใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากๆ ของที่นี่ ว้าวววววว! นี่คงไม่ใช่ฝันครั้งที่2ของวันนะ แต่เปล่าค่ะนี่เรื่องจริงฉันได้ทำงานกับ PST กรี๊ดดดดด! นี่เป็นความใฝ่ฝันในชีวิตของฉันเลย เรื่องมันเริ่มจากการที่ได้รู้จักวงไอดอลวงหนึ่งที่มีชื่อว่าTrus5 จากคำว่ารู้จักเริ่มเปลี่ยนเป็นความสนใจและกลายเป็นความหลงใหลในที่สุด ฉันก็เลยกลายเป็นแฟนคลับของพวกเขาตั้งแต่ตอนที่เปิดตัวเลย ก็ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ความสามารถรอบด้านแบบนี้จะไม่ให้ฉันหลงได้ยังไง แต่กว่าจะมีวันนี้ทุกคนต้องอดทนเป็นศิลปินฝึกหัดกันหลายปี เป็นสิ่งที่ฉันชอบและถือว่าเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตตัวเองมาตลอด มันทำให้ฉันพยายามและสู้กับทุกอย่างได้จนมาถึงทุกวันนี้^-^“ยัยด้าจอมเอ๋อ มโนอะไรแต่เช้า” เสียงยัยเพื่อนจอมเพี้ยนผู้ชอบทำลายความฝันของฉันดังขึ้น “คงไม่ได้ละเมอว่าได้เจอพวก Trust5 อีกหรอกนะ” ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ มาอยู่ที่นี่ตั้ง2ปีพึ่งเคยเจอหนุ่มๆพวกนั้นในบริษัทไม่กี่ครั้งเอง แล้วทำไมยัยนี่ต้องทำเสียงกระแหนะกระแหนขนาดนั้น แถมเรียกที่รักทั้ง 5 ของฉันว่าพวก Trust5 อีก อันที่จริงฟีฟ่าน่าจะเป็นคนเดียวด้วยซ้ำที่ไม่ชอบพวกเขา ยัยนี่เคยบอกว่าไม่ชอบสมาชิกในวงคนหนึ่งแต่ก็ไม่เคยบอกว่าเป็นใคร พอเจอทีไรฟีฟ่าก็เอาแต่วิ่งหลบทั้งๆ ที่ถ้าเป็นคนอื่นคงวิ่งเข้าใส่แบบไม่คิดชีวิตเหมือนฉันไง“เห้ออออ จะมีสักวันไหมที่แกไม่ทำลายฝันแสนหวานของฉัน ยัยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ” ยัยนี่คอยขัดฉันทุกทีที่พูดถึงTrust5 ไม่รู้ไปเกลียดอะไรพวกเขานักหนา หล่อขนาดนั้นเกลียดลงไปได้ไง“โอ้ยยย!! ฟีฟ่าย่ะ เมื่อไหร่จะเลิกเรียกฉันแบบนี้ ชื่อพ่อแม่ตั้งมางามๆพังหมด” งามตรงไหนชื่ออย่างกับผู้ชาย ฟีฟ่าตอบพร้อมทำหน้าหงิกงอ แล้วใครใช้ให้เธอมาเรียกด้าจอมเอ๋อห้ะ! ยัยเพี้ยน!“ก็เมื่อเธอเลิกเรียกฉันว่า ด้าจอมเอ๋ออะ ชิ!” ฟีฟ่าเป็นเพื่อนคนไทยคนเดียวของฉัน เราคุยกันเป็นภาษาไทยเสมอซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครที่คอยพูดภาษาไทยกับฉันเลยเพราะทุกคนที่นี่ก็เป็นคนเกาหลีทั้งนั้น ก็ฉันอยู่ที่เกาหลีนี่นา“ด้า แกคิวที่เท่าไหร่?” ฟีฟ่าเงยหน้าจากมือถือและหันมาถามฉัน“16 แล้วแกอะ?” ฉันอุตส่าห์รีบมาแต่ได้คิวเกือบสุดท้าย อย่างน้อยก็ยังดีที่ทันเวลาอยู่ ถ้าวันนี้มาไม่ทันคงต้องรอไปอีกเป็นเดือนเลยกว่าจะมีเปิดสัมภาษณ์รอบใหม่“คิวที่19 ฉันมาก่อนแกน่ะแต่มัวไปกินข้าวอยู่ ตื่นเต้นจังเลยโน๊ะ?” โหว นี่ฉันว่าฉันสายแล้วน่ะยัยนี่จะชิลไปไหน“อือ ก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว เราอดทนมาเป็นปีๆ ก็เพื่อวันนี้นี่นา” ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว ฉันกับฟีฟ่าเป็นนักเรียนไทยที่ได้ทุนมาเรียนต่อที่เกาหลีและได้มาเป็นพนักงานฝึกหัดอยู่ที่บริษัทนี้ เป็นความโชคดีอย่างเดียวในชีวิตของฉันจริงๆ เราต้องอดทนมากกว่าคนอื่นเพราะการที่เป็นนักศึกษาที่มาจากประเทศอื่น ต้องเรียนรู้หลายๆ อย่าง ถึงแม้จะเรียนเอกภาษาเกาหลีจากไทยมาหลายปีแต่ถ้าจะมาสู้กับคนที่เกิดที่นี่คงยาก ทำให้ต้องเรียนเพิ่มหนักกว่านักศึกษาคนอื่น ทั้งภาษา วัฒนธรรม มารยาททางสังคมฯลฯ แต่ฉันมีกำลังใจที่ดีมากเลยแหละถึงได้มายืนอยู่จุดนี้ได้ จุดที่กำลังจะได้เป็นพนักงานประจำของบริษัท PST จำกัดแล้ว กรี้ดดดดด!“ขอเชิญคิวที่16ค่ะ” เสียงประกาศเรียกด้วยภาษาเกาหลีทำให้ฉันหลุดจากความคิดอันแสนหวาน ห้ะ! คิวฉันแล้วหรอ มัวแต่นั่งเหม่อจนไม่ได้ดูเลย ฉันพยายามระงับความตื่นเต้นที่มากมายของตัวเองไว้วันนี้เป็นการสัมภาษณ์เพื่อที่จะเลือกว่านักศึกษาคนไหนจะได้ทำงานในตำแหน่งใด และเป็นการคัดเลือกคนที่จะได้เป็นผู้จัดการศิลปินด้วย ซึ่งฉันก็แอบมีความหวังนิดๆ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เสียใจหรอกเพราะยังไงก็ได้ทำงานใน PST อยู่ดีตึก ตึก ตึก!! เสียงรองเท้าของฉันที่กระทบกับพื้นอย่างช้าๆ เหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจตอนนี้ ฉันค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง พร้อมทำหน้าตายิ้มแย้มให้กับคณะผู้คัดเลือก ที่นั่งเรียงรายอยู่ภายในห้อง 3 คน เมื่อเดินมาถึงเก้าอี้และนั่งลงพร้อมยื่นเอกสารการประเมินผลการศึกษาและผลงานของฉันให้พวกเขาดู การสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้น “สวัสดีครับ” ฉันก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงถึงความเคารพและเป็นการทักทายพวกเขา“คุณเป็นคนไทยใช่ไหมครับ?” ผู้ชายที่ดูแล้วอายุน่าจะประมาณ30กว่าๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมคัดเลือกที่นั่งอยู่ด้านซ้ายสุดเริ่มถามทันทีที่เราทักทายกันเสร็จ“ใช่ค่ะ” ฉันตอบด้วยหน้าตายิ้มแย้มทั้งที่ในใจตื่นเต้นจนใจจะระเบิดอยู่แล้ว“งั้นขอเชิญแนะนำตัวหน่อยครับ” การแนะนำตัวแน่นอนว่าเป็นพื้นฐานของการสัมภาษณ์ที่นี่อยู่แล้ว ตอนเป็นพนักงานฝึกหัดเราก็แนะนำตัวให้คนอื่นรู้จักกันอยู่บ่อยๆ แค่นี้สบายมากทำได้อยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อพาราดา เป็นพนักงานฝึกหัดที่บริษัทมา2ปีแล้วค่ะ ตอนนี้อายุ21แล้ว ดิฉันเป็นนักศึกษาไทยที่ได้รับทุนจากทางบริษัทและได้มีโอกาสดีๆมาทำงานที่นี่ค่ะ”
หลังจากที่การแนะนำตัวจบลง คำถามต่างๆก็ตามมาอีกมากมายเพื่อวัดความสามารถของฉัน เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงคำถามสุดท้ายของการสัมภาษณ์ในครั้งนี้แล้ว“คุณเคยเป็นแฟนคลับหรือชื่นชอบไอดอลกลุ่มไหนหรือนักแสดงคนไหนของบริษัทไหมครับ” หือออ! ถามแบบนี้ก็ได้หรอ? แล้วฉันจะตอบยังไงละ ถ้าฉันตอบว่ามีเขาจะคิดว่าฉันมาทำงานที่นี่เพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า แล้วถ้าฉันโกหกเขาจะจับได้แล้วไล่ฉันออกหรือเปล่า เอาไงดีละเนี้ย“คือว่า...” ตอนนี้สมองต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาข้อสรุปสำหรับคำถามในข้อนี้“มีค่ะ ฉันเป็นแฟนคลับของ Trust5ค่ะ”“Trust5 หรอครับ?”“ใช่ค่ะ ฉันติดตามตั้งแต่พวกเขาเปิดตัวปีแรกและติดตามผลงานของพวกเขามาตลอดเลย” ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจตอบออกไป เพราะคิดว่าฉันไม่ควรโกหกและควร Trust กับทุกคน (**Trust แปลว่าจริงใจ**)“……”แต่ เอ้ะ! ทำไมความจริงใจของฉันทำให้ทุกคนเงียบแบบนี้ ไม่น่ะ! อย่าพร้อมใจกันเงียบแบบนี้สิใจคอไม่ดีเลย หลังจากที่ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉันหันไปซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้เพราะมันเบาจนฉันไม่สามารถได้ยินอะไรได้ จากนั้นพวกเขาก็พร้อมใจกันหันกลับมาจ้องหน้าของฉัน“แล้วคุณคิดว่าคุณมีคุณสมบัติอะไรที่จะทำให้คุณได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดการ ในเมื่อเรามีคนเกาหลีอีกตั้งหลายคนที่รอตำแหน่งนี้อยู่” ถามมาแบบนี้แล้วฉันจะตอบยังไงละ ฉันพยายามคิดๆๆ แล้วก็คิดเพื่อหาคำตอบที่ดีงามที่สุด แต่เท่าที่ฉันจำได้คำถามนี้ที่ประเทศไทยใช้บ่อยมากในการซ้อมสัมภาษณ์งาน“คือว่า เพราะการเป็นแฟนคลับของวงไอดอลมานาน ทำให้คิดว่าฉันมีความเข้าใจในตัวศิลปินดาราอยู่ระดับหนึ่ง ฉันรู้ถึงความพยายามของพวกเขา รู้ว่ากว่าจะมีวันนี้ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากขนาดไหน เรื่องนี้ฉันเข้าใจพวกเขาดีค่ะ เพราะการเป็นพนักงานฝึกหัดของที่นี่ก็ต้องอดทนกับช่วงเวลาแบบนั้นมาเหมือนกัน และถ้าฉันได้รับเลือกให้ทำงานนี้ ฉันมั่นใจว่าจะสามารถดูแลและเข้าใจศิลปินได้เป็นอย่างดี” นี่เป็นคำตอบทั้งหมดที่ฉันกลั่นกลองออกมาจากสมองได้ในตอนนั้น เห้ออออ! ชะตาของอลินผู้น่าสงสารจะเป็นยังไงต่อนั้น ไม่อาจคาดเดาได้เลย
ฉันเดินออกจากห้องสัมภาษณ์ด้วยพลังงานอันน้อยนิดเพราะเข้าไปในนั้นมันตื่นเต้นมากจริงๆ แถมยังต้องสู้กับคำถามที่ไม่คาดคิดแบบนั้นอีกด้วย“ด้า เป็นยังไงบ้าง? เขาว่ายังไง? แกได้เป็นผู้จัดการ Staff พนักงานทั่วไป หรือได้เป็นแม่บ้าน” ฟีฟ่าเจ้าประจำค่ะ แล้วทำไมต้องทำตาโตตอนพูดว่าฉันได้เป็นแม่บ้านด้วย มันน่าจับหักคอนัก “ถ้าพูดแบบนี้อีก ฉันจะฆ่าแก” ฉันหันไปทำตาขวางใส่ยัยเพื่อนตัวแสบทันที “555+ โอเคไม่พูดแล้ว แล้วสรุปเขาว่ายังไง?”“เขาบอกว่า เราจะติดต่อกลับมาบอกผลการสัมภาษณ์ภายหลังนะคะ”“แค่เนี้ย!” ฟีฟ่าทำหน้าตาตื่นทำให้ยัยนี่ดูเพี้ยนขึ้นเป็น10เท่า“ก็แค่นี้สิ นี่สัมภาษณ์วันแรกนะ แกจะให้เขาพูดว่า โอเคค่ะเริ่มงานได้เลยค่ะ แบบนี้หรอ” ถึงจะเป็นคำพูดที่ใช้ประชดประชันฟีฟ่าแต่ใจจริงก็อยากให้เขาตอบแบบนี้นะ ก็ฉันอดทนมาตลอด2ปีเพื่อสิ่งนี้นี่นา จะได้เลิกทำงานร้านสะดวกซื้อสักที เหนื่อยจะแย่ละ“ฉันกลับบ้านก่อนน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่รอแก” พอเห็นว่าฟีฟ่าเงียบและไม่ได้ตอบอะไรกลับฉันเลยพูดตัดบทเพื่อจะหนีกลับก่อน“นี่แกฝันอีกแล้วหรอ?” ถึงนางจะเพี้ยนแต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพื่อนที่รู้ใจฉันไปหมดทุกอย่าง คงเพราะเราอยู่ด้วยกันแค่2คนฟีฟ่าจึงเป็นคนเดียวที่ต้องรับฟังเรื่องของฉันทุกอย่าง“อื้อ! แต่ฉันโอเคไม่ต้องเป็นห่วง” ที่ต้องพูดแบบนี้เพราะไม่อยากให้ฟีฟ่าเป็นห่วง ยัยนี่ต้องมีสมาธิกับการสัมภาษณ์สิ“โอเค งั้นถึงรังหนูแล้วส่งข้อความมาบอกด้วย”“รับทราบค่ะ คุณเพื่อน” ฉันพูดคำนี้จนติดปากแล้ว เพราะเธอชอบสั่งโน้นนี่เหมือนแม่ฉันไม่มีผิด
วันนี้ฉันลางานที่ร้านสะดวกซื้อที่ปกติจะไปทำทุกวันหลังกลับจากฝึกงานที่บริษัท เวลาแบบนี้คงต้องไปพักผ่อนสักหน่อย ไปเที่ยวกันเถอะวีโก้ ฉันปั่นเจ้าวีโก้ไปตามทางพร้อมกับใส่หูฟังและเปิดเพลงของTrust5 การทำแบบนี้จะช่วยให้ฉันรู้สึกสบายใจและหายจากความกังวลทุกอย่าง เปิดเพลงจนดังเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงรอบข้างให้สมองคิดตามเนื้อเพลงไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ไม่คิดถึงเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ดี และไม่นานเราก็จะลืมไปเองตอนนี้ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้วคงจะอีกไม่กี่วันเพราะอากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ฉันไม่ค่อยชอบหน้าหนาวสักเท่าไหร่เพราะคิดว่ามันคงไม่เหมาะกับคนที่อยู่คนเดียวแบบฉัน ช่วงที่หิมะตกคนส่วนใหญ่จะออกมาข้างนอกกับคนรักเพื่อมาเดินชมความสวยงามของหิมะท่ามกลางความหนาวเย็น พวกเขาจะจับมือกัน กอดกัน ยิ้มให้กันอย่างมีความสุขเหมือนกับอากาศรอบๆ มันอบอุ่นมาก ส่วนบางคนที่ไม่ชอบการออกมาข้างนอกบ้านตอนที่อากาศหนาวก็คงจะนั่งทานข้าวกับครอบครัวอย่างอบอุ่น พ่อ แม่ ลูก โดยที่แท้จริงแล้วไม่ใช่อากาศที่อบอุ่นขึ้นเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน แต่เป็นหัวใจที่อบอุ่นจากการได้อยู่กับคนที่รักต่างหาก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันอีกแล้ว
“ ฉันเริ่มชินกับวันที่ไร้ความหมายนี้ เมื่อฉันเริ่มเหนื่อย ฉันจะหลับตาลงและคิดถึงเธอที่รักฉันรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นดังขึ้น รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ครึ่งวันของฉัน ที่มันว่างเปล่าฉันพยายามเติมเต็มส่วนลึกในหัวใจแต่ก็ทำไม่ได้ มันกว้างใหญ่ขึ้นลึกยิ่งขึ้น กว้างไกลขึ้นตอนนี้ ฉันรู้สึกเหมือนตอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น......”
กริ้งงงงงงงงงงงงงงงงงง!! เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้น เป็นสิ่งเดียวที่คอยปลุกฉันให้ตื่นมาสู่โลกความจริงในทุกๆ เช้า ใช่แล้วค่ะทุกคนเรื่องที่จะมีคุณแม่แสนสวยมาคอยปลุกทุกๆ เช้านั้น เป็นได้แค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงอีกแล้ว ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากหัวเตียงแล้วก็ต้องตกใจจนหัวใจจะหยุดเต้น เมื่อ...สายแล้ววววว กรี๊ดดดดดดด! สายจริงๆ นี่คงเป็นเสียงนาฬิกาปลุกรอบที่10สิน่ะ โอ๊ยยยยย! ยัยพาราดาจอมเอ๋อเธอจะสายวันไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่วันนี้ ตายๆๆ ชีวิตสาวน้อยผู้น่าสงสาร จะปล่อยให้จบลงแบบนี้ไม่ได้ ฉันรีบวิ่งไม่คิดชีวิตเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว แต่งหน้า ภายในเวลา10นาที หน้าก็ไม่เต็ม อุตส่าห์ซื้อเครื่องสำอางใหม่เพื่อวันนี้แท้ๆ ยังถือว่าโชคดีที่บริษัทอยู่ใกล้กับอพาร์ทเม้นท์ของฉัน หรือที่เรียกว่าห้องนอนรูหนูอะนะ เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึง แต่ ณ ตอนนี้เดินคงไม่ได้ คงต้องใช้เจ้าวีโก้จักรยานคันโปรดของฉันช่วยแล้ว อากาศที่นี่เย็นสบายมากตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงบริเวณรอบๆจึงถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่เปลี่ยนสีสวยงาม อีกไม่กี่วันก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ^-^ แต่เดี๋ยวก่อนดาด้า เธอจะมามัวฟินกับอากาศไม่ได้ นี่สายแล้วนะ ฉันรีบปั่นเจ้าวีโก้เพื่อไปให้ถึงบริษัทโดยเร็วที่สุด
@ บริษัท PST จำกัด และในที่สุด ตอนนี้ฉันก็มาอยู่หน้าบริษัท PST จำกัดแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนศิลปินและค่ายเพลงยักใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากๆ ของที่นี่ ว้าวววววว! นี่คงไม่ใช่ฝันครั้งที่2ของวันนะ แต่เปล่าค่ะนี่เรื่องจริงฉันได้ทำงานกับ PST กรี๊ดดดดด! นี่เป็นความใฝ่ฝันในชีวิตของฉันเลย เรื่องมันเริ่มจากการที่ได้รู้จักวงไอดอลวงหนึ่งที่มีชื่อว่าTrus5 จากคำว่ารู้จักเริ่มเปลี่ยนเป็นความสนใจและกลายเป็นความหลงใหลในที่สุด ฉันก็เลยกลายเป็นแฟนคลับของพวกเขาตั้งแต่ตอนที่เปิดตัวเลย ก็ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ความสามารถรอบด้านแบบนี้จะไม่ให้ฉันหลงได้ยังไง แต่กว่าจะมีวันนี้ทุกคนต้องอดทนเป็นศิลปินฝึกหัดกันหลายปี เป็นสิ่งที่ฉันชอบและถือว่าเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตตัวเองมาตลอด มันทำให้ฉันพยายามและสู้กับทุกอย่างได้จนมาถึงทุกวันนี้^-^“ยัยด้าจอมเอ๋อ มโนอะไรแต่เช้า” เสียงยัยเพื่อนจอมเพี้ยนผู้ชอบทำลายความฝันของฉันดังขึ้น “คงไม่ได้ละเมอว่าได้เจอพวก Trust5 อีกหรอกนะ” ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ มาอยู่ที่นี่ตั้ง2ปีพึ่งเคยเจอหนุ่มๆพวกนั้นในบริษัทไม่กี่ครั้งเอง แล้วทำไมยัยนี่ต้องทำเสียงกระแหนะกระแหนขนาดนั้น แถมเรียกที่รักทั้ง 5 ของฉันว่าพวก Trust5 อีก อันที่จริงฟีฟ่าน่าจะเป็นคนเดียวด้วยซ้ำที่ไม่ชอบพวกเขา ยัยนี่เคยบอกว่าไม่ชอบสมาชิกในวงคนหนึ่งแต่ก็ไม่เคยบอกว่าเป็นใคร พอเจอทีไรฟีฟ่าก็เอาแต่วิ่งหลบทั้งๆ ที่ถ้าเป็นคนอื่นคงวิ่งเข้าใส่แบบไม่คิดชีวิตเหมือนฉันไง“เห้ออออ จะมีสักวันไหมที่แกไม่ทำลายฝันแสนหวานของฉัน ยัยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ” ยัยนี่คอยขัดฉันทุกทีที่พูดถึงTrust5 ไม่รู้ไปเกลียดอะไรพวกเขานักหนา หล่อขนาดนั้นเกลียดลงไปได้ไง“โอ้ยยย!! ฟีฟ่าย่ะ เมื่อไหร่จะเลิกเรียกฉันแบบนี้ ชื่อพ่อแม่ตั้งมางามๆพังหมด” งามตรงไหนชื่ออย่างกับผู้ชาย ฟีฟ่าตอบพร้อมทำหน้าหงิกงอ แล้วใครใช้ให้เธอมาเรียกด้าจอมเอ๋อห้ะ! ยัยเพี้ยน!“ก็เมื่อเธอเลิกเรียกฉันว่า ด้าจอมเอ๋ออะ ชิ!” ฟีฟ่าเป็นเพื่อนคนไทยคนเดียวของฉัน เราคุยกันเป็นภาษาไทยเสมอซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครที่คอยพูดภาษาไทยกับฉันเลยเพราะทุกคนที่นี่ก็เป็นคนเกาหลีทั้งนั้น ก็ฉันอยู่ที่เกาหลีนี่นา“ด้า แกคิวที่เท่าไหร่?” ฟีฟ่าเงยหน้าจากมือถือและหันมาถามฉัน“16 แล้วแกอะ?” ฉันอุตส่าห์รีบมาแต่ได้คิวเกือบสุดท้าย อย่างน้อยก็ยังดีที่ทันเวลาอยู่ ถ้าวันนี้มาไม่ทันคงต้องรอไปอีกเป็นเดือนเลยกว่าจะมีเปิดสัมภาษณ์รอบใหม่“คิวที่19 ฉันมาก่อนแกน่ะแต่มัวไปกินข้าวอยู่ ตื่นเต้นจังเลยโน๊ะ?” โหว นี่ฉันว่าฉันสายแล้วน่ะยัยนี่จะชิลไปไหน“อือ ก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว เราอดทนมาเป็นปีๆ ก็เพื่อวันนี้นี่นา” ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว ฉันกับฟีฟ่าเป็นนักเรียนไทยที่ได้ทุนมาเรียนต่อที่เกาหลีและได้มาเป็นพนักงานฝึกหัดอยู่ที่บริษัทนี้ เป็นความโชคดีอย่างเดียวในชีวิตของฉันจริงๆ เราต้องอดทนมากกว่าคนอื่นเพราะการที่เป็นนักศึกษาที่มาจากประเทศอื่น ต้องเรียนรู้หลายๆ อย่าง ถึงแม้จะเรียนเอกภาษาเกาหลีจากไทยมาหลายปีแต่ถ้าจะมาสู้กับคนที่เกิดที่นี่คงยาก ทำให้ต้องเรียนเพิ่มหนักกว่านักศึกษาคนอื่น ทั้งภาษา วัฒนธรรม มารยาททางสังคมฯลฯ แต่ฉันมีกำลังใจที่ดีมากเลยแหละถึงได้มายืนอยู่จุดนี้ได้ จุดที่กำลังจะได้เป็นพนักงานประจำของบริษัท PST จำกัดแล้ว กรี้ดดดดด!“ขอเชิญคิวที่16ค่ะ” เสียงประกาศเรียกด้วยภาษาเกาหลีทำให้ฉันหลุดจากความคิดอันแสนหวาน ห้ะ! คิวฉันแล้วหรอ มัวแต่นั่งเหม่อจนไม่ได้ดูเลย ฉันพยายามระงับความตื่นเต้นที่มากมายของตัวเองไว้วันนี้เป็นการสัมภาษณ์เพื่อที่จะเลือกว่านักศึกษาคนไหนจะได้ทำงานในตำแหน่งใด และเป็นการคัดเลือกคนที่จะได้เป็นผู้จัดการศิลปินด้วย ซึ่งฉันก็แอบมีความหวังนิดๆ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เสียใจหรอกเพราะยังไงก็ได้ทำงานใน PST อยู่ดีตึก ตึก ตึก!! เสียงรองเท้าของฉันที่กระทบกับพื้นอย่างช้าๆ เหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจตอนนี้ ฉันค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง พร้อมทำหน้าตายิ้มแย้มให้กับคณะผู้คัดเลือก ที่นั่งเรียงรายอยู่ภายในห้อง 3 คน เมื่อเดินมาถึงเก้าอี้และนั่งลงพร้อมยื่นเอกสารการประเมินผลการศึกษาและผลงานของฉันให้พวกเขาดู การสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้น “สวัสดีครับ” ฉันก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงถึงความเคารพและเป็นการทักทายพวกเขา“คุณเป็นคนไทยใช่ไหมครับ?” ผู้ชายที่ดูแล้วอายุน่าจะประมาณ30กว่าๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมคัดเลือกที่นั่งอยู่ด้านซ้ายสุดเริ่มถามทันทีที่เราทักทายกันเสร็จ“ใช่ค่ะ” ฉันตอบด้วยหน้าตายิ้มแย้มทั้งที่ในใจตื่นเต้นจนใจจะระเบิดอยู่แล้ว“งั้นขอเชิญแนะนำตัวหน่อยครับ” การแนะนำตัวแน่นอนว่าเป็นพื้นฐานของการสัมภาษณ์ที่นี่อยู่แล้ว ตอนเป็นพนักงานฝึกหัดเราก็แนะนำตัวให้คนอื่นรู้จักกันอยู่บ่อยๆ แค่นี้สบายมากทำได้อยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อพาราดา เป็นพนักงานฝึกหัดที่บริษัทมา2ปีแล้วค่ะ ตอนนี้อายุ21แล้ว ดิฉันเป็นนักศึกษาไทยที่ได้รับทุนจากทางบริษัทและได้มีโอกาสดีๆมาทำงานที่นี่ค่ะ”
หลังจากที่การแนะนำตัวจบลง คำถามต่างๆก็ตามมาอีกมากมายเพื่อวัดความสามารถของฉัน เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงคำถามสุดท้ายของการสัมภาษณ์ในครั้งนี้แล้ว“คุณเคยเป็นแฟนคลับหรือชื่นชอบไอดอลกลุ่มไหนหรือนักแสดงคนไหนของบริษัทไหมครับ” หือออ! ถามแบบนี้ก็ได้หรอ? แล้วฉันจะตอบยังไงละ ถ้าฉันตอบว่ามีเขาจะคิดว่าฉันมาทำงานที่นี่เพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า แล้วถ้าฉันโกหกเขาจะจับได้แล้วไล่ฉันออกหรือเปล่า เอาไงดีละเนี้ย“คือว่า...” ตอนนี้สมองต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาข้อสรุปสำหรับคำถามในข้อนี้“มีค่ะ ฉันเป็นแฟนคลับของ Trust5ค่ะ”“Trust5 หรอครับ?”“ใช่ค่ะ ฉันติดตามตั้งแต่พวกเขาเปิดตัวปีแรกและติดตามผลงานของพวกเขามาตลอดเลย” ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจตอบออกไป เพราะคิดว่าฉันไม่ควรโกหกและควร Trust กับทุกคน (**Trust แปลว่าจริงใจ**)“……”แต่ เอ้ะ! ทำไมความจริงใจของฉันทำให้ทุกคนเงียบแบบนี้ ไม่น่ะ! อย่าพร้อมใจกันเงียบแบบนี้สิใจคอไม่ดีเลย หลังจากที่ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉันหันไปซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้เพราะมันเบาจนฉันไม่สามารถได้ยินอะไรได้ จากนั้นพวกเขาก็พร้อมใจกันหันกลับมาจ้องหน้าของฉัน“แล้วคุณคิดว่าคุณมีคุณสมบัติอะไรที่จะทำให้คุณได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดการ ในเมื่อเรามีคนเกาหลีอีกตั้งหลายคนที่รอตำแหน่งนี้อยู่” ถามมาแบบนี้แล้วฉันจะตอบยังไงละ ฉันพยายามคิดๆๆ แล้วก็คิดเพื่อหาคำตอบที่ดีงามที่สุด แต่เท่าที่ฉันจำได้คำถามนี้ที่ประเทศไทยใช้บ่อยมากในการซ้อมสัมภาษณ์งาน“คือว่า เพราะการเป็นแฟนคลับของวงไอดอลมานาน ทำให้คิดว่าฉันมีความเข้าใจในตัวศิลปินดาราอยู่ระดับหนึ่ง ฉันรู้ถึงความพยายามของพวกเขา รู้ว่ากว่าจะมีวันนี้ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากขนาดไหน เรื่องนี้ฉันเข้าใจพวกเขาดีค่ะ เพราะการเป็นพนักงานฝึกหัดของที่นี่ก็ต้องอดทนกับช่วงเวลาแบบนั้นมาเหมือนกัน และถ้าฉันได้รับเลือกให้ทำงานนี้ ฉันมั่นใจว่าจะสามารถดูแลและเข้าใจศิลปินได้เป็นอย่างดี” นี่เป็นคำตอบทั้งหมดที่ฉันกลั่นกลองออกมาจากสมองได้ในตอนนั้น เห้ออออ! ชะตาของอลินผู้น่าสงสารจะเป็นยังไงต่อนั้น ไม่อาจคาดเดาได้เลย
ฉันเดินออกจากห้องสัมภาษณ์ด้วยพลังงานอันน้อยนิดเพราะเข้าไปในนั้นมันตื่นเต้นมากจริงๆ แถมยังต้องสู้กับคำถามที่ไม่คาดคิดแบบนั้นอีกด้วย“ด้า เป็นยังไงบ้าง? เขาว่ายังไง? แกได้เป็นผู้จัดการ Staff พนักงานทั่วไป หรือได้เป็นแม่บ้าน” ฟีฟ่าเจ้าประจำค่ะ แล้วทำไมต้องทำตาโตตอนพูดว่าฉันได้เป็นแม่บ้านด้วย มันน่าจับหักคอนัก “ถ้าพูดแบบนี้อีก ฉันจะฆ่าแก” ฉันหันไปทำตาขวางใส่ยัยเพื่อนตัวแสบทันที “555+ โอเคไม่พูดแล้ว แล้วสรุปเขาว่ายังไง?”“เขาบอกว่า เราจะติดต่อกลับมาบอกผลการสัมภาษณ์ภายหลังนะคะ”“แค่เนี้ย!” ฟีฟ่าทำหน้าตาตื่นทำให้ยัยนี่ดูเพี้ยนขึ้นเป็น10เท่า“ก็แค่นี้สิ นี่สัมภาษณ์วันแรกนะ แกจะให้เขาพูดว่า โอเคค่ะเริ่มงานได้เลยค่ะ แบบนี้หรอ” ถึงจะเป็นคำพูดที่ใช้ประชดประชันฟีฟ่าแต่ใจจริงก็อยากให้เขาตอบแบบนี้นะ ก็ฉันอดทนมาตลอด2ปีเพื่อสิ่งนี้นี่นา จะได้เลิกทำงานร้านสะดวกซื้อสักที เหนื่อยจะแย่ละ“ฉันกลับบ้านก่อนน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่รอแก” พอเห็นว่าฟีฟ่าเงียบและไม่ได้ตอบอะไรกลับฉันเลยพูดตัดบทเพื่อจะหนีกลับก่อน“นี่แกฝันอีกแล้วหรอ?” ถึงนางจะเพี้ยนแต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพื่อนที่รู้ใจฉันไปหมดทุกอย่าง คงเพราะเราอยู่ด้วยกันแค่2คนฟีฟ่าจึงเป็นคนเดียวที่ต้องรับฟังเรื่องของฉันทุกอย่าง“อื้อ! แต่ฉันโอเคไม่ต้องเป็นห่วง” ที่ต้องพูดแบบนี้เพราะไม่อยากให้ฟีฟ่าเป็นห่วง ยัยนี่ต้องมีสมาธิกับการสัมภาษณ์สิ“โอเค งั้นถึงรังหนูแล้วส่งข้อความมาบอกด้วย”“รับทราบค่ะ คุณเพื่อน” ฉันพูดคำนี้จนติดปากแล้ว เพราะเธอชอบสั่งโน้นนี่เหมือนแม่ฉันไม่มีผิด
วันนี้ฉันลางานที่ร้านสะดวกซื้อที่ปกติจะไปทำทุกวันหลังกลับจากฝึกงานที่บริษัท เวลาแบบนี้คงต้องไปพักผ่อนสักหน่อย ไปเที่ยวกันเถอะวีโก้ ฉันปั่นเจ้าวีโก้ไปตามทางพร้อมกับใส่หูฟังและเปิดเพลงของTrust5 การทำแบบนี้จะช่วยให้ฉันรู้สึกสบายใจและหายจากความกังวลทุกอย่าง เปิดเพลงจนดังเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงรอบข้างให้สมองคิดตามเนื้อเพลงไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ไม่คิดถึงเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ดี และไม่นานเราก็จะลืมไปเองตอนนี้ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้วคงจะอีกไม่กี่วันเพราะอากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ฉันไม่ค่อยชอบหน้าหนาวสักเท่าไหร่เพราะคิดว่ามันคงไม่เหมาะกับคนที่อยู่คนเดียวแบบฉัน ช่วงที่หิมะตกคนส่วนใหญ่จะออกมาข้างนอกกับคนรักเพื่อมาเดินชมความสวยงามของหิมะท่ามกลางความหนาวเย็น พวกเขาจะจับมือกัน กอดกัน ยิ้มให้กันอย่างมีความสุขเหมือนกับอากาศรอบๆ มันอบอุ่นมาก ส่วนบางคนที่ไม่ชอบการออกมาข้างนอกบ้านตอนที่อากาศหนาวก็คงจะนั่งทานข้าวกับครอบครัวอย่างอบอุ่น พ่อ แม่ ลูก โดยที่แท้จริงแล้วไม่ใช่อากาศที่อบอุ่นขึ้นเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน แต่เป็นหัวใจที่อบอุ่นจากการได้อยู่กับคนที่รักต่างหาก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันอีกแล้ว
“ ฉันเริ่มชินกับวันที่ไร้ความหมายนี้ เมื่อฉันเริ่มเหนื่อย ฉันจะหลับตาลงและคิดถึงเธอที่รักฉันรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นดังขึ้น รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ครึ่งวันของฉัน ที่มันว่างเปล่าฉันพยายามเติมเต็มส่วนลึกในหัวใจแต่ก็ทำไม่ได้ มันกว้างใหญ่ขึ้นลึกยิ่งขึ้น กว้างไกลขึ้นตอนนี้ ฉันรู้สึกเหมือนตอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น......”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ