Spy NOOB ภารกิจร้ายสายลับปลอม
-
เขียนโดย หัวใจวาย
วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 10.47 น.
4 ตอน
0 วิจารณ์
5,769 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561 11.04 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) อนิจจา ชีวิตนอกคฤหาสน์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “ฮะพ่อ หนูถึงห้องพักแล้ว” ผมส่งเสียงลงไปในโทรศัพท์พลางมองไปรอบๆ ห้องไม้เล็กๆ สีน้ำตาลที่แคบบบบบบ โคตรจะแคบห้องนี้
“สวยมากฮะ ที่นอนกว้างพอๆ กะในห้องหนูเลย แต่ตู้เสื้อผ้ากะทีวีเล็กไปหน่อย มีโซฟาเดย์เบดด้วย… ก็ใช้ได้ฮะ น่านอนอยู่ ฮ่า ฮ่า” ผมหัวเราะต่อท้ายอย่างอารมณ์ดี
พ่อจะว่าไงนะหากเขารู้ว่า ที่ผมพูดไปน่ะ ไม่มีเลยซ้กกะอย่าง
ห้องไม้ที่เพื่อนผมหาให้ เป็นห้องไม้เก่าๆ แคบๆ ไม่มีอะไรเลย แต่เพื่อนผมมันเพิ่งเอาฟูก หมอน ผ้าห่ม โต๊ะตัวเล็กพร้อมเบาะรองนั่งและพัดลมมาเตรียมไว้ให้
และตอนนี้มันก็นั่งทำหน้าสงสัยอยู่บนฟูกนั่น
สาเหตุที่ผมยอมหนีตามมันออกมาก็แค่อยากจะรู้ว่า การหนีตามผู้ชายมันให้ฟีลลิ่งแบบไหน ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่คุ้ม หากผมต้องมาอยู่กับใครซักคนในห้องเล็กร้อนๆ แบบนี้ ผมคงแห้งตายก่อนเบญจเพส
เพียงแต่ผมเจรจากับพ่อและพี่ชายทั้งสี่เรียบร้อยแล้วก่อนจะออกมา ผมจึงสามารถหอบข้าวของเล็กน้อยของผมออกมาได้อย่างชิลๆ แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดที่บอกไปคือเรื่องโกหก
“หือ? ห้องน้ำ? ทำไมเหรอฮะ?” ผมอึ้งที่พ่อถามถึงห้องน้ำ แล้วผมก็ต้องอึ้งกว่า เมื่อพบว่า…
ห้องน้ำไม่มี!!!
ผมมองรอบห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ไม่ว่าจะให้คนตาดีขนาดไหนมามอง ผมก็พนันได้ว่าเขาจะไม่เห็นโถชักโครกซักอันเดียวในห้องนี้
“เอ่อ… ขอหนูดูแป๊บนะ...” ผมแกล้งทำเป็นขอเวลา ในขณะที่ถลึงตามองหน้าเพื่อนตัวแสบ มันหาบ้านเช่าให้ผมแต่ดันเป็นบ้านเช่าแบบที่ไม่มีห้องน้ำในตัว
ไอ้เลว!!
แต่เรื่องโกหกของผมต้องดำเนินต่อไป
“เจ๋งฮะ เจ๋งมากทีเดียว” ผมกรอกข้อมูลผิดๆ ลงไปในโทรศัพท์เพื่อหลอกบุพการีที่รัก “ไม่กว้างเท่าไร แต่ก็… อ๋อ! สะอาดฮะ เยี่ยมมากเลย หนูอยากให้พ่อมาดูเองจัง ฮี่ ฮี่”
ผมอยากจะร้องไห้เมื่อพ่อกำชับให้ดูแลตัวเองก่อนจะวางสายไป
ทำไมพ่อผมถึงเชื่อง่ายแบบนี้นะ?
“อะไรคือเดย์เบดวะ? โซฟา?” ไอ้เพื่อนตัวแสบมันถามผมขึ้นทันที
“ไอ้ธี!!” ผมปรี่เข้าไปนั่งยองด้านหน้ามันและจับไหล่มันเขย่า อยากจะเขย่าแรงๆ ๆ ๆ ให้หัวมันหลุดแต่ตัวมันหนักเกิน “ทำไมห้องกูเป็นแบบนี้?”
“เอ๊า!! มึง” ไอ้ธีส่งเสียงออกมาอย่างแปลกใจ “ตอนเรียนมึงก็บอกว่าอยู่ห้องแบบนี้นี่หว่า กูก็เลย...”
มันทำตาโตอยู่หลังแว่นพลางยักไหล่ด้วยอาการน่าเตะ
“เอ่อ… เดี๋ยวนะ” ผมมองหน้ามันพลางทบทวนเรื่องราวในอดีตที่แสนนาน ปรากฏว่า… ว่างเปล่า ผมจำอะไรไม่ได้เลย “กูบอกแบบนี้ งั้นเหรอ?”
“ก็มึงเล่าว่าเคยอยู่วัด… สองเดือนหรือไงนี่แหละ แต่วัดมันไกล มึงก็เลยหลังจากออกจากวัดมาหาบ้านเช่าอยู่ แบบนี้เลย!!” มันเล่าด้วยใบหน้าจริงจังและใช้มือตบพื้น แปะ แปะ อย่างแข็งขัน
ผมถึงกับทรุดนั่งกับพื้น ผมยอมรับว่าผมจำอะไรที่โกหกไปเมื่อหกเจ็ดปีที่แล้วไม่ได้เลยซักกะอย่าง ชีวิตผมคงโกหกเยอะเกินไปหน่อยแล้ว ไม่ๆ ผมไม่ได้โกหกเยอะ แค่โกหกนานไปหน่อย
“อะไรคือเดย์เบด” มันยังไม่จบประเด็น แถมยังขยับเข้าใกล้แบบที่ ‘ไอ้ธี’ คนเมื่อสามสี่ปีที่แล้วจะไม่ทำเด็ดขาด แต่เอาเถอะ มันก็แค่ขยับเข้าใกล้ ผมจึงไม่ควรทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม
“ก็เตียงน่ะแหละ พ่อกูใช้นอนเล่นตอนกลางวัน เดย์ไงเดย์ แปลว่ากลางวัน” ผมตอบไปแบบมั่วๆ เอาจริงๆ ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้โซฟาเดย์เบดที่พ่อผมซื้อมาเต็มบ้าน มันต่างจากโซฟาไนท์เบดยังไง
“แล้วเตียงกูล่ะ?” ผมจ้องมันอย่างอาฆาต “มึงจะให้ดูนอนพื้นไม่ได้นะโว้ย”
“เอิ่ม...” คราวนี้มันไม่ยอมตอบผม แค่ส่งเสียงออกมาเบาๆ แถมยังหลบตาอีก
“อย่าลีลา กูรอฟังอยู่” ผมถอนหายใจสั้นๆ และมองไปรอบๆ อีกครั้ง
บ้านนี้ตอนกลางคืนคงอุดอู้และน่ากลัวไม่น้อย ผมคงต้องนอนเปิดหน้าต่างเอาไว้ ไม่งั้นคงอึดอัดแย่ แต่ถ้าเปิดจะมีใครปีนขึ้นมาหรือเปล่าล่ะ? แต่ถ้าปิดมันจะร้อนมั้ย? ผมไม่เคยนอนที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตัวเองมาก่อน นี่จะเป็นการนอนนอกคฤหาสน์ครั้งแรก แถมไม่มีอดุลย์คอยคุ้มกันอีกด้วย เป็นอิสระครั้งแรกในชีวิต ผมตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ
“ก็เผื่อแฟนมึงมาหาไง” มันตอบผมกลับมาเบาๆ ผมจึงจ้องมันอีกครั้ง ผมยังไม่เห็นว่าอะไรคือประเด็นที่มันอยากจะสื่อ
“แล้ว… ยังไง?” ผมถามมันกลับและจ้องเขม็ง “ถ้าแฟนกูมาแล้วยังไง? เกี่ยวยังไงกะที่กูอยากได้เตียง?” ผมโวยวายมันที่ยังนั่งนิ่ง
แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามา ผมรู้สึกขำตัวเองที่อยู่ๆ ‘เรื่องทะลึ่งของเด็กหอ’ ก็โผล่มาตอบคำถามแทนไอ้เพื่อนตัวแสบ
“ไอ้เพื่อนเลว” ผมด่ามันและหัวเราะ
“กูเลวยังไง? กูแค่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเสียงเตียงโยกตอนดึกๆ นี่บ้านไม้นะโว้ย แค่เสียงครางของมึง...” มันเถียงกลับและหยุด ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
ผมรู้ว่ามันจะพูดอะไร ถึงแม้มันจะแกล้งขู่ผมด้วยการส่งภาษากายแบบเซ็กซี่หรือกล้าขยับเข้าใกล้ผมมากขึ้น ขึ้นแต่มันก็ยังรักษาน้ำใจเพื่อนอยู่ดี
“มึงแต่งงานแล้วดิ?” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยพลางจับข้อมือซ้ายของมันพลิกไปมา “แหวนสวยดี”
แหวนเงินเกลี้ยงมีเพชรเม็ดเล็กประดับ สวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายที่แข็งกระด้าง ฝ่ามือของไอ้ธีให้ความรู้สึกของคนที่ผ่านการทำงานหนักมาพอสมควร มันคล้ำและหยาบแต่ผมก็ไม่อยากปล่อยมือของมัน
“อืม ตั้งแต่เรียนจบน่ะแหละ” มันตอบกลับมาและทำหน้าครุ่นคิด “กูขอโทษที่ไม่บอก กูมีเหตุผลของกู” มันเป็นฝ่ายพลิกมือมาจับมือของผมไว้แทน แรงบีบเบาๆ ของมันให้ความรู้สึกหลายอย่าง แต่ผมจะโฟกัสไปที่ความู้้สึกของเพื่อนละกัน เราจับมือกันในฐานะเพื่อนเก่า
“กูรู้” ผมตอบมันเบาๆ “มึงกลัวว่ากูจะไม่มีเงินใส่ซอง ถ้ามึงส่งการ์ดเชิญมาให้ ใช่ป่ะล่ะ? มึงขี้เกรงใจจะตาย”
“ห๊ะ?” มันส่งเสียงออกมาพลางมองหน้าผมอย่างสงสัย “อื้อ! ใช่ก็ได้ ช่ายยยย” มันพูดต่อพลางโยกหัวไปด้วย แต่แววตามันบอกชัดว่าผมพูดผิด
“ว่างๆ ก็ชวนกูไปกินข้างบ้านมึงมั่งดิ กูอยากรู้จักเมียมึง” ผมชวนมันคุยต่อ ถึงแม้เรื่องที่ชวนคุยจะไม่ใช่ประเด็นที่อยากคุยจริงๆ ก็ตาม
ไอ้ธีมองหน้าผมผ่านแว่นตากรอบเหลี่ยมของมัน ผมดูใบหน้าของมันแล้วแยกไม่ออกว่ามันกำลังยินดีหรืออึดอึด
“ถ้ามึงสะดวกอะนะ” ผมต่อให้จบประโยค มันจึงยักไหล่และยิ้ม
“เอาดิ! ยังไงมึงก็ต้องไปเจอนายจ้างของมึงอยู่แล้ว” มันตอบและโอบไหล่ผม “วันเสาร์นี้ว่างใช่ป่ะ? พี่กูอยู่บ้าน เขาคงอยากเจอมึง”
“ว่าง” ผมเริ่มรู้สึกหนักใจกับการรับงานขึ้นมาทันทีที่เอ่ยถึงพี่ธรรม์
ผมไม่ค่อยอยากเจอหน้าพี่ธรรม์ พี่ชายของไอ้ธีเท่าไร จะพูดว่าไม่ชอบก็ดูเหมือนโกหกตัวเอง จริงๆ แล้วผมชอบหน้าพี่ธรรม์ของไอ้ธีมาก ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่บังเอิญได้เจอ ชอบถึงถึงขนาดที่ผมมักจะหาเรื่องไปเจอเขาแบบบังเอิญอีกหลายๆ ครั้งจนเรียนจบ ผมรู้สึกดีใจที่ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้โดยไม่มีอะไรให้ต้องผิดใจกันกับพี่น้องคู่นี้
แต่หากต้องไปเจอตอนนี้ ผมไม่มั่นใจว่าผมจะควบคุมตัวเองอยู่ เพราะตอนนี้ผมกลายเป็นคนเอาแต่ใจไปซะแล้ว หากผมรู้สึกชอบ ผมก็ต้องอยากได้และเมื่ออยากได้ผมก็จะพยายามทำทุกวิธีที่จะได้มา
“กู้รู้ว่ามึงอยากเจอพี่ธรรม์” ไอ้ธีพูดกับผมเหมือนจะพยายามเดาใจ มันนั่งแยกขาคล่อมตัวผมอยู่ห่างๆ ทางด้านข้าง ร่างกายที่เป็นบักถึกของมันดูคุกคามผมมากที่สุดในรอบสามปี
หากมองในฐานะเพื่อนแล้ว ท่านั่งคล่อมแบบที่มันทำกับผมอยู่นี้ก็อาจจะดูแปลกและใกล้ชิดเกินไป แต่สำหรับผมแล้วไม่แปลกเท่าไร การที่มันกล้านั่งใกล้ผมนี่ตะหากที่แปลก
“ไม่แน่ใจว่ะ กูก็ลืมพี่ธรรม์ไปแล้วด้วย” ผมตอบไปโดยไม่มอง ผมกลับมาเป็นคนชอบโกหกอีกแล้วตั้งแต่รับโทรศัพท์จากมันวันก่อน
T – T
ปัญหาของผมตอนนี้ก็คือ พอเราได้ออกมาอยู่คนเดียวโดยไร้คนคอยควบคุมพฤิตกรรม เราก็ชอบทำตัวแย่ ผมเองก็เช่นกัน
คืนนั้น ตอนที่ผมกำลังนอนกลิ้งกลุกๆ อยู่บนฟูกนุ่มๆ ที่ปูบนพื้นห้อง มันเก่าจนสีเปลี่ยนไปแล้วแต่ก็หอมใช้ได้ ผมกำลังจำแนกอยู่ว่ามันเคยเป็นสีอะไรระหว่างสีเทากับสีเท๊าเทา อยู่ๆ โทรศัพท์ร้องดังขึ้นมา ใครบางคนส่งข้อความมาหาผม ผมต้องรีบอ่านและตอบกลับไปภายในหนึ่งนาทีนี้
‘ของทุกอย่างในห้องมึงเป็นของใหม่หมด ยกเว้นฟูก หมอนและผ้าห่ม สามอย่างนี้เป็นของกู คืนนี้คืนแรกอาจจะนอนไม่หลับ แต่สบายใจได้ กูอยู่ข้างๆ มึง’
ผมอ่านแล้วรู้สึกขอบใจมันมากๆ ผมจึงพิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆ
“กูคิดว่าคืนนี้กูคงฝันดี มึงก็ด้วย ขอบใจนะ”
ผมอ่านทวนข้อความของมันอีกครั้ง ก่อนจะปิดโทรศัพท์และโยนไปข้างๆ แล้วก็มานอนนึกในใจ
โทษที คืนนี้มึงไม่ได้นอนข้างกูหรอกนะ เพราะตอนนี้กูนอนอยู่บนฟูกคนอื่นว่...
ผมคิดได้เพียงเท่านั้น อยู่ๆ ร่างหนาของชายผมสีเข้มที่มีสีขาวแซมก็ทาบทับลงมา ก่อนจะบดปากของผมด้วยปากที่มีกลิ่นเบียร์เจืออยู่
“สวยมากฮะ ที่นอนกว้างพอๆ กะในห้องหนูเลย แต่ตู้เสื้อผ้ากะทีวีเล็กไปหน่อย มีโซฟาเดย์เบดด้วย… ก็ใช้ได้ฮะ น่านอนอยู่ ฮ่า ฮ่า” ผมหัวเราะต่อท้ายอย่างอารมณ์ดี
พ่อจะว่าไงนะหากเขารู้ว่า ที่ผมพูดไปน่ะ ไม่มีเลยซ้กกะอย่าง
ห้องไม้ที่เพื่อนผมหาให้ เป็นห้องไม้เก่าๆ แคบๆ ไม่มีอะไรเลย แต่เพื่อนผมมันเพิ่งเอาฟูก หมอน ผ้าห่ม โต๊ะตัวเล็กพร้อมเบาะรองนั่งและพัดลมมาเตรียมไว้ให้
และตอนนี้มันก็นั่งทำหน้าสงสัยอยู่บนฟูกนั่น
สาเหตุที่ผมยอมหนีตามมันออกมาก็แค่อยากจะรู้ว่า การหนีตามผู้ชายมันให้ฟีลลิ่งแบบไหน ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่คุ้ม หากผมต้องมาอยู่กับใครซักคนในห้องเล็กร้อนๆ แบบนี้ ผมคงแห้งตายก่อนเบญจเพส
เพียงแต่ผมเจรจากับพ่อและพี่ชายทั้งสี่เรียบร้อยแล้วก่อนจะออกมา ผมจึงสามารถหอบข้าวของเล็กน้อยของผมออกมาได้อย่างชิลๆ แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดที่บอกไปคือเรื่องโกหก
“หือ? ห้องน้ำ? ทำไมเหรอฮะ?” ผมอึ้งที่พ่อถามถึงห้องน้ำ แล้วผมก็ต้องอึ้งกว่า เมื่อพบว่า…
ห้องน้ำไม่มี!!!
ผมมองรอบห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ไม่ว่าจะให้คนตาดีขนาดไหนมามอง ผมก็พนันได้ว่าเขาจะไม่เห็นโถชักโครกซักอันเดียวในห้องนี้
“เอ่อ… ขอหนูดูแป๊บนะ...” ผมแกล้งทำเป็นขอเวลา ในขณะที่ถลึงตามองหน้าเพื่อนตัวแสบ มันหาบ้านเช่าให้ผมแต่ดันเป็นบ้านเช่าแบบที่ไม่มีห้องน้ำในตัว
ไอ้เลว!!
แต่เรื่องโกหกของผมต้องดำเนินต่อไป
“เจ๋งฮะ เจ๋งมากทีเดียว” ผมกรอกข้อมูลผิดๆ ลงไปในโทรศัพท์เพื่อหลอกบุพการีที่รัก “ไม่กว้างเท่าไร แต่ก็… อ๋อ! สะอาดฮะ เยี่ยมมากเลย หนูอยากให้พ่อมาดูเองจัง ฮี่ ฮี่”
ผมอยากจะร้องไห้เมื่อพ่อกำชับให้ดูแลตัวเองก่อนจะวางสายไป
ทำไมพ่อผมถึงเชื่อง่ายแบบนี้นะ?
“อะไรคือเดย์เบดวะ? โซฟา?” ไอ้เพื่อนตัวแสบมันถามผมขึ้นทันที
“ไอ้ธี!!” ผมปรี่เข้าไปนั่งยองด้านหน้ามันและจับไหล่มันเขย่า อยากจะเขย่าแรงๆ ๆ ๆ ให้หัวมันหลุดแต่ตัวมันหนักเกิน “ทำไมห้องกูเป็นแบบนี้?”
“เอ๊า!! มึง” ไอ้ธีส่งเสียงออกมาอย่างแปลกใจ “ตอนเรียนมึงก็บอกว่าอยู่ห้องแบบนี้นี่หว่า กูก็เลย...”
มันทำตาโตอยู่หลังแว่นพลางยักไหล่ด้วยอาการน่าเตะ
“เอ่อ… เดี๋ยวนะ” ผมมองหน้ามันพลางทบทวนเรื่องราวในอดีตที่แสนนาน ปรากฏว่า… ว่างเปล่า ผมจำอะไรไม่ได้เลย “กูบอกแบบนี้ งั้นเหรอ?”
“ก็มึงเล่าว่าเคยอยู่วัด… สองเดือนหรือไงนี่แหละ แต่วัดมันไกล มึงก็เลยหลังจากออกจากวัดมาหาบ้านเช่าอยู่ แบบนี้เลย!!” มันเล่าด้วยใบหน้าจริงจังและใช้มือตบพื้น แปะ แปะ อย่างแข็งขัน
ผมถึงกับทรุดนั่งกับพื้น ผมยอมรับว่าผมจำอะไรที่โกหกไปเมื่อหกเจ็ดปีที่แล้วไม่ได้เลยซักกะอย่าง ชีวิตผมคงโกหกเยอะเกินไปหน่อยแล้ว ไม่ๆ ผมไม่ได้โกหกเยอะ แค่โกหกนานไปหน่อย
“อะไรคือเดย์เบด” มันยังไม่จบประเด็น แถมยังขยับเข้าใกล้แบบที่ ‘ไอ้ธี’ คนเมื่อสามสี่ปีที่แล้วจะไม่ทำเด็ดขาด แต่เอาเถอะ มันก็แค่ขยับเข้าใกล้ ผมจึงไม่ควรทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม
“ก็เตียงน่ะแหละ พ่อกูใช้นอนเล่นตอนกลางวัน เดย์ไงเดย์ แปลว่ากลางวัน” ผมตอบไปแบบมั่วๆ เอาจริงๆ ผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้โซฟาเดย์เบดที่พ่อผมซื้อมาเต็มบ้าน มันต่างจากโซฟาไนท์เบดยังไง
“แล้วเตียงกูล่ะ?” ผมจ้องมันอย่างอาฆาต “มึงจะให้ดูนอนพื้นไม่ได้นะโว้ย”
“เอิ่ม...” คราวนี้มันไม่ยอมตอบผม แค่ส่งเสียงออกมาเบาๆ แถมยังหลบตาอีก
“อย่าลีลา กูรอฟังอยู่” ผมถอนหายใจสั้นๆ และมองไปรอบๆ อีกครั้ง
บ้านนี้ตอนกลางคืนคงอุดอู้และน่ากลัวไม่น้อย ผมคงต้องนอนเปิดหน้าต่างเอาไว้ ไม่งั้นคงอึดอัดแย่ แต่ถ้าเปิดจะมีใครปีนขึ้นมาหรือเปล่าล่ะ? แต่ถ้าปิดมันจะร้อนมั้ย? ผมไม่เคยนอนที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตัวเองมาก่อน นี่จะเป็นการนอนนอกคฤหาสน์ครั้งแรก แถมไม่มีอดุลย์คอยคุ้มกันอีกด้วย เป็นอิสระครั้งแรกในชีวิต ผมตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าควรจะดีใจหรือเสียใจ
“ก็เผื่อแฟนมึงมาหาไง” มันตอบผมกลับมาเบาๆ ผมจึงจ้องมันอีกครั้ง ผมยังไม่เห็นว่าอะไรคือประเด็นที่มันอยากจะสื่อ
“แล้ว… ยังไง?” ผมถามมันกลับและจ้องเขม็ง “ถ้าแฟนกูมาแล้วยังไง? เกี่ยวยังไงกะที่กูอยากได้เตียง?” ผมโวยวายมันที่ยังนั่งนิ่ง
แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามา ผมรู้สึกขำตัวเองที่อยู่ๆ ‘เรื่องทะลึ่งของเด็กหอ’ ก็โผล่มาตอบคำถามแทนไอ้เพื่อนตัวแสบ
“ไอ้เพื่อนเลว” ผมด่ามันและหัวเราะ
“กูเลวยังไง? กูแค่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเสียงเตียงโยกตอนดึกๆ นี่บ้านไม้นะโว้ย แค่เสียงครางของมึง...” มันเถียงกลับและหยุด ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
ผมรู้ว่ามันจะพูดอะไร ถึงแม้มันจะแกล้งขู่ผมด้วยการส่งภาษากายแบบเซ็กซี่หรือกล้าขยับเข้าใกล้ผมมากขึ้น ขึ้นแต่มันก็ยังรักษาน้ำใจเพื่อนอยู่ดี
“มึงแต่งงานแล้วดิ?” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยพลางจับข้อมือซ้ายของมันพลิกไปมา “แหวนสวยดี”
แหวนเงินเกลี้ยงมีเพชรเม็ดเล็กประดับ สวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายที่แข็งกระด้าง ฝ่ามือของไอ้ธีให้ความรู้สึกของคนที่ผ่านการทำงานหนักมาพอสมควร มันคล้ำและหยาบแต่ผมก็ไม่อยากปล่อยมือของมัน
“อืม ตั้งแต่เรียนจบน่ะแหละ” มันตอบกลับมาและทำหน้าครุ่นคิด “กูขอโทษที่ไม่บอก กูมีเหตุผลของกู” มันเป็นฝ่ายพลิกมือมาจับมือของผมไว้แทน แรงบีบเบาๆ ของมันให้ความรู้สึกหลายอย่าง แต่ผมจะโฟกัสไปที่ความู้้สึกของเพื่อนละกัน เราจับมือกันในฐานะเพื่อนเก่า
“กูรู้” ผมตอบมันเบาๆ “มึงกลัวว่ากูจะไม่มีเงินใส่ซอง ถ้ามึงส่งการ์ดเชิญมาให้ ใช่ป่ะล่ะ? มึงขี้เกรงใจจะตาย”
“ห๊ะ?” มันส่งเสียงออกมาพลางมองหน้าผมอย่างสงสัย “อื้อ! ใช่ก็ได้ ช่ายยยย” มันพูดต่อพลางโยกหัวไปด้วย แต่แววตามันบอกชัดว่าผมพูดผิด
“ว่างๆ ก็ชวนกูไปกินข้างบ้านมึงมั่งดิ กูอยากรู้จักเมียมึง” ผมชวนมันคุยต่อ ถึงแม้เรื่องที่ชวนคุยจะไม่ใช่ประเด็นที่อยากคุยจริงๆ ก็ตาม
ไอ้ธีมองหน้าผมผ่านแว่นตากรอบเหลี่ยมของมัน ผมดูใบหน้าของมันแล้วแยกไม่ออกว่ามันกำลังยินดีหรืออึดอึด
“ถ้ามึงสะดวกอะนะ” ผมต่อให้จบประโยค มันจึงยักไหล่และยิ้ม
“เอาดิ! ยังไงมึงก็ต้องไปเจอนายจ้างของมึงอยู่แล้ว” มันตอบและโอบไหล่ผม “วันเสาร์นี้ว่างใช่ป่ะ? พี่กูอยู่บ้าน เขาคงอยากเจอมึง”
“ว่าง” ผมเริ่มรู้สึกหนักใจกับการรับงานขึ้นมาทันทีที่เอ่ยถึงพี่ธรรม์
ผมไม่ค่อยอยากเจอหน้าพี่ธรรม์ พี่ชายของไอ้ธีเท่าไร จะพูดว่าไม่ชอบก็ดูเหมือนโกหกตัวเอง จริงๆ แล้วผมชอบหน้าพี่ธรรม์ของไอ้ธีมาก ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่บังเอิญได้เจอ ชอบถึงถึงขนาดที่ผมมักจะหาเรื่องไปเจอเขาแบบบังเอิญอีกหลายๆ ครั้งจนเรียนจบ ผมรู้สึกดีใจที่ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้โดยไม่มีอะไรให้ต้องผิดใจกันกับพี่น้องคู่นี้
แต่หากต้องไปเจอตอนนี้ ผมไม่มั่นใจว่าผมจะควบคุมตัวเองอยู่ เพราะตอนนี้ผมกลายเป็นคนเอาแต่ใจไปซะแล้ว หากผมรู้สึกชอบ ผมก็ต้องอยากได้และเมื่ออยากได้ผมก็จะพยายามทำทุกวิธีที่จะได้มา
“กู้รู้ว่ามึงอยากเจอพี่ธรรม์” ไอ้ธีพูดกับผมเหมือนจะพยายามเดาใจ มันนั่งแยกขาคล่อมตัวผมอยู่ห่างๆ ทางด้านข้าง ร่างกายที่เป็นบักถึกของมันดูคุกคามผมมากที่สุดในรอบสามปี
หากมองในฐานะเพื่อนแล้ว ท่านั่งคล่อมแบบที่มันทำกับผมอยู่นี้ก็อาจจะดูแปลกและใกล้ชิดเกินไป แต่สำหรับผมแล้วไม่แปลกเท่าไร การที่มันกล้านั่งใกล้ผมนี่ตะหากที่แปลก
“ไม่แน่ใจว่ะ กูก็ลืมพี่ธรรม์ไปแล้วด้วย” ผมตอบไปโดยไม่มอง ผมกลับมาเป็นคนชอบโกหกอีกแล้วตั้งแต่รับโทรศัพท์จากมันวันก่อน
T – T
ปัญหาของผมตอนนี้ก็คือ พอเราได้ออกมาอยู่คนเดียวโดยไร้คนคอยควบคุมพฤิตกรรม เราก็ชอบทำตัวแย่ ผมเองก็เช่นกัน
คืนนั้น ตอนที่ผมกำลังนอนกลิ้งกลุกๆ อยู่บนฟูกนุ่มๆ ที่ปูบนพื้นห้อง มันเก่าจนสีเปลี่ยนไปแล้วแต่ก็หอมใช้ได้ ผมกำลังจำแนกอยู่ว่ามันเคยเป็นสีอะไรระหว่างสีเทากับสีเท๊าเทา อยู่ๆ โทรศัพท์ร้องดังขึ้นมา ใครบางคนส่งข้อความมาหาผม ผมต้องรีบอ่านและตอบกลับไปภายในหนึ่งนาทีนี้
‘ของทุกอย่างในห้องมึงเป็นของใหม่หมด ยกเว้นฟูก หมอนและผ้าห่ม สามอย่างนี้เป็นของกู คืนนี้คืนแรกอาจจะนอนไม่หลับ แต่สบายใจได้ กูอยู่ข้างๆ มึง’
ผมอ่านแล้วรู้สึกขอบใจมันมากๆ ผมจึงพิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆ
“กูคิดว่าคืนนี้กูคงฝันดี มึงก็ด้วย ขอบใจนะ”
ผมอ่านทวนข้อความของมันอีกครั้ง ก่อนจะปิดโทรศัพท์และโยนไปข้างๆ แล้วก็มานอนนึกในใจ
โทษที คืนนี้มึงไม่ได้นอนข้างกูหรอกนะ เพราะตอนนี้กูนอนอยู่บนฟูกคนอื่นว่...
ผมคิดได้เพียงเท่านั้น อยู่ๆ ร่างหนาของชายผมสีเข้มที่มีสีขาวแซมก็ทาบทับลงมา ก่อนจะบดปากของผมด้วยปากที่มีกลิ่นเบียร์เจืออยู่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ