มรสุมรักร้าย

8.3

เขียนโดย ดาวจรัด

วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 03.00 น.

  8 บท
  0 วิจารณ์
  8,541 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561 03.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่๒ จุดเริ่มต้นของนรก (1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บทที่๒

จุดเริ่มต้นของนรก

                           ผ่านมาสองวันหลังจากออกจากโรงพยาบาลประภาวีและปัญรินทร์ก็กลับมาอยู่บ้านศิลาวงษ์แต่แปลกที่มารดาเธอควรจะมีความสุขสบายทว่าดูลนลานตื่นกลัวจนเธอสังเกตได้แม้ท่านจะพยายามกลบเกลื่อนด้วยการสีหน้าในแบบฉบับท่านก็เถอะ

                         “คือแม่คะวันนี้เฟื่องขอไปค้างบ้านเพื่อนนะคะ”

ประภาวีตวัดสายตามองลูกสาวเพียงคนเดียวเคืองๆเพราะไม่เห็นด้วย

                        “ฉันไม่อนุญาต” น้ำเสียงดเด็ดขาดทำเอาปัญรินทร์รู้ว่าของให้ตายเพียงใดท่านก็คงยืนยันคำเดิม

                         “โอเคค่ะ งั้นเฟื่องไปเรียนก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”  พนมมือไหว้ก่อนจะเดินออกไป ตั้งแต่มาอยู่ที่นี้เธอต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะต้องตื่นมาช่วยแม่บ้านทำอาหารถึงแม้ทุกคนจะไม่เต็มใจก็เถอะ เธอนึกเสมอ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น

                        ร่างระหงส์สาวท้าวเดินตามทางเพื่อออกไปให้ทันรถประจำทางหน้าปากซอยเพราะนี้ก็จวนจะถึงเวลารถมาแล้วเธอไม่อยากพลาดเที่ยวนี้จนต้องโบกแท็กซี่ให้เปลืองเงิน นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเวลาตลอดการเดินในขณะที่กำลังจะข้ามถนนนั้น

         ปี๊กกกกกกกกก

                       “กรี๊ดดดดด”  ปัญรินทร์กรี๊ดร้องเสียงหลงเมื่อรถตู้คันหรูเคลื่อนเข้ามาจวนจะตำร่างเธออยู่ล้อมล่อ ด้วยใจที่เตลิดตกใจขาเรียวกลับพร้อมใจทรุดเข่ากระแทรกพื้นทาง

                       “โอ้ย”  นี้ เธอยังไม่ตายใช่มั้ย คิดพร้อมยกไม้ยกมือจับไปตามเนื้อตัวกระทั้ง แผลที่เข่าถลอกจนเลือดซึม

                       “คุณเป็นอะไรรึเปล่า”

เสียงทุ่มที่เอ่ยถาม ทำให้คนเจ็บเงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้าที่ตอนนี้ยอบตัวลงมาเสมอเธอ สาบานได้เลยว่าเธอไม่ได้ตั้งใจชายตรงหน้าแต่เขากลับดึงดูดจนเธอเผลอมองสำรวจ ใบหน้าขาวใสราวปุยนุ่น คิ้วดกเข้ม ตาคมกริบดั่งคมศร รับกับสันจมูกทรงสวย ไหนจะริมผีปากอมชมพูหยักลึก ช่างน่ามองยิ่งนัก คิดได้แค่นั้นก็สะดุ้งเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าเรียกซ้ำจนเธอหลุดจากภวังค์

                   “ค..คะค่ะ”

                   “แผลคุณ ผมขอโทษนะพอดีใจร้อนไปหน่อย”มองแผลที่เลือดเริ่มปริออกมาเรื่อยๆก็ยิ่งนึกโกรธตัวเองที่ใจร้อนจนสั่งให้คนขับรถเร่งความเร็ว “ถ้ายังไงผมขอรับผิดชอบด้วยการพาคุณไปโรงพยาบาลนะ”

                  “เอ่อ....คือฉันไม่ได้เป็นไรมากไม่ต้องให้ถึงมือหมอหรอกค่ะ”

                 “ไม่ได้หรอกครับผมรู้สึกผิด”

                  “อย่าลำบากเลยค่ะ ฉันเองก็ผิดที่เดินไม่ดูรถ”  ว่าพร้อมยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาอีกรอบก่อนจะต้องอุทานออกมา “ตายจริง คือฉันต้องไปเรียนแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

คนถูกปฏิเสธได้แต่มองการกระทำของเจ้าอย่างขำๆ เพราะดูการเอี้ยวไปด้านข้างใช้มือยันพื้นยืนมันช่างทุลักทุเลนัก แล้วลุกขึ้นตาม

                   “ผมฟาร์มนะครับ นี้นามบัตรผม”

ปัญรินทร์ยอมรับมาหย่อนใส่กระเป๋าโดยไม่คิดจะอ่าน แล้วส่งยิ้มกลับไปเพื่อบอกให้รู้ว่าหล่อนโอเค

                   “ฉันเฟื่องค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”  ไม่รอให้ชายหนุ่มตอบรับหรือทักท้วงรีบเดินกระเพลกห่างออกไป เดินห่างออกมาได้ก็หันกลับไปมองรถตู้ที่เธอคุ้นตา มองได้ไม่ทันไรรถก็เคลื่อนห่างไปจนลับตาจนไม่ทันได้เห็นเลขทะเบียน

        ผ่านมาสองวันหลังจากออกจากโรงพยาบาลประภาวีและปัญรินทร์ก็กลับมาอยู่บ้านศิลาวงษ์แต่แปลกที่มารดาเธอควรจะมีความสุขสบายทว่าดูลนลานตื่นกลัวจนเธอสังเกตได้แม้ท่านจะพยายามกลบเกลื่อนด้วยการสีหน้าในแบบฉบับท่านก็เถอะ

                         “คือแม่คะวันนี้เฟื่องขอไปค้างบ้านเพื่อนนะคะ”

ประภาวีตวัดสายตามองลูกสาวเพียงคนเดียวเคืองๆเพราะไม่เห็นด้วย

                        “ฉันไม่อนุญาต” น้ำเสียงดเด็ดขาดทำเอาปัญรินทร์รู้ว่าของให้ตายเพียงใดท่านก็คงยืนยันคำเดิม

                         “โอเคค่ะ งั้นเฟื่องไปเรียนก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”  พนมมือไหว้ก่อนจะเดินออกไป ตั้งแต่มาอยู่ที่นี้เธอต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะต้องตื่นมาช่วยแม่บ้านทำอาหารถึงแม้ทุกคนจะไม่เต็มใจก็เถอะ เธอนึกเสมอ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น

                        ร่างระหงส์สาวท้าวเดินตามทางเพื่อออกไปให้ทันรถประจำทางหน้าปากซอยเพราะนี้ก็จวนจะถึงเวลารถมาแล้วเธอไม่อยากพลาดเที่ยวนี้จนต้องโบกแท็กซี่ให้เปลืองเงิน นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูเวลาตลอดการเดินในขณะที่กำลังจะข้ามถนนนั้น

         ปี๊กกกกกกกกก

                       “กรี๊ดดดดด”  ปัญรินทร์กรี๊ดร้องเสียงหลงเมื่อรถตู้คันหรูเคลื่อนเข้ามาจวนจะตำร่างเธออยู่ล้อมล่อ ด้วยใจที่เตลิดตกใจขาเรียวกลับพร้อมใจทรุดเข่ากระแทรกพื้นทาง

                       “โอ้ย”  นี้ เธอยังไม่ตายใช่มั้ย คิดพร้อมยกไม้ยกมือจับไปตามเนื้อตัวกระทั้ง แผลที่เข่าถลอกจนเลือดซึม

                       “คุณเป็นอะไรรึเปล่า”

เสียงทุ่มที่เอ่ยถาม ทำให้คนเจ็บเงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้าที่ตอนนี้ยอบตัวลงมาเสมอเธอ สาบานได้เลยว่าเธอไม่ได้ตั้งใจชายตรงหน้าแต่เขากลับดึงดูดจนเธอเผลอมองสำรวจ ใบหน้าขาวใสราวปุยนุ่น คิ้วดกเข้ม ตาคมกริบดั่งคมศร รับกับสันจมูกทรงสวย ไหนจะริมผีปากอมชมพูหยักลึก ช่างน่ามองยิ่งนัก คิดได้แค่นั้นก็สะดุ้งเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าเรียกซ้ำจนเธอหลุดจากภวังค์

                   “ค..คะค่ะ”

                   “แผลคุณ ผมขอโทษนะพอดีใจร้อนไปหน่อย”มองแผลที่เลือดเริ่มปริออกมาเรื่อยๆก็ยิ่งนึกโกรธตัวเองที่ใจร้อนจนสั่งให้คนขับรถเร่งความเร็ว “ถ้ายังไงผมขอรับผิดชอบด้วยการพาคุณไปโรงพยาบาลนะ”

                  “เอ่อ....คือฉันไม่ได้เป็นไรมากไม่ต้องให้ถึงมือหมอหรอกค่ะ”

                 “ไม่ได้หรอกครับผมรู้สึกผิด”

                  “อย่าลำบากเลยค่ะ ฉันเองก็ผิดที่เดินไม่ดูรถ”  ว่าพร้อมยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาอีกรอบก่อนจะต้องอุทานออกมา “ตายจริง คือฉันต้องไปเรียนแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

คนถูกปฏิเสธได้แต่มองการกระทำของเจ้าอย่างขำๆ เพราะดูการเอี้ยวไปด้านข้างใช้มือยันพื้นยืนมันช่างทุลักทุเลนัก แล้วลุกขึ้นตาม

                   “ผมฟาร์มนะครับ นี้นามบัตรผม”

ปัญรินทร์ยอมรับมาหย่อนใส่กระเป๋าโดยไม่คิดจะอ่าน แล้วส่งยิ้มกลับไปเพื่อบอกให้รู้ว่าหล่อนโอเค

                   “ฉันเฟื่องค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”  ไม่รอให้ชายหนุ่มตอบรับหรือทักท้วงรีบเดินกระเพลกห่างออกไป เดินห่างออกมาได้ก็หันกลับไปมองรถตู้ที่เธอคุ้นตา มองได้ไม่ทันไรรถก็เคลื่อนห่างไปจนลับตาจนไม่ทันได้เห็นเลขทะเบียน

“ตาฟาร์ม กลับมาก่อนกำหนดตั้งสองวันไม่เห็นบอกแม่เลย”คุณกัญญาร์อ้าแขนรับลูกชายคนโตที่ไม่ได้เจอกันนานตั้งเป็นปี

ฟาร์ม ปวิช ศิลาวงค์ คายกอดจากมารดา ก่อนจะฉกหอมแก้มซ้ายขวาคนเป็นแม่ฟอดใหญ่

                     “ก็ผมใจร้อนคิดถึงคุณแม่มากจนแทบนอนไม่หลับ”

                    “ปากหวานจริงลูกคนนี้”

                    “ที่สำคัญผมอยากจะมาเห็นคนที่เป็นต้นเหตุให้คุณแม่ผมต้องร้องไห้” ตาคนกริบฉายลึกไปด้วยความโกรธเกลียด ทำเอากัญญาร์นึกกลัวใจลูกชาย เมื่อรู้ตัวว่าเผลอแสดงท่าทีร้ายกาจออกไปจึงรีบสลัดทิ้งหันไปอ้อนแม่แทน

                    “ผมกลับมาทั้งที คุณแม่ทำอะไรไว้ให้กินบ้างนะ”

                    “ไม่มีหรอกจ้ะ ก็แม่ไม่รู้ว่าลูกจะกลับมานี้”  เห็นลูกทำหน้ามุ่ยใส่ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ ลูกของเธอนี้น้าโตขนาดจะมีครอบครัวแล้วยังเหมือนเด็กอยู่ได้

                     “เอาล่ะเดี๋ยวลูกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวก่อนแล้วกันเดี๋ยวแม่ทำเสร็จจะให้เด็กขึ้นไปตาม”

ปวิชหอมแก้มมารดาก่อนจะแยกตัวขึ้นไปบนห้องนอนตนที่ปีกด้านขวาสุดมุมห้องสุดท้าย พรางครุ่นคิดเรื่องที่เอาให้เขาแทบจะวิ่งกลับไทย แม่ของเขาแสนดีขนาดนี้เหตุให้บิดาถึงไม่หยุดอยู่กับที่สักทีเอาแต่วิ่งแล่นมีบ้านเล็กไม่เว้นแต่ละวันซ้ำยังพาใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเหยียบคนภรรยา ยิ่งคิดยิ่งโกรธบิดา ซ้ำยังอยากจะวิ่งไปบีบคอผู้หญิงของท่าน อยากรู้นักหน้าตาจะเหมือนแม่มดไหม

                     สงสัยความคิดเขาจะเป็นจริงที่พอขึ้นเดินไม่ทันพ้นห้องน้องสาวที่อยู่ถัดออกมาจากห้องนอนของประมุขบ้าน ก็เห็นหญิงที่ดูท่าอายุน่าจะสี่สิบปลายๆนุ่งน้อยห่มน้อยไม่ต้องเดาก็น่าจะเป็น หญิงโสเภณีใจยัก

                    “หึ  นี้พ่อฉันคงจะแก่จนตาต่ำถึงขนาดลากหญิงแก่หนังยานเข้าบ้านเลยเหรอ”  ยิ้มเหยียด ตาคมจ้องเขม็งราวจะกินเลือดกินเนื้อคนตรงหน้า

ประภาวีตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นหนุ่มรุ่นลูกที่เธอเคยเห็นในรูปทั้งคำบอกเล่าของเศรษฐาทำให้รู้ว่าชายหนุ่มเป็นใคร หากแต่การทักทายแซะกระดูกดำก็ทำเอาเธอโกรธไม่น้อยไหนจะสายตาเหยียดๆนั้นอีก แต่ก็ต้องใจดีสู้เสือส่งยิ้มกลับ

                   “คุณคงเป็นลูกชายคนโตของคุณภาทสินะ ตายจริงแม่ไม่รู้ว่าคุณจะมา ถ้าแม่รู้คงจะออกไปต้อนรับให้สมเกียร์ติ”

 

 

 

 

กดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ555  

พากันเม้นหน่อย เม้นได้หน๊าไรท์ไม่กัด 

ทำไมคนอ่านน้อยจัง  เค้าน้อย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา