ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเข้าเบญจเพสปีนี้แล้ว ทิวากรไม่เคยรู้สึกว่าตนเองพ่ายแพ้แก่ใครมาก่อนในชีวิตเท่านี้เลย หลังจากโต้เถียงอย่างรุนแรงกับคุณสว่างผู้เป็นบิดาที่โทรศัพท์ทางไกลมาจากประเทศไทยเพื่อที่จะบอกว่า ท่านจะไม่ส่งเสียเงินทองให้แก่เขาอีกแล้ว และเขาต้องเดินทางกลับประเทศไทยทันที ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะทิวากรไม่ยอมเรียนหนังสือให้จบเสียที เขาย้ายจากประเทศอังกฤษหลังจบมัธยมปลายมาที่สหรัฐอเมริกาเพื่อเรียนต่อปริญญาตรี แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่จบการศึกษาใดๆเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่บิดาจะโกรธเคือง แต่เรื่องที่ทำให้ทิวากรสติแตกคือ พ่อของเขากำลังจะแต่งงานใหม่กับณัฐนันท์ แม่ม่ายลูกติดนักธุรกิจสาวใหญ่ที่อยู่ในวงสังคมไฮโซ เขาเคยพบกับเธอครั้งหนึ่งตอนกลับไปเยี่ยมบ้านและไม่สะกิดใจเลยสักนิดว่าพ่อกับแม่ม่ายสาวใหญ่คนนี้จะลงเอยด้วยการแต่งงาน ที่จริงพ่อของเขาก็มีสาวๆมาพัวพันหลายคน ด้วยหน้าที่การงานและฐานะที่มั่งคั่งจากธุรกิจห้างสรรพสินค้าใหญ่หลายสาขาทั่วประเทศซึ่งเป็นธุรกิจของตระกูลที่ส่งทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ของเขา
ก่อนหน้านี้พ่อจะมีผู้หญิงสักกี่คนเขาไม่เคยสนใจ ขอเพียงแค่พ่อยังส่งเงินให้ใช้และไม่มาวุ่นวายบงการชีวิตส่วนตัวของเขา แค่นี้ทิวากรก็พอใจแล้ว ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกไม่เคยมีตั้งแต่แม่ตายจากไปตอนที่เขายังอยู่ชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนประจำที่อังกฤษ สำหรับทิวากรแล้วคุณพรพรรณีเป็นศูนย์กลางของครอบครัวอย่างแท้จริง แม่ดูแลพ่อและลูกชายคนเดียวด้วยความรักความอบอุ่น ครอบครัวอันสมบูรณ์แบบดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งคุณพรพรรณีตายจากไปด้วยโรคมะเร็ง จำได้ว่าตอนนั้นเขาอยู่โรงเรียนประจำ พ่อให้ลุงประสิทธิ์ไปรับตัวกลับบ้านกะทันหันแต่เขาก็ไม่ทันมาดูใจแม่ ความสูญเสียมากมายจนเขาทำใจไม่ได้ เด็กชายร้องขอพ่อเพื่อจะกลับมาเรียนต่อที่ประเทศไทยเพราะอยากอยู่ใกล้พ่อ แต่กลับเป็นพ่อเสียเองที่ไม่ต้องการเขา พ่อบังคับให้กลับไปเรียนต่อและบอกว่า
“ ลูกกลับมาอยู่บ้านก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไปเรียนต่อให้จบแล้วกลับมาช่วยงานพ่อดีกว่า ’’
ชายหนุ่มจำได้ว่าพ่อเสียใจมากที่แม่จากไปก่อนวัยอันควร แต่เพียงไม่นานพ่อก็กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มใหญ่เนื้อหอมที่สาวน้อยสาวใหญ่เพียรกันพาตัวเข้ามาใกล้ เขารับรู้เรื่องเหล่านี้จากลุงประสิทธิ์พ่อบ้านที่เลี้ยงดูและรักเทิดทูนเขายิ่งกว่าใคร ที่จริงลุงประสิทธิ์ไม่ได้ต้องการให้เขารู้เรื่องราวเหล่านี้เลย แต่เป็นเขาเองที่คะยั้นคะยอถามไม่จบสิ้นว่าทำไมทุกครั้งที่โทรศัพท์กลับบ้านหรือทุกปิดเทอมที่กลับมา พ่อไม่เคยอยู่รอเขาเลย พ่อมีเหตุจะต้องไปทำธุระที่โน่นที่นั่นเสมอ ที่เจ็บปวดไปกว่านั้นคือวันครบรอบวันตายของแม่ วันที่สองพ่อลูกเสียใจที่สุดแต่พ่อก็ลืมมันไปแล้ว พ่อไม่เอ่ยถึงแม่อีกเลยเสมือนว่าแม่จากไปแล้วในความทรงจำของพ่อ
ทิวากรไม่คิดจะทำความเข้าใจกับการใช้ชีวิตในแบบของพ่อ ทั้งสองคนเริ่มห่างเหินกันออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมีเพียงแค่ลุงประสิทธิ์ คนเก่าคนแก่ของพ่อเท่านั้นที่คอยถามไถ่ดูแลทุกข์สุขของชายหนุ่ม และครั้งนี้ลุงประสิทธิ์ก็บินมาหาเพื่อจะรับเขากลับไปพร้อมกัน เพราะผู้เป็นพ่อยืนยันว่าจะไม่มีการส่งเสียเงินทองให้อีกแล้ว ถ้าเขาอยากจะเรียนให้จบก็ต้องทำงานหาเงินเอาเอง แต่ที่ทำให้เขาโกรธจนขาดสติถึงกับผลักลุงประสิทธิ์คว่ำไปกับพื้นก็เพราะพ่อต้องการให้เขากลับไปร่วมงานแต่งงานของม่ายไฮโซคนนั้นด้วย เขาไม่โกรธที่พ่อบังคับให้กลับและไม่ให้เรียนต่อจนจบแล้วเพราะบางทีพ่ออาจจะคิดได้ว่ายังมีลูกชายคนนี้อยู่ หรือว่าพ่ออาจจะคิดถึงอยากให้กลับไปช่วยงานการของพ่อที่ล้นมือ แต่ดูเหมือนเขาจะคิดไปเองฝ่ายเดียว ลูกและพ่อห่างไกลกันเกินไปแล้วจริงๆ
“ ผมไม่กลับ ลุงบอกพ่อด้วยว่าผมจะอยู่ที่นี่แล้วหางานทำ อย่าหวังไปเลยว่าจะเห็นผมในงานแต่ง ’’
เขาพูดด้วยอารมณ์โกรธบวกกับเครื่องดื่มที่ดื่มไปหลายแก้ว แม้ลุงประสิทธิ์จะขอร้องให้กลับอพาร์ตเมนต์หรูใจกลางเมืองก่อนที่จะไปเมาที่ไหนแต่เขาก็ปฏิเสธ เมื่อลุงยื้อยุดจะให้เขากลับไปด้วยให้ได้ อารามโมโหกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ทิวากรสะบัดจนลุงประสิทธิ์ล้มลงไปกองกับพื้น แต่ยังไม่ทันที่จะยื่นมือเข้าช่วยคนแถวนั้นก็หันมามองเป็นตาเดียวกัน ชายหนุ่มจึงวิ่งออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
หลังจากกลับที่พักแล้วทิวากรสร่างเมาขึ้นมาบ้าง ชายหนุ่มนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง คืนวันก่อนก็เกือบจะไปมีเรื่องกับฝรั่งตัวหนาที่ร้านไทย จนต้องวิ่งหนีกระเจิง แถมอยู่ไม่อยู่ดันมีสาวเสริฟของร้านนั้นเดินสวนทางมา ตอนนั้นไม่รู้มีอะไรดลใจให้เขาลากเจ้าหล่อนไปด้วย และก่อนที่จะทันคิดอะไรเขาก็ขโมยจูบหล่อนไปซะแล้ว จำไม่ได้ว่าหล่อนต่อว่าเขาว่าอะไรบ้าง แต่ก็รู้สึกขบขันที่สาวน้อยผู้นั้นโกรธเคืองเขาอย่างแรงหลังจากเขาแซวหล่อนเล่น ซึ่งก็จำไม่ได้อีกนั่นแหละว่าไปแซวหล่อนว่าอะไร แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่จดจำได้ในภาพหลับคืนนั้นจนแม้กระทั่งถึงตอนนี้ก็คือ สายตาวาววับที่หล่อนจ้องกลับมา รวมถึงใบหน้าสวยกระจ่างแม้จะมีเพียงแสงไฟกับแสงจันทร์สลัวๆ แต่เขาก็มองเห็นว่าหล่อนน่าดูเป็นที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็เถอะเขาแค่รู้สึกสนุกที่ได้แหย่สาวน้อยแปลกหน้าเท่านั้นไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก
นั่งเหม่อสักพักก็ดึงความคิดกลับมาที่เรื่องของตัวเอง ไม่เคยมีครั้งไหนที่พ่อจะจริงจังถึงขั้นประกาศแต่งงานมาก่อนเลย นึกถึงใบหน้าท่าทางของผู้หญิงคนนั้น ณัฐนันท์ แม่ม่ายลูกติดหนึ่งคน ความสวยทรงเสน่ห์ของเธอผูกใจพ่อได้ไม่ยาก และเมื่อนึกย้อนไปเมื่อปีก่อนตอนที่กลับบ้านช่วงปิดเทอม เขาได้เจอณัฐนันท์ที่บ้านกำลังนั่งคุยอยู่กับพ่อก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินทางไปสิงคโปร์ด้วยเรื่องการประชุมธุรกิจระหว่างประเทศ ตอนนั้นเขาเพียงแค่ถามลุงประสิทธิ์ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เมื่อรู้แล้วก็แล้วกันไม่ได้คิดติดใจอะไรเกี่ยวกับแม่ลูกหนึ่งคนนั้นอีกเลย จนกระทั่งได้ข่าวแต่งงานนี้
เมื่อนั่งคิดกลับไปกลับมาเรื่องระหว่างตนเองกับพ่อแล้วก็ตัดสินใจได้ว่าคงจะถึงเวลารื้อฟื้นความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกกันซะที พ่อจะต้องรับรู้ว่าเขามีตัวตนในโลกนี้ในฐานะลูกชายคนเดียว เขาจะไม่ปล่อยให้พ่อไปมีความสุขคนเดียวแล้วทำเหมือนเขากับแม่ได้ตายจากไปแล้วทั้งคู่ เมื่อคิดได้ดังนั้นทิวากรก็ยกหูโทรศัพท์ติดต่อไปหาประสิทธิ์
“ ลุงครับผมขอโทษที่ผลักลุงแล้วยังไม่ช่วยอีก หวังว่าลุงจะไม่โกรธ ’’ ในโลกใบนี้มีเพียงประสิทธิ์เท่านั้นที่ได้เห็นชายหนุ่มในด้านอ่อนโยนและอ่อนไหว
“ ลุงไม่เป็นไรครับคุณทิวาไม่ได้เจ็บตรงไหนเลย ลุงเองก็ไม่ระวังด้วย ”
ประสิทธิ์ตอบเสียงอ่อนโยน ยังไงคราวนี้ก็ต้องเอาตัวคุณทิวากลับไปให้ได้ เขาทนไม่ได้ที่คุณหนูที่เขาเลี้ยงมาจะต้องตกระกำลำบากออกไปหางานทำ ทั้งๆที่ธุรกิจครอบครัวที่มีอยู่ก็มีมูลค่ามายมายมหาศาล ที่สำคัญเขาไม่ยอมให้แม่ม่ายลูกติดคนนั้นมาชุบมือเปิบไปได้หรอก แม้ว่าจะมองออกว่าคุณท่านหลงสาวใหญ่ผู้นั้นมากขนาดไหน และเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ต้องใช้ไม้แข็งกันบ้างล่ะ
“ คุณทิวาครับ ถึงเวลาที่คุณจะต้องกลับไปปกป้องสิทธิ์ที่เป็นของคุณแล้วนะครับ จะทำไม่รู้ไม่ชี้แบบนี้ต่อไปไม่ไหวล่ะครับ ลุงประสิทธิ์คนนี้ก็แก่เกินไปที่จะคอยเป็นหูเป็นตาให้คุณแล้วนะครับ ’’ ชายชราพูดจบก็หยุดพักหายใจรอฟังคำตอบ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการปฏิเสธและตามมาด้วยการโวยวายตามนิสัยเจ้านายน้อยของเขา
“ ผมจะบอกลุงว่าจัดรถมารับได้เลยครับ ผมจะกลับพร้อมกับลุง ข้าวของที่นี่ก็ไม่มากยกให้เพื่อนๆไปก็ได้ ส่วนมหาวิทยาลัยก็ไม่ต้องไปมันแล้ว ที่จริงก็ไม่ค่อยจะไปอยู่แล้ว กลับถึงบ้านค่อยทำเรื่องลาออก ’’ ทิวากรพูดเอื่อยๆ
“ กลับจริงๆหรือครับ คุณทิวาจะกลับพร้อมลุงจริงๆนะ โอย ดีใจจังพ่อคุณ พรุ่งนี้ลุงไปจัดการเรื่องอพาทเมนต์ให้นะครับส่วนตั๋วเครื่องบินลุงเตรียมพร้อมไว้แล้ว ’’ ประสิทธิ์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง คุณทิวาของเขานี่บทจะว่าง่ายก็แสนง่าย บทจะดื้อก็แทบจะต้องกราบกราบกันทีเดียว
หลังจากวางสาย ทิวากรลุกไปยืนพิงหน้าต่างมองออกไปข้างนอก ในเมื่อพ่ออยากให้กลับเขาก็จะกลับ แต่จะกลับไปทำอะไรใช้ชีวิตอย่างไรมันก็เรื่องของเขา และสิ่งเดียวท่ีพ่อไม่มีจะวันบังคับเขาได้แน่ๆก็คือ การยอมรับแม่ใหม่เข้าสู่ครอบครัวตนเอง