Swords and Crown ศึกรัก บัลลังค์เลือด
-
เขียนโดย Lazydoll
วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 16.48 น.
2 บท
0 วิจารณ์
3,708 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 กันยายน พ.ศ. 2561 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) Intro
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในตอนที่จดหมายมาถึงทั้งห้าครอบครัวรอบๆเคอร์เทีย ผู้คนต่างพากันจ้องมอง ตราราชวงศ์สีทองดึงดูดสายตาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว บางคนมาเพื่อชื่นชมอักษร ค ที่หน้ารถลิมูซีน บ้างก็มาเพื่อยืนยันว่า ตนไม่ถูกเลือก มันคือความปรารถนา ความฝัน การได้เข้าพระราชวัง พบเจอองค์รัชทายาท และอาจได้เป็นถึงชายาองค์รัชทายาท
แต่ปฏิกิริยาของผู้ถูกเลือกต่างหาก ที่นักข่าวต้องการ การที่ได้เป็น 1 ใน 5 หญิงสาวอายุ 19-20 ปีที่ได้เข้าวังและแข่งขันเพื่อตำแหน่งราชเลขา มันเป็นเรื่องใหญ่ อย่างแน่นอนที่สุด เมื่อจดหมายมาถึง ปฏิกิริยาก็ต่างกันออกไป
สำหรับหญิงที่โตมาภายในรั้วของพระราชวังเซ็นทารี่อย่างแคโรไลน่า เซ็นทารี่ มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าไหร่นัก ครอบครัวของเธอทำงานในพระราชวัง ถ้าจะมีใครที่รู้ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังแห่งนี้ ก็คือเธอ หลังจากกี่ราชเลขานำจดหมายมาให้เธอในเช้าวันนั้นก่อนจะออกไปส่งให้กับคนอื่นๆในช่วงเย็น เธอก็ใช้เวลาทั้งบ่ายเพื่อเสริมสวยบำรุงผิวพรรณและตัดเครื่องแบบประจำรัฐให้เรียบร้อย เธอไม่สนว่าผู้คนจะพูดยังไง เธอไม่ฟังคำสอนของแม่ ที่เคยเข้าคัดเลือกด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่เธอสน คือทุกคนต้องสนับสนุนเธอ ไม่ใช่อีกสี่คน
เฟย์ อไมนัส กำลังดูแลเด็กสาวตัวน้อยอยู่ในตอนที่เจ้าหน้าที่กรมพระราชวังเดินทางมาถึง จดหมายที่ส่งมาเมื่อสองวันก่อนถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานของเจ้าหล่อน เด็กๆต่างตื่นเต้นดีใจที่รู้ว่าหมอของพวกตนอาจได้เป็นราชินีของตน แทนที่จะเริ่มการขัดสีฉวีวรรณอย่างที่เธอคิดว่าหญิงสาวอีกสี่คนจะต้องทำ เธอยืนยันว่าเธอจะต้องดูแลคนไข้ก่อน
“ดิฉันบอกพวกคุณแล้ว เด็กๆพวกนี้ต้องการความช่วยเหลือ”
“แต่คุณหญิงอไมนัส-“
“ไม่มีแต่ ถ้าอยากให้ชั้นเข้าวัง ก็ช่วยรออย่างเงียบๆด้วยค่ะ”
เฟย์อาจไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงของเธอฟังดูมีอำนาจขนาดใหน
อิซาเบลล่า โรสหวูด กำลังเตรียมตัวขึ้นแสดงบัลเล่ต์ในตอนที่เจ้าหน้าที่กรมพระราชวังแห่กันเข้ามาในคืนของวันที่สองหลังจากที่จดหมายมาถึง ดวงตาเย่อหยิ่งมองดูเหล่าเจ้าหน้าที่และสาวใช้ที่ช่วยเธอเก็บข้าวของ มือเรียวเล็กบรรจงผัดผงไข่มุกลงบนใบหน้านวล จมูกเล็กรั้นยิ่งเชิดสูงเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาอิจฉาของบรรดานักแสดงหลังม่านที่มองมาในขณะที่เธอกำลังไปแสตนบายที่ข้างเวที เธอรู้มาแต่แรกแล้วว่าอย่างเธอต้องไปได้ไกลกว่าการเป็นนักบัลเล่ต์อันดับหนึ่งของเคอร์เทีย ขาเรียวในรองเท้าบัลเล่ต์หัวแข็งวาดลวดลายไปบนเวที เสียงอื้ออึงด้วยความทึ่งดังมาจากผู้ชมไม่ขาดสาย สายตาคมกริบสะกดผู้ชมทุกคนให้อยู่ภายใต้อำนาจเธอ มันไม่สำคัญหรอกว่าอีกสี่คนจะเป็นใคร สำหรับเธอ เธอคือว่าที่ราชินีคนต่อไป และเธอยิ่งมั่นใจ เมื่อเห็นมกุฎราชกุมารนิโคลัส ชาร์มมิ่งในที่นั่งแถวหน้า
“ไม่ มันต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ...”
สำหรับครูสอนประวัติศาสตร์ในแถบชนบทของชาร์มมิ่งแล้ว การได้รับจดหมายเป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างยิ่ง ในตอนแรกลอเรนส์ ชาร์มมิ่งคิดว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะผ่านไปสองวันแล้วแต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่มาที่บ้านของเธอ นั่นทำให้เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกและกลับไปสอนนักเรียนตามเดิม แต่ในวันที่สาม เจ้าหน้าที่จากกรมพระราชวังพร้อมรถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าบ้านของเธอ พวกเขาบอกว่าบ้านเนินเขาของเธอหายากจนทำให้ต้องถามทางอยู่นาน ประกอบกับด้วยทางขึ้นเขานั้นนำรถยนต์ขึ้นคงไม่สะดวกนัก จึงต้องเปลี่ยนเป็นรถม้าแทน ลอเรนส์ไม่ได้อยากไป เธอไม่อยากจะไปแข่งขันกับลูกคุณหนูผู้เพียบพร้อมในวัง เธอมีชีวิตที่สงบสุขที่นี่ ที่เนินเขาแห่งนี้ และสิ่งสุดท้ายที่เธออยากทำคือทิ้งมันไปเพื่อแลกกับความวุ่นวายในสำนักพระราชวัง เธอพร้อมที่จะปฏิเสธ พร้อมที่จะบอกพวกเขาว่าพวกเขามาผิดบ้าน จากนั้นส่งจดหมายไปให้ลูกขุนนางสักคน ที่มีความน่าเชื่อถือพอจะบอกพวกเขาว่าทางพระราชวังพิมพ์ชื่อผิด และให้เธอคนนั้นเข้าวังไปไขว่คว้าหาความฝัน แต่เมื่อมองเห็นความภาคภูมิใจที่แผ่ออกมาจากตัวของพ่อผู้ชราแล้ว สิ่งเดียวที่เธอทำคือพยักหน้าและขึ้นรถม้าไปพระราชวัง เธอไม่ได้ลาพ่ออย่างซาบซึ้ง เธอไม่ได้เก็บของใช้ใดๆไปด้วย เพราะเธอมั่นใจว่าทันทีที่มกุฎราชกุมารนิโคลัสได้เห็นเธอ เธอจะได้กลับบ้านก่อนตะวันตกดินแน่นอน เพราะไม่มีทางที่ว่าที่ผู้ปกครองประเทศสติดีคนใหนจะเลือกครูสอนประวัติศาสตร์จนๆเป็นที่ปรึกษา ด้วยใจที่ตั้งมั่น เธอไม่คิดแม้แต่ที่จะหันกลับมามองบ้านหลังเล็กๆที่ดูเหมือนห้องสมุดของเธอแม้เพียงนิด
“ขอโทษนะ เราจะไปใหนกันเหรอ?”
“ชาร์มมิ่ง”
ลอเรนส์ย่นจมูกเข้าหากัน นายทหารคนนี้จะเย็นชาไปถึงเมื่อไหร่ เมื่อตอนไปรับเธอที่บ้านก็ตอบพ่อเธอน้อยแทบนับคำได้ แถมทุกครั้งที่เธอพูดด้วย เขาก็จะตอบสั้นๆ หรือแค่ชำเลืองตาสีฟ้าซีดมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่แม้แต่จะพูดคุยกับเพื่อนทหารที่มาด้วยกัน
หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยอย่างคนขี้สงสัย จากที่เคยรู้มา เครื่องแบบของทหารมีสีเฉพาะ เช่น กองทัพบกใช้เครื่องแบบสีทอง และสวมชุดปฏิบัติการสีแดง
ทหารที่มารับตัวเธอนั้นสวมเครื่องแบบสีดำ ซึ่งเธอเดาว่าคงเป็นสิ่งที่ทหารจากกรมพระราชวังเขาใส่กัน แต่เครื่องแบบของนายทหารผู้เย็นชาด้านข้างเธอนั้นดูดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเหรียญประดับยศแวววาวที่อกข้างขวา ลอเรนส์หรี่ตาลงทันที
เหอะ! พอเข้าวังแล้ว ต่อให้เขาเป็นถึงผบ.กองทัพไหนก็ต้องเกรงใจเธอที่มีฐานะเสมือนราชเลขา รับใช้แต่ราชวงศ์ คอยดูเถอะ เธอจะง้างปากเขาให้ได้เลย!
เธอจะจำผมสีบลอนด์ซีดกับตาสีฟ้าแสนเย็นชาบนใบหน้าหล่อคมคายไว้ให้ขึ้นใจเลย...
ว่าแล้วหญิงสาวก็เอนหลังลงกับที่นั่งอย่าสบายใจ เห็นทีงานนี้เธออาจจะทำตัวดีๆอยู่วังต่ออีกสักหน่อยดีกว่า
พลอากาศเอกเจมส์ มิลเล็ต... คือชื่อที่เธอได้ยินตอนที่เขาแนะนำตัวกับพ่อของเธอ
ความสนุกเพิ่งเริ่มต้นเองนี่นา
พลเรือเอกมิแรนด้า มิลเล็ตได้รับจดหมายเรียกตัวเป็นคนที่สอง ในช่วงเช้าของวันนั้น เธอและเพื่อนสนิทได้รับเชิญให้เข้าวังไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรือคนใหม่ หลังจากที่สมเด็จพระราชินีเอ็มมาลีน ผู้บัญชาการกองทัพเรือ เสด็จสวรรคตเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เมื่อหมดช่วงไว้ทุกข์ จึงมีการแต่งตั้งมิแรนด้า ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทัพเรือขึ้นมาแทน โดยมีเกรซ มิลเล็ท ผู้เป็นเพื่อนสนิทรับตำแหน่งเลขาส่วนตัวของเธอ
หลังเสร็จสิ้นพิธีการในช่วงเช้า หญิงสาวผู้บัญชาการกองทัพเรือก็ได้ร่วมโต๊ะมื้อกลางวันกับเชื้อพระวงศ์ชายทั้งสองที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะเธอกับเพื่อนสนิทก็เป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าฟ้าชายทั้งสองมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว พวกเธอสนิทกันถึงขนาดที่ว่าสามารถพูดคุยเล่นได้อย่างสบายใจและเข้าออกวังได้ตามต้องการ
บ่ายวันนั้นหลังมื้อน้ำชา นิโคลัสได้นำซองจดหมายสีขาวสะอาดวางบนลงจานแซนด์วิชที่ไม่ถูกใช้งานของมิแรนด้า และคะยั้นคะยอให้เธอเปิดมัน โดยที่พระอนุชาของพระองค์นั้นนั่งจิบชาและมองมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ดวงตาสีฟ้าซีดตามแบบฉบับชาวมิลเล็ตมองสลับไปมาระหว่างหญิงสาวในเครื่องแบบสีขาวและซองจดหมายที่ว่านั้น
“ทรงไม่ได้จะแกล้งหม่อมฉันใช่ใหมเพคะ?” มิแรนด้ามองซองจดหมายนั้นอย่างสงสัยพลางเอ่ยปากถามนิโคลัสที่นั่งยิ้มยู่ตรงหน้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอสงสัยในตัวนิโคลัส เพราะเธอถูกมกุฎราชกุมารหนุ่มแกล้งมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“เถอะน่า คราวนี้เราไม่ได้แกล้งเธอจริงๆนะ” มือใหญ่ของนิโคลัสเอื้อมไปหยิบซองด้วยอารามหมดความอดทนแล้วจักการเปิดมันออกด้วยตนเอง ก่อนจะยัดกระดาษหอมลงในมือของมิแรนด้าและนั่งรอฟังราวเด็กน้อยและนิทานก่อนนอน หญิงสาวส่ายหัวให้ความขี้เล่นของว่าที่ผู้ปกครองประเทศ แม้จะมีอายุที่มากกว่าเธอถึงสี่ปีกว่าๆ แต่ในหลายๆครั้งเธอและพระอนุชาต่างมารดากลับมีความเป็นผู้ใหญ่มากเสียกว่า
“ทางสำนักพระราชวัง ขอเบิกตัวพลเรือเอกมิแรนด้า มิลเล็ต เข้าฝึกงานในฐานะราชเลขาฝึกหัด ให้ย้ายเข้ามาประจำที่พระราชวังเซ็นทารี่ภายในสามวัน” ดวงตาเรียวเล็กลอบมองไปยังใบหน้าเปื้อนยิ้มของมกุฎราชกุมารนิโคลัส สลับกับเจ้าฟ้าชายอีกพระองค์ที่ยังคงมองเธอด้วยสายตาคาดเดาไม่ได้ เช่นที่เคยทำเสมอมา...
“เช่นนี้ให้หม่อมฉันย้ายเข้าวันใหนเพคะ” หญิงสาวเอ่ยปากถาม แม้จะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเดินทางเข้าวังพร้อมอีกสี่คน ขาเรียวสวยทั้งสองข้างไขว้กันอย่างหรูหราหลังจากวางจดหมายลงบนโต๊ะ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับข้ารับใช้ไนวังนี้ จริงๆแล้ว หลายต่อหลายคนกล้าพูดว่าเธอนั้นคล้ายกับพระราชินีเอ็มมาลีนอยู่มากโข ทั้งรูปลักษณ์แบบชาวมิลเล็ตที่ดูราวถอดแบบกันมา ฐานะและตำแหน่งหน้าที่ แม้แต่ความสง่างามเปี่ยมอำนาจ พวกนางในนางกำนัลเชื่อว่าในเคอร์เทียไม่มีใครงามสง่าเหมาะกับมงกุฎราชินีเท่าเธออีกแล้ว
“เย็นนี้เลยก็ได้ ใหนๆเธอก็เข้าๆออกๆวังเป็นปกติอยู่แล้วนี่” นิโคลัสเอ่ยพลางเอนหลังลงกับพนักบุนวมไหมอย่างดี บรรยากาศของห้องนั่งเล่นรวมราชวงศ์เป็นไปอย่างสงบสุขไร้การรบกวน กลิ่นหอมดอกกุหลาบจากรัฐมิลเล็ตหอมฟุ้งไปทั่วห้อง แรกๆนิโคลัสก็ไม่ค่อยชินกับกลิ่นนี้เท่าไหร่ แต่ไม่ได้ขัดอะไรมาก เพราะราชินีเอ็มมาลีนเป็นผู้นำมาไว้เอง และสหายทั้งสองรวมถึงพระอนุชาก็มาจากมิลเล็ต
เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบหินอ่อนดังไล่เข้ามาเรื่อยๆ แม้ว่านิโคลัสจะพยายามไม่สนใจเสียงนั่นมากเท่าไหร่ แต่เสียงนั้นก็ทำให้รู้ได้โดยอัตโนมัติว่ามีภาระให้ต้องสะสาง แม้แต่เจ้าฟ้าชายอีกพระองค์ยังดูเหมือนจะเบี่ยงสายตาไปทางอื่น วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครอยากทำงานเลยสักคน แม้ว่าเสียงรองเท้าส้นสูงนั้นจะมาหยุดอยู่ด้านข้างแล้ว
“ท่านหญิงเวโรนิก้า ไม่ได้เจอกันนานเลยค่ะ” กลายเป็นหน้าที่มิแรนด้าที่ต้องเอ่ยทักทายหญิงสูงวัยผู้เป็นราชเลาขาในตอนนี้ หญิงวัยใกล้ชราส่งรอยยิ้มพอเป็นพิธีให้กับเด็กสาวที่ตนเห็นหน้ามาตั้งแต่เล็กๆ
“มิแรนด้า ดีใจที่ได้พบ” มิแรนด้าอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่ได้รับความเอ็นดูจากราชเลขาสูงวัยคนนี้
มิแรนด้าเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังสีขาวพลางติดสินใจว่าควรกลับบ้านได้แล้ว ประกอบกับการที่เวโรนิก้าเริ่มต้นอธิบายรายละเอียดให้นิโคลัสฟัง ยิ่ทำให้เจ้าหล่อนรู้ตัวว่าหมดหน้าที่ของตนแล้ว หญิงสาวร่างเพรียวทั้งสองค่อยๆผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะถวายความเคารพแก่ว่าที่กษัตริย์ของตน เจ้าฟ้าชายอีกพระองค์ก็หันไปพยักหน้าน้อยๆให้พระเชษฐา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อกลับวังของตนเหมือนกัน แม้นิโคลัสจะงอแงเล็กน้อยให้มิแรนด้าย้ายเข้ามาเย็นวันนี้เลย ทั้งสามก็สัญญาว่าอย่างไรก็จะได้เจอกันอีกในอีกสองวัน พร้อมกับหญิงสาวอีกสี่คน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาถึงหน้าพระราชวัง
“เช่นนั้น หม่อมฉันทูลลา” หญิงสาวเอ่ยกับเจ้าฟ้าชายอีกพระองค์ ขณะที่ทั้งสามกำลังจะแยกกันเพื่อเดินทางกลับบ้าน ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้าน้อยๆ ริมฝีปากนิ่งเป็นเส้นตรง ดวงตาสีฟ้าซีดจ้องไปในตาของหญิงสาวก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้กับเธอ แม้จะเย็นชาประดุจเจ้าชายน้ำแข็ง แต่พระองค์ก็ถือเป็นสุภาพบุรุษรูปงานแงเคอร์เทีย
“เป็นพระกรุณาเพคะ...” มิแรนด้าและเกรซถวายความเคารพชายหนุ่ม ก่อนจะขึ้นไปบนรถของตนเอง ในขณะที่รถกำลังแล่นออกไป ทั้งสองก็มองดูเจ้าฟ้าชายเจมส์ มิลเล็ตมุ่งหน้าไปยังเครื่องบินส่วนพระองค์
“พนันเลยสี่คิงว่าพระองค์จะขับเครื่องบินกลับเอง” มิแรนด้าเอ่ยกับเพื่อนขณะมองดูบุรุษร่างสูงเดินขึ้นเครื่องไปจนลับสายตา
“พนันเลยหกคิงว่าพระองค์กลัวอดใจไม่ไหวถึงไม่ให้เธอขึ้นเครื่องด้วยคราวนี้” เกรซตอบกลับด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ สายตาตวัดมองเพื่อนรักที่ดูจะเติบโตเร็วจนส่วนเว้าโค้งนั้นเห็นเด่นชัดเสียเหลือเกิน ทำเอามิแรนด้าถึงกับสำลักเครื่องดื่มที่เจ้าตัวเพิ่งจะดื่มเข้าไป ดวงตาสีฟ้าซีดตวัดค้อนเพื่อนในทันที
รถลิมูซีนสีดำขลับของมิแรนด้าแล่นออกจากบริเวณพระราชวังอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายคือรัฐมิลเล็ตที่อยู่ทางตะวันตก
ดวงตาคมสีฟ้าซีดจ้องมองรถคันดังกล่าวจนลับสายตา ก่อนจะคาดเข็มขัดที่ที่นั่งนักบินของตน มือหนาขยับไปมา นำเครื่องขึ้นอย่างเชี่ยวชาญ ไม่นาน เครื่องบินคันเล็กก็ทะยานสู่ท้องฟ้า โดยมีจุดหมายเดียวกันคือมิลเล็ต
ในคืนก่อนวันเดินทาง ทั้งนิโคลัส เจมส์ และหญิงสาวทั้งห้า ต่างก็นึกสงสัย ว่า คนที่ตนจะต้องเจอและใช้ชีวิตด้วยนั้น จะเป็นอย่างไร สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องดวงจันทร์ดวงโต ต่างคนต่างจินตนาการว่าคนอื่นๆกำลังเงยหน้ามองจันทร์เช่นตนหรือไม่
แม้จะยังไม่ได้พบกัน แต่ดวงใจก็เริ่มเชื่อมถึงกัน
เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ไม่มีใครรู้ตัวเลยสักนิด
แต่ปฏิกิริยาของผู้ถูกเลือกต่างหาก ที่นักข่าวต้องการ การที่ได้เป็น 1 ใน 5 หญิงสาวอายุ 19-20 ปีที่ได้เข้าวังและแข่งขันเพื่อตำแหน่งราชเลขา มันเป็นเรื่องใหญ่ อย่างแน่นอนที่สุด เมื่อจดหมายมาถึง ปฏิกิริยาก็ต่างกันออกไป
สำหรับหญิงที่โตมาภายในรั้วของพระราชวังเซ็นทารี่อย่างแคโรไลน่า เซ็นทารี่ มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าไหร่นัก ครอบครัวของเธอทำงานในพระราชวัง ถ้าจะมีใครที่รู้ทุกซอกทุกมุมของพระราชวังแห่งนี้ ก็คือเธอ หลังจากกี่ราชเลขานำจดหมายมาให้เธอในเช้าวันนั้นก่อนจะออกไปส่งให้กับคนอื่นๆในช่วงเย็น เธอก็ใช้เวลาทั้งบ่ายเพื่อเสริมสวยบำรุงผิวพรรณและตัดเครื่องแบบประจำรัฐให้เรียบร้อย เธอไม่สนว่าผู้คนจะพูดยังไง เธอไม่ฟังคำสอนของแม่ ที่เคยเข้าคัดเลือกด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่เธอสน คือทุกคนต้องสนับสนุนเธอ ไม่ใช่อีกสี่คน
เฟย์ อไมนัส กำลังดูแลเด็กสาวตัวน้อยอยู่ในตอนที่เจ้าหน้าที่กรมพระราชวังเดินทางมาถึง จดหมายที่ส่งมาเมื่อสองวันก่อนถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานของเจ้าหล่อน เด็กๆต่างตื่นเต้นดีใจที่รู้ว่าหมอของพวกตนอาจได้เป็นราชินีของตน แทนที่จะเริ่มการขัดสีฉวีวรรณอย่างที่เธอคิดว่าหญิงสาวอีกสี่คนจะต้องทำ เธอยืนยันว่าเธอจะต้องดูแลคนไข้ก่อน
“ดิฉันบอกพวกคุณแล้ว เด็กๆพวกนี้ต้องการความช่วยเหลือ”
“แต่คุณหญิงอไมนัส-“
“ไม่มีแต่ ถ้าอยากให้ชั้นเข้าวัง ก็ช่วยรออย่างเงียบๆด้วยค่ะ”
เฟย์อาจไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงของเธอฟังดูมีอำนาจขนาดใหน
อิซาเบลล่า โรสหวูด กำลังเตรียมตัวขึ้นแสดงบัลเล่ต์ในตอนที่เจ้าหน้าที่กรมพระราชวังแห่กันเข้ามาในคืนของวันที่สองหลังจากที่จดหมายมาถึง ดวงตาเย่อหยิ่งมองดูเหล่าเจ้าหน้าที่และสาวใช้ที่ช่วยเธอเก็บข้าวของ มือเรียวเล็กบรรจงผัดผงไข่มุกลงบนใบหน้านวล จมูกเล็กรั้นยิ่งเชิดสูงเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาอิจฉาของบรรดานักแสดงหลังม่านที่มองมาในขณะที่เธอกำลังไปแสตนบายที่ข้างเวที เธอรู้มาแต่แรกแล้วว่าอย่างเธอต้องไปได้ไกลกว่าการเป็นนักบัลเล่ต์อันดับหนึ่งของเคอร์เทีย ขาเรียวในรองเท้าบัลเล่ต์หัวแข็งวาดลวดลายไปบนเวที เสียงอื้ออึงด้วยความทึ่งดังมาจากผู้ชมไม่ขาดสาย สายตาคมกริบสะกดผู้ชมทุกคนให้อยู่ภายใต้อำนาจเธอ มันไม่สำคัญหรอกว่าอีกสี่คนจะเป็นใคร สำหรับเธอ เธอคือว่าที่ราชินีคนต่อไป และเธอยิ่งมั่นใจ เมื่อเห็นมกุฎราชกุมารนิโคลัส ชาร์มมิ่งในที่นั่งแถวหน้า
“ไม่ มันต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ...”
สำหรับครูสอนประวัติศาสตร์ในแถบชนบทของชาร์มมิ่งแล้ว การได้รับจดหมายเป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างยิ่ง ในตอนแรกลอเรนส์ ชาร์มมิ่งคิดว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะผ่านไปสองวันแล้วแต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่มาที่บ้านของเธอ นั่นทำให้เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกและกลับไปสอนนักเรียนตามเดิม แต่ในวันที่สาม เจ้าหน้าที่จากกรมพระราชวังพร้อมรถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าบ้านของเธอ พวกเขาบอกว่าบ้านเนินเขาของเธอหายากจนทำให้ต้องถามทางอยู่นาน ประกอบกับด้วยทางขึ้นเขานั้นนำรถยนต์ขึ้นคงไม่สะดวกนัก จึงต้องเปลี่ยนเป็นรถม้าแทน ลอเรนส์ไม่ได้อยากไป เธอไม่อยากจะไปแข่งขันกับลูกคุณหนูผู้เพียบพร้อมในวัง เธอมีชีวิตที่สงบสุขที่นี่ ที่เนินเขาแห่งนี้ และสิ่งสุดท้ายที่เธออยากทำคือทิ้งมันไปเพื่อแลกกับความวุ่นวายในสำนักพระราชวัง เธอพร้อมที่จะปฏิเสธ พร้อมที่จะบอกพวกเขาว่าพวกเขามาผิดบ้าน จากนั้นส่งจดหมายไปให้ลูกขุนนางสักคน ที่มีความน่าเชื่อถือพอจะบอกพวกเขาว่าทางพระราชวังพิมพ์ชื่อผิด และให้เธอคนนั้นเข้าวังไปไขว่คว้าหาความฝัน แต่เมื่อมองเห็นความภาคภูมิใจที่แผ่ออกมาจากตัวของพ่อผู้ชราแล้ว สิ่งเดียวที่เธอทำคือพยักหน้าและขึ้นรถม้าไปพระราชวัง เธอไม่ได้ลาพ่ออย่างซาบซึ้ง เธอไม่ได้เก็บของใช้ใดๆไปด้วย เพราะเธอมั่นใจว่าทันทีที่มกุฎราชกุมารนิโคลัสได้เห็นเธอ เธอจะได้กลับบ้านก่อนตะวันตกดินแน่นอน เพราะไม่มีทางที่ว่าที่ผู้ปกครองประเทศสติดีคนใหนจะเลือกครูสอนประวัติศาสตร์จนๆเป็นที่ปรึกษา ด้วยใจที่ตั้งมั่น เธอไม่คิดแม้แต่ที่จะหันกลับมามองบ้านหลังเล็กๆที่ดูเหมือนห้องสมุดของเธอแม้เพียงนิด
“ขอโทษนะ เราจะไปใหนกันเหรอ?”
“ชาร์มมิ่ง”
ลอเรนส์ย่นจมูกเข้าหากัน นายทหารคนนี้จะเย็นชาไปถึงเมื่อไหร่ เมื่อตอนไปรับเธอที่บ้านก็ตอบพ่อเธอน้อยแทบนับคำได้ แถมทุกครั้งที่เธอพูดด้วย เขาก็จะตอบสั้นๆ หรือแค่ชำเลืองตาสีฟ้าซีดมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่แม้แต่จะพูดคุยกับเพื่อนทหารที่มาด้วยกัน
หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยอย่างคนขี้สงสัย จากที่เคยรู้มา เครื่องแบบของทหารมีสีเฉพาะ เช่น กองทัพบกใช้เครื่องแบบสีทอง และสวมชุดปฏิบัติการสีแดง
ทหารที่มารับตัวเธอนั้นสวมเครื่องแบบสีดำ ซึ่งเธอเดาว่าคงเป็นสิ่งที่ทหารจากกรมพระราชวังเขาใส่กัน แต่เครื่องแบบของนายทหารผู้เย็นชาด้านข้างเธอนั้นดูดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเหรียญประดับยศแวววาวที่อกข้างขวา ลอเรนส์หรี่ตาลงทันที
เหอะ! พอเข้าวังแล้ว ต่อให้เขาเป็นถึงผบ.กองทัพไหนก็ต้องเกรงใจเธอที่มีฐานะเสมือนราชเลขา รับใช้แต่ราชวงศ์ คอยดูเถอะ เธอจะง้างปากเขาให้ได้เลย!
เธอจะจำผมสีบลอนด์ซีดกับตาสีฟ้าแสนเย็นชาบนใบหน้าหล่อคมคายไว้ให้ขึ้นใจเลย...
ว่าแล้วหญิงสาวก็เอนหลังลงกับที่นั่งอย่าสบายใจ เห็นทีงานนี้เธออาจจะทำตัวดีๆอยู่วังต่ออีกสักหน่อยดีกว่า
พลอากาศเอกเจมส์ มิลเล็ต... คือชื่อที่เธอได้ยินตอนที่เขาแนะนำตัวกับพ่อของเธอ
ความสนุกเพิ่งเริ่มต้นเองนี่นา
พลเรือเอกมิแรนด้า มิลเล็ตได้รับจดหมายเรียกตัวเป็นคนที่สอง ในช่วงเช้าของวันนั้น เธอและเพื่อนสนิทได้รับเชิญให้เข้าวังไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรือคนใหม่ หลังจากที่สมเด็จพระราชินีเอ็มมาลีน ผู้บัญชาการกองทัพเรือ เสด็จสวรรคตเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เมื่อหมดช่วงไว้ทุกข์ จึงมีการแต่งตั้งมิแรนด้า ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทัพเรือขึ้นมาแทน โดยมีเกรซ มิลเล็ท ผู้เป็นเพื่อนสนิทรับตำแหน่งเลขาส่วนตัวของเธอ
หลังเสร็จสิ้นพิธีการในช่วงเช้า หญิงสาวผู้บัญชาการกองทัพเรือก็ได้ร่วมโต๊ะมื้อกลางวันกับเชื้อพระวงศ์ชายทั้งสองที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะเธอกับเพื่อนสนิทก็เป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าฟ้าชายทั้งสองมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว พวกเธอสนิทกันถึงขนาดที่ว่าสามารถพูดคุยเล่นได้อย่างสบายใจและเข้าออกวังได้ตามต้องการ
บ่ายวันนั้นหลังมื้อน้ำชา นิโคลัสได้นำซองจดหมายสีขาวสะอาดวางบนลงจานแซนด์วิชที่ไม่ถูกใช้งานของมิแรนด้า และคะยั้นคะยอให้เธอเปิดมัน โดยที่พระอนุชาของพระองค์นั้นนั่งจิบชาและมองมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ดวงตาสีฟ้าซีดตามแบบฉบับชาวมิลเล็ตมองสลับไปมาระหว่างหญิงสาวในเครื่องแบบสีขาวและซองจดหมายที่ว่านั้น
“ทรงไม่ได้จะแกล้งหม่อมฉันใช่ใหมเพคะ?” มิแรนด้ามองซองจดหมายนั้นอย่างสงสัยพลางเอ่ยปากถามนิโคลัสที่นั่งยิ้มยู่ตรงหน้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอสงสัยในตัวนิโคลัส เพราะเธอถูกมกุฎราชกุมารหนุ่มแกล้งมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“เถอะน่า คราวนี้เราไม่ได้แกล้งเธอจริงๆนะ” มือใหญ่ของนิโคลัสเอื้อมไปหยิบซองด้วยอารามหมดความอดทนแล้วจักการเปิดมันออกด้วยตนเอง ก่อนจะยัดกระดาษหอมลงในมือของมิแรนด้าและนั่งรอฟังราวเด็กน้อยและนิทานก่อนนอน หญิงสาวส่ายหัวให้ความขี้เล่นของว่าที่ผู้ปกครองประเทศ แม้จะมีอายุที่มากกว่าเธอถึงสี่ปีกว่าๆ แต่ในหลายๆครั้งเธอและพระอนุชาต่างมารดากลับมีความเป็นผู้ใหญ่มากเสียกว่า
“ทางสำนักพระราชวัง ขอเบิกตัวพลเรือเอกมิแรนด้า มิลเล็ต เข้าฝึกงานในฐานะราชเลขาฝึกหัด ให้ย้ายเข้ามาประจำที่พระราชวังเซ็นทารี่ภายในสามวัน” ดวงตาเรียวเล็กลอบมองไปยังใบหน้าเปื้อนยิ้มของมกุฎราชกุมารนิโคลัส สลับกับเจ้าฟ้าชายอีกพระองค์ที่ยังคงมองเธอด้วยสายตาคาดเดาไม่ได้ เช่นที่เคยทำเสมอมา...
“เช่นนี้ให้หม่อมฉันย้ายเข้าวันใหนเพคะ” หญิงสาวเอ่ยปากถาม แม้จะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเดินทางเข้าวังพร้อมอีกสี่คน ขาเรียวสวยทั้งสองข้างไขว้กันอย่างหรูหราหลังจากวางจดหมายลงบนโต๊ะ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับข้ารับใช้ไนวังนี้ จริงๆแล้ว หลายต่อหลายคนกล้าพูดว่าเธอนั้นคล้ายกับพระราชินีเอ็มมาลีนอยู่มากโข ทั้งรูปลักษณ์แบบชาวมิลเล็ตที่ดูราวถอดแบบกันมา ฐานะและตำแหน่งหน้าที่ แม้แต่ความสง่างามเปี่ยมอำนาจ พวกนางในนางกำนัลเชื่อว่าในเคอร์เทียไม่มีใครงามสง่าเหมาะกับมงกุฎราชินีเท่าเธออีกแล้ว
“เย็นนี้เลยก็ได้ ใหนๆเธอก็เข้าๆออกๆวังเป็นปกติอยู่แล้วนี่” นิโคลัสเอ่ยพลางเอนหลังลงกับพนักบุนวมไหมอย่างดี บรรยากาศของห้องนั่งเล่นรวมราชวงศ์เป็นไปอย่างสงบสุขไร้การรบกวน กลิ่นหอมดอกกุหลาบจากรัฐมิลเล็ตหอมฟุ้งไปทั่วห้อง แรกๆนิโคลัสก็ไม่ค่อยชินกับกลิ่นนี้เท่าไหร่ แต่ไม่ได้ขัดอะไรมาก เพราะราชินีเอ็มมาลีนเป็นผู้นำมาไว้เอง และสหายทั้งสองรวมถึงพระอนุชาก็มาจากมิลเล็ต
เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบหินอ่อนดังไล่เข้ามาเรื่อยๆ แม้ว่านิโคลัสจะพยายามไม่สนใจเสียงนั่นมากเท่าไหร่ แต่เสียงนั้นก็ทำให้รู้ได้โดยอัตโนมัติว่ามีภาระให้ต้องสะสาง แม้แต่เจ้าฟ้าชายอีกพระองค์ยังดูเหมือนจะเบี่ยงสายตาไปทางอื่น วันนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครอยากทำงานเลยสักคน แม้ว่าเสียงรองเท้าส้นสูงนั้นจะมาหยุดอยู่ด้านข้างแล้ว
“ท่านหญิงเวโรนิก้า ไม่ได้เจอกันนานเลยค่ะ” กลายเป็นหน้าที่มิแรนด้าที่ต้องเอ่ยทักทายหญิงสูงวัยผู้เป็นราชเลาขาในตอนนี้ หญิงวัยใกล้ชราส่งรอยยิ้มพอเป็นพิธีให้กับเด็กสาวที่ตนเห็นหน้ามาตั้งแต่เล็กๆ
“มิแรนด้า ดีใจที่ได้พบ” มิแรนด้าอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่ได้รับความเอ็นดูจากราชเลขาสูงวัยคนนี้
มิแรนด้าเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังสีขาวพลางติดสินใจว่าควรกลับบ้านได้แล้ว ประกอบกับการที่เวโรนิก้าเริ่มต้นอธิบายรายละเอียดให้นิโคลัสฟัง ยิ่ทำให้เจ้าหล่อนรู้ตัวว่าหมดหน้าที่ของตนแล้ว หญิงสาวร่างเพรียวทั้งสองค่อยๆผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะถวายความเคารพแก่ว่าที่กษัตริย์ของตน เจ้าฟ้าชายอีกพระองค์ก็หันไปพยักหน้าน้อยๆให้พระเชษฐา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อกลับวังของตนเหมือนกัน แม้นิโคลัสจะงอแงเล็กน้อยให้มิแรนด้าย้ายเข้ามาเย็นวันนี้เลย ทั้งสามก็สัญญาว่าอย่างไรก็จะได้เจอกันอีกในอีกสองวัน พร้อมกับหญิงสาวอีกสี่คน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาถึงหน้าพระราชวัง
“เช่นนั้น หม่อมฉันทูลลา” หญิงสาวเอ่ยกับเจ้าฟ้าชายอีกพระองค์ ขณะที่ทั้งสามกำลังจะแยกกันเพื่อเดินทางกลับบ้าน ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้าน้อยๆ ริมฝีปากนิ่งเป็นเส้นตรง ดวงตาสีฟ้าซีดจ้องไปในตาของหญิงสาวก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้กับเธอ แม้จะเย็นชาประดุจเจ้าชายน้ำแข็ง แต่พระองค์ก็ถือเป็นสุภาพบุรุษรูปงานแงเคอร์เทีย
“เป็นพระกรุณาเพคะ...” มิแรนด้าและเกรซถวายความเคารพชายหนุ่ม ก่อนจะขึ้นไปบนรถของตนเอง ในขณะที่รถกำลังแล่นออกไป ทั้งสองก็มองดูเจ้าฟ้าชายเจมส์ มิลเล็ตมุ่งหน้าไปยังเครื่องบินส่วนพระองค์
“พนันเลยสี่คิงว่าพระองค์จะขับเครื่องบินกลับเอง” มิแรนด้าเอ่ยกับเพื่อนขณะมองดูบุรุษร่างสูงเดินขึ้นเครื่องไปจนลับสายตา
“พนันเลยหกคิงว่าพระองค์กลัวอดใจไม่ไหวถึงไม่ให้เธอขึ้นเครื่องด้วยคราวนี้” เกรซตอบกลับด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ สายตาตวัดมองเพื่อนรักที่ดูจะเติบโตเร็วจนส่วนเว้าโค้งนั้นเห็นเด่นชัดเสียเหลือเกิน ทำเอามิแรนด้าถึงกับสำลักเครื่องดื่มที่เจ้าตัวเพิ่งจะดื่มเข้าไป ดวงตาสีฟ้าซีดตวัดค้อนเพื่อนในทันที
รถลิมูซีนสีดำขลับของมิแรนด้าแล่นออกจากบริเวณพระราชวังอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายคือรัฐมิลเล็ตที่อยู่ทางตะวันตก
ดวงตาคมสีฟ้าซีดจ้องมองรถคันดังกล่าวจนลับสายตา ก่อนจะคาดเข็มขัดที่ที่นั่งนักบินของตน มือหนาขยับไปมา นำเครื่องขึ้นอย่างเชี่ยวชาญ ไม่นาน เครื่องบินคันเล็กก็ทะยานสู่ท้องฟ้า โดยมีจุดหมายเดียวกันคือมิลเล็ต
ในคืนก่อนวันเดินทาง ทั้งนิโคลัส เจมส์ และหญิงสาวทั้งห้า ต่างก็นึกสงสัย ว่า คนที่ตนจะต้องเจอและใช้ชีวิตด้วยนั้น จะเป็นอย่างไร สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องดวงจันทร์ดวงโต ต่างคนต่างจินตนาการว่าคนอื่นๆกำลังเงยหน้ามองจันทร์เช่นตนหรือไม่
แม้จะยังไม่ได้พบกัน แต่ดวงใจก็เริ่มเชื่อมถึงกัน
เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ไม่มีใครรู้ตัวเลยสักนิด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ