มนต์รักในคำสัญญา
-
เขียนโดย Hanuna
วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00.42 น.
10 ตอน
0 วิจารณ์
10.30K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 00.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) พินัยกรรม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ทำไมคุณยังอยู่อีก กลับไปได้แล้ว ชิ้ว ๆ” นทีเอือมกับวิญญาณไร้สังกัด ที่แอบเข้ามาในห้องน้ำยังไม่พอ ยังมายืนมองเวลาเขานอน เห็นแล้วมันชวนขนลุก
“อย่าไล่พี่แบบนั้นคนดี พี่ขออยู่ด้วย เจ้าไม่คิดสงสารพี่บ้างหรือไงกัน” ศรยิ้มให้กับคนรักที่นอนม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มผืนโตโดยโผล่มาเพียงแค่ศีรษะ แล้วส่งสายตาขับไล่เขาให้ออกไปอย่างไร้เยื่อใย
“เชอะ” นทีพลิกตัวหันหน้าหนีทันที เขาไม่อยากต่อปากต่อคำกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่ศรกลับนอนมองใบหน้าของนทีบนเตียง แล้วพ่นลมใส่หน้าของเขาทั้งที่กำลังหลับตาอยู่
“ฟู่ ฟู่”
ลมเย็น ๆ ที่ปะทะใบหน้าของคนร่างโปร่ง ทำให้นทีต้องลืมตามองดูกลับพบว่า ใบหน้าของศรแทบชิดติดกับเขา จนเขาต้องเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง
“เฮ้ยย!”
“เฮอะ เฮอะ”
“สนุกมากนักหรือไง” นทีรู้สึกโกรธศรขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเปรยตามองด้วยหางตา แสดงถึงความไม่พอใจสุดฤทธิ์
“สนุกสิ ยิ่งเห็นใบหน้าตกใจของเจ้า ยิ่งมีความสุข” ตั้งแต่สิ้นลมหายใจ ศรไม่เคยมีความสุขและอารมณ์ดีอย่างนี้มานานแล้ว เมื่อได้ใกล้ชิดกับคนที่รอคอย ยิ่งทำให้เขาไม่อยากจากไปไหน
“ทำดีด้วยหน่อย ทำเป็นได้ใจนะ ไอ้ผีบ้า!”
“เฮอะ เฮอะ”
ถึงจะโดนคนตรงหน้าต่อว่า ศรก็ยังคงไม่ขยับไปไหน นอนมองคนรักในร่างผู้ชาย ที่หันหลังหนีเขาอยู่อย่างนั้น และนทีต้องเหลืออดอีกครั้ง เมื่อศรพ่นลมใส่ต้นคอของเขา
“โอ๊ย! พอกันที ถ้าคุณจะอยู่ในห้องนี้ ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ควรมีมารยาทบ้าง” นทีหันไปมองศรด้วยสายตาโกรธเคือง เป็นวิญญาณคงไม่เคยนอนหลับสินะ ถึงชอบก่อกวนคนเป็นแบบนี้
“ถึงพี่จะเป็นแค่วิญญาณร่อนเร่ อย่างที่เจ้าคิด แต่พี่ต้องพักผ่อนเช่นเดียวกับเจ้า” เมื่อสิ้นเสียงวิญญาณไร้สังกัด นทีถึงกับขมวดคิ้ว และกำลังคิดว่าวิญญาณตรงหน้ารับรู้ได้อย่างไร ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หรือว่าเขาจะอ่านใจได้
“หึ ไม่แปลกที่วิญญาณพิเศษอย่างพี่ จะรับรู้กระแสความคิดของมนุษย์ทั่วไป ยิ่งเราทั้งสองเคยผูกพันด้วยคำมั่นสัญญาทางใจด้วยแล้ว ทำให้พี่ยิ่งรับรู้ทุกขณะจิตในใจของเจ้า”
“วิญญาณพิเศษ! คุณนี่นะ! เป็นวิญญาณพิเศษ” นทีถึงกับผงะ ไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง ว่าวิญญาณตนนี้จะเป็นวิญญาณพิเศษ
“ใช่แล้ว พี่อยู่ที่นี่มานาน ผ่านการฝึกฝนทางจิตใจและฝึกพลัง จนขั้นสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของ ที่เป็นของหยาบได้อย่างง่ายดาย วันก่อนพี่เป็นคนอุ้มเจ้ากลับมานอนที่นี่เอง” ศรอธิบายอย่างใจเย็น
นทีได้ยินถึงกับตาโตว่าวิญญาณตรงหน้า ทำอะไรได้มากมายถึงเพียงนั้นเลยหรือ แต่การปรากฏตัวรวมถึงทำอะไรแปลกประหลาด ก็คงต้องยอมเชื่อว่าเขาเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งจริง แต่เรื่องที่เคยเป็นคนรักกัน จนถึงขนาดผูกสัญญาใจขนาดนี้ ยังไงเขาคงไม่ปักใจเชื่ออย่างแน่นอน
“ถึงเจ้าจะจดจำอดีตยังไม่ได้ แต่ไม่นานเกินรอ เจ้าจะจำได้เอง” ศรได้บอกกับนทีเพื่อให้เตรียมใจ รับความทรงจำที่จะหวนกลับมาหาอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นโชคชะตาของเราทั้งคู่ ที่จากกันและมาพบเจอ ซึ่งแน่นอน ความทรงจำอันแสนดีและเลวร้ายจะกลับมาอีกครั้ง
“เฮ้อ...พูดแต่เรื่องเข้าใจยากอีกแล้ว เอาเถอะ คุณจะอยู่ในห้องก็ได้นะ แต่อย่ามานอนใกล้ มันรู้สึกเย็นหลัง”
นทีรีบบอกกันไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นวิญญาณตนนี้ ต้องมานอนใกล้เขาเป็นแน่ แต่ศรกลับไม่พูดสิ่งใด ได้เพียงแต่มองแผ่นหลังของนทีอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่ขยับหนีหายไปไหน
จนกระทั่งนทีเข้าสู่ห้วงแห่งการนอนหลับ ปล่อยให้ศรอยู่กับค่ำคืนที่เงียบสงัดเพียงตนเดียว
“เมื่อไหร่เราทั้งสองจะได้กลับมาครองรักกันอีก”
เช้าวันรุ่งขึ้น ศรได้ทิ้งดอกกระดังงาที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว จนนทีลืมตาตื่นขึ้นได้พบดอกกระดังงาวางทิ้งเอาไว้ที่หัวเตียง เขาถึงกับฉีกยิ้มคิดอยู่ในใจ เขารู้แล้วว่าเจ้าของดอกไม้ดอกนี้เป็นใคร และเป็นอีกครั้งที่ศรมักทำให้นทีต้องแปลกใจอยู่เรื่อยไป
“ทีตื่นยัง” รัตนาตะโกนอยู่หน้าห้องร้องเรียกให้นทีออกมา
“ครับ ตื่นแล้วครับอารัต” นทีรีบเดินไปเปิดประตูห้อง ให้อาสาวเข้ามาในห้องของเขา
“หอมจัง” สิ่งแรกที่รัตนาได้สัมผัสถึงคือกลิ่นที่หอมฟุ้ง
“อารัตมีอะไรเหรอครับ”
“สายนี้ เขาจะเปิดพินัยกรรมกัน เราอย่าสายล่ะ” นทีเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลนี้และในพินัยกรรมก็ระบุอย่างชัดเจนว่านทีต้องอยู่ด้วย
“วันนี้เลยเหรอครับ” นทีถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าตนได้ยินไม่ผิด
“ใช่จ๊ะ” รัตนายิ้มให้หลานชายสุดที่รัก และเหลือบเห็นดอกกระดังงาบนหัวเตียง จึงเดินตรงเข้าไปมองให้ชัดกว่าเดิมว่าใช่ดอกไม้ที่เธอคิดหรือไม่
“ว่าแต่เราไปเอาดอกกระดังงาดอกนี้มาจากไหน”
“ค...คือผมเห็นมีอยู่ต้นหนึ่งที่หนองน้ำครับเลยเก็บมา” นทีจำใจที่ต้องโกหกไปเพราะถ้าบอกความจริงคงไม่มีใครเชื่อเขาแน่นอน โดยเฉพาะอาสาวคนนี้ ที่ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณเสียเท่าไหร่นัก
“แปลกจัง อาคิดว่าหมดไปแล้วเสียอีก แต่ชั่งเถอะ ลงไปทานข้าวกัน ทุกคนรอเราอยู่คนเดียวนะ” รัตนากลับแปลกใจที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะดอกกระดังงาตายไปหมดตั้งแต่มารดาของเธอเริ่มป่วยและไม่มีใครหามาปลูกเพิ่ม จึงได้แต่คิดสงสัยแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
“ครับ ผมจะตามไป” นทีรีบพยักหน้ารับ เพราะกลัวอาของตนจะสงสัยหรือซักถามอีกครั้ง
เมื่ออาของเขาได้ออกจากห้องไป เขาจึงเก็บดอกกระดังงาลงลิ้นชักคู่กับดอกกระดังงาแห้งอีกดอก แล้วบ่นกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม
“คุณจะทำให้ผมเดือดร้อนนะ”
เมื่อเวลาเปิดพินัยกรรมมาถึง ญาติพี่น้องทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า รวมถึงคนใช้ที่ถูกจ้างมาเพิ่มได้ร่วมฟังและคอยบริการญาติพี่น้องคนอื่น ที่รอรับมรดกกันอย่างใจจดใจจ่อ
“ข้าพเจ้า นางปิ่นมณี ทิชกูร อายุ 85 ปีอยู่บ้านเลขที่....”
ทนายเริ่มต้นอ่านพินัยกรรมฉบับที่ย่าของนทีเขียนขึ้น ทุกคนในห้องตั้งใจฟัง จนมาถึงตอนที่แบ่งมรดกออกไปเป็นส่วน ๆ ทำให้ญาติพี่น้องทั้งหลาย ไม่มีใครหายใจเสียงดังกันเลยทีเดียว นทีหันไปมองคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นญาติของเขาอย่างเอือมระอา บางคนแทบไม่เคยเห็นหน้าเลยสักนิด บางคนที่มานั้น ใช่ญาติเขาหรือเปล่ายังไม่แน่ใจ ทุกคนมาที่นี่เพราะหวังสมบัติของย่าของเขาทั้งนั้น
“ทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมดที่มีอยู่ ในปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคต ให้แก่บุคคลที่มีชื่อต่อไปนี้...”
“บ้านทิชกูรและทรัพย์สมบัติทุกอย่างในบ้านทิชกูร มอบให้นางรัตนา...เป็นผู้ดูแลเพียงผู้เดียว”
“ที่ดินทั้งหมด 400 ไร่ที่ข้าพเจ้าครอบครองอยู่มอบให้ นายนที ทิชกูร”
“เงินสดจำนวน 1 ล้านบาทขอมอบให้นายพศิน...”
ทนายได้พูดจนจบตรงนี้ มีแต่เสียงซุบซิบกันยกใหญ่ เพราะมีแต่คนคิดว่านายพศินที่เป็นถึงลูกเขยสุดที่รักกลับได้แค่เงินสด แทนที่จะได้เป็นเจ้าของบ้านหรือเจ้าของที่ดินหลายร้อยไร่กลับไม่ได้สักอย่าง ได้แค่เพียงเงินสดเท่านั้น ส่วนลูกหลานคนอื่นได้รับเงินครอบครัวละ 1 แสนบาท ซึ่งไม่มีใครติดใจเรื่องที่ได้เงินน้อย เพราะพวกเขาไม่เคยมาช่วยเหลือปิ่นมณีเลยสักครั้ง ได้เงินเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“มีใครคัดค้านพินัยกรรมฉบับนี้หรือไม่ครับ” เมื่อทนายได้อ่านพินัยกรรมจบหันไปถามทุกคนในห้อง ถ้าไม่มีใครสงสัยในพินัยกรรมฉบับนี้ เขาจะได้ปิดพินัยกรรมลง เท่ากับว่าเขาทำตามหน้าที่ของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ผมครับ” นทีพูดออกมาเสียงดังจนทุกคนหันมามองกันหมด ศรที่แอบฟังอยู่ข้างกำแพงกลับแปลกใจที่นทีคัดค้านสิ่งที่ย่าของเขาตั้งใจเก็บเอาไว้ให้ จึงรีบไปกระซิบข้างหูของนทีทันที
“เจ้าทำอะไรของเจ้านะ”
“จิ อย่ายุ่งน่า” นทีหันไปจิปากข้างตัว คนที่นั่งข้างนทีสะดุ้งตกใจที่จู่ๆ นทีหันมาจิปากใส่และพูดเหมือนกับว่าเขาไปทำอะไรให้
“ทีเราสงสัยอะไรในพินัยกรรมหรือจ๊ะ” รัตนาเห็นท่าทางที่แปลกไปของหลานชายจึงถามขึ้น
“เออ...คือผมแค่คิดว่าผมไม่เคยอยู่ที่นี่เลย ผมไม่สมควรได้ที่ดินตั้งหลายร้อยไร่แบบนี้” นทีคิดตั้งแต่แรกแล้วว่าแค่มาฟังพินัยกรรมตามที่คุณย่าสั่งเท่านั้น แล้วจะกลับไปหางานทำตามที่ตนเรียนจบมาในกรุงเทพ
“คริ คริ เรื่องนั้นเองเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ เดี๋ยวอาพศินเขาจะเป็นคนสอนเราเองนะ ใช่ไหมคะ พี่ศิน”
“อ...เออ ใช่ ๆ พี่จะสอนทั้งหมดเอง ทีเราจะกังวลไปทำไม” นทีหันไปมองพศินที่ยิ้มออกมาอย่างจริงใจที่สุด
“ขอแทรกนะครับ ในกรณีที่คุณนทีปฏิเสธในการรับมรดกในครั้งนี้ ในจดหมายที่ท่านระบุแยกเอาไว้ ท่านได้มอบหมายให้คุณพศินเป็นคนสอนงานทั้งหมดให้คุณนที และต้องทำเองได้ภายในสามเดือน แต่ถ้าทำไม่ได้และยกเลิกกลางทาง เท่ากับว่าเป็นความผิดของคุณพศินจะต้องหักเงิน 500,000 บาทครับ”
พอทนายพูดจบ ทุกคนต่างซุบซิบนินทากันถึงความลำเอียงเสียยกใหญ่ ส่วนพศินหน้าซีดลงทันที แล้วหันไปมองหน้าของนทีด้วยสีหน้าที่น่าสงสาร
นทีมีความคิดที่จะยกเลิกพินัยกรรมกลับมองว่านี่เป็นคำขู่หรือเปล่านะ เหมือนเป็นการบังคับให้เขาทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้จะต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน
“ฮ่า ฮ่า” ศรหัวเราะกับคำสั่งเด็ดขาดของเจ้าของบ้านที่เสียไป
“หัวเราะอะไร”
นทีได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจของศร เขาจึงหันไปตะโกนใส่บริเวณที่ศรยืนหัวเราะอยู่ ทุกคนในห้องเงียบกันหมดเพราะคิดว่านทีขึ้นเสียงใส่พวกเขา
โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่นั่งข้างเขา ต้องสะดุ้งทุกครั้งที่นทีหันไปต่อว่า ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด นทีเห็นทุกคนแสดงสีหน้าสงสัยว่านทีเป็นอะไร เขาจึงกัดฟันเล็กน้อยและหันไปขอโทษทุกคนในห้อง ถ้าจะโทษ ต้องโทษวิญญาณไร้สังกัดตัวนี้ น่าจะจับลงหม้อไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
“ม...ไม่เป็นอะไรนะที เดี๋ยวอาสอนให้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแค่ห้าแสนเอง เฮอะ เฮอะ” พศินพูดจบกลับต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เขาไม่เคยคิดว่าปิ่นมณีจะทำแบบนี้กับตน เท่ากับว่าเขาต้องสอนทุกอย่างให้กับนทีไปในตัว ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องชวดเงินไปครึ่งหนึ่ง
นทีรู้สึกเห็นใจพศินทันที งานนี้คงต้องยอมให้คุณย่าของเขา ถ้ายังขืนดื้อต่อไป คนที่แย่คงไม่ใช่ใครอื่น ความซวยต้องตกเป็นของพศินเพียงผู้เดียว
“ผมเข้าใจแล้วครับ ยังไงก็ได้”
“ถ้าไม่มีใครติดใจอะไรแล้ว ผมขอปิดพินัยกรรมฉบับนี้นะครับ” ทนายได้กล่าวปิด ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับไป เหลือแต่พศิน รัตนาและนทีที่นั่งอยู่ จนพศินลุกขึ้นยืนแล้วจับบ่านทีพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างคนใจดี
“พรุ่งนี้พร้อมเริ่มงานไหม อาจะเริ่มสอนทุกอย่างให้ สงสัยต้องเข้มงวดกันสักหน่อยแล้ว งานที่นี่เยอะเสียด้วยสิ”
“ครับ”
“เอาล่ะ ถ้าตกลงกันได้แล้ว พวกเราไปพักผ่อนกันเถอะนะ ทีเราก็ไปพักซะ พรุ่งนี้จะได้เริ่มงานกับอาศิน ท่าทางอาเขาเอาจริงนะนั่น สงสัยกลัวชวดเงิน ฮ่า ฮ่า” รัตนาหันไปพูดกับคนทั้งสอง ส่วนคำพูดประโยคหลังหันไปกระซิบข้างหูนที พศินได้ยินจึงหันมาค้อนภรรยาของตนกลับทันที
“ฮ่า ฮ่า อย่าคิดมากน่า เดี๋ยวอาช่วย รับรองเป็นลูกศิษย์ของอาเก่งแน่นอน” พศินตบบ่านทีเบา ๆ ให้กำลังใจ
“ครับ ผมจะพยายาม”
ทั้งสามได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนนทีขึ้นห้องนอนของตนไป ในหัวสมองก็คิดประมวลผลต่าง ๆ มากมาย จนไม่ทันระวังเข้าไปชนกับหน้าอกของศรเข้าอย่างจัง
“เจ็บง่ะ! ถามจริง เป็นผีจริงหรือเปล่า ทำอย่างกับเป็นคนปกติ” นทีลูบหน้าผากปรอย ๆ พร้อมกับต่อว่าวิญญาณตรงหน้าของเขา
“พี่บอกเจ้าแล้วว่า พี่เป็นวิญญาณพิเศษ”
“ครับ คร๊าบ พ่อคนพิเศษ”
“เฮอะ เฮอะ” ศรหัวเราะออกมา ทำให้นทีเบ้ปากใส่แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ กดโทรศัพท์หาข้อมูลบางอย่าง
“เจ้าไม่ต้องเครียดให้มากมายนัก อดีตเจ้าเป็นเจ้าของที่นี่อยู่แล้ว ทุกอย่างยังไงก็ต้องตกเป็นของเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย พี่คิดว่าเจ้าทำได้ แต่พี่ขอเตือนไว้อย่าง ให้ระวังตัวบ้างหลังจากนี้ อาจมีเรื่องวุ่นวายเกินขึ้นอีกครั้ง” พอศรพูดจบ นทีหันมามองหน้าศรอย่างเป็นคำถาม ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักนิด ยิ่งรู้จัก ยิ่งมีแต่คำถามและมีแต่สิ่งที่ไม่เข้าใจมากมายในหัวสมอง
“คุณชอบพูดอะไรน่าสงสัย และพูดแต่ละอย่าง มีแต่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลย”
“สักวันเจ้าจะเข้าใจ”
ศรยิ้มให้กับความมึนงงของคนตรงหน้า นทียักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นแล้วหันกลับไปสนใจหน้าจอโทรศัพท์ต่อ แต่ในใจกลับคิดว่า ถึงจะพูดแบบนั้นก็ไม่ช่วยอะไรเขาอยู่ดี
“อย่าไล่พี่แบบนั้นคนดี พี่ขออยู่ด้วย เจ้าไม่คิดสงสารพี่บ้างหรือไงกัน” ศรยิ้มให้กับคนรักที่นอนม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มผืนโตโดยโผล่มาเพียงแค่ศีรษะ แล้วส่งสายตาขับไล่เขาให้ออกไปอย่างไร้เยื่อใย
“เชอะ” นทีพลิกตัวหันหน้าหนีทันที เขาไม่อยากต่อปากต่อคำกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่ศรกลับนอนมองใบหน้าของนทีบนเตียง แล้วพ่นลมใส่หน้าของเขาทั้งที่กำลังหลับตาอยู่
“ฟู่ ฟู่”
ลมเย็น ๆ ที่ปะทะใบหน้าของคนร่างโปร่ง ทำให้นทีต้องลืมตามองดูกลับพบว่า ใบหน้าของศรแทบชิดติดกับเขา จนเขาต้องเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง
“เฮ้ยย!”
“เฮอะ เฮอะ”
“สนุกมากนักหรือไง” นทีรู้สึกโกรธศรขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเปรยตามองด้วยหางตา แสดงถึงความไม่พอใจสุดฤทธิ์
“สนุกสิ ยิ่งเห็นใบหน้าตกใจของเจ้า ยิ่งมีความสุข” ตั้งแต่สิ้นลมหายใจ ศรไม่เคยมีความสุขและอารมณ์ดีอย่างนี้มานานแล้ว เมื่อได้ใกล้ชิดกับคนที่รอคอย ยิ่งทำให้เขาไม่อยากจากไปไหน
“ทำดีด้วยหน่อย ทำเป็นได้ใจนะ ไอ้ผีบ้า!”
“เฮอะ เฮอะ”
ถึงจะโดนคนตรงหน้าต่อว่า ศรก็ยังคงไม่ขยับไปไหน นอนมองคนรักในร่างผู้ชาย ที่หันหลังหนีเขาอยู่อย่างนั้น และนทีต้องเหลืออดอีกครั้ง เมื่อศรพ่นลมใส่ต้นคอของเขา
“โอ๊ย! พอกันที ถ้าคุณจะอยู่ในห้องนี้ ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ควรมีมารยาทบ้าง” นทีหันไปมองศรด้วยสายตาโกรธเคือง เป็นวิญญาณคงไม่เคยนอนหลับสินะ ถึงชอบก่อกวนคนเป็นแบบนี้
“ถึงพี่จะเป็นแค่วิญญาณร่อนเร่ อย่างที่เจ้าคิด แต่พี่ต้องพักผ่อนเช่นเดียวกับเจ้า” เมื่อสิ้นเสียงวิญญาณไร้สังกัด นทีถึงกับขมวดคิ้ว และกำลังคิดว่าวิญญาณตรงหน้ารับรู้ได้อย่างไร ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หรือว่าเขาจะอ่านใจได้
“หึ ไม่แปลกที่วิญญาณพิเศษอย่างพี่ จะรับรู้กระแสความคิดของมนุษย์ทั่วไป ยิ่งเราทั้งสองเคยผูกพันด้วยคำมั่นสัญญาทางใจด้วยแล้ว ทำให้พี่ยิ่งรับรู้ทุกขณะจิตในใจของเจ้า”
“วิญญาณพิเศษ! คุณนี่นะ! เป็นวิญญาณพิเศษ” นทีถึงกับผงะ ไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง ว่าวิญญาณตนนี้จะเป็นวิญญาณพิเศษ
“ใช่แล้ว พี่อยู่ที่นี่มานาน ผ่านการฝึกฝนทางจิตใจและฝึกพลัง จนขั้นสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของ ที่เป็นของหยาบได้อย่างง่ายดาย วันก่อนพี่เป็นคนอุ้มเจ้ากลับมานอนที่นี่เอง” ศรอธิบายอย่างใจเย็น
นทีได้ยินถึงกับตาโตว่าวิญญาณตรงหน้า ทำอะไรได้มากมายถึงเพียงนั้นเลยหรือ แต่การปรากฏตัวรวมถึงทำอะไรแปลกประหลาด ก็คงต้องยอมเชื่อว่าเขาเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งจริง แต่เรื่องที่เคยเป็นคนรักกัน จนถึงขนาดผูกสัญญาใจขนาดนี้ ยังไงเขาคงไม่ปักใจเชื่ออย่างแน่นอน
“ถึงเจ้าจะจดจำอดีตยังไม่ได้ แต่ไม่นานเกินรอ เจ้าจะจำได้เอง” ศรได้บอกกับนทีเพื่อให้เตรียมใจ รับความทรงจำที่จะหวนกลับมาหาอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นโชคชะตาของเราทั้งคู่ ที่จากกันและมาพบเจอ ซึ่งแน่นอน ความทรงจำอันแสนดีและเลวร้ายจะกลับมาอีกครั้ง
“เฮ้อ...พูดแต่เรื่องเข้าใจยากอีกแล้ว เอาเถอะ คุณจะอยู่ในห้องก็ได้นะ แต่อย่ามานอนใกล้ มันรู้สึกเย็นหลัง”
นทีรีบบอกกันไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นวิญญาณตนนี้ ต้องมานอนใกล้เขาเป็นแน่ แต่ศรกลับไม่พูดสิ่งใด ได้เพียงแต่มองแผ่นหลังของนทีอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่ขยับหนีหายไปไหน
จนกระทั่งนทีเข้าสู่ห้วงแห่งการนอนหลับ ปล่อยให้ศรอยู่กับค่ำคืนที่เงียบสงัดเพียงตนเดียว
“เมื่อไหร่เราทั้งสองจะได้กลับมาครองรักกันอีก”
เช้าวันรุ่งขึ้น ศรได้ทิ้งดอกกระดังงาที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว จนนทีลืมตาตื่นขึ้นได้พบดอกกระดังงาวางทิ้งเอาไว้ที่หัวเตียง เขาถึงกับฉีกยิ้มคิดอยู่ในใจ เขารู้แล้วว่าเจ้าของดอกไม้ดอกนี้เป็นใคร และเป็นอีกครั้งที่ศรมักทำให้นทีต้องแปลกใจอยู่เรื่อยไป
“ทีตื่นยัง” รัตนาตะโกนอยู่หน้าห้องร้องเรียกให้นทีออกมา
“ครับ ตื่นแล้วครับอารัต” นทีรีบเดินไปเปิดประตูห้อง ให้อาสาวเข้ามาในห้องของเขา
“หอมจัง” สิ่งแรกที่รัตนาได้สัมผัสถึงคือกลิ่นที่หอมฟุ้ง
“อารัตมีอะไรเหรอครับ”
“สายนี้ เขาจะเปิดพินัยกรรมกัน เราอย่าสายล่ะ” นทีเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลนี้และในพินัยกรรมก็ระบุอย่างชัดเจนว่านทีต้องอยู่ด้วย
“วันนี้เลยเหรอครับ” นทีถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าตนได้ยินไม่ผิด
“ใช่จ๊ะ” รัตนายิ้มให้หลานชายสุดที่รัก และเหลือบเห็นดอกกระดังงาบนหัวเตียง จึงเดินตรงเข้าไปมองให้ชัดกว่าเดิมว่าใช่ดอกไม้ที่เธอคิดหรือไม่
“ว่าแต่เราไปเอาดอกกระดังงาดอกนี้มาจากไหน”
“ค...คือผมเห็นมีอยู่ต้นหนึ่งที่หนองน้ำครับเลยเก็บมา” นทีจำใจที่ต้องโกหกไปเพราะถ้าบอกความจริงคงไม่มีใครเชื่อเขาแน่นอน โดยเฉพาะอาสาวคนนี้ ที่ไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณเสียเท่าไหร่นัก
“แปลกจัง อาคิดว่าหมดไปแล้วเสียอีก แต่ชั่งเถอะ ลงไปทานข้าวกัน ทุกคนรอเราอยู่คนเดียวนะ” รัตนากลับแปลกใจที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะดอกกระดังงาตายไปหมดตั้งแต่มารดาของเธอเริ่มป่วยและไม่มีใครหามาปลูกเพิ่ม จึงได้แต่คิดสงสัยแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
“ครับ ผมจะตามไป” นทีรีบพยักหน้ารับ เพราะกลัวอาของตนจะสงสัยหรือซักถามอีกครั้ง
เมื่ออาของเขาได้ออกจากห้องไป เขาจึงเก็บดอกกระดังงาลงลิ้นชักคู่กับดอกกระดังงาแห้งอีกดอก แล้วบ่นกับตัวเองพร้อมรอยยิ้ม
“คุณจะทำให้ผมเดือดร้อนนะ”
เมื่อเวลาเปิดพินัยกรรมมาถึง ญาติพี่น้องทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า รวมถึงคนใช้ที่ถูกจ้างมาเพิ่มได้ร่วมฟังและคอยบริการญาติพี่น้องคนอื่น ที่รอรับมรดกกันอย่างใจจดใจจ่อ
“ข้าพเจ้า นางปิ่นมณี ทิชกูร อายุ 85 ปีอยู่บ้านเลขที่....”
ทนายเริ่มต้นอ่านพินัยกรรมฉบับที่ย่าของนทีเขียนขึ้น ทุกคนในห้องตั้งใจฟัง จนมาถึงตอนที่แบ่งมรดกออกไปเป็นส่วน ๆ ทำให้ญาติพี่น้องทั้งหลาย ไม่มีใครหายใจเสียงดังกันเลยทีเดียว นทีหันไปมองคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นญาติของเขาอย่างเอือมระอา บางคนแทบไม่เคยเห็นหน้าเลยสักนิด บางคนที่มานั้น ใช่ญาติเขาหรือเปล่ายังไม่แน่ใจ ทุกคนมาที่นี่เพราะหวังสมบัติของย่าของเขาทั้งนั้น
“ทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมดที่มีอยู่ ในปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคต ให้แก่บุคคลที่มีชื่อต่อไปนี้...”
“บ้านทิชกูรและทรัพย์สมบัติทุกอย่างในบ้านทิชกูร มอบให้นางรัตนา...เป็นผู้ดูแลเพียงผู้เดียว”
“ที่ดินทั้งหมด 400 ไร่ที่ข้าพเจ้าครอบครองอยู่มอบให้ นายนที ทิชกูร”
“เงินสดจำนวน 1 ล้านบาทขอมอบให้นายพศิน...”
ทนายได้พูดจนจบตรงนี้ มีแต่เสียงซุบซิบกันยกใหญ่ เพราะมีแต่คนคิดว่านายพศินที่เป็นถึงลูกเขยสุดที่รักกลับได้แค่เงินสด แทนที่จะได้เป็นเจ้าของบ้านหรือเจ้าของที่ดินหลายร้อยไร่กลับไม่ได้สักอย่าง ได้แค่เพียงเงินสดเท่านั้น ส่วนลูกหลานคนอื่นได้รับเงินครอบครัวละ 1 แสนบาท ซึ่งไม่มีใครติดใจเรื่องที่ได้เงินน้อย เพราะพวกเขาไม่เคยมาช่วยเหลือปิ่นมณีเลยสักครั้ง ได้เงินเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“มีใครคัดค้านพินัยกรรมฉบับนี้หรือไม่ครับ” เมื่อทนายได้อ่านพินัยกรรมจบหันไปถามทุกคนในห้อง ถ้าไม่มีใครสงสัยในพินัยกรรมฉบับนี้ เขาจะได้ปิดพินัยกรรมลง เท่ากับว่าเขาทำตามหน้าที่ของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ผมครับ” นทีพูดออกมาเสียงดังจนทุกคนหันมามองกันหมด ศรที่แอบฟังอยู่ข้างกำแพงกลับแปลกใจที่นทีคัดค้านสิ่งที่ย่าของเขาตั้งใจเก็บเอาไว้ให้ จึงรีบไปกระซิบข้างหูของนทีทันที
“เจ้าทำอะไรของเจ้านะ”
“จิ อย่ายุ่งน่า” นทีหันไปจิปากข้างตัว คนที่นั่งข้างนทีสะดุ้งตกใจที่จู่ๆ นทีหันมาจิปากใส่และพูดเหมือนกับว่าเขาไปทำอะไรให้
“ทีเราสงสัยอะไรในพินัยกรรมหรือจ๊ะ” รัตนาเห็นท่าทางที่แปลกไปของหลานชายจึงถามขึ้น
“เออ...คือผมแค่คิดว่าผมไม่เคยอยู่ที่นี่เลย ผมไม่สมควรได้ที่ดินตั้งหลายร้อยไร่แบบนี้” นทีคิดตั้งแต่แรกแล้วว่าแค่มาฟังพินัยกรรมตามที่คุณย่าสั่งเท่านั้น แล้วจะกลับไปหางานทำตามที่ตนเรียนจบมาในกรุงเทพ
“คริ คริ เรื่องนั้นเองเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ เดี๋ยวอาพศินเขาจะเป็นคนสอนเราเองนะ ใช่ไหมคะ พี่ศิน”
“อ...เออ ใช่ ๆ พี่จะสอนทั้งหมดเอง ทีเราจะกังวลไปทำไม” นทีหันไปมองพศินที่ยิ้มออกมาอย่างจริงใจที่สุด
“ขอแทรกนะครับ ในกรณีที่คุณนทีปฏิเสธในการรับมรดกในครั้งนี้ ในจดหมายที่ท่านระบุแยกเอาไว้ ท่านได้มอบหมายให้คุณพศินเป็นคนสอนงานทั้งหมดให้คุณนที และต้องทำเองได้ภายในสามเดือน แต่ถ้าทำไม่ได้และยกเลิกกลางทาง เท่ากับว่าเป็นความผิดของคุณพศินจะต้องหักเงิน 500,000 บาทครับ”
พอทนายพูดจบ ทุกคนต่างซุบซิบนินทากันถึงความลำเอียงเสียยกใหญ่ ส่วนพศินหน้าซีดลงทันที แล้วหันไปมองหน้าของนทีด้วยสีหน้าที่น่าสงสาร
นทีมีความคิดที่จะยกเลิกพินัยกรรมกลับมองว่านี่เป็นคำขู่หรือเปล่านะ เหมือนเป็นการบังคับให้เขาทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้จะต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน
“ฮ่า ฮ่า” ศรหัวเราะกับคำสั่งเด็ดขาดของเจ้าของบ้านที่เสียไป
“หัวเราะอะไร”
นทีได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจของศร เขาจึงหันไปตะโกนใส่บริเวณที่ศรยืนหัวเราะอยู่ ทุกคนในห้องเงียบกันหมดเพราะคิดว่านทีขึ้นเสียงใส่พวกเขา
โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่นั่งข้างเขา ต้องสะดุ้งทุกครั้งที่นทีหันไปต่อว่า ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด นทีเห็นทุกคนแสดงสีหน้าสงสัยว่านทีเป็นอะไร เขาจึงกัดฟันเล็กน้อยและหันไปขอโทษทุกคนในห้อง ถ้าจะโทษ ต้องโทษวิญญาณไร้สังกัดตัวนี้ น่าจะจับลงหม้อไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
“ม...ไม่เป็นอะไรนะที เดี๋ยวอาสอนให้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแค่ห้าแสนเอง เฮอะ เฮอะ” พศินพูดจบกลับต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เขาไม่เคยคิดว่าปิ่นมณีจะทำแบบนี้กับตน เท่ากับว่าเขาต้องสอนทุกอย่างให้กับนทีไปในตัว ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องชวดเงินไปครึ่งหนึ่ง
นทีรู้สึกเห็นใจพศินทันที งานนี้คงต้องยอมให้คุณย่าของเขา ถ้ายังขืนดื้อต่อไป คนที่แย่คงไม่ใช่ใครอื่น ความซวยต้องตกเป็นของพศินเพียงผู้เดียว
“ผมเข้าใจแล้วครับ ยังไงก็ได้”
“ถ้าไม่มีใครติดใจอะไรแล้ว ผมขอปิดพินัยกรรมฉบับนี้นะครับ” ทนายได้กล่าวปิด ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับไป เหลือแต่พศิน รัตนาและนทีที่นั่งอยู่ จนพศินลุกขึ้นยืนแล้วจับบ่านทีพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างคนใจดี
“พรุ่งนี้พร้อมเริ่มงานไหม อาจะเริ่มสอนทุกอย่างให้ สงสัยต้องเข้มงวดกันสักหน่อยแล้ว งานที่นี่เยอะเสียด้วยสิ”
“ครับ”
“เอาล่ะ ถ้าตกลงกันได้แล้ว พวกเราไปพักผ่อนกันเถอะนะ ทีเราก็ไปพักซะ พรุ่งนี้จะได้เริ่มงานกับอาศิน ท่าทางอาเขาเอาจริงนะนั่น สงสัยกลัวชวดเงิน ฮ่า ฮ่า” รัตนาหันไปพูดกับคนทั้งสอง ส่วนคำพูดประโยคหลังหันไปกระซิบข้างหูนที พศินได้ยินจึงหันมาค้อนภรรยาของตนกลับทันที
“ฮ่า ฮ่า อย่าคิดมากน่า เดี๋ยวอาช่วย รับรองเป็นลูกศิษย์ของอาเก่งแน่นอน” พศินตบบ่านทีเบา ๆ ให้กำลังใจ
“ครับ ผมจะพยายาม”
ทั้งสามได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนนทีขึ้นห้องนอนของตนไป ในหัวสมองก็คิดประมวลผลต่าง ๆ มากมาย จนไม่ทันระวังเข้าไปชนกับหน้าอกของศรเข้าอย่างจัง
“เจ็บง่ะ! ถามจริง เป็นผีจริงหรือเปล่า ทำอย่างกับเป็นคนปกติ” นทีลูบหน้าผากปรอย ๆ พร้อมกับต่อว่าวิญญาณตรงหน้าของเขา
“พี่บอกเจ้าแล้วว่า พี่เป็นวิญญาณพิเศษ”
“ครับ คร๊าบ พ่อคนพิเศษ”
“เฮอะ เฮอะ” ศรหัวเราะออกมา ทำให้นทีเบ้ปากใส่แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ กดโทรศัพท์หาข้อมูลบางอย่าง
“เจ้าไม่ต้องเครียดให้มากมายนัก อดีตเจ้าเป็นเจ้าของที่นี่อยู่แล้ว ทุกอย่างยังไงก็ต้องตกเป็นของเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย พี่คิดว่าเจ้าทำได้ แต่พี่ขอเตือนไว้อย่าง ให้ระวังตัวบ้างหลังจากนี้ อาจมีเรื่องวุ่นวายเกินขึ้นอีกครั้ง” พอศรพูดจบ นทีหันมามองหน้าศรอย่างเป็นคำถาม ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักนิด ยิ่งรู้จัก ยิ่งมีแต่คำถามและมีแต่สิ่งที่ไม่เข้าใจมากมายในหัวสมอง
“คุณชอบพูดอะไรน่าสงสัย และพูดแต่ละอย่าง มีแต่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลย”
“สักวันเจ้าจะเข้าใจ”
ศรยิ้มให้กับความมึนงงของคนตรงหน้า นทียักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นแล้วหันกลับไปสนใจหน้าจอโทรศัพท์ต่อ แต่ในใจกลับคิดว่า ถึงจะพูดแบบนั้นก็ไม่ช่วยอะไรเขาอยู่ดี
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ