รักของนายเอกหนังโป๊ [20+]
เขียนโดย ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.03 น.
แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561 20.18 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ตอนที่ 1 ครอบครัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
ตอนที่ 1 ครอบครัว
*****ณ ประเทศ เชนท์คัลเจอร์ประเทศเล็ก ๆ ที่อนุญาตให้สื่อลามกอนาจารเป็นสิ่งถูกกฎหมาย*****
แน่นอนว่าความจำเป็นและช่วงจังหวะในชีวิตของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน และความจำเป็นในช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิตผมก็ได้นำพาให้ผมเข้าสู่อาชีพนี้ อาชีพที่หลาย ๆ คนอาจจะมองว่ามันเป็นอาชีพที่เป็นสีเทาและเป็นอาชีพที่ไม่ได้น่าภูมิใจนัก
ผมเป็นนักแสดงครับ แต่ว่าภาพยนตร์ที่ผมแสดงนั้นไม่ใช่ภาพยนตร์ที่จะสามารถฉายได้ตามโรงภาพยนตร์ทั่ว ๆ ไป เป็นภาพยนตร์ที่กฎหมายของประเทศผมสั่งห้ามจำหน่ายให้กับเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีโดยเด็ดขาด เป็นภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่ หรือจะให้พูดกันง่าย ๆ ก็คือหนังโป๊นั่นแหละครับ และก็เป็นหนังโป๊แนวที่ต้องแสดงบทร่วมรักกันอย่างไม่มีปิดบังระหว่างผู้ชายและผู้ชาย
ถึงแม้ว่าจะมีการควบคุมช่วงอายุของผู้ซื้ออย่างเคร่งครัด แต่ในประเทศของผมภาพยนตร์จำพวกนี้ก็มีลิขสิทธิ์คุ้มครองอย่างถูกต้องและสามารถวางขายได้ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อทั่ว ๆ ไปให้เหล่าคนที่มีอายุถึงเกณฑ์สามารถเลือกซื้อได้อย่างอิสระและถูกกฎหมาย สำหรับแฟน ๆ ภาพยนตร์แนวนี้ในประเทศนี้ก็อาจจะพอคุ้นหน้าคุ้นตาหรือคุ้นชื่อของผมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพราะผลงานของผมแทบจะทุกเรื่องนั้นก็ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทางค่ายหนังในทุกครั้งที่วางจำหน่าย ผม “หนึ่ง รวิกานต์” นักแสดงบทนายเอกจากค่ายฮอตจีวีสตูดิโอ
ถึงแม้ว่าสื่อประเภทนี้จะเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในประเทศของผม แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในประเทศจะยอมรับได้ สังเกตง่าย ๆ ก็จากสายตาแปลก ๆ ที่แอบมองมาที่ผมอยู่ตอนนี้รวมไปถึงเสียงซุบซิบนินทาที่ดังแว่วมาไล่หลัง ราวกับว่าเราเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด หรือเป็นตัวประหลาดในสายตาของพวกเขา ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คนที่ทำอาชีพอย่างผมจะต้องพยายามทำตัวให้ชินและอยู่กับมันให้ได้เพราะเราจะต้องเจอกับมันอยู่เรื่อย ๆ
วันนี้ผมกลับมาที่บ้านของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองเดือน บ้านที่ผมซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแต่ก็เป็นบ้านผมไม่ค่อยจะได้มาเหยียบมันบ่อยนัก ก็เพื่อความสบายใจของสมาชิกคนอื่นในบ้าน สำหรับแม่ของผมท่านเข้าใจถึงความจำเป็นที่ผมจะต้องมาทำอาชีพนี้ แต่สำหรับเจ้าสองน้องชายของผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ก่อนผมกับน้องชายเราเคยสนิทกันมาก แต่ตั้งแต่ผมเข้าสู่วงการหนังจีวีสองก็แทบจะไม่พูดกับผมอีกเลย...
☼☼☼☼☼☼
“อ้าว หนึ่งจะมาทำไมไม่โทรบอกแม่ก่อนล่ะลูก แม่จะได้ทำอาหารที่ลูกชอบไว้รอ” แม่ผมยิ้มร่าหลังจากที่ถูกผมโผเข้าไปทั้งกอดและหอมด้วยความคิดถึง ในการมาเยือนโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า
“ก็ทนคิดถึงแม่ไม่ไหวก็เลยต้องแวะมาหา หนึ่งซื้อกับข้าวมาด้วยนะแม่ ของที่แม่กับเจ้าสองชอบทั้งนั้นเลย”
☼☼☼☼☼☼
“สองมันยังไม่กลับเหรอครับแม่” ผมเอ่ยถามแม่ในตอนที่กำลังช่วยแม่แกะอาหารใส่จาน เย็นป่านนี้แล้วเจ้าสองน่าจะเลิกเรียนตั้งนานแล้วนี่นา แต่ทำไมบ้านยังเงียบราวกับว่ามีแค่ผมกับแม่อยู่กันแค่สองคน
“น้องมันไปทำงานพิเศษน่ะลูก อีกสักพักก็คงจะกลับแล้ว” สองแอบไปทำงานพิเศษอีกแล้วหรือ...
ตอนแรกผมก็แค่คิดว่าอยากจะมาเยี่ยมแม่และขอเจอหน้าน้องสักนิดก็ยังดี แม้ว่าเขาจะไม่ยอมพูดกับผมก็ตาม เพราะทุกครั้งที่ผมบอกแม่ล่วงหน้าว่าจะมาหา สองก็มักจะจงใจหลบหน้าผมอยู่ทุกครั้งไป วันนี้ผมก็เลยเลือกที่จะมาโดยไม่บอกก่อน แต่พอลองคิดดูดี ๆ แล้ว ถ้าผมกลับไปก่อนที่สองจะกลับมามันอาจจะเป็นการดีกว่าก็ได้ สองคงจะไม่อยากเห็นหน้าและไม่อยากแม้แต่จะยุ่งเกี่ยวอะไรกับผมเลยด้วยซ้ำ
“เอ่อ แม่ครับ พอดีหนึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ หนึ่งขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“หนึ่ง แม่รู้นะว่าหนึ่งกลัวว่าสองมันจะไม่พอใจ แต่เราสามคนแม่ลูกไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันมานานแล้วนะลูก อยู่กินข้าวกับแม่กับน้องก่อนเถอะนะ” แม่ว่าพลางวางมือของท่านลงกุมบนมือผม แววตาของแม่ที่มองผมดูเศร้า ผมก็เข้าใจว่าแม่เองก็คงจะทุกข์ใจไม่น้อยที่ลูกทั้งสองคนไม่เข้าใจกัน แต่จะทำอย่างไรได้ก็เจ้าสองมันเกลียดผมไปแล้วนี่ แต่ผมเข้าใจเจ้าสองมันนะ มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ กับการที่จะให้ทำใจยอมรับได้ง่าย ๆ กับการที่พี่ชายของตัวเองมาทำงานแบบนี้
ในเมื่อแม่พูดมาถึงขนาดนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธได้อย่างไร ผมเลยต้องอยู่ทานข้าวกับแม่เพื่อรอการกลับมาของเจ้าสองด้วยใจที่เป็นกังวล
☼☼☼☼☼☼
เมื่อถึงเวลาที่เจ้าสองกลับมาถึงบ้าน ตอนแรกมันก็ดูอารมณ์ดีอยู่หรอกนะ แต่เมื่อน้องมันเห็นหน้าผมที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่กับแม่เท่านั้น สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปในทันที สองเดินผ่านผมไปโดยไม่มองแม้แต่หางตา ราวกับว่าผมเป็นเพียงแค่อากาศที่ไร้ตัวตนในสายตาของมัน
“สอง มากินข้าวกับแม่กับพี่ก่อนสิลูก” แม่ท้วงขึ้นในตอนที่เจ้าสองกำลังจะเดินขึ้นบันได
“กินมาแล้วอ่ะแม่” สองตอบกลับเสียงห้วน ดูเหมือนว่าจะกำลังอารมณ์ไม่ดี คงจะเป็นเพราะผมสินะ
“แม่บอกว่าให้มากินข้าวกับแม่กับพี่เดี๋ยวนี้” ครั้งนี้แม่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แกลมดุเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้สองหยุดชะงักลงได้
สองถอนหายใจด้วยท่าทีที่ดูจะไม่ค่อยจะพอใจนัก ก่อนจะเดินกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยสบอารมณ์ สองวางกระแทกกระเป๋าลงบนโต๊ะเสียงดังจนผมถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าน้องมันไม่ได้เต็มใจจะร่วมโต๊ะอาหารกับผมเลยแม้แต่น้อย แต่ต้องจำใจเพราะว่าขัดแม่ไม่ได้ต่างหาก
ผมไม่รู้เลยว่าเวลานี้ผมควรจะทำหน้าหรือทำตัวอย่างไรดี ผมรู้สึกเหมือนกับว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวในตอนนี้มันดูกระอักกระอ่วนไปหมด อยากจะพูดคุยหรือไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกับเจ้าสองตามประสาพี่น้อง ผมก็ยังไม่กล้าเพราะกลัวจะทำให้สองไม่พอใจ ผมดีใจที่ได้เจอหน้าน้อง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปฏิกิริยาของสองที่ดูอึดอัดอย่างมากเวลาที่ต้องจำใจทานอาหารร่วมโต๊ะกับผมนั้น มันก็ให้ผมรู้สึกเสียใจไม่น้อย
“เอ่อ สองยังทำงานพิเศษอยู่เหรอ พี่เคยบอกแล้วไงให้สองเรียนอย่างเดียวก็พอ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเดี๋ยวพี่ดูแลเอง” ผมเริ่มเอ่ยบทสนทนากับน้องชายที่นั่งก้มหน้าก้มตาทานอาหารอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่มีแม้แต่สักวินาทีที่เจ้าสองจะเหลือบมามองผมบ้างเลย หลังจากที่ผมต้องคิดช่างใจอยู่นานกว่าจะกล้าเอ่ยบทสนทนานั้นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบและบรรยากาศขมุกขมัวที่ปกคลุมล้อมรอบตัวพวกเราอยู่ในเวลานี้
แต่ดูเหมือนว่าบทสนทนาของผมคงจะไม่ค่อยถูกใจหรือถูกอารมณ์ของสองสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากที่สองได้ยินบทสนทนานั้นสองก็โยนช้อนและซ้อมในมือลงบนโต๊ะแล้วหันมามองผมตาขวาง
“กูก็เคยบอกมึงแล้วไง ว่าเงินสกปรกที่มึงได้มาจากการขายตัว ขายศักดิ์ศรี กูจะไม่แตะ”
“สอง” แม่พยายามจะปรามสองที่กำลังตวาดกร้าว แต่ดูท่าทางแล้วตอนนี้อารมณ์ของสองคงจะครุกรุ่นจนเกินกว่าที่แม่จะห้ามปรามได้แล้ว
“แล้วไอ้บ้านของมึงหลังนี้ถ้าแม่ไม่ขอให้กูอยู่ กูก็ไม่อยู่หรอกนะ มึงอย่าสำคัญตัวผิดไปว่ากูต้องอาศัยมึง ลำพังต้องอยู่ในบ้านที่ซื้อมาจากเงินอุบาทว์ทุกวันกูก็แทบจะอ้วกอยู่แล้ว แล้ววันนี้ยังมีตัวอุบาทว์อย่างมึงนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะให้เป็นเสนียดลูกตากูอีก” คำพูดของน้องมันทำเอาผมถึงกับหน้าชา ผมอยากจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนั้นแต่ผมก็ต้องฝืนเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพราะถ้าผมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาแม่คงจะต้องไม่สบายใจมากไปกว่านี้
เจ้าสองคงจะเกลียดผมมากจริง ๆ อาชีพของผมนอกจากมันจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัวไม่ได้แล้ว มันคงจะยังทำให้น้องต้องอับอายคนอื่นอีกด้วยด้วย
“เราจะคุยกันดี ๆ บ้างไม่ได้เลยเหรอ” ผมพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาจากความรู้สึกตัดพ้อ ทั้งพยายามที่จะเก็บกลั้นอารมณ์ไม่ให้น้ำเสียงสั่นเครือ เพราะผมไม่อยากให้แม่และน้องรู้ว่าผมกำลังจะร้องไห้
“มึงไม่มีสิทธิ์จะได้ยินคำพูดดี ๆ จากปากกูตั้งแต่วันที่มึงเข้าสู่วงจรอุบาทว์นั่นแล้ว”
สองปัดจานข้าวตรงหน้ากระเด็นตกลงพื้นจนแตกกระจายก่อนที่น้องมันจะเดินกระทืบเท้าปึงปังขึ้นชั้นสองไปโดยไม่สนใจเสียงต่อว่าจากแม่ที่พูดเสียงดังไล่หลังไป เสียงปิดประตูดังสนั่นจากชั้นบนจนทำเอาผมถึงกับสะดุ้งเฮือก ทั้งที่เราสองคนเคยเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากแท้ ๆ แต่วันนี้ทุกอย่างมันกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ต่อให้ผมอยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับน้องสักเพียงใด มันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าสองมันเกลียดผมฝังใจไปแล้ว
“อย่าไปถือสาน้องเลยนะลูก” แม่พูดกับผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมเห็นแม่น้ำตารื้นขอบตา แม้ว่าในใจผมมันก็กำลังร่ำไห้อยู่เหมือนกัน แต่ผมก็เลือกที่จะฝืนยิ้มให้แม่เพื่อแทนคำที่บอกว่าผมไม่เป็นไรเพราะผมไม่อยากจะให้แม่ทุกข์ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ทั้งที่ความจริงแล้วหัวผมมันเจ็บปวดเหลือเกินกับท่าทีที่เจ้าสองมีต่อผม
☼☼☼☼☼☼
ผมจำไม่ได้ว่าผมกระดกเครื่องดื่มมึนเมาเข้าปากไปเป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้ว เพราะผมรู้แต่เพียงว่านี่น่าจะเป็นวิธีที่จะระบายความอัดอั้นของผมได้ดีที่สุด แม้ว่าเพลงที่เปิดในร้านนี้จะเป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน แต่ความรู้สึกของผมในตอนนี้ไม่ว่าเพลงอะไรที่เข้ามาประทบเข้าหูมันก็กลายเป็นเพลงเศร้าไปเสียหมด ผมไม่รู้ว่าผมควรจะต้องทำอย่างไรที่จะทำให้น้องมันยอมเข้าใจในตัวผมบ้าง แม้สักนิดก็ยังดี
☼☼☼☼☼☼
เรื่องราวในคืนนั้นผมกลับจากการทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสามทุ่มแล้ว เสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาจากทางบ้านของผมทำเอาผมที่กำลังเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์ต้องรีบวิ่งจ้ำอ้าวอย่างตื่นตระหนกเพื่อไปให้ถึงบ้านของตัวเองให้เร็วที่สุด ด้วยดวามเป็นห่วงแม่ที่ตอนนี้น่าจะอยู่บ้านคนเดียว
เมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งที่ผมเจอคือแผงรถเข็นขายข้างแกงของแม่ผมกำลังถูกกลุ่มชายฉกรรจ์รื้อทำลายอย่างไม่ใยดี และแม่ที่พยายามจะร้องห้ามและหยุดการกระทำของคนกลุ่มนั้นก็พลอยถูกทำร้ายไปด้วย
“แม่!” ผมรีบวิ่งเข้าประครองร่างแม่ที่กำลังล้มทรุดอยู่กับพื้น
“นี่มันเรื่องอะไรกันพวกแกเป็นใครแล้วมาทำแบบนี้กับแม่ฉันทำไม”
“ติดหนี้ไว้แล้วคิดจะเบี้ยวมันก็ต้องเจอแบบนี้แหละ” หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ตะคอกใส่หน้าผม ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ไม่เคยรู้ว่าบ้านเรามีหนี้ ผมไม่คิดว่าแม่จะไปรู้จักมักจีกับคนพวกนี้จนถึงขั้นหยิบยืมเงินกันได้เลยด้วยซ้ำ
“จริงเหรอแม่” ผมหันมาถามแม่ที่อยู่ในอ้อมแขนของผมเพื่อความแน่ใจ ถึงจะไม่มีคำพูดใด ๆ ตอบกลับมาจากปากแม่ แต่ท่าทางก้มหน้าก้มตาแล้วร้องไห้อย่างหนักนั้นก็พอจะตอบผมจะแทนคำพูดได้
ผมจำใจต้องปล่อยให้คนพวกนั้นทำลายข้าวของที่ใช้ทำมาหากินของแม่จนหนำใจ ผมทำได้เพียงแค่รั้งตัวแม่เอาไว้ไม่ให้เข้าไปให้ถูกคนพวกนั้นทำร้ายอีก ก่อนจะกลับไปคนพวกนั้นกำชับกับผมว่ามีเวลาให้ผมแค่เจ็ดวันเพื่อหาเงิน ถ้าภายในเจ็ดวันพวกนั้นยังไม่ได้เงินตามที่ต้องการ พวกนั้นจะกลับมาเล่นงานแม่หนักกว่านี้ และพวกมันยังขู่ผมอีกว่าถ้าหากว่าผมคิดแจ้งตำรวจหรือคิดจะแข็งข้อพวกมันจะตามไปเล่นงานเจ้าสองด้วย ซึ่งผมจะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
จำนวนหนี้นั้นทบต้นทบดอกแล้วรวมเป็นเงินเกือบห้าแสน มันเกิดจากตอนที่พ่อผมยังมีชีวิตอยู่ท่านติดสุราและการพนันอย่างหนักซ้ำยังไปกู้ยืมเงินจากผู้มีอิทธิพลเพื่อมาเล่นการพนัน แต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นว่าจำนวนหนี้ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ จากการเสียพนัน หลังจากที่พ่อเสียไปภาระในการรับผิดชอบหนี้ก้อนโตนั้นเลยมาตกอยู่กับแม่ผม หลังจากที่ได้รู้ความจริงจากปากของแม่แล้วผมก็ไม่คิดที่จะโกรธและโทษพ่อหรอกนะ เพราะอย่างไรท่านก็เสียไปแล้ว แต่เงินจำนวนมากมายขนาดนั้นกับเวลาอันน้อยนิดผมจะไปหามาจากไหน ตอนนั้นผมเครียดเหลือเกินกับปัญหาที่แทบจะมองไม่เห็นทางออก
“ฮัลโหล พี่แองจี้ครับช่วงนี้พี่พอจะมีงานให้ผมทำบ้างไหมครับ ผมจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ” ผมตัดสินที่จะต่อสายโทรศัพท์ถึงพี่แองจี้เจ้าของโมเดลลิ่งที่ผมสังกัดอยู่ที่ไม่ได้หยิบยื่นงานให้ผมมานานแสนนานจนผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าผมยังมีสัญญาอยู่ในสังกัดของเขา
“เฮ้อ หนึ่งเข้าใจพี่หน่อยนะ ถึงหนึ่งจะหน้าหล่อ แต่หนึ่งก็ตัวเล็กนี่ หนึ่งก็รู้วงการบ้านเรานิยมแต่นายแบบสูง ๆ ล่ำ ๆ พี่เลยหางานให้หนึ่งไม่ค่อยจะได้ พี่ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ” คำตอบที่พี่แองจี้ตอบกลับมาเป็นสิ่งที่ผมพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าคงจะต้องได้ยินไม่ต่างจากนี้สักเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะโทรหาพี่เขาด้วยความหวังที่คิดว่าน่าจะยังพอมี ถึงแม้จะริบหรี่มากก็ตาม
“แต่ถ้าหนึ่งเดือดร้อนเรื่องเงินและอยากจะทำงานจริง ๆ พี่พอจะมีคอนเนคชั่นกับค่ายหนังค่ายหนึ่ง เขาต้องการแสดงที่ตัวเล็กรูปร่างบอบบางแบบหนึ่งนะ เงินดีมาก และหน้าตาผิวพรรณดีแบบหนึ่งคงคงแคสผ่านได้สบาย ๆ แน่นอน แต่ต้องเปลืองตัวสักหน่อยนะ หนึ่งสนใจไหมล่ะ”
“สนใจครับพี่ ตอนนี้งานอะไรผมรับหมดเลย” ผมรีบตอบกลับอย่างทันควันโดยไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรอง เมื่อพี่แองจี้มีข้อเสนอเรื่องงานขึ้นมา เวลานี้ไม่ว่างานอะไรที่พอจะช่วยครอบครัวของผมได้ ต่อให้จะยากลำบากแค่ไหนผมก็ยินดีที่จะทำทั้งนั้น
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะส่งรายละเอียดให้ทางอีเมลก็แล้วกัน หนึ่งอ่านแล้วก็ลองทบทวนดูดี ๆ นะ คิดดี ๆ คิดถี่ถ้วนแล้วค่อยให้คำตอบพี่ว่าอยากจะทำหรือเปล่า”
หลังจากสิ้นสุดการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างกับผมกับพี่แองจี้ไม่นาน ก็มีเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือของผมว่ามีอีเมลฉบับใหม่เข้ามา ผมรีบเปิดอ่านในทันทีด้วยความหวัง และผมก็ได้พบกับ...
ใบสมัครนักแสดงภาพยนตร์ผู้ใหญ่แนวชายรักชาย.....
ในคราวแรกผมนึกโกรธพี่แองจี้มากที่คิดจะให้ผมไปทำงานแบบนั้น และยังย้ำชัดกับตัวเองว่าจะไม่มีทางที่จะยอมทำงานนี้โดยเด็ดขาด แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปสี่วัน... แม้ว่าผมจะทำงานอย่างหนัก แต่ค่าแรงจากงานเสิร์ฟอาหารที่ผมทำมันก็ไม่ได้มากมายอะไร คิดจะไปขอหยิบยืมใครก็ไม่มีใครที่จะยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ลำพังเงินเก็บที่ผมมีก็ยังไม่ได้สักเสี้ยวหนึ่งของเงินที่คนพวกนั้นต้องการเลยด้วยซ้ำ เหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้นผมจะไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน
หรือว่าผมจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ ....
ผมกดต่อสายโทรศัพท์หาพี่แองจี้ด้วยมือที่สั่นไหว ผมไม่มีเวลาที่จะคิดไตร่ตรองอะไรอีกแล้ว ในเวลานี้ความปลอดภัยของแม่และน้องของผมคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
“พี่แองจี้ครับเรื่องงานที่พี่แนะนำผมมา.......” การที่จะกลั้นใจพูดประโยคสุดท้ายออกไปนั้นทำไมมันถึงได้ยากเย็นเหลือเกินนะ
“..........ผมอยากทำครับ” เมื่อสิ้นคำพูดในประโยคนั้นน้ำตาของผมก็ไหลรินออกมาโดยอัตโนมัติ และนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการหนังจีวีของผม
☼☼☼☼☼☼
หลังจากที่ได้เข้ามาทำอาชีพนี้ ผมใช้เวลาไม่นานก็สามารถปลดหนี้ให้ครอบครัวได้สำเร็จ และได้เรตค่าตัวที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามชื่อเสียงที่ผมได้กลับมาและความต้องการของลูกค้า เมื่อปีก่อนผมก็เพิ่งจะซื้อบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่โตกว้างขว้างและน่าจะอยู่สบายกว่าบ้านหลังเดิมให้แม่กับน้อง ตอนนี้ผมเก็บเงินได้จนถึงจุดที่คิดว่าพอจะสามารถเลี้ยงตัวเองและดูแลแม่กับน้องให้สุขสบายได้แล้ว
แม้ว่าอยากจะเลิกทำอาชีพนี้เต็มทีแล้ว แต่ผมก็ยังไม่สามารถที่จะเลิกตอนนี้ได้ เพราะสัญญาที่ผมเซ็นไว้กับทางค่ายตั้งแต่แรกเริ่มเป็นเวลานานถึงห้าปี และตอนนี้ก็ยังเหลือระยะเวลาอีกเกือบสองปีที่ผมจะต้องทำงานให้กับค่าย ซึ่งผมก็ตั้งใจไว้แน่วแน่แล้วว่าเมื่อถึงเวลาที่ครบกำหนดตามสัญญาเมื่อไหร่ผมจะเลิกอาชีพนี้ทันที และก็ได้แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าสองจะยอมให้อภัยผม
แต่ว่าตอนนี้ผมดื่มมากเกินไปแล้วหรือนี่ อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังอยู่ในอาการมึนเมาอย่างหนักขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เมาในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่เมื่อสักครู่นี้ผมก็ยังประครองสติได้เป็นปกติอยู่แท้ ๆ แต่ทำไมหลังจากที่ผมดื่มแก้มเมื่อครู่นี้เข้าไปผมถึงได้รู้สึกเวียนหัวหนักขนาดนี้นะ ทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวในเวลานี้ไม่ว่าผมจะมองไปทางไหนมันก็ดูพร่ามัวไปหมด อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าหนังตามันหนักอึ้งจนแทบจะแบกเอาไว้ไม่ไหว ทำไมผมถึงเป็นได้ขนาดนี้นะ
ความทรงจำสุดท้ายของผมในตอนที่สติการรับรู้ของผมกำลังจะขาดช่วง คือมีผู้ชายตัวใหญ่สองคนที่ผมคิดว่าไม่น่าจะเคยรู้จักมาก่อนมานั่งประกบข้างผม ก่อนที่ผมจะสิ้นสติไปในที่สุด...
TBC
**ในพาร์ทที่เล่าย้อนอดีตจะทำตัวอักษรเป็นตัวเอียง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ