The witch
เขียนโดย Jay9
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 23.53 น.
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2561 00.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) Which one do you want?
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“น้องๆ น้องผู้ชายที่ยืนหันหลังตรงนั้นน่ะ มาเป็นอับดุลให้พี่หน่อยสิ”ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับเพราะคิดว่ามันไร้สาระ ก็มีเสียงเรียกขึ้นมา ผมเลยต้องหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
‘เรียกผมหรอครับ’ผมเอานิ้วชี้มาที่ตัวเองเป็นเชิงว่าเรียกผมหรือเปล่า พี่เค้าเลยตอบกลับมาว่าใช่
“น้องนั่นแหละ มาเป็นอับดุลให้พี่หน่อย”
‘บ้าหรือเปล่า ไม่ได้รู้จักใครในที่นี้เลยด้วยซ้ำจะทายถูกได้ยังไงวะ เอาวะมั่วๆเอาก็ได้ ดีเหมือนกันจะได้เปิดโปงพวกหลอกลวงไปในตัว’
“แล้วผมต้องทำยังไงบ้างอ่ะพี่” ผมถามเค้ากลับ ก่อนที่พี่เค้าจะอธิบายให้ฟังว่าต้องทำยังไงบ้างตามสไตล์โชว์อับดุลทั่วๆไป ขณะที่ผมกำลังหลับตาและรู้สึกว่ามีผ้าเริ่มมาคลุมทั้งตัว พร้อมกับพี่เค้าก็กำลังพูดพึมพำอะไรสักอย่างที่ผมจับใจความในคำพูดเหล่านั้นไม่ได้
“เอาล่ะ อับดุล อับดุลเอ้ย มาหรือยังลูก” ผมแทบจะหลุดขำกับคำที่พี่เค้าพูด ผมต้องเล่นตามน้ำสักหน่อย
“มาแล้วจ้ะ” เฮ้ย แต่เสียงที่ผมพูดมันปกติ ทำไมถึงได้ยินเสียงเด็กแทนล่ะ
‘ผ้าหายไปไหนวะ ทำไมมันโล่งจัง’ ตอนที่ผมตกใจเสียงเด็กนั่นทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองเห็นทุกอย่างเหมือนปกติ ผมพยายามจะขยับร่างกายเพื่อลุกขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้
“อับดุลเอ้ย ไหนบอกพ่อทีสิ ว่าผู้ชายที่ยืนริมซ้ายสุดใส่เสื้อสีอะไร” โห โล่งอย่างนี้ก็ตอบได้สิพี่ ผมตอบตามที่ผมเห็น ก่อนที่พี่เค้าจะถามเจาะลึกไปมากกว่านี้
“ไหนลองทายอะไรสักเรื่องที่เป็นความลับของผู้หญิงคนนั้นสิ”
‘บ้าไปกันใหญ่ จะไปรู้ความลับได้ยัง..งะ..ไง’
“ผู้หญิงคนนี้เป็นมะเร็งที่เต้านมข้างซ้าย เข้ารับการผ่าตัดเมื่อ4ปีที่แล้ว ”
‘เฮ้ยยย กูรู้ได้ยังไงวะ’
เสียงฮือฮาดังอยู่ข้างนอกเป็นการแสดงว่าเรื่องที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง ขณะที่นอนคลุมผ้าอยู่ผมเห็นทุกอย่าง ในสิ่งที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่นอกเหนือจากนั้นผมก็ไม่รู้
การถามอับดุลยังคงต่อเนื่อง ตั้งแต่เรื่องซีเรียสไปจนถึงเรื่องทะลึ่งตึงตัง
“อับดุลเอ้ย ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าใส่กางเกงในสีอะไร”
ทันทีที่พี่เค้าพูดจบ พร้อมกับผมที่มองไปยังชายปริศนาที่ต้องทายเรื่องกางเกงใน จู่ๆภาพที่โล่งแจ้งและสว่างกลับกลายเป็นภาพเอ็กเรย์ที่มองผ่านทะลุเสื้อผ้าภายนอก เห็นจนแทบทั้งหมดเลยโว้ยยยยย
‘โคตร อเมซิ่ง!!!!!’ นี่มันเป็นนวัตกรรมอะไรกัน ผ้าผืนเดียวแต่ทำอะไรได้หลายอย่างมาก นี่มันยิ่งกว่าภาพยนตร์มายากลชื่อดังอีกนะเนี่ย การแสดงที่ผมเรียกว่าปาหี่ได้จบลงพี่เค้าก็ทำอะไรไม่รู้แบบเดิม ก่อนที่ผู้ช่วยพี่เค้าจะมาเก็บอุปกรณ์ต่างๆไป สงสัยผมต้องเปลี่ยนมุมมองและจะขอลองคุยด้วยสักหน่อยก่อนกลับบ้านแล้วล่ะ
“มีเรื่องอยากคุยกับพี่เหรอ”
“ครับ”
“งั้นตามพี่มา” พี่เค้าบอกก่อนจะเดินนำผมเข้าไปที่รถบ้านที่จอดอยู่หลังสถานที่การแสดง
พอเข้ามาข้างในมันก็เหมือนกับรถบ้านทั่วไปที่มีทุกอย่างอยู่ในที่เดียวกันเพื่ออำนวยความสะดวก แต่คันนี้น่าจะแตกต่างเพราะมันดูรกรุงรังไปหมด แทบจะไม่มีทางให้เดิน แต่พี่เค้าก็เดินเข้าไปได้
“อยากให้พี่ช่วยเรื่องที่น้องกำลังหนักใจอยู่ใช่ไหม” ตกใจสิครับ จู่ๆก็ถูกทักกันแบบนี้ ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
“อยากรู้ใช่ป่ะว่าทำไมพี่ถึงรู้ความคิดของน้อง... ก็หน้าน้องมันฟ้องหมดทุกอย่างว่ามีความกังวลอยู่ แต่พี่ไม่รู้หรอกนะว่าน้องอยากจะให้ช่วยเรื่องอะไร ถ้าพี่ช่วยได้ก็จะช่วย ถือเป็นค่าตอบแทนที่มาแสดงให้พี่” พี่แกเดินไปนั่งตรงที่เป็นบาร์ขนาดย่อมที่ด้านหลังมีของอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด
“นั่งตามสบายเลยนะ” ผมมองไปรอบๆตัวก่อนตั้งคำถามกลับในใจว่า พี่มึงจะให้กูนั่งยังไงครับของแม่งรกไปหมด สุดท้ายผมก็ไปเจอเก้าอี้ทรงสูงเลยขยับไปนั่งอยู่ที่หน้าบาร์
“คือผมอยากถามพี่เรื่องที่ผมเป็นอับดุลคือ...”
“อ๋อ เรื่องนี้เหรอ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ใช้ผ้าคลุมแบบสะท้อนเฉยๆ น้องเลยเห็นว่ามันไม่มีอะไรคลุมแต่คนข้างนอกเค้าเห็นเป็นผ้าคลุมปกติ” อ๋อ เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง ไอ่เราก็คิดว่ามีอะไรมากมาย ที่แท้ก็ใช้ทริคมายากลเข้าช่วย ภาพลวงตาสินะ
“แล้วที่รู้เรื่องความลับของผู้หญิงคนนั้นล่ะ”
“พี่ก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าเป็นมะเร็ง แต่น้องนี่ทายถูกนะ เคยเจอเค้ามาก่อนหรือเปล่า” ข้อที่สองยังเป็นความลับอยู่ เหลือแต่ข้อสุดท้าย...
“เอ้อ ว่าแต่น้องอยากให้พี่ช่วยเรื่องอะไรหรอ” วกกลับมาเรื่องนี้จนได้สินะ แต่ช่างเถอะ สนใจข้อเสนออันนี้ดีกว่า
“คือผมมีปัญหากับคนที่ผมเกลียด ผมเกลียดเค้ามากแต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้คนที่ผมเกลียดหายไปจากชีวิตผม”
“น้องก็เลยมาปรึกษาพี่เพราะคิดว่าพี่มีเวทมนต์หรือของวิเศษใช่ไหม” พูดมาขนาดนี้ ผมก็คงจะตอบเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการพยักหน้า
“นี่ น้องพี่จะบอกอะไรไว้อย่างนะ คือพี่ไม่ได้มีเวทย์มนต์หรือของวิเศษอะไรหรอก ที่น้องเห็นทั้งหมดก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นการแสดง แล้วคนที่น้องเกลียดเนี่ย ถ้าเค้าไม่ได้มาอยู่วนเวียนในชีวิตประจำวันของน้องทุกวัน ชนิดที่ตื่นเช้าก็เจอหน้าอะไรทำนองนั้น พี่ขอแนะนำว่าอย่าไปนึกถึงมันอีก เลี่ยงได้ก็เลี่ยงซะ อย่าเอาความเกลียดใครสักคนมาทำให้ชีวิตเราพัง เราต้องมองไปข้างหน้ามองโลกในแง่ดี ถ้าน้องมัวแต่หมกมุ่นกับมัน ความเกลียดมันจะฉุดให้น้องลงเหว พี่บอกได้เท่านี้แหละ” โคตรจะผิดหวังกับคำตอบที่ได้ เฮ้อ เราไม่น่ามาเลยจริงๆ กะไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ รู้งี้เปิดโปงแม่งให้หมด ไอ่พวกหลอกลวง!!! นี่ผมเสียเวลาให้พวกโจรกะล่อนมันหลอกก่อนจะลับบ้านเหรอเนี่ย โชคดีที่ไม่เสียตังค์เพิ่มแต่ถึงยังไงมันก็อาจจะไปหลอกคนอื่นอีกก็ได้ แล้วใครจะเป็นรายต่อไปล่ะ
“งั้นผมคงต้องขอตัวกลับก่อน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังปนประชด คิดว่าจะได้อะไรกลับไปบ้าง แต่กลับถูกหลอกให้พูดเรื่องของตัวเองซะได้
“อ่าว น้อง ไม่เอาของก่อนเหรอ ถือเป็นค่าตอบแทนที่น้องช่วยพี่ไง”
“ของอะไรอีกอ่ะพี่” ผมพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจเพราะอะไรทุกคนคงรู้
“เลือกของจากที่นี่สี่ชิ้น”
“ห้ะ อะไรนะ” ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดเพราะไม่ทันฟัง จนพี่เค้าต้องพูดอีกรอบ
“เลือกของที่ชอบมาสี่ชิ้น จากทั้งหมดในเนี้ย”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ