Dark paradise
เขียนโดย วาเนส
วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 08.46 น.
แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 08.55 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) 01 : คำสาปในคืนจันทร์เต็มดวง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCHAPTER 1
คำสาปในคืนจันทร์เต็มดวง
กึกๆ... กึกๆ...
เสียงปีกของค้างคาวที่กางออกกระทบกับผนังถ้ำที่มืดมิดจนมองไม่เห็นแสงไฟ เหล่านักล่าตอนกลางคืนเตรียมพร้อมจะออกหากินในไม่ช้า ก่อนพวกมันจะบินออกไปจากถ้ำอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องสะท้อนในยามราตรี
เสียงกรีดร้องของสาวท้องแก่ใกล้คลอดดังขึ้นมาจากบ้านหลังใหญ่ที่ดูมีฐานะหลังหนึ่ง คบไฟที่ถูกเตรียมไว้ถูกใช้การเพื่อการอารักขาจากเหล่าคนรับใช้ ขณะที่เจ้าของบ้านกำลังวิตกกับการทำคลอดก่อนกำหนดของสตรีผู้ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตน
เมื่อมีหญิงชราเดินออกมาจากห้องตัวเองก็ร้องถามด้วยความเป็นห่วง
“ภรรยาข้าล่ะ นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“การคลอดก่อนกำหนดนั้นมีความเสี่ยงสูง และดูเหมือนนางจะคลอดยากกกว่าที่คิด ข้าคงให้คำตอบท่านไม่ได้ในตอนนี้” หญิงชราบอกด้วยเสียงเป็นกังวลไม่ต่างกัน ก่อนจะเดินจากไปเพื่อไปจัดการสัมภาระที่ตนเตรียมมา เพื่อใช้ในการทำคลอด
“ข้าขอเข้าไป.. ข้าอยากเห็นหน้านาง” เขาขอร้องด้วยเสียงอ่อนลง อาจเป็นเพราะหากรออยู่ข้างนอกคงทำให้ตนเองวิตกกังวลจนเป็นบ้าได้ การได้เข้าไปเห็นหน้าภรรยาคงทำให้ใจชื้นขึ้นได้ในระดับหนึ่ง
“บุรุษไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป แม้จะเป็นท่านก็ตาม” หญิงชราบอกเสียงเรียบก่อนจะเข้าไปภายในอีกครั้ง
ชายหนุ่มถึงกับเหงื่อตกเมื่อได้ฟังคำตอบรับของหญิงชราผู้ทำคลอด แทนที่ตนจะได้รับโอกาสเพื่ออยู่เป็นกำลังใจให้ภรรยาก็กลับถูกประเพณีกีดกั้นเอาไว้ เขายืนพิงกำแพงแกร่งไว้อย่างอ่อนแรง ก่อนจะได้ยินเสียงร้องที่น่าสงสารของคนรักที่เต็มไปด้วยความทรมาน
“ฮึก... อึ่ก! ข้าปวด... ฮึ่ก! ปวดเหลือเกิน”
ในห้องที่เต็มไปด้วยหญิงสาวที่เป็นผู้ช่วยในการทำคลอดในคืนจันทร์เต็มดวง ยังมีสตรีท้องโตนอนอยู่บนเตียงที่ทำจากไม้สักอย่างดี สองแขนเรียวจับหัวเตียงไว้แนบแน่นเพราะความปวดร้าวทั่วช่วงหลังไล่มาถึงสะโพกเล็ก รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถคาดได้ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่
ลูกน้อยในท้องดีดดิ้นพยายามจะออกจากท้องหญิงสาว ทว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของนางกลับเป็นอุปสรรคในค่ำคืนนี้ เมื่อการคลอดลูกที่เคยคิดว่าจะรับมือได้ กลับไม่เป็นอย่างที่คาดไว้แม้เพียงเสี้ยวเดียว กระดูกเชิงกรานเหมือนกำลังถูกบดละเอียด กล้ามเนื้อช่องคลอดขยายกว้างเพราะหัวของเด็กน้อยที่กำลังจะโผล่ออกมา มันทำให้นางรู้สึกคล้ายกำลังถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ
“ข้าเจ็บ! ฮึกก... อ้ะ อ๊า....! ข้าจะไม่ไหวแล้ว ฮึ่ก ปวดเหลือเกิน!”
นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง
“อดทนไว้วิโอเล็ต อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น” หญิงชราผู้ทำคลอดช่วยปลอบประโลมอีกฝ่ายด้วยเสียงอ่อนนุ่ม พลางบอกให้อีกฝ่ายหายใจลึกๆ ก่อนจะออกแรงเบ่งอีกครั้ง
หญิงสาวรู้สึกคล้ายกำลังจะตาย จมูกโด่งรั้นสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะออกแรงเฮือกสุดท้ายเบ่งลูกน้อย พร้อมกับความเจ็บที่ประดังเข้ามาจนมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้อีกต่อไป ใบหน้าสาวสะพรั่งซีดเซียวบิดเบี้ยวตามแรงที่ตนออก คล้ายสะโพกจะหลุดก่อนจะพบกับความโล่งที่ช่วงท้องในทันที
“แอ๊... ฮึกก.. แอ๊ๆ... แอ๊”
เสียงร้องของทารกดังขึ้นทันทีที่หญิงชราเป็นฝ่ายกระตุ้นด้วยการตีเบาๆที่ก้นเล็กที่อาบไปด้วยของเหลวสีแดง เหล่าผู้ช่วยรีบเอาผ้าขนหนูเพื่อเช็ดคราบเลือดที่ติดออกมาจากเด็กน้อยแทบจะในทันที ก่อนจะนำไปล้างและเช็ดตัวอีกครั้ง
หญิงสาวผู้เป็นแม่มือใหม่ระบายยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงทารกน้อยร้องดัง ใบหน้าซีดเซียวเป็นผลจากการออกแรงเยอะใคร่จะเห็นหน้าลูกตนในทันที
“ยินดีด้วย ท่านได้สตรีเพิ่มมาอีกหนึ่ง ท่านผู้หญิง” หญิงชราบอกเสียงนุ่มก่อนจะส่งทารกในอ้อมแขนให้คนเป็นแม่ได้โอบอุ้มไว้ต่อไป
พรึ่บ!
“ลูกข้าล่ะ เขาแข็งแรงดีไหม โอ้พระเจ้า... วิโอเล็ต ขอบคุณพระเจ้าที่เจ้าปลอดภัย” ร่างแกร่งที่เพิ่งเข้ามาทีหลังเพราะได้ยินเสียงทารกน้อยร้องออกมา ก็ถึงกับอดทนไม่ไหวที่จะได้เห็นใบหน้าลูกน้อย แต่เมื่อได้เจอกับภรรยาตนที่โอบอุ้มลูกตนอยู่ก็ถึงกับคลายความกังวลลงในทันที หัวใจผู้เป็นพ่อเต้นรัวขณะที่เดินไปหาคนรัก
“ท่านไม่ควรเข้ามาในนี้นะ” วิโอเล็กระบายยิ้มอ่อนพลางต่อว่าสามีไม่จริงจังนัก ก่อนจะส่งลูกน้อยให้ร่างแกร่งได้โอบอุ้มไว้ในอ้อมแขน
“เจ้าคงทรมานมาก... ใบหน้าเจ้าซีดไปหมด” มือสากลูบไล้แก้มเนียนอย่างเบามือ พลางบอกด้วยความรู้สึกผิดปนสงสารจับใจ
“ท่านควรปล่อยให้นางได้พัก ระหว่างที่ทารกกำลังหลับเพราะเมื่อลูกของท่านตื่นก็คงอยากดื่มนมจากมารดา” หญิงชราอธิบายเชิงสั่ง ประสบการณ์ที่มากมายสอนให้นางได้รู้ว่าคนเป็นแม่ต้องการๆพักผ่อนหลังคลอดเพียงไหน เมื่อบุรุษหนุ่มได้ฟังก็เข้าใจและไม่แสดงความขัดใจใดๆ
“ก่อนอื่นช่วยข้าขอตกลงชื่อลูกกับนางก่อนได้ไหม?” อิริมัสกล่าวเชิงขออนุญาตพลางมองไปที่หญิงชราอย่างต้องการคำตอบ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าช้าๆพลางสั่งผู้ช่วยให้ทำความสะอาดโดยรอบ
“วาเลนเซีย...” กลีบปากซีดเอ่ยบอกด้วยเสียงอ่อนล้า ดวงตาอิดโรยที่เหมือนจะหลับลงในทันที เมื่อสามีเห็นก็ไม่อยากจะรบกวนภรรยาตนมากไปกว่านี้ ร่างแกร่งจูบลงที่หน้าผากมนอย่างอ่อนโยนก่อนจะละออกมาพร้อมกับอุ้มลูกน้อยออกจากห้องเพื่อปล่อยให้แพทย์หญิงดูแลวิโอเล็ตต่อไป
หญิงสาวอ่อนเพลียจากการเสียเลือดมากจึงผล็อยหลับเข้าสู่ห้วงนิทราในไม่นาน เมื่อเหล่าผู้ช่วยและคนรับใช้ทำความสะอาดเสร็จจึงปล่อยให้เธอพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม
แต่ทว่าเมื่อคบไฟดวงสุดท้ายถูกดับลงกลับเป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์ร้ายคืนคลานเข้ามาในยามราตรี ใบหน้าแกร่งทอดมองร่างบนเตียงนุ่มอย่างกระหาย... กลิ่นคาวเลือดที่ยังคงอยู่มันยั่วเย้าให้สัตว์ร้ายเผยตัวตนออกมาท่ามกลางความเงียบสงัด ดวงตาสีน้ำตาลแดงจ้องมองเหยื่อด้วยความหิวโหย ก้าวท้าวแกร่งจนหยุดอยู่ที่ข้างเตียงขนาดใหญ่
ความรู้สึกรบกวนบางอย่างแล่นเข้ามาเมื่อจู่ๆก็เหมือนตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนี้เพียงลำพัง เปลือกตาบางเปิดพับก่อนจะตกตะลึงกับภาพแรกที่เห็น บุรุษหนุ่มที่มีผิวซีดเซียว ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้น ดวงตาสีน้ำตาลแดงดุจเหยี่ยวที่ไม่เคยพบมาก่อน แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้นางได้สติเห็นจะเป็นเขี้ยวที่งอกออกมาราวกับแวมไพร์
“จะ... เจ้าเป็นใคร.. จะทำอะไร”
เสียงแกลมเล็กเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยหอบ พลางถดตัวหนีอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าความเร็วนั้นคงเป็นเพียงแค่การเคลื่อนไหวราวกับเต่าคลานสำหรับแวมไพร์หนุ่ม มือแกร่งจับต้นคอสวยเอาไว้ก่อนจะฝังเขี้ยวคมลงพร้อมกับลิ้มรสหอมหวานจากมนุษย์อย่างตะกละตะกลาม
“ปล่อยข้า ฮึ่ก! ช่วยด้วย ช่วยข้าที กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
เสียงกรีดร้องที่ดังลั่นมาจากห้องของภรรยาที่หญิงชราบอกว่าเธอเพิ่งจะหลับไปเมื่อกี่วินาทีที่แล้ว ทำให้ผู้คนแตกตื่นทั่วทั้งบ้านหลังใหญ่ อิริมัสที่มีลูกน้อยอยู่ในมือถึงกับสะดุ้งเฮือกก่อนจะฝากลูกน้อยไว้กับหญิงรับใช้แล้วรีบหยิบหน้าไม้อาวุธคู่กายตรงไปยังห้องของคนรักอย่างร้อนรน
“วิโอเล็ต!!”
พรึ่บ!!
เมื่อประตูเปิดออกมันเหลือเพียงผ้าม่านสีครามสะบัดพลิ้วอยู่ในความมืด กับเงาร่างเล็กที่นอนราบอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ อิริมัสตรงไปหาภรรยาในทันที
“วิโอเล็ต... ไม่! วิโอเล็ต ใครทำกับเจ้าแบบนี้!” หัวใจของนักสู้กระตุกวูบเมื่อได้มองใบหน้าซีดเซียวของภรรยา กับต้นคอที่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน ความหวังอันน้อยนิดที่คิดว่าคนรักยังมีลมหายใจส่งผลให้ตนรวบร่างเล็กไว้ในอ้อมกอด หยาดน้ำตาลูกผู้ชายไหลรินพร้อมกับดวงใจที่แตกสลาย
“ไม่!! ไม่!!!” เสียงตะโกนของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ กอดรัดร่างไร้ลมหายใจไว้แนบแน่นพลางหลั่งน้ำตาของการสูญเสียออกมาอย่างไม่อายใคร การสูญเสียในค่ำคืนนี้ก่อให้เกิดภูเขาไฟที่เรียกว่าความแค้นที่ปะทุอยู่ในอก
“ข้าขอสาป... ให้มันทุกทรมานกับสิ่งที่มันทำ ขอสาปให้มัน...จงตายไปพร้อมกับความทุกทรมานยิ่งกว่าที่เจ้าได้รับ!”
ถ้อยคำสาปแช่งเหล่านั้นก้องกังวานอยู่ในหัววนไปวนมาไม่มีที่สิ้นสุด ร่างแกร่งเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เขาโกรธที่ตัวเองควบคุมมันไม่ได้แต่กลับชอบที่ได้ลิ้มรสหวานๆ กับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเหยื่อที่ไม่มีทางหลุดพ้นเงื้อมมือเขาไปได้ เขาเกลียดที่รู้สึกสนุกไปกับมันแต่กลับตื่นเต้นและตั้งตาคอยที่จะออกล่าเหมือนราชสีห์ในป่าใหญ่
หากครั้งหน้าเขาลองเด็ดหัวพวกมันล่ะ...
หากครั้งหน้าเขาลองหักขามันเล่นก่อนจะลิ้มลองมันล่ะ...
ตึกๆ... ตึกๆ...
ยิ่งคิดกลับยิ่งตื่นเต้นเป็นเท่าตัว เขาจินตนาการถึงเสียงกรีดร้องของมันก่อนตาย เพียงแค่นั้นก็ทำเอาตัวเองแทบรอไม่ไหวที่จะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง เพียงแค่จินตนาการเท่านั้นแต่ทว่าสองขากลับปฏิบัติราวกับว่ามันฟังเพียงแค่เสียงเรียกร้องของความต้องการตัวเองเพียงเท่านั้น
ความรู้สึกผิดก่อนหน้าหายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงแค่ความกระหายที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อมีครั้งที่หนึ่งมันก็อยากที่จะให้ครั้งที่สองเกิดขึ้นในทันที ฮาร์ฟวีย์แสยะยิ้มเย็นเมื่อได้ยินเสียงเท้าของมนุษย์มากมายที่เดินเข้ามาในป่า พร้อมกับแสงสว่างจากคบไฟจากหลากทิศ สิ่งที่เขาทำคือการหยิบผ้าสีหม่นจากกระเป๋าเสื้อคลุมออกมาซับคราบเลือดที่มุมปากก่อนจะเก็บมันลงที่เดิม
“นั่นใคร!” ยังไม่ทันได้ออกไปทักทายเหยื่อ เหยื่อก็เดินเข้ามาติดกับ “เจ้าเป็นใคร!” บุรุษหนุ่มที่ถือคบไฟอยู่ตะโกนถามอย่างไม่แน่ใจ ผมสีบลอนธรรมชาติยาวประบ่า ดวงตาสีฟ้าส่องประกายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาคือเด็กหนุ่มรับใช้ของตระกูลจาเวนเดอร์ที่มีชื่อเสียงในการล่าแวมไพร์ ตระกูลนักล่าที่แม้แต่แวมไพร์ยังยอมลดตัวมาทำพันธะสัญญาเพราะความเกรงกลัว
“ข้าเป็นใคร... นั่นคือคำถามงั้นหรือ” ฮาร์ฟวีย์ทวนคำถามเสียงหยัน เสียงของเขาแผ่วเบาเหมือนอยู่ในลำคอเสียมากกว่า ร่างแกร่งหันหน้าไปหาคนรับใช้อย่างใจเย็น ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยอำนาจ “เปลี่ยนเป็น... ข้าจะทำอะไรดีกว่าไหม?”
“แวมไพร์!! อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!” เสียงกรีดร้องของคนรับใช้ชั้นต่ำกึกก้องไปทั่วป่า เมื่อถูกหักแขนโดยฝีมือแวมไพร์หนุ่มที่ไร้ความปราณี ร่างแกร่งคว้าที่หัวอีกฝ่ายไว้ก่อนจะฉีกมันออกจากกายหยาบอย่างรวดเร็วจนโลหิตสดๆพุ่งออกมาคล้ายน้ำพุที่ไหลเชี่ยว! ใบหน้าหล่อแลบลิ้นเลียฝีปากซีดก่อนจะหัวเราะเสียงดังโรคจิตราวกับตนคืออีกคน คนที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยพบเจอ...
ครั้งนี้ร่างแกร่งไม่ได้ฆ่าเพราะความกระหาย... ทว่าเขาทำเพราะมันคือความสุข
เขาทำ...เพียงเพราะมันสนุกก็เท่านั้น
“นั่นเสียงเทรวิส! ทางนั้น!” ในป่าใหญ่เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายกับคบไฟหลายกลุ่มในเวลาไม่นาน เหล่าคนรับใช้ของครอบครัวนักล่าออกตามหาตัวการที่ทำให้นายหญิงของเขาต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสงสาร
ในขณะที่คนกระทำกลับสำนึกกับความผิดนั้นเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
ฮาร์ฟวีย์ยกนิ้วที่เปื้อนเลือดของตัวเองขึ้นมาแล้วแตะลงบนลิ้นเบาๆ ชิมรสชาติของมันก่อนจะเค่นยิ้มเหยียดด้วยความผิดหวัง เลือดของสัตว์ชั้นต่ำอย่างมันเทียบอะไรไม่ได้กับเลือดหวานๆของเจ้านายมันแม้แต่น้อย ฮาร์ฟวีย์จัดชุดของตนให้เข้าที่ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ต้นใหญ่เพื่อรอดูการเคลื่อนไหวของเหล่ามนุษย์ตัวเล็กๆ ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว
จิตใต้สำนึกที่ทำให้เขาเหมือนมนุษย์มากที่สุดมันเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาเองไม่รู้ตัวแม้แต่นิด
ไม่นานรอบบริเวณก็เต็มไปด้วยคบไฟกับเหล่าบุรุษหนุ่ม ใบหน้าของพวกมันตกใจกับภาพตรงหน้า ดวงตาฉายแววความกลัวออกมาอย่างชัดเจน มีเพียงคนที่ถือหน้าไม้เหล็กเท่านั้นก็ก้าวออกมาทั้งๆที่ขาทั้งสองของมันสั่นระริก
แต่มันสั่นเพราะโกรธ... ไม่ใช่เพราะกลัว
ภาพตรงหน้าบุรุษหนุ่มคือภาพชวนอ้วก มันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมที่ไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะทำได้ นอกเสียจากมันไม่ใช่มนุษย์! อิริมัสวางหน้าไม้ลงข้างๆตัวที่เต็มไปด้วยเลือดของคนรับใช้ เขาจดจำทุกช่วงเวลาที่หนุ่มผู้นี้อยู่กับเขาได้ทั้งหมด เทรวิสไม่ใช่เพียงคนรับใช้... แต่เปรียบเสมือนน้องชายร่วมสายเลือด
ซึ่งไม่ควรจบชีวิตลงแบบนี้...
หัวของเด็กหนุ่มกระเด็นไปไม่ไกลเท่าไหร่นักจากจุดที่ตัวของเขาอยู่ แต่ทว่ามันกลับไม่เหลือเค้าโครงใบหน้าของเทรวิสที่เขารู้จัก จมูกโด่งของชายหนุ่มบิดเบี้ยว ดวงตาปูดโปนเปิดค้างจากการตกใจ ริมฝีปากหนาอ้าออก ทั่วทั้งหัวเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงที่เรียกว่าเลือด มันเป็นภาพที่ชวนสยดสยองไม่น่าดูเอาเสียเลย...
แวมไพร์หนุ่มมองการกระทำของอิริมัสจากข้างบนด้วยสายตาเย็นชา ภาพตรงหน้ามันฟ้องถึงความห่วงใยที่ชายหนุ่มมีให้คนรับใช้ซึ่งมากเกินกว่าเขาจะเข้าใจ ฮาร์ฟวีย์ถูกเลี้ยงและโตมาในคอกวัวเล็กๆซึ่งเต็มไปด้วยดินโคลน ที่ซึ่งตนไม่เคยสัมผัสถึงความรักจากผู้เป็นพี่ชาย ที่ซึ่งท่านพ่อกล่าวอ้างว่าทำไปเพราะความปลอดภัยจากเหล่าแวมไพร์ทั้งหลาย
เขาเคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่ซึงโตมากับความบอบช้ำทางจิตใจ อยู่ได้โดยไร้ความรัก... แต่มันก็แสนจะเจ็บปวดจนเกินจะทน ตั้งแต่จำความได้เขาเองถูกแม่ตัวเองทอดทิ้งเพียงเพราะเขาคือลูกของผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้สูงศักดิ์ซึ่งมาจากชนชั้นสูงทางฝรั่งเศส แม่ไม่เคยพูดกับเขาด้วยความรักเหมือนที่เอสเธอร์ได้รับ...
ท่านพ่อเอง...ก็ทอดทิ้งเขาด้วยการให้อยู่กับเอสเธอร์เกือบตลอดเวลา
วันที่เขากำลังเล่นของเล่นอยู่ที่กลางบ้านหลังใหญ่... ด้วยความสุข ท่านพ่อกลับเข้ามาด้วยอารมฉุนเฉียวก่อนจะพาเขาไปที่คอกวัวที่ซึ่งห่างไกลจากบ้านตัวเองหลายเท่า พ่อของเขาผูกขาเขาไว้ที่เสาในคอกวัวขนาดใหญ่ใกล้ๆกองฟางก่อนจะบอกเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“อย่าให้ใครเจอเจ้า!”
“ท่านพ่อ... ของเล่นของข้า...” เด็กหนุ่มในวันนั้นร้องไห้จากการถูกพรากสิ่งที่รักเพียงสิ่งเดียว มันคือของเล่นชิ้นเดียวที่เขาเล่นมัน... ด้วยเหตุผลที่ว่ามันคือของเล่นชิ้นแรกที่พ่อของเขานำมาให้ “ข้าจะเอาของเล่น...”
ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าระอาสองมือแกร่งบีบไหล่เด็กน้อยแล้วก้มลงมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงเย็นเยือกไร้สิ้นเยื่อใย
“หุบปาก! ถ้าเจ้าไม่อยากตายจงขดตัวอยู่ในรังนี่เงียบๆ รอพี่ชายเจ้าซะ!”
“แต่ข้าไม่อยากอยู่กับเขา..” เด็กชายร้องบอกด้วยเสียงอ้อนวอน ดวงตาแดงก่ำราวกับจะร้องไห้ออกมาในไม่ช้า
“อย่าร้องไห้ออกมาต่อหน้าข้า! ทำตามที่ข้าบอกซะแล้วเจ้าจะปลอดภัย!”
ภาพเหล่านั้นยังคงติดตาอยู่ไม่จางหายไปไหน ดวงตาเย็นชาที่เขาได้มอง เสียงแข็งกร้าวที่เขาได้ยิน หรือแม้แต่สิ่งที่เอสเธอร์พูดคำแรกเมื่อเห็นหน้า เขาเก็บมันเอาไว้ในส่วนลึก เชื่อฟังคำพูดของผู้เป็นพ่อเสมอมาจนกระทั่งถึงวันที่ได้เข้าพิธีเปลี่ยนเลือดของชนชั้นสูง เขากลายเป็นแวมไพร์ในวัยยี่สิบสามปีบริบูรณ์ ในขณะที่เอสเธอร์ได้รับความเป็นอมตะในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น
นั่นคือสิ่งที่เขาพร่ำถามตัวเองมานานพอๆกับคำถามที่ถามเอสเธอร์ในทุกๆวัน
เขาไม่ดีตรงไหน... ตรงไหนที่เขาผิดพลาด...
ดูเหมือนความจริงที่เขาวิ่งหนีมาตลอดกลับถูกภาพตรงหน้ากระชากตัวเองให้กลับไปจมอยู่กับความเศร้าอีกครั้ง ร่างแกร่งเผลอมองร่างไร้ลมหายใจด้วยความอิจฉา แม้แต่คนตายยังได้รับความห่วงใย แต่ทำไมสำหรับเขากลับไม่เคยได้รับมันสักครั้งเดียว ฮาร์ฟวีย์น้อยใจในโชคชะตาที่เล่นตลกกับตัวเองเสียเหลือเกิน ทั้งความรัก ความใส่ใจ หรือแม้แต่ความสนใจเพียงเล็กๆน้อย... กลับไม่เคยได้รับมัน ช่างตรงกันข้ามกับคนๆหนึ่งที่แม้จะไม่ต้องพยายามอะไร... ก็ได้มันไปทุกๆอย่าง
“นำร่างของเขากลับไป” อิริมัสกล่าวเสียงแข็ง ก่อนจะถอดเสื้อตัวเองออกแล้ววางรองศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างเบามือ ห่อหุ้มอย่างดีก่อนจะผูกไว้ทั้งๆที่มือแกร่งสั่นเทา
ทว่าในสายตาของแวมไพร์ที่ไร้ซึ่งความรู้สึกสงสารหรือเห็นใจ ภาพตรงหน้ามันก็เป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่งที่พยายามจะขนมดกลับรัง... ก็เท่านั้น ฮาร์ฟวีย์ไม่ใช่คนเดิมที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอ ในตอนนี้เขาคือคนใหม่ที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ราวกับว่าการเปลี่ยนเลือดในคืนนี้ คือการเปลี่ยนตัวเขาลึกจนไปถึงรากแก่นของจิตใจ
ฮาร์ฟวีย์ยืนเต็มความสูงก่อนจะเอ่ยถามเหล่ามนุษย์ด้วยเสียงเต็มไปด้วยความสนุก
“จะรีบไปไหนกันล่ะ... หืม?”
สิ้นสุดประโยคคำถามเย้ยหยัน ก็ทำให้เหล่านักล่าหันไปหาแวมไพร์หนุ่มเป็นตาเดียว ก่อนจะพบว่าที่ใบหน้าซีดเซียวนั้นอาบไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน ดวงตาน้ำตาลแดงเต็มไปด้วยความสะใจไร้ความสำนึกในสิ่งที่ตนทำไปอย่างชัดเจน
“เจ้า!” ร่างแกร่งบนพื้นดินโกรธจนตัวสั่น ในหัวมีเพียงภาพของหญิงสาวที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ กับเด็กหนุ่มที่เปรียบเสมือนน้องชายที่มีชะตากรรมที่โหดร้ายยิ่งว่า
“ว่ายังไงล่ะนักล่า” เสียงเย้ยหยันของร่างแกร่งมันไร้ความเห็นใจ ดวงนั่นก็ช่างเลือดเย็นเหมือนการกระทำไม่มีผิด แม้แต่นักล่าที่วางมือไปก็ยังต้องถือหน้าไม้ที่ทำจากต้นแสตรงเจอร์ ฟิก มาเพื่อฆ่าเด็ดหัวมันโดยเฉพาะ
“เจ้าฆ่าคนของข้า!” บุรุษหนุ่มตวาดลั่นด้วยความเกรี้ยวกราด ยกหน้าไม้ขึ้นก่อนจะเตรียมยิงมันในทันที
“ก็แค่ดื่มเลือด... เมียเจ้ามันใจเสาะเอง หึๆ” ฮาร์ฟวีย์เค่นเสียงหยัน
“หุบปาก! จงตายซะ ตายซะไอ้ตัวทุเรศ!” บุรุษหนุ่มจับหน้าไม้แน่นก่อนจะยิงมันใส่แวมไพร์โหดเหี้ยมในทันที! ทว่ามันกลับหลบได้ทันที
“ก็แค่เศษไม้เก่าๆ เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวมันงั้นหรือ?” เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นในลำคอแกร่ง ทระนงตนว่าตนสูงส่งไม่อาจถูกฆ่าได้จากหน้าไม้ธรรมดาที่มันถืออยู่
ปึ่ก!
“อึ่ก!...”
ทันทีที่ปลายแหลมแฉลบไหล่ไปอย่างเฉียดฉิวความร้อนนั้นก็ทำให้เขาถึงกับเก็บกลั้นความเจ็บปวดไว้ไม่อยู่ ร่างแกร่งทรุดลงพร้อมกับกุมไหล่ตัวเองเอาไว้เพราะความปวด ความร้อนที่แล่นเข้ามาไม่ต่างอะไรกับแสงไฟที่แผดเผาร่างกายไหม้เป็นจุล!
“เศษไม้เก่าๆ หึ น่าสมเพชที่ฝีมือเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับข้า จงโทษตัวเองซะ นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องชดใช้!” บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยคบไฟสว่างวาบ ความร้อนของมันทำให้แผลเมื่อครู่นั้นเหมือนถูกจุดขึ้นมาด้วย
“หยุด!” เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจดังกึกก้องทั่วทั้งป่า พร้อมกับชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีดำที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอิริมัสทันทีที่เขากำลังจะยิงไปที่กลางหัวใจของมัน
การปรากฏตัวของผู้เป็นพ่อสร้างความตื่นตกใจให้มนุษย์รอบบริเวณ ด้วยเพราะเขาคือราชาแห่งแวมไพร์ที่เป็นผู้ทำพันธะสัญญาระหว่างมนุษย์และแวมไพร์กับอิริมัสด้วยตัวเอง ไม่มีใครคาดคิดว่าร่างสูงจะปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้ ไม่มีใครร็ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“ยกโทษให้เด็กชายผู้หิวกระหายในคืนแรกของเขาด้วยเถอะ อิริมัส” ผู้เป็นพ่อเอ่ยบอกด้วยเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาของเขาคมกริดดุจมีดที่กรีดลงกลางใจยามเมื่อมองมนุษย์ตรงหน้า
“ข้าทำสัญญากับเจ้าแล้ว ฮาเปอร์! แต่เหล่าแวมไพร์ช่างกลับกลอก หักหลังข้าด้วยความตายของเมียข้า เจ้ายังกล้าเรียกร้องหาการอภัยโทษงั้นหรือ!!” ดวงตาแข็งกร้าวของอิริมัสไม่ได้อ่อนลงแม้แต่นิด ซ้ำร้ายยังตวาดลั่นเพราะความเกรี้ยวกราดอย่างถึงที่สุด
ขณะที่การเจรจาเต็มไปด้วยโทสะของมนุษย์ กลับมีอีกหนึ่งแวมไพร์ที่ปรากฏขึ้นข้างกายฮาร์ฟวีย์อย่างเงียบเชียบ เมื่อร่างแกร่งสัมผัสได้ก็หันไปทางขวามือในทันทีก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเป็นเอสเธอร์ที่ยืนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“จงดูไว้ว่าความกระหายของเจ้า ทำให้ใครต่อใครเดือดร้อนแค่ไหน” เอสเธอร์กล่าวเสียงเย็นเยียบ เหยียดตามองผู้เป็นน้องอย่างนึกรังเกียจ ทันทีที่แวมไพร์หนุ่มสบสายตาผู้เป็นพี่ ก็ก้มหน้าพร้อมกับความน้อยใจที่ท่วมท้นอยู่ในอกแกร่งอย่างห้ามไม่ได้
“เราจะไปจากที่นี่ และเจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าเด็กคนนั้นอีก” ผู้เป็นบิดายื่นข้อเสนอที่หวังจะทำให้นักล่าหนุ่มใจเย็นลงได้แต่ทว่าดูเหมือนเขาคิดผิดมหันต์
“ก่อนจะไป... ข้า จะต้องฆ่ามัน!” อิริมัสตวาดกร้าว ยกหน้าไม้ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเล็งไปที่แวมไพร์เหนือต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะกดยิงมันด้วยความเร็วที่แม้แต่เหล่าแวมไพร์เองยังมองไม่ทัน
ปึ่ก!
“อึ่ก!...” ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความตื่นตกใจเมื่อธนูปั่กลงที่อกข้างซ้ายของราชา แม้แต่อิริมัสเองก็ไม่คิดว่าแวมไพร์อย่างมันจะเอาตัวเองรับแทนปีศาจตนนั้น
“ท่านพ่อ!/ท่านพ่อ!!” สองพี่น้องใจสลายเมื่อภาพตรงหน้าคือภาพที่บิดาตนถูกศรปักด้วยฝีมือมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นคือมันกะทันหันและรวดเร็วจนทั้งคู่ตั้งตัวไม่ติด
รอยยิ้มของบิดาปรากฏขึ้นภายหลังแม้จะถูกความร้อนแผดเผาอยู่กลางอก ใบหน้าที่แสนเย็นชามองไปที่ลูกรักทั้งสองก่อนจะเอ่ยบอกเสียงอ่อน
“ในที่สุด... ข้าก็ได้ทำหน้าที่ของพ่อเสียที”
ในปี 1996
ในเมืองแห่งหนุ่งทางฝั่งยุโรป มันเป็นเวลากลางวันที่แสงแดดอ่อนๆส่องแสงพอให้ร่างกายได้อบอุ่น เพราะอากาศที่ต่ำเพียงไม่กี่องศาทำให้ผู้คนในเมืองต่างสวมเสื้อกันหนาวชั้นดี แม้จะมีความอุ่นเล็กๆเข้าช่วยก็ไม่อาจะคลายความหนาวเหน็บลงไปได้
ร่างสูงผู้มีแววตาดุจเหยี่ยวยืนอยู่บนขอบฟุตบาตรเพื่อรอสัญญาณไฟเขียวจากทางม้าลายที่มีรถสวนไปมาไม่หยุด เขาสวมเพียงเสื้อโค้ตตัวใหญ่สีดำด้านทว่าเนื้อผ้าเป็นเนื้อผ้าชั้นดี บ่งบอกว่าตนมีฐานะไม่น้อย แม้อยู่ในเมืองที่มีค่าครองชีพสูง กลับไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตหรือ ปัญหาทางการเงินอยู่ในแววตานั่นแม้แต่นิด
ไม่นานรอบข้างชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนรอสัญญาณไฟแดงเต็มฟุตบาท จนกระทั่งสัญญาณไฟเป็นสีเขียว เหล่าผู้คนจึงเดินสวนกันบนทางม้าลายมากมายไม่เว้นแม้แต่ชายที่ดูลึกลับเมื่อครู่
ปึ่ก!
“มิเกล! ขอโทษทีค่ะ ลูกของฉันไม่ระวังเอง” หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มดวงตาสีอำพันกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงลูกสึกผิด ถึงแม้ว่าเด็กวัยขวบเศษจะเป็นฝ่ายล้มลงไปแต่เธอก็รู้ดีว่าเด็กชายตัวน้อยมักจะไม่ระมัดระวังและเดินชนคนนู้นคนนี้อยู่บ่อยๆ ดวงตากลมของเด็กไร้เดียงสามองร่างสูงอย่างกล่าวโทษ เบะปากอมชมพูจนแก้มทั้งสองย้อยออกมาคล้ายซาลาเปา
ทว่าร่างแกร่งไม่ได้ติดใจอะไรนักนอกเสียจากกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆที่โชยมาจากตัวเด็กน้อย ดวงตาคมดุจเหยี่ยวหรี่มองอย่างนึกสงสัยก่อนจะเป็นฝ่ายพยักหน้ารับคำขอโทษนั้นแล้วเดินจากไปเงียบๆ
“มิเกลทีหลังระวังหน่อยนะลูก” เสียงของคนเป็นแม่กล่าวบอกพร้อมกับลูบผมสีน้ำตาลเข้มของลูกน้อยอย่างเบามือ ฮาร์ฟวีย์ได้ยินเพียงเสียงไล่มาตามหลังเท่านั้น
“คุณอาชนผมนี่ฮะ ผมเปล่านะ” เด็กน้อยเจื้อยแจ้วพลางไม่ยอมรับความผิดที่ตนไม่ได้ก่อตามประสาเด็ก
“โถ่ลูกรัก กลับบ้านกันเถอะจ้ะ” หญิงสาวอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาก่อนจะเดินข้ามไปอีกฝั่งอย่างรวดเร็วเมื่อสัญญาณไฟเขียวใกล้จะหมดเวลา
เมื่อชายหนุ่มเจ้าของนัยด์ตาคมเดินถึงฟุตบาทก็หันหลังกลับเพื่อมองดูเด็กน้อยบนไหล่หญิงสาวด้วยความฉงน กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆนั้นยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก ราวกับว่ามันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เขาเฝ้าหามานาน แต่ทว่านึกเท่าไหร่ก็ไม่ทำให้นึกขึ้นออกเสียที จึงได้เก็บความสงสัยเอาไว้ภายในใจ แล้วจึงตรงไปขาใครบางคนที่รอตนอยู่
ขาแกร่งทั้งสองหยุดยืนอยู่ที่หน้าปราสาทสีดำทะมึน ความมืดมิดถูกถ่ายทอดผ่านรั้วสีดำขลับเป็นซี่ลวดปลายแหลม ประตูรั้วเหล็กสูงล้ำ ยังไม่ทันได้เปิดประตู เพียงแค่ก้าวเข้าไปแค่ก้าวเดียวประตูเหล็กกล้าก็เปิดออกช้าๆเป็นสัญญาณอนุญาตจากบางคนที่รออยู่แล้ว
ฮาร์ฟวีย์ก้าวเข้าไปด้วยความเคยชิน ภายในรั้วเป็นพื้นที่กว้างขนาดใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้สีทึมต้นใหญ่หลายต้น รูปปั้นสีขาวหม่นเป็นรูปหญิงสาวที่สวมกระโปรงยาวจนถึงเท้าสวย ช่วงบนมีเพียงผ้าผืนเดียวที่ปกปิดหน้าอกเต่งตึง ใบหน้าสะสวยตามแบบชาวตะวันตก
ไม่นานฮาร์ฟวีย์ก็เข้าไปอยู่ภายในปราสาทหลังใหญ่ เขาเดินขึ้นบันไดที่ถูกปูพรมสีแดงเอาไว้อย่างดี เครื่องตกแต่งภายในปราสาทส่วนมากเป็นรูปปั้นและของหายากจากทั่วโลกเสียมากกว่าเครื่องตกแต่งธรรมดาทั่วไป บ่งบอกถึงรสนิยมเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี ร่างสูงอยู่ตรงหน้าประตูบานไม้สีน้ำตาลทองก่อนจะเปิดเข้าไป ดวงตาคมมองสำรวจพร้อมกลับเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวภายใน
เสียงวักน้ำที่ดูเหมือนจะดังมาจากห้องน้ำลึกเข้าไปในห้อง ทำให้ฮาร์ฟวีย์เดินตรงเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบเท่าไหร่ ก่อนจะพบว่ามีใครบางคนรออยู่ในอ่างด้วยท่าทางที่เย้ายวน ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากราวกับเห็นมันจนเคยชิน
ในอ่างน้ำขนาดใหญ่เป็นวงรีทางยาวที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ เรือนร่างที่เย้ายวนของหญิงสาวขยับอย่างเชื่องช้าจนดูเป็นการยั่วยวนร่างแกร่งอย่างตั้งใจ ขาที่โผล่พ้นขึ้นมาโดยมีฟองสบู่ติดอยู่เพียงเล็กน้อยส่งให้ผิวแทนเนียนช่างดูน่ามองเสียงยิ่งกว่าอะไร ใบหน้าเรียวได้รูปคล้ายว่าจะไม่รับรู้การมาของร่างแกร่งแต่ดวงตาสีเทาน่าหลงไหลก็ช้อนมองฮาร์ฟวีย์อย่างยั่วยวน จมูกโด่งเป็นสันตามแบบของชาวตะวันตกรับกับริมฝีปากสีแดงสดได้อย่างลงตัว เธอกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างรู้ทันก่อนจะเอนกายพิงขอบอ่างเอาไว้
“หยิบไวน์ให้หน่อยสิคะ” เธอกล่าวขอด้วยเสียงเล็กอ่อนหวาน
“มือไม่ค่อยว่างน่ะ เกรล่า” ฮาร์ฟวีย์กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ เขากล่าวบอกทั้งๆที่ทั้งสองแขนกอดอกอยู่อย่างนั้น
ใบหน้าสวยยกยิ้มอีกครั้งก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นจากอ่างด้วยร่างเปลือยเปล่า ก้าวเท้าขาวสวยลงมาก่อนจะเดินผ่านร่างสูงออกไป แล้วกลับมาพร้อมกับขวดไวน์ในมือสองขวด มือคู่สวยดึงฝาไม้ที่ปิดไวน์ออกอย่างง่ายดายหลังยื่นให้ร่างแกร่งไปแล้วหนึ่งขวด ทั้งๆที่หากเป็นมนุษย์ธรรมดาคงต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเปิดเพราะความแน่นที่ใช้ปิดเอาไว้
“ผมสงสัยบางอย่าง” ฮาร์ฟวีย์เอ่ยถามหลังจากรับไวน์มาไว้ในมือ
“ว่ามาสิคะ” เธอบอกเมื่อกลับไปนอนในอ่างอย่างเดิม เอื้อมหยิบแก้วไวน์ที่วางอยู่ใกล้ๆก่อนจะรินไวน์ใส่แล้วยกจิบอย่างไม่รู้สึกอะไร
“คุณเคยได้กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆจากใครบ้างไหม” ร่างแกร่งถามขึ้นพลางเดินไปนั่งที่ขอบอ่างอย่างถือวิสาสะ
“คุณน่าจะรู้ดีนะ ว่ามันหมายความว่าอะไร” เธอบอกเสียงเรียบหลังคำถามนั้นถูกถามออกมา เกรล่าคือหญิงสาวในตระกูลชนชั้นสูงสามตระกูลที่เคยทำพันธะสัญญากันในหลายร้อยปีที่ผ่านมา จนกระทั่งความลับของความอมตะที่ผิดธรรมชาติของเหล่าแวมไพร์ถูกธรรมชาติลงโทษด้วยการผูกมัดพวกเขาไว้กับคนๆหนึ่ง โดยที่พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธกับมันได้
เพราะกลิ่นดอกไม้มันเป็นกลิ่นที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกนี้ ธรรมชาติจึงสรรค์สร้างให้มันมาในหลากหลายรูปแบบ แล้วแต่ใครจะได้กลิ่นมันในแบบไหน ถึงแม้แวมไพร์จะมีอำนาจมากมาย แต่กลับไม่สามารถเลือกคู่ครองได้อย่างอิสระ เมื่อเขาเจอคู่ครองของตัวเองเมื่อไหร่กลิ่นกายที่มีเพียงคู่ของตนเท่านั้นจะได้กลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆจากตัวมนุษย์
แต่เหล่าแวมไพร์ที่มองมนุษย์เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงชั้นต่ำ ไม่มีวันยอมรับการเลือกคู่ครองที่ธรรมชาติเลือกไว้ให้แล้วเด็ดขาด เหล่าแวมไพร์มักตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการสังหารมนุษย์คนนั้นก่อนที่มันจะได้โตเสียอีก เพราะเขารู้ดีถึงความอันตรายที่จะทำให้เลือดของเขาแปดเปื้อน
มนต์ของธรรมชาติมันน่ากลัวแค่ไหน... เขารู้ดี
“คงไม่ได้เก็บมันไว้...ใช่มั้ยคะ?” กลีบปากอิ่มเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง เงยหน้ามองบุรุษหนุ่มด้วยแวมตาเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าสีหน้าของฮาร์ฟวีย์คงจะเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันความคิดเธอ
“อยากให้ผมทำยังไงดีล่ะ หืม?” ริมฝีปากซีดกระตุดยิ้มก่อนจะก้มลงไปจุมพิตหญิงสาว
ทว่าความอ่อนโยนไม่ใช่สิ่งที่แวมไพร์ปรารถนา หญิงสาวสอดแทรกลิ้นร้อนเข้าสู่โพรงปากแกร่ง มือเล็กดึงเสื้ออีกฝ่ายไว้ก่อนจะกระชากมันออกจนขาดวิ่น เช่นเดียวกับคนตัวสูงที่ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด ก่อนทั้งห้องจะกลายเป็นสมรภูมิรบในไม่นาน
จนกระทั่งมันจบลงที่เตียงกว้างใหญ่ภายในห้องดำมืด เกรล่ากึ่งนั่งกึ่งนอนหลังพิงหัวเตียงไว้อย่างสบายๆ ในมือถือแก้วไวน์เอาไว้พร้อมกับของเหลวสีแดงก่อนจะยกมันขึ้นมาจิบ พร้อมกับร่างแกร่งที่แต่งตัวในชุดสูทสีดำขลับที่อยู่ภายในห้องนี้ราวกับมีจุดหมายปลายทางของตัวเองอยู่แล้ว
“ฮาร์ฟวีย์คะ” เกรล่าเรียกร่างแกร่งพลางจิบไวน์ก่อนจะพูดต่อ “คุณต้องฆ่าเด็กคนนั้น ก่อนที่คุณจะถูกฆ่าเสียเอง รู้ใช่มั้ยคะ” เธอเตือนด้วยความหวังดี เกรล่ารู้จัดนิสัยของร่างแกร่งดีพอจะเดาทางเขาออก แม้ร่างแกร่งจะเลวร้ายแต่หากใจของเขาโอนอ่อนไปหาคู่ครองเมื่อไหร่ เธอคงไม่อาจช่วยอะไรได้มากไปกว่าหาหลุมศพกับป้ายชื่อดีๆให้เขาสักอัน
“ผมรู้ดีเกรล่า ขอบใจที่เป็นห่วง” เขาเดินมาที่ข้างเตียงก่อนจะพรมจูบที่หน้าผากสวย แล้วติดกระดุมเสื้อที่แขน
“คืนนี้คุณคงยุ่งอยู่กับการล้างแค้น ยังไงก็ฝากทักทายลูกของเขาด้วยแล้วกัน” ร่างบางบอกก่อนจะส่งยิ้มให้ แต่ทว่าเมื่อร่างแกร่งได้ยินก็ชะงักกึกในทันที
“ลูก?” เขาทวนคำนั้นอีกครั้งเพราะไม่คิดว่าตระกูลนี้จะกล้ามีลูกอีกหลังจากเขาตามฆ่าพวกมันด้วยวิธีที่เหี้ยมโหด จนกระทั่งเหลือไว้เพียงทายาทคนเดียวของตระกูลเพื่อจะสืบสายเลือดนั้น เขาจะเหลือไว้เพียงคนเดียวเพื่อให้มันทนอยู่กับความทุกข์ทรมานไม่มีทางได้สืบทอดวิธีการล่าแวมไพร์ได้ถูกต้อง
และฆ่ามันอีกเมื่อมันมีลูก... ทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งมาถึงรุ่นปัจจุบัน ที่เขาคิดว่าตัวเองควรปล่อยให้มันตายไปทั้งหมดเสียที
“ตายจริง... คุณไม่รู้งั้นหรอ? เพราะเอิร์ลเพิ่งบอกฉันเมื่อเดือนที่แล้วว่าครอบครั้วนั้นมีลูกหนึ่งคน เห็นว่าเด็กกว่าอีธานเพียงไม่กี่ปี” เธออธิบาย
“หึ เห็นทีฉันคงเบื่อจะตามฆ่าพวกมันแล้วล่ะ” ฮาร์ฟวีย์แสยะยิ้มมุมปากก่อนจะสวมเสื้อโค้ทตัวใหญ่แล้วหายไปจากปราสาทในพริบตา
ในคืนเดียวกัน
“กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงร้องโหยหวนของหญิงสาวที่ถูกปีศาจทำร้ายอย่างทารุณ ดังทั่วบริเวณบ้านหลังเล็ก เธอกรีดร้องพร้อมกับปัดป่ายมือไปทั่วบริเวณอย่างไร้สติ ลำคอถูกบีบแน่นพร้อมกับเจ็บลึกเพราะฟันคมที่ฝังอยู่บนต้นคอขาว โลหิตสีแดงสดไหลตามสรีระสวย
ความกระหายของแวมไพร์หนุ่มทวีคูณจนมันระงับยากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อได้กลิ่นหอมหวานของใครบางคนภายนอกห้องสีขาวบริสุทธิ์มันเต็มไปด้วยความเย้ายวนทว่าบริสุทธิ์คล้ายอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง กลิ่นคาวเลือดทวีแรงขึ้นยิ่งยากต่อการรับสัมผัสใดๆ ฮาร์ฟวีย์สูญเสียการควบคุมอีกครั้งเมื่อกลิ่นดอกไม้นั้นแรงขึ้นราวกับมันอยู่ปลายจมูกนี่เอง
“อึ่ก.. อึ่.. อะ..” เสียงที่เต็มไปด้วยความทรมาณของเหยื่อในค่ำคืนนี้ ดังลอดผ่านลำคอราวกับคนที่พยายามจะพูดบางอย่างออกมาถึงที่สุด
ทว่าแวมบุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยความกระหายกลับไม่สนใจสิ่งใดนอกจากเลือดหอมหวานของหญิงสาวตรงหน้า แม้กระทั่งมีสิ่งมีชีวิตที่ใช้ดวงตากลมโตมองเขาด้วยความหวาดกลัว กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ตาม
“อะ... ออกไป” เสียงแหบแห้งของผู้เป็นแม่บอกลูกรักอย่างเป็นห่วง แม้ลมหายใจสุดท้ายก็ไม่อยากให้ลูกน้อยต้องจดจำภาพเหล่านี้เอาไว้ แต่ทว่ามันคงสายไปเสียแล้วสำหรับเด็กน้อย ความสูงที่ยังไม่ถึงเอวด้วยซ้ำของเด็กชายกลับทำให้ร่างแกร่งต้องเบิกตากว้างเมื่อดวงตากลมมองมาที่เขา
ราวกับว่าเขากำลังถูกจองจำด้วยมนต์สะกดที่ไม่อาจคลายลงได้ เมื่อดวงตาสีน้ำตาลทองกลับกลายเป็นสีอำพันชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นดังเดิม
“ฮึก... มะ... แม่”
กลิ่นหอมหวานั้นหายไปแล้วพร้อมกับดวงใจที่กระตุกวูบของบุรุษหนุ่ม ดวงตากลมที่เต็มไปด้วยน้ำตาไหลลงอาบแก้มทั้งสองทำให้ร่างแกร่งกลายเป็นคนขลาดในชั่วพริบตา เด็กคนนี้คือคนเดียวกันที่เขาเจอในช่วงเช้า เด็กคนนี้คือคนเดียวกันที่เป็นเจ้าของกลิ่นดอกไม้หอมเมื่อเช้า
มันเป็นแค่... มัน...
“เป็นไปไม่ได้...” ดวงตาคมเบิกกว้างราวกับถูกดึงดูด เขี้ยวคมที่ฝังอยู่บนลำคอสวยถูกถอนออกพร้อมกับสองเท้าแกร่งที่ก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันหลังเดินไปที่ระเบียงห้องที่เปิดอยู่แล้วหายไปในอากาศ เหลือไว้เพียงความทรงจำในวัยเด็กที่เต็มไปด้วยภาพความโหดร้าย
เด็กหนุ่มวัยหนึ่งขวบที่เพิ่งหัดเดินได้ไม่เท่าไหร่ กับคำพูดที่มีเพียงไม่กี่คำเท่านั้นที่พูดได้กลับถูกปีศาจในคืนนี้ขโมยความสดใสในวัยเด็กไปอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมกับคนเป็นแม่ที่ล้มลงตรงมุมห้องด้วยร่างกายซีดเซียว คราบโลติตแดงฉานติดอยู่เต็มต้นคอ
ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นความทรงจำที่เด็กคนนี้จะไม่มีวันลืม...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ