Spy NOOB ภารกิจร้ายสายลับปลอม
-
เขียนโดย หัวใจวาย
วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 10.47 น.
4 ตอน
0 วิจารณ์
5,771 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561 11.04 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) รีวิวบ้านไม้...โดยนายต่อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ผมยอมรับเลยว่าสี่วันที่ได้อาศัยอยู่ในบ้านไม้หลังนี้ มันแย่สุดๆ (วัดจากมาตรฐานของลูกชายคนสุดท้องของตระกูลอริยะ ที่มั่งคั่ง วงเล็บซ้อนไว้ว่า คหสต)
หนึ่งเลยก็คือ ฟูก...ไม่ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นเลย (ยกเว้นว่าคืนนั้นได้เจ้าของฟูกมาช่วยทำให้หลับ ซึ่งมันก็ได้ผลมากทีเดียว แต่เจ้าของฟูกไม่ได้ว่างทุกคืนนี่นา) ผมก็เลยตื่นสาย ภารกิจก็อาจจะล้มไม่เป็นท่า
สอง บ้านไม้… โดยเฉพาะหลังนี้ มันให้อารมณ์ของหนังผีมากเกินไป ไม่ว่าผมจะเหยียบย่างไปตรงไหน พื้นไม้มันจะดังออดแอดตลอดเวลา ยิ่งถ้าตอนกลางคืนมีเสียงดังแบบนี้ขึ้นมา ผมจะตาสว่างทันที ตอนนี้ใกล้จะเป็นแพนด้าแล้ว
สาม ความเงียบ… ตอนกลางวันบ้านหลังนี้จะเงียบมาก แค่ผมนั่งอยู่ในห้อง ผมจะเกิดสมาธิได้แทบจะทันที ทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตของผมไม่เคยสะกดคำว่าสมาธิได้มาก่อนก็ตาม เหมือนจะเป็นข้อดี...แต่ไม่ใช่สำหรับนายต่อตระกูลคนนี้
สี่ ห้องน้ำรวม… (ข้อนี้ยังบอกไม่ถูกว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย แต่ยังไงมันก็แย่) ผมไม่สบายใจทุกครั้งที่ต้องเข้าห้องน้ำของที่นี่ เพราะ
สี่จุดหนึ่ง ห้องน้ำทั้งแปดห้องมันมืดเกินไป ผมไม่ชอบความมืด มันทำให้มองอะไรไม่เห็น ถึงขนาดที่ว่าผมบอกไม่ถูกว่าตรงมุมห้องนั้นมีกองเชือกหรืองูขดอยู่
สี่จุดสอง เพราะความมืดของมัน ทำให้ผมมองไม่เห็นรูที่จะแอบดูห้องน้ำข้างๆ ไม่ๆ ! ผมพูดผิด ผมกำลังจะบอกว่า เพราะความมืดเลยทำให้ผมบอกไม่ได้ว่าใครกำลังอาบน้ำอยู่ห้องข้างๆ ซึ่งมันจะส่งผลให้ผมตัดสินใจได้ว่าควรจะอาบต่อหรือเลิกอาบ ภารกิจของผมมันต้องทันสินใจได้ทันที
สี่จุดสาม เน้นตัวหนาเลยว่า แย่ที่สุด เพราะความมืดของห้องน้ำ ทำให้ผมไม่เห็นในสิ่งที่ควรจะเห็น ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนที่อยู่ในห้องน้ำข้างๆ คือเป้าหมายที่น่าจับตามอง แต่พอหารูเจอผมกลับมองไม่เห็นอะไรเลย ความดำกับความมืดมันกลืนกันไปหมด
ห้า เสียง… เพราะบ้านไม้หลังนี้กั้นผนังห้องด้วยไม้แผ่นบางๆ ดังนั้นเสียงอะไรต่อมิอะไรจึงดังเข้ามารบกวนได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียงทีวี วิทยุ เสียงพูดคุย (ที่ดังเกินกว่าปกติ) เสียงย่ำเท้าและอีกสารพัดเสียง ซึ่งรวมไปถึงเสียงโหยหวนยามดึก (ซึ่งมันบ่อนทำลายจริยธรรมของผมมากที่สุด) ผมไม่มีสมาธิกับการพักผ่อน ซึ่งมันจะส่งผลกับภารกิจในวันรุ่งขึ้น
เมื่อนับข้อเสียได้ถึงห้าข้อแล้ว ผมคิดว่าผมสามารถหาข้ออ้างหนีไปจากบ้านไม้หลังนี้ได้สบายๆ แต่เนื่องจากผมเป็นคนที่ไม่ชอบสร้างภาระให้เพื่อนและตัวเอง ผมจึงคิดว่าผมจะปล่อยวางข้อเสียพวกนั้นซะและเอาภาพพี่ชายหุ่นล่ำในห้องน้ำมืดตึ๊ดตื๋อมาใช้เป็นตัวล่อใจ...
เอ้ย! มือลั่น เอาใหม่ๆ
ผมคิดว่าผมจะปล่อยวางข้อเสียพวกนั้นซะและเอาหน้าที่การงานที่พี่ธรรม์ฝากฝังมาเป็นสิ่งจูงใจให้ผมปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จ
คิดถึงพี่ธรรม์แล้วผมก็เครียดขึ้นมา ผมเคยคิดว่าผมไม่พร้อมจะเจอพี่ธรรม์ เพราะผมกลัวจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ ก็เขาเป็นถึงหนุ่มในอุดมคติของผมในสมัยนั้นนี่นา แต่พอได้เจอจริงๆ ผมกลับรู้สึกอยากจะปล่อยใจตัวเองให้วิ่งเข้าไปเตะตัดขาแล้วผลักเขาให้ล้มกลิ้ง
คนอะไร? กลมได้ขนาดนั้นน่ะ ฮึ!
ไอ้พี่ธรรม์ แม่งไม่รักษาภาพลักษณ์ตัวเองเลย ผมเข้าใจนะว่างานพี่สบาย เป็นตร. ระดับหัวหน้า นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ แต่… ไมมันอ้วนจังวะ?
ถ้าจะมีอะไรซักอย่างที่ทำให้ผมจำเขาได้ก็คงเป็นตาเยิ้มๆ คู่นั้นน่ะแหละที่ทำให้ผมยังประทับใจอยู่
T – T
18:43 วันเสาร์
ผมมองมาฬิกาบนหลังตู้เก็บของพลางฟังพี่ธรรม์พูดไปด้วย
“พี่มีข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับแหล่งปล่อยยา แต่พี่ไม่มีข้อมูลว่า ใครปล่อย ปล่อยเมื่อไหร่ จำนวนมากน้อยแค่ไหน พี่เลยจำเป็นต้องมีสปายเข้าไปอยู่ในชุมชนนั้น...” พี่ธรรม์พูดกับผมและไอ้ธีหลังจากที่พวกเรากินข้าวเย็นกันแล้ว พี่สะใภ้กับเมียของไอ้ธียังคงนั่งเล่นอยู่ข้างล่าง
ผมนั่งแหมะอยู่บนเก้าอี้ใกล้ระเบียงพลางมองไปรอบๆ ห้องของพี่ธรรม์ ห้องนี้ขนาดไม่แตกต่างจากบ้านไม้ที่ผมอยู่เท่าไร จะดีกว่าก็ตรงที่มันถูกตกแต่งอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นม่านหน้าต่าง พรมปูพื้น ตุ๊กตาหลากหลายสีสันและกลางห้องก็มีเตียงหลังใหญ่น่านอน ซึ่งผมไม่มี!
“ธีมันบอกว่า ต้นเก่งเรื่องการเข้าหาคนแบบเนียนๆ พี่ก็เลยสนใจ เพราะงานนี้ก็แค่เข้าไปตีสนิทกับคนในชุมชนและหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ว่าใคร ทำอะไร หากินกันยังไง ซึ่งทางตำรวจทำไม่ได้ บุคลิกของเรากระด้างเกินไป ใครเห็นก็รู้ทันที” เขาหยุดพูดและยิ้มให้ผม
ผมแทบจะละลายไปกับดวงตาคู่นี้ แต่ติดตรงที่พุงของเขามันใหญ่และเตะตากว่า สถานะการละลายจึงหยุดเพียงแค่นั้น
“พี่จำได้ว่าเราเคยเจอกัน ใช่ไหม?” พี่ธรรม์เปลี่ยนเรื่องคุย “ตอนนั้นต่อยังเป็นเด็กวัดอยู่เลยมั้ง?”
“พี่...” ผมคุยกับเขาแต่ตาหันไปมองไอ้ธี “...รู้ด้วยเหรอว่าผมเคยเป็น… เด็กวัด?”
หมดกัน ภาพลักษณ์กู
“รู้ดิ! ไอ้ธีเล่าให้ฟังหมดแหละ มันมีเพื่อนน้อย เพื่อนดีดียิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ เรื่องของต่อเลยถูกเล่าบ่อยกว่าคนอื่น” เขาพูดและหัวเราะเสียงดังจนพุงกระเด้งดึ๋งๆ
เอาละ! ผมอนุโลมให้ที่พี่ปล่อยตัวอ้วนกลม ผมเริ่มชอบพุงพี่ขึ้นมาละ
ผมมองความดึ๋งดั๋งนั้นและพยายามห้ามความรู้สึกที่อยากขยำ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแมวมันถึงต้องไล่ตะปบเชือกที่เราแกว่งไปมา เพราะมันทนทนไม่ได้นี่เอง อยากเป็นแมวขึ้นมาแล้วดิ
“มันเป็นเพื่อนที่ดีจริงพี่ ผมไม่เถียง แต่มันขี้เกียจจะตาย จบมาสามปีแล้ว ยังไม่หางานเลย...” ไอ้ธีเผาผมทั้งเป็นต่อหน้าพี่พุงกลมของผมมันทำท่ากระซิบกระซาบกับพี่มันอย่างออกรสชาด
ไอ้เพื่อนเลว!! ผมด่ามันด้วยสายตาและก็ได้ผลเฉยเลย มันหยุด แสดงว่ามันยังฉลาดอยู่เหมือนเดิม
“ผมต้องอยู่บ้านดูแล… เอ่อ… ดูแล…” โว๊ะ! ทำไมตอนนี้โกหกไม่ออก ความคิดไม่ลื่นไหลเลย หรือว่าการนอนอยู่บ้านเฉยๆ สามปีทำให้ระดับความสตรอ ลดลง
“ไอ้ขี้โม้” ไอ้ธีพูดแทรกขึ้นมาทั้งๆ ที่ผมยังโกหกไม่เสร็จ
“กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย ไอ้นี่” ผมสวนกลับ ผมเริ่มรู้สึกเกลียดมัน มันชอบทำให้เสียเรื่อง ผมกำลังจะทำคะแนนจากพี่พุงกลมได้อยู่แล้วเชียว ถ้ามันยังอยู่แถวๆ นี้ ผมจะพูดอะไรเว่อร์ๆ ไม่ได้แน่นอน
“ผมดูแลพ่อและเขียนหนังสืออยู่บ้านน่ะครับ” ผมหันไปยิ้มสดใสกับพี่ธรรม์ แม้พื้นที่ของลูกกะตาของเขาจะเล็กกว่าพื้นที่พุง แต่พอได้มองตาของเขาแล้วก็ทำให้รู้สึกสดชื่นดีชะมัด ผิดกับไอ้แว่นนั่น
“จริงดิ? เขียนหนังสือน่ะนะ” เขาถามกลับและยิ้มอย่างจริงใจ ตาของเขาเยิ้มเหมือนเดิม เหมือนกับพี่ผมบังเอิญเห็นเมื่อตอนเรียนมหา’ ลัย ก็นะ คนน่ารัก ต่อให้อ้วนกลมก็ยังน่ารัก
“เขียนแนวไหนล่ะ? พี่อ่านได้มั้ย?”
“ขอหนู เอ้ย! ขอผมปรับสำนวนให้นิ่งก่อนนะครับ พี่ธรรม์จะได้อ่านแน่นอน” ผมตอบกลับเขาไปและยิ้มไม่หุบ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าเลยตอนนั้น
T – T
“เข้าไป!” ไอ้ธีร์เปิดประตูห้องให้ผมและออกคำสั่งห้วนๆ “เร็ว!”
ผมถอนหายใจแรงๆ มันคงลืมตัวไปแล้วมั้งว่ามันเป็นครูไม่ใช่ตำรวจ สลับกันดีมั้ย เอาพี่ธรรม์มาเป็นครูแล้วให้มึงไปเป็นตำรวจ กูว่ามึงคงเติบโตอย่างไว
ผมเดินเข้าไปในห้องที่อึมครึมพลางคลำหาสวิทช์ไฟอย่างเบื่อหน่าย
หลังจากรับงานกับพี่ธรรม์ ไอ้ธีก็ไล่ผมกลับโดยอาสามาส่งผมที่บ้านไม้หลังนี้ ทั้งๆ ที่ในใจผมมีแผนจะชวนพี่พุงกลมของผมคุยต่ออีกซักพักและค่อยออกไปตะลอน กลายเป็นว่าแผนล่ม เพราะมันควบคุมทุกอย่าง
ผมคลำจนเจอสวิทช์ไฟ พอกดไฟติด ผมถึงกับตาลุกเมื่อเห็นลังเวชสำอางถูกวางทิ้งอยู่ข้างที่นอน ผมไม่ได้ลืมเก็บหรอกนะ เพราะผมไม่คิดว่าจะมีใครมาที่ห้อง โดยเฉพาะไอ้ครูฝ่ายปกครองคนนี้
หากมีแค่ขวดสองขวดยังพอจะโกหกได้ แต่ถ้าไอ้ธีมาเห็นทั้งลังแบบนี้ มันต้องถามหาราคาแน่ๆ
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งเข้ามา” ผมหันไปบอกไอ้ธีที่กำลังผลักหลังผมอยู่ “กูลืมเก็บ… กางเกงใน”
“กางเกงใน? แล้วไง? จีสตริงสีชมพูหรือไงถึงต้องอาย? มึงอย่ามาลีลา” มันโวยผมกลับและดันผมแรงขึ้น “เร็วๆ กูไม่ชอบยืนค้ำธรณีประตู!”
เกิดอยากจะมาหัวโบราณอะไรตอนนี้เนี่ยมึ้ง? เมื่อก่อนมึงก็นอนขวางอยู่ทั้งคืน
“ขอห้าวิ นะ” ผมปิดประตูโดยไม่รอให้มันตอบ ก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปยังลังสมบัติหลักแสนของผม ผมยกลังนั้นไปกองรวมกับลังอื่นๆ และสุมแบบเนียนๆ ก่อนจะถอยออกมายืนดูผลงานตัวเอง
“เลยห้าวิแล้ว” ไอ้ธีผลักประตูเข้ามา ผมเห็นมันเม้มปากมอมๆ ของมันและส่ายหน้าสูดหายใจสั้นๆ สองสามครั้ง เหมือนแมวเลยมึง!
“กางเกงในมึงมีกลิ่นหอมด้วย?” มันเลิกคิ้วถามผมและเดินมานั่งที่ฟูก
“มึงนี่ชอบจับผิด” ผมบ่นและเดินไปเปิดพัดลม ซึ่งมันไม่ยอมติด ผมสลับเบอร์กดๆ ๆ ๆ ๆ อยู่หลายครั้งมันก็ยังนิ่ง
“มึงดูปลั๊กด้วยครับ อย่าโง่!” ไอ้ธีพูดเสียงต่ำและชี้มือไปทางรางปลั๊กแบบเซ็งๆ ผมจึงคลานไปที่รางปลั๊กพลางหัวเราะ แหะ แหะ
คิดถึงอับดุลจัง เขาจะรู้ไหมนะว่าผมกำลังลำบาก
“อยู่สบายดีมั้ย?” มันถามและขยับเข้ามาใกล้เมื่อเห็นผมเงียบ
“ดี!” ผมตวาดมันเบาๆ สั้นๆ พลางคิดว่าไม่ใช่ความผิดของมันที่หาบ้านให้ผมได้แค่นี้ แต่มันคงจับสัญญาณได้บางอย่าง มันจึงอ้อมมานั่งข้างหลังและสะกิดด้วยวิธีเอาปลายนิ้วจิ้ม จึ้กจึ้ก
“มีอะไรก็บอกกูได้นะเว้ย” มันบอกผมเบาๆ และเอาก้มหัวเอาหน้าผากซบไหล่โดยไม่มีทีท่าว่างจะเอาออก
เดี๋ยวนะ! มันกำลังปลอบผมใช่ไหม? ผมก็ควรต้องเป็นฝ่ายซบมันดิ หรือยังไง?
“ไม่มีอะไร กูแค่มึนๆ” ผมตอบมันไปอย่างขัดใจ ผมยอมรับนะว่ามันเป็นหนุ่มเซ็กซี่ยั่วยวน แต่มันเอ๋อเกินไปมั้ย? มันควรจะฉลาดกว่านี้ซิหากอยากจะฟันหนุ่มน่ารักอย่างผม สถานการณ์กับโลเคชั่นก็เป็นใจขนาดนี้ เอ...หรือมันรอให้ผมเปิดก่อน?
“กูจะไปอาบน้ำแล้ว” ผมเบื่อที่จะใช้สมองของผมแล้วจึงตัดบท คืนนี้พอเท่านี้ละกัน เหนื่อยละ
“กูเตรียมชุดให้” มันยกตัวขึ้น ผมจึงต้องรีบห้ามมันไว้
“ไม่เป็นไรๆๆ กูเตรียมเอง มึงกลับบ้านเถอะ” ผมบอกมันในลักษณะที่แทบจะเรียกว่าขอร้อง “กลับเนอะ!”
มันพยักหน้าและค่อยๆ เดินออกไปช้าๆ เหมือนกันต้องการมองหาอะไรบางอย่างให้เจอ
ผมยอมรับเลยว่าผมไม่คุ้นกับการใช้ชีวิตสมถะที่ค่อนข้างไปทางอัตคัดขนาดนี้ต่อหน้าไอ้ธี แค่จะเปิดพัดลมผมยังโชว์โง่ให้มันเห็น ยังไม่รวมของที่ต้องซ่อนอีกเยอะแยะที่ผมยังไม่ได้งัดออกมาจากลัง
หากมันยังเดินเข้าออกห้องผมได้อย่างอิสระและทำท่าทาจะรื้อค้นทุกอย่างแบบนี้ ผมคงจะเครียดและเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนทำภารกิจสำเร็จแน่ๆ
แล้วไหนจะท่าทางเหมือนกับอยากจะเข้าหานั่นอีก? หากมันเปิดก่อนจริงๆ ผมจะยอมดีไหมนะ? เริ่มเครียดแล้วซิ
หนึ่งเลยก็คือ ฟูก...ไม่ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นเลย (ยกเว้นว่าคืนนั้นได้เจ้าของฟูกมาช่วยทำให้หลับ ซึ่งมันก็ได้ผลมากทีเดียว แต่เจ้าของฟูกไม่ได้ว่างทุกคืนนี่นา) ผมก็เลยตื่นสาย ภารกิจก็อาจจะล้มไม่เป็นท่า
สอง บ้านไม้… โดยเฉพาะหลังนี้ มันให้อารมณ์ของหนังผีมากเกินไป ไม่ว่าผมจะเหยียบย่างไปตรงไหน พื้นไม้มันจะดังออดแอดตลอดเวลา ยิ่งถ้าตอนกลางคืนมีเสียงดังแบบนี้ขึ้นมา ผมจะตาสว่างทันที ตอนนี้ใกล้จะเป็นแพนด้าแล้ว
สาม ความเงียบ… ตอนกลางวันบ้านหลังนี้จะเงียบมาก แค่ผมนั่งอยู่ในห้อง ผมจะเกิดสมาธิได้แทบจะทันที ทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตของผมไม่เคยสะกดคำว่าสมาธิได้มาก่อนก็ตาม เหมือนจะเป็นข้อดี...แต่ไม่ใช่สำหรับนายต่อตระกูลคนนี้
สี่ ห้องน้ำรวม… (ข้อนี้ยังบอกไม่ถูกว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย แต่ยังไงมันก็แย่) ผมไม่สบายใจทุกครั้งที่ต้องเข้าห้องน้ำของที่นี่ เพราะ
สี่จุดหนึ่ง ห้องน้ำทั้งแปดห้องมันมืดเกินไป ผมไม่ชอบความมืด มันทำให้มองอะไรไม่เห็น ถึงขนาดที่ว่าผมบอกไม่ถูกว่าตรงมุมห้องนั้นมีกองเชือกหรืองูขดอยู่
สี่จุดสอง เพราะความมืดของมัน ทำให้ผมมองไม่เห็นรูที่จะแอบดูห้องน้ำข้างๆ ไม่ๆ ! ผมพูดผิด ผมกำลังจะบอกว่า เพราะความมืดเลยทำให้ผมบอกไม่ได้ว่าใครกำลังอาบน้ำอยู่ห้องข้างๆ ซึ่งมันจะส่งผลให้ผมตัดสินใจได้ว่าควรจะอาบต่อหรือเลิกอาบ ภารกิจของผมมันต้องทันสินใจได้ทันที
สี่จุดสาม เน้นตัวหนาเลยว่า แย่ที่สุด เพราะความมืดของห้องน้ำ ทำให้ผมไม่เห็นในสิ่งที่ควรจะเห็น ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนที่อยู่ในห้องน้ำข้างๆ คือเป้าหมายที่น่าจับตามอง แต่พอหารูเจอผมกลับมองไม่เห็นอะไรเลย ความดำกับความมืดมันกลืนกันไปหมด
ห้า เสียง… เพราะบ้านไม้หลังนี้กั้นผนังห้องด้วยไม้แผ่นบางๆ ดังนั้นเสียงอะไรต่อมิอะไรจึงดังเข้ามารบกวนได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียงทีวี วิทยุ เสียงพูดคุย (ที่ดังเกินกว่าปกติ) เสียงย่ำเท้าและอีกสารพัดเสียง ซึ่งรวมไปถึงเสียงโหยหวนยามดึก (ซึ่งมันบ่อนทำลายจริยธรรมของผมมากที่สุด) ผมไม่มีสมาธิกับการพักผ่อน ซึ่งมันจะส่งผลกับภารกิจในวันรุ่งขึ้น
เมื่อนับข้อเสียได้ถึงห้าข้อแล้ว ผมคิดว่าผมสามารถหาข้ออ้างหนีไปจากบ้านไม้หลังนี้ได้สบายๆ แต่เนื่องจากผมเป็นคนที่ไม่ชอบสร้างภาระให้เพื่อนและตัวเอง ผมจึงคิดว่าผมจะปล่อยวางข้อเสียพวกนั้นซะและเอาภาพพี่ชายหุ่นล่ำในห้องน้ำมืดตึ๊ดตื๋อมาใช้เป็นตัวล่อใจ...
เอ้ย! มือลั่น เอาใหม่ๆ
ผมคิดว่าผมจะปล่อยวางข้อเสียพวกนั้นซะและเอาหน้าที่การงานที่พี่ธรรม์ฝากฝังมาเป็นสิ่งจูงใจให้ผมปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จ
คิดถึงพี่ธรรม์แล้วผมก็เครียดขึ้นมา ผมเคยคิดว่าผมไม่พร้อมจะเจอพี่ธรรม์ เพราะผมกลัวจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ ก็เขาเป็นถึงหนุ่มในอุดมคติของผมในสมัยนั้นนี่นา แต่พอได้เจอจริงๆ ผมกลับรู้สึกอยากจะปล่อยใจตัวเองให้วิ่งเข้าไปเตะตัดขาแล้วผลักเขาให้ล้มกลิ้ง
คนอะไร? กลมได้ขนาดนั้นน่ะ ฮึ!
ไอ้พี่ธรรม์ แม่งไม่รักษาภาพลักษณ์ตัวเองเลย ผมเข้าใจนะว่างานพี่สบาย เป็นตร. ระดับหัวหน้า นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ แต่… ไมมันอ้วนจังวะ?
ถ้าจะมีอะไรซักอย่างที่ทำให้ผมจำเขาได้ก็คงเป็นตาเยิ้มๆ คู่นั้นน่ะแหละที่ทำให้ผมยังประทับใจอยู่
T – T
18:43 วันเสาร์
ผมมองมาฬิกาบนหลังตู้เก็บของพลางฟังพี่ธรรม์พูดไปด้วย
“พี่มีข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับแหล่งปล่อยยา แต่พี่ไม่มีข้อมูลว่า ใครปล่อย ปล่อยเมื่อไหร่ จำนวนมากน้อยแค่ไหน พี่เลยจำเป็นต้องมีสปายเข้าไปอยู่ในชุมชนนั้น...” พี่ธรรม์พูดกับผมและไอ้ธีหลังจากที่พวกเรากินข้าวเย็นกันแล้ว พี่สะใภ้กับเมียของไอ้ธียังคงนั่งเล่นอยู่ข้างล่าง
ผมนั่งแหมะอยู่บนเก้าอี้ใกล้ระเบียงพลางมองไปรอบๆ ห้องของพี่ธรรม์ ห้องนี้ขนาดไม่แตกต่างจากบ้านไม้ที่ผมอยู่เท่าไร จะดีกว่าก็ตรงที่มันถูกตกแต่งอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นม่านหน้าต่าง พรมปูพื้น ตุ๊กตาหลากหลายสีสันและกลางห้องก็มีเตียงหลังใหญ่น่านอน ซึ่งผมไม่มี!
“ธีมันบอกว่า ต้นเก่งเรื่องการเข้าหาคนแบบเนียนๆ พี่ก็เลยสนใจ เพราะงานนี้ก็แค่เข้าไปตีสนิทกับคนในชุมชนและหาข้อมูลไปเรื่อยๆ ว่าใคร ทำอะไร หากินกันยังไง ซึ่งทางตำรวจทำไม่ได้ บุคลิกของเรากระด้างเกินไป ใครเห็นก็รู้ทันที” เขาหยุดพูดและยิ้มให้ผม
ผมแทบจะละลายไปกับดวงตาคู่นี้ แต่ติดตรงที่พุงของเขามันใหญ่และเตะตากว่า สถานะการละลายจึงหยุดเพียงแค่นั้น
“พี่จำได้ว่าเราเคยเจอกัน ใช่ไหม?” พี่ธรรม์เปลี่ยนเรื่องคุย “ตอนนั้นต่อยังเป็นเด็กวัดอยู่เลยมั้ง?”
“พี่...” ผมคุยกับเขาแต่ตาหันไปมองไอ้ธี “...รู้ด้วยเหรอว่าผมเคยเป็น… เด็กวัด?”
หมดกัน ภาพลักษณ์กู
“รู้ดิ! ไอ้ธีเล่าให้ฟังหมดแหละ มันมีเพื่อนน้อย เพื่อนดีดียิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ เรื่องของต่อเลยถูกเล่าบ่อยกว่าคนอื่น” เขาพูดและหัวเราะเสียงดังจนพุงกระเด้งดึ๋งๆ
เอาละ! ผมอนุโลมให้ที่พี่ปล่อยตัวอ้วนกลม ผมเริ่มชอบพุงพี่ขึ้นมาละ
ผมมองความดึ๋งดั๋งนั้นและพยายามห้ามความรู้สึกที่อยากขยำ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแมวมันถึงต้องไล่ตะปบเชือกที่เราแกว่งไปมา เพราะมันทนทนไม่ได้นี่เอง อยากเป็นแมวขึ้นมาแล้วดิ
“มันเป็นเพื่อนที่ดีจริงพี่ ผมไม่เถียง แต่มันขี้เกียจจะตาย จบมาสามปีแล้ว ยังไม่หางานเลย...” ไอ้ธีเผาผมทั้งเป็นต่อหน้าพี่พุงกลมของผมมันทำท่ากระซิบกระซาบกับพี่มันอย่างออกรสชาด
ไอ้เพื่อนเลว!! ผมด่ามันด้วยสายตาและก็ได้ผลเฉยเลย มันหยุด แสดงว่ามันยังฉลาดอยู่เหมือนเดิม
“ผมต้องอยู่บ้านดูแล… เอ่อ… ดูแล…” โว๊ะ! ทำไมตอนนี้โกหกไม่ออก ความคิดไม่ลื่นไหลเลย หรือว่าการนอนอยู่บ้านเฉยๆ สามปีทำให้ระดับความสตรอ ลดลง
“ไอ้ขี้โม้” ไอ้ธีพูดแทรกขึ้นมาทั้งๆ ที่ผมยังโกหกไม่เสร็จ
“กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย ไอ้นี่” ผมสวนกลับ ผมเริ่มรู้สึกเกลียดมัน มันชอบทำให้เสียเรื่อง ผมกำลังจะทำคะแนนจากพี่พุงกลมได้อยู่แล้วเชียว ถ้ามันยังอยู่แถวๆ นี้ ผมจะพูดอะไรเว่อร์ๆ ไม่ได้แน่นอน
“ผมดูแลพ่อและเขียนหนังสืออยู่บ้านน่ะครับ” ผมหันไปยิ้มสดใสกับพี่ธรรม์ แม้พื้นที่ของลูกกะตาของเขาจะเล็กกว่าพื้นที่พุง แต่พอได้มองตาของเขาแล้วก็ทำให้รู้สึกสดชื่นดีชะมัด ผิดกับไอ้แว่นนั่น
“จริงดิ? เขียนหนังสือน่ะนะ” เขาถามกลับและยิ้มอย่างจริงใจ ตาของเขาเยิ้มเหมือนเดิม เหมือนกับพี่ผมบังเอิญเห็นเมื่อตอนเรียนมหา’ ลัย ก็นะ คนน่ารัก ต่อให้อ้วนกลมก็ยังน่ารัก
“เขียนแนวไหนล่ะ? พี่อ่านได้มั้ย?”
“ขอหนู เอ้ย! ขอผมปรับสำนวนให้นิ่งก่อนนะครับ พี่ธรรม์จะได้อ่านแน่นอน” ผมตอบกลับเขาไปและยิ้มไม่หุบ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าเลยตอนนั้น
T – T
“เข้าไป!” ไอ้ธีร์เปิดประตูห้องให้ผมและออกคำสั่งห้วนๆ “เร็ว!”
ผมถอนหายใจแรงๆ มันคงลืมตัวไปแล้วมั้งว่ามันเป็นครูไม่ใช่ตำรวจ สลับกันดีมั้ย เอาพี่ธรรม์มาเป็นครูแล้วให้มึงไปเป็นตำรวจ กูว่ามึงคงเติบโตอย่างไว
ผมเดินเข้าไปในห้องที่อึมครึมพลางคลำหาสวิทช์ไฟอย่างเบื่อหน่าย
หลังจากรับงานกับพี่ธรรม์ ไอ้ธีก็ไล่ผมกลับโดยอาสามาส่งผมที่บ้านไม้หลังนี้ ทั้งๆ ที่ในใจผมมีแผนจะชวนพี่พุงกลมของผมคุยต่ออีกซักพักและค่อยออกไปตะลอน กลายเป็นว่าแผนล่ม เพราะมันควบคุมทุกอย่าง
ผมคลำจนเจอสวิทช์ไฟ พอกดไฟติด ผมถึงกับตาลุกเมื่อเห็นลังเวชสำอางถูกวางทิ้งอยู่ข้างที่นอน ผมไม่ได้ลืมเก็บหรอกนะ เพราะผมไม่คิดว่าจะมีใครมาที่ห้อง โดยเฉพาะไอ้ครูฝ่ายปกครองคนนี้
หากมีแค่ขวดสองขวดยังพอจะโกหกได้ แต่ถ้าไอ้ธีมาเห็นทั้งลังแบบนี้ มันต้องถามหาราคาแน่ๆ
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งเข้ามา” ผมหันไปบอกไอ้ธีที่กำลังผลักหลังผมอยู่ “กูลืมเก็บ… กางเกงใน”
“กางเกงใน? แล้วไง? จีสตริงสีชมพูหรือไงถึงต้องอาย? มึงอย่ามาลีลา” มันโวยผมกลับและดันผมแรงขึ้น “เร็วๆ กูไม่ชอบยืนค้ำธรณีประตู!”
เกิดอยากจะมาหัวโบราณอะไรตอนนี้เนี่ยมึ้ง? เมื่อก่อนมึงก็นอนขวางอยู่ทั้งคืน
“ขอห้าวิ นะ” ผมปิดประตูโดยไม่รอให้มันตอบ ก่อนจะวิ่งปรู๊ดไปยังลังสมบัติหลักแสนของผม ผมยกลังนั้นไปกองรวมกับลังอื่นๆ และสุมแบบเนียนๆ ก่อนจะถอยออกมายืนดูผลงานตัวเอง
“เลยห้าวิแล้ว” ไอ้ธีผลักประตูเข้ามา ผมเห็นมันเม้มปากมอมๆ ของมันและส่ายหน้าสูดหายใจสั้นๆ สองสามครั้ง เหมือนแมวเลยมึง!
“กางเกงในมึงมีกลิ่นหอมด้วย?” มันเลิกคิ้วถามผมและเดินมานั่งที่ฟูก
“มึงนี่ชอบจับผิด” ผมบ่นและเดินไปเปิดพัดลม ซึ่งมันไม่ยอมติด ผมสลับเบอร์กดๆ ๆ ๆ ๆ อยู่หลายครั้งมันก็ยังนิ่ง
“มึงดูปลั๊กด้วยครับ อย่าโง่!” ไอ้ธีพูดเสียงต่ำและชี้มือไปทางรางปลั๊กแบบเซ็งๆ ผมจึงคลานไปที่รางปลั๊กพลางหัวเราะ แหะ แหะ
คิดถึงอับดุลจัง เขาจะรู้ไหมนะว่าผมกำลังลำบาก
“อยู่สบายดีมั้ย?” มันถามและขยับเข้ามาใกล้เมื่อเห็นผมเงียบ
“ดี!” ผมตวาดมันเบาๆ สั้นๆ พลางคิดว่าไม่ใช่ความผิดของมันที่หาบ้านให้ผมได้แค่นี้ แต่มันคงจับสัญญาณได้บางอย่าง มันจึงอ้อมมานั่งข้างหลังและสะกิดด้วยวิธีเอาปลายนิ้วจิ้ม จึ้กจึ้ก
“มีอะไรก็บอกกูได้นะเว้ย” มันบอกผมเบาๆ และเอาก้มหัวเอาหน้าผากซบไหล่โดยไม่มีทีท่าว่างจะเอาออก
เดี๋ยวนะ! มันกำลังปลอบผมใช่ไหม? ผมก็ควรต้องเป็นฝ่ายซบมันดิ หรือยังไง?
“ไม่มีอะไร กูแค่มึนๆ” ผมตอบมันไปอย่างขัดใจ ผมยอมรับนะว่ามันเป็นหนุ่มเซ็กซี่ยั่วยวน แต่มันเอ๋อเกินไปมั้ย? มันควรจะฉลาดกว่านี้ซิหากอยากจะฟันหนุ่มน่ารักอย่างผม สถานการณ์กับโลเคชั่นก็เป็นใจขนาดนี้ เอ...หรือมันรอให้ผมเปิดก่อน?
“กูจะไปอาบน้ำแล้ว” ผมเบื่อที่จะใช้สมองของผมแล้วจึงตัดบท คืนนี้พอเท่านี้ละกัน เหนื่อยละ
“กูเตรียมชุดให้” มันยกตัวขึ้น ผมจึงต้องรีบห้ามมันไว้
“ไม่เป็นไรๆๆ กูเตรียมเอง มึงกลับบ้านเถอะ” ผมบอกมันในลักษณะที่แทบจะเรียกว่าขอร้อง “กลับเนอะ!”
มันพยักหน้าและค่อยๆ เดินออกไปช้าๆ เหมือนกันต้องการมองหาอะไรบางอย่างให้เจอ
ผมยอมรับเลยว่าผมไม่คุ้นกับการใช้ชีวิตสมถะที่ค่อนข้างไปทางอัตคัดขนาดนี้ต่อหน้าไอ้ธี แค่จะเปิดพัดลมผมยังโชว์โง่ให้มันเห็น ยังไม่รวมของที่ต้องซ่อนอีกเยอะแยะที่ผมยังไม่ได้งัดออกมาจากลัง
หากมันยังเดินเข้าออกห้องผมได้อย่างอิสระและทำท่าทาจะรื้อค้นทุกอย่างแบบนี้ ผมคงจะเครียดและเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนทำภารกิจสำเร็จแน่ๆ
แล้วไหนจะท่าทางเหมือนกับอยากจะเข้าหานั่นอีก? หากมันเปิดก่อนจริงๆ ผมจะยอมดีไหมนะ? เริ่มเครียดแล้วซิ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ