เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
8.3
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
22 บท
0 วิจารณ์
22.62K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) ขอความต้องการของญาติคนนี้ Be the One 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “คิริโนะที่นี่มันที่ไหนกัน?”
ซาซาฮาระมองผมด้วยสายตาทิ่มแทงแต่ผมก็พยายามเมินสายตานั้นเพื่อไปจับจ้องร่างของยูบาริอันไร้เรี่ยวแรงที่ถูกแบกทั้งที่ยังไม่ได้สติโดยเฉพาะบริเวณตาขวาที่มีเลือดแห้งๆ ติดลากยาวถึงคาง
“ผู้หญิงคนนั้นเนี่ยน่าอิจฉาจังเลยนะ”
ขณะที่ทุกคนกำลังสับสนต่อสถานการณ์ของตัวเองคนที่ก่อเรื่องวุ่นวายนี้ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าผมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ถูกเลือกจากพันธสัญญาทุกครั้ง ริน อา คิริโนะปากกานั่นน่ะฉันยกให้นะ”
ผมตัดไปมองร่มในมือตัวเองทีหนึ่งและมันก็ค่อยๆ หดเล็กลงกลายเป็นปากกาคล้ายทำจากคริสตัลตามเดิม
“ครั้งแรกเลยนะที่ยอมเรียกชื่อฉันจริงๆ น่ะ”
“อืม ขอโทษอีกครั้งนะเพราะหากจะเอาส่วนที่ต้องการจากทุกไทม์ไลน์มารวมกันจำเป็นต้องให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ถูกกระแสเวลาลบไปถึงได้ก่อปัญหาแล้วโยงมาที่เธอเพราะยิ่งมากตัวตนก็จะยิ่งถูกตรึงเอาไว้มั่นคง”
…บทพูดแบบนั่นมันอะไร
“ยิ่งมีคนจดจำตัวตนก็ยิ่งมั่นคงเหมือนกับที่ผู้คนว่าเอาไว้นั่นแหละ”
ฮัทสึฮารุพูดไปพรางชูมือขึ้นสุดแขน ตรงปลายฝ่ามือนั้นเกิดลมหมุนมหาศาลดูดเศษดินเศษหินและนกพับเข้าไปรวมกันทว่าตัวผมที่ยืนใกล้เธอที่สุดกลับไม่ถูกลมนี้พัดมีเพียงชายเสื้อเท่านั้นที่ถูกแรงลมตีผิดกับคุณกลินดากับพวกซาซาฮาระที่ยื้อยุดฉุดกระชากจนกระทั่งนารุคามิหยิบของบางอย่างคล้ายการ์ดออกมาและฉีกทิ้งอย่างไม่ลังเลจึงปรากฏวัตถุขนาดใหญ่ทำจากอิฐบล็อกแต่กลับมีทั้งแขนและขาออกมาตรงหน้าโอบกำบังพวกนารุคามิจากกระแสลมของฮัทสึฮารุเอาไว้ได้
แม้แต่มิติทั้งสองหรือสามที่รวมกันเมื่อครู่กำลังถูกดูดมารวมกันอย่างบ้าคลั่งคล้ายน้ำวนอยู่ตรงปลายฝ่ามือของฮัทสึฮารุและยังขยายใหญ่แผ่กว้างไปเรื่อยๆ ตอนนั้นเองที่แผลบนมือของผมจึงค่อยๆ หายไป กล่องใส่ตาในมืออีกข้างของฮัทสึฮารุก็ค่อยๆ หายไปเช่นกัน
ผมจ้องมองมือข้างที่เคยเป็นแผลครู่หนึ่งก่อนจะตัดไปมองคลื่นน้ำวนแห่งมิติกำลังผสมปนเปกันท่ามกลางพายุเทียม
“แบบนี้จะเรียกเลวร้ายรึเปล่านะ?”
“มันจะดีได้ยังไงกันล่ะ”
ผมเหลียวหลังหันกลับไปมองคุณกลินดาด้านหลัง
“นำส่วนที่ต้องการของแต่ละเส้นเวลามาถักเข้าด้วยกันจนเป็นเกลียว ห้วงเวลาที่ถูกตัดออกไปจะเกิดบัคการดำเนินชีวิตของเส้นเวลาอื่นก็จะยุ่งเหยิงไปหมดนะ ”
“…..”
“แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงล่ะค้าคิริโนะคุง”
“สุดท้ายแล้วความต้องการของยัยนั่นก็เป็นจริงล่ะนะ”
“ความต้องการ? เรื่องที่คิริโนะคุงยังมีชีวิตอยู่น่ะเหรอ?”
“ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่หรอก ยัยนั่นอาจกำลังหาเหตุผลให้ตัวเอง...”
ยูบาริขมวดคิ้วจ้องมองผมด้วยตาซ้ายบนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยยังพันผ้าพันแผลบริเวณตาข้างขวาเอาไว้
“คิริโนะคุงไม่อยากเล่าเหตุการณ์หลังจากนั้นสินะค้า”
“โทษทีนะ”
ยูบาริจ้องผมสักพักจึงเอามือไพล่ประสานกันรองศีรษะพิงลงหมอนไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะจ้องมองไปยังนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย
“ไทม์ไลน์เทียมงั้นเหรอ? แล้วต่อจากนี้จะทำยังไงต่อล่ะค้าคิริโนะคุง ถึงเรื่องที่ผ่านมาจะถูกอากิจัดฉากเอาไว้แต่ความเป็นจริงที่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนอยู่ดี ยิ่งตอนนี้คุณเทพพิทักษ์ของคิริโนะคุงไม่อยู่ด้วยแล้วแบบนี้ฉันล่ะสนใจสุดๆ ไปเลยน้า”
“เรื่องนั้นมันก็จริง ฉันถึงได้เอาเจ้านี่มาด้วยไง”
ผมหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาจากถุงพลาสติกที่ใส่ของจิปาถะมาด้วยให้ยูบาริดูทำให้เธอเปลี่ยนเป็นท่านั่งมองผมตาไม่กระพริบ
“เอาจริงเหรอ?”
“อา ฉันจะส่งพันธสัญญาให้เซ็นทรัล หมายความว่ายังไงคงรู้ใช่ไหม”
ยูบาริแกล้งยิ้มทำหน้าไม่เข้าใจพร้อมกับยักไหล่ประกอบท่าทางชวนหงุดหงิดนั้น
ครืด
เสียงเลื่อนประตูดังขึ้นมาและเผยร่างของซาซาฮาระอาริมะและนารุคามิที่ค่อยๆ ทยอยเดินเข้ามาในห้องคนไข้ที่มาพร้อมตะกร้าผลไม้ เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงค่อยลุกขึ้นยืนและพยายามหลบหน้าพวกนั้นก่อนจะเดินสวนออกมาจากห้องแต่ก็ถูกอาริมะจับแขนรั้งไว้
“นายน่ะจะมากับพวกเรารึเปล่าคิริโนะ?”
“...ฉันไม่สนใจสิ่งที่พวกนายทำอยู่หรอก สิ่งที่พวกนายทำได้ก็เชิญทำต่อไปเถอะ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายรู้อะไรและจะทำอะไรน่ะ”
ผมเหลียบไปมองซาซาฮาระที่พูดขึ้น
“สุดท้ายแล้วก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะตัดสินใจ”
ผมจึงสลัดแขนจากอาริมะเดินออกมาและค่อยๆ เลื่อนประตูปิดส่งท้ายก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูเวลาเล่นแล้วก็ปิดกลับอย่างไร้ความหมาย
ยัยนั่นอย่างน้อยก็น่าจะบอกลาสักคำแท้ๆ
สิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนหมู่มากตั้งขึ้นมากันเอาเองตามใจชอบโดยไม่สนใจคนส่วนน้อย เรื่องที่มนุษย์นั้นไม่สามารถบินได้เพราะไม่มีปีกต่างก็เข้าใจในเรื่องนั้นกันนั่นคือตรรกะของสามัญสำนึก แต่ถ้าไม่มีปีกเราก็สร้างมันขึ้นมาเองซิ คนที่คิดต่างไปจากสามัญสำนึกได้นั้นทั้งหลายล้วนเป็นคนบ้าของแท้อย่างโทมัส อัลวา เอดิสันในสมัยนั้นคนบ้าคนนี้เอาแต่เพ้อฝันไปวันๆ จนถูกรอบข้างดูถูกเหยียดหยามนั่นก็เพราะมันคัดต่อสามัญสำนึกที่คนสวนใหญ่ไปทำการเกษตรกัน แต่ดูสิพอเค้าประดิษฐ์หลอดไฟได้เป็นไงล่ะเจ้าพวกที่อยู่กันเป็นฝูงโดยเมินความคิดของไอ้บ้าคนนั้นล่ะเป็นไง น่าสมเพชชะมัด
เพราะฉะนั้นคนที่ชอบพูดว่า“สบายดีไหม?” หรือไม่ก็ “อรุณสวัสดิ์” “ราตรีสวัสดิ์” ให้กับคนอื่นไปทั่วอย่างสดใสนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ทั้งสิ้นนั่นเพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์นั้นก็เป็นสัตว์ที่อยู่ตัวเดียวในวันข้างหน้าและตายไปอย่างโดดเดี่ยว อย่างคนในห้องเรียนพอจบไปก็จบๆ กันไปไม่มีอะไรมากมายไปกว่านั้น ใช่แล้ว สิ่งที่เรียกว่าเพื่อนฝูงนั้นเป็นเพียงตัวขัดแข้งขัดขาความเจริญของตัวบุคคลเท่านั้น ชวนกันไปเที่ยวในวันหยุดบ้างล่ะชวนกันทำกิจกรรมบ้างล่ะแบ่งกลุ่มกันแบบสองมาตราฐานทั้งนั้น งี่เง่าชะมัด
แล้วอะไรคือสามัญสำนึกของเจ้าพวกนั้นกันล่ะ คงจะเป็นการพูดคุยอย่างสนุกสนาน นินทาชาวบ้านเป็นแก๊ง รังแกคนอ่อนแอ แต่กลับไม่มีความเชื่อใจกันและเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หากมีตัวตนที่อยู่นอกสามัญสำนึกโผล่ออกมาตรงหน้าจะเป็นยังไงกันนะ? คุณจึงควรรักและดูแลตัวของคุณเอง เพราะมันจะอยู่ติดตัวกับคุณไปตลอดชีวิต คุณจึงมีสิทธิ์จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง แต่อย่างน้อยก็อย่าเลยเทิดแล้วกัน
เพราะฉะนั้นไม่มีใครมีสิทธิ์มาว่าความฝันหรือกำหนดของคนอื่นตามใจชอบ เพราะนั่นเป็นแรงผลักดันของมนุษย์อย่างเราๆ ให้ขับเคลื่อนหัวใจต่อไปได้ยังไงล่ะต่อให้เป็นมนุษย์ป้าก็ตาม
สรุปแล้วสิ่งที่คอยค้ำจุลโลกคือสามัญสำนึกแต่สิ่งที่คอยผลักดันโลกนั้นคือสิ่งเหนือสามัญสำนึกทั้งปวง ดั่งเช่นคำพูดที่ว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
แล้วมันเกี่ยวอะไรงั้นเหรอ? นั่นเพราะว่ามีคนๆ หนึ่งที่ยึดมั่นในอุดมคติของตัวเองจนถึงที่สุดอยู่คนหนึ่งที่ผมรู้จักและทำเป้าหมายให้เป็นจริงได้อยู่ยังไงล่ะ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อยู่แล้วก็ตามใช่แล้วล่ะถึงแม้ว่าเรื่องนั้นหากมองในมุมมองของคนอื่นแล้วก็เป็นได้เพียงความเห็นแก่ตัวปกติทั่วไปหากไม่เลือก A ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลือก B ช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ตอนนี้ถูกถักทอเอาไว้ด้วยหลักการที่ว่านี่แหละเป็นแค่ตัวเลือกที่ไม่มีให้เลือกตั้งแต่แรก
ซาซาฮาระมองผมด้วยสายตาทิ่มแทงแต่ผมก็พยายามเมินสายตานั้นเพื่อไปจับจ้องร่างของยูบาริอันไร้เรี่ยวแรงที่ถูกแบกทั้งที่ยังไม่ได้สติโดยเฉพาะบริเวณตาขวาที่มีเลือดแห้งๆ ติดลากยาวถึงคาง
“ผู้หญิงคนนั้นเนี่ยน่าอิจฉาจังเลยนะ”
ขณะที่ทุกคนกำลังสับสนต่อสถานการณ์ของตัวเองคนที่ก่อเรื่องวุ่นวายนี้ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าผมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ถูกเลือกจากพันธสัญญาทุกครั้ง ริน อา คิริโนะปากกานั่นน่ะฉันยกให้นะ”
ผมตัดไปมองร่มในมือตัวเองทีหนึ่งและมันก็ค่อยๆ หดเล็กลงกลายเป็นปากกาคล้ายทำจากคริสตัลตามเดิม
“ครั้งแรกเลยนะที่ยอมเรียกชื่อฉันจริงๆ น่ะ”
“อืม ขอโทษอีกครั้งนะเพราะหากจะเอาส่วนที่ต้องการจากทุกไทม์ไลน์มารวมกันจำเป็นต้องให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ถูกกระแสเวลาลบไปถึงได้ก่อปัญหาแล้วโยงมาที่เธอเพราะยิ่งมากตัวตนก็จะยิ่งถูกตรึงเอาไว้มั่นคง”
…บทพูดแบบนั่นมันอะไร
“ยิ่งมีคนจดจำตัวตนก็ยิ่งมั่นคงเหมือนกับที่ผู้คนว่าเอาไว้นั่นแหละ”
ฮัทสึฮารุพูดไปพรางชูมือขึ้นสุดแขน ตรงปลายฝ่ามือนั้นเกิดลมหมุนมหาศาลดูดเศษดินเศษหินและนกพับเข้าไปรวมกันทว่าตัวผมที่ยืนใกล้เธอที่สุดกลับไม่ถูกลมนี้พัดมีเพียงชายเสื้อเท่านั้นที่ถูกแรงลมตีผิดกับคุณกลินดากับพวกซาซาฮาระที่ยื้อยุดฉุดกระชากจนกระทั่งนารุคามิหยิบของบางอย่างคล้ายการ์ดออกมาและฉีกทิ้งอย่างไม่ลังเลจึงปรากฏวัตถุขนาดใหญ่ทำจากอิฐบล็อกแต่กลับมีทั้งแขนและขาออกมาตรงหน้าโอบกำบังพวกนารุคามิจากกระแสลมของฮัทสึฮารุเอาไว้ได้
แม้แต่มิติทั้งสองหรือสามที่รวมกันเมื่อครู่กำลังถูกดูดมารวมกันอย่างบ้าคลั่งคล้ายน้ำวนอยู่ตรงปลายฝ่ามือของฮัทสึฮารุและยังขยายใหญ่แผ่กว้างไปเรื่อยๆ ตอนนั้นเองที่แผลบนมือของผมจึงค่อยๆ หายไป กล่องใส่ตาในมืออีกข้างของฮัทสึฮารุก็ค่อยๆ หายไปเช่นกัน
ผมจ้องมองมือข้างที่เคยเป็นแผลครู่หนึ่งก่อนจะตัดไปมองคลื่นน้ำวนแห่งมิติกำลังผสมปนเปกันท่ามกลางพายุเทียม
“แบบนี้จะเรียกเลวร้ายรึเปล่านะ?”
“มันจะดีได้ยังไงกันล่ะ”
ผมเหลียวหลังหันกลับไปมองคุณกลินดาด้านหลัง
“นำส่วนที่ต้องการของแต่ละเส้นเวลามาถักเข้าด้วยกันจนเป็นเกลียว ห้วงเวลาที่ถูกตัดออกไปจะเกิดบัคการดำเนินชีวิตของเส้นเวลาอื่นก็จะยุ่งเหยิงไปหมดนะ ”
“…..”
“แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงล่ะค้าคิริโนะคุง”
“สุดท้ายแล้วความต้องการของยัยนั่นก็เป็นจริงล่ะนะ”
“ความต้องการ? เรื่องที่คิริโนะคุงยังมีชีวิตอยู่น่ะเหรอ?”
“ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่หรอก ยัยนั่นอาจกำลังหาเหตุผลให้ตัวเอง...”
ยูบาริขมวดคิ้วจ้องมองผมด้วยตาซ้ายบนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยยังพันผ้าพันแผลบริเวณตาข้างขวาเอาไว้
“คิริโนะคุงไม่อยากเล่าเหตุการณ์หลังจากนั้นสินะค้า”
“โทษทีนะ”
ยูบาริจ้องผมสักพักจึงเอามือไพล่ประสานกันรองศีรษะพิงลงหมอนไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะจ้องมองไปยังนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย
“ไทม์ไลน์เทียมงั้นเหรอ? แล้วต่อจากนี้จะทำยังไงต่อล่ะค้าคิริโนะคุง ถึงเรื่องที่ผ่านมาจะถูกอากิจัดฉากเอาไว้แต่ความเป็นจริงที่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนอยู่ดี ยิ่งตอนนี้คุณเทพพิทักษ์ของคิริโนะคุงไม่อยู่ด้วยแล้วแบบนี้ฉันล่ะสนใจสุดๆ ไปเลยน้า”
“เรื่องนั้นมันก็จริง ฉันถึงได้เอาเจ้านี่มาด้วยไง”
ผมหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาจากถุงพลาสติกที่ใส่ของจิปาถะมาด้วยให้ยูบาริดูทำให้เธอเปลี่ยนเป็นท่านั่งมองผมตาไม่กระพริบ
“เอาจริงเหรอ?”
“อา ฉันจะส่งพันธสัญญาให้เซ็นทรัล หมายความว่ายังไงคงรู้ใช่ไหม”
ยูบาริแกล้งยิ้มทำหน้าไม่เข้าใจพร้อมกับยักไหล่ประกอบท่าทางชวนหงุดหงิดนั้น
ครืด
เสียงเลื่อนประตูดังขึ้นมาและเผยร่างของซาซาฮาระอาริมะและนารุคามิที่ค่อยๆ ทยอยเดินเข้ามาในห้องคนไข้ที่มาพร้อมตะกร้าผลไม้ เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงค่อยลุกขึ้นยืนและพยายามหลบหน้าพวกนั้นก่อนจะเดินสวนออกมาจากห้องแต่ก็ถูกอาริมะจับแขนรั้งไว้
“นายน่ะจะมากับพวกเรารึเปล่าคิริโนะ?”
“...ฉันไม่สนใจสิ่งที่พวกนายทำอยู่หรอก สิ่งที่พวกนายทำได้ก็เชิญทำต่อไปเถอะ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายรู้อะไรและจะทำอะไรน่ะ”
ผมเหลียบไปมองซาซาฮาระที่พูดขึ้น
“สุดท้ายแล้วก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะตัดสินใจ”
ผมจึงสลัดแขนจากอาริมะเดินออกมาและค่อยๆ เลื่อนประตูปิดส่งท้ายก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูเวลาเล่นแล้วก็ปิดกลับอย่างไร้ความหมาย
ยัยนั่นอย่างน้อยก็น่าจะบอกลาสักคำแท้ๆ
สิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนหมู่มากตั้งขึ้นมากันเอาเองตามใจชอบโดยไม่สนใจคนส่วนน้อย เรื่องที่มนุษย์นั้นไม่สามารถบินได้เพราะไม่มีปีกต่างก็เข้าใจในเรื่องนั้นกันนั่นคือตรรกะของสามัญสำนึก แต่ถ้าไม่มีปีกเราก็สร้างมันขึ้นมาเองซิ คนที่คิดต่างไปจากสามัญสำนึกได้นั้นทั้งหลายล้วนเป็นคนบ้าของแท้อย่างโทมัส อัลวา เอดิสันในสมัยนั้นคนบ้าคนนี้เอาแต่เพ้อฝันไปวันๆ จนถูกรอบข้างดูถูกเหยียดหยามนั่นก็เพราะมันคัดต่อสามัญสำนึกที่คนสวนใหญ่ไปทำการเกษตรกัน แต่ดูสิพอเค้าประดิษฐ์หลอดไฟได้เป็นไงล่ะเจ้าพวกที่อยู่กันเป็นฝูงโดยเมินความคิดของไอ้บ้าคนนั้นล่ะเป็นไง น่าสมเพชชะมัด
เพราะฉะนั้นคนที่ชอบพูดว่า“สบายดีไหม?” หรือไม่ก็ “อรุณสวัสดิ์” “ราตรีสวัสดิ์” ให้กับคนอื่นไปทั่วอย่างสดใสนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ทั้งสิ้นนั่นเพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์นั้นก็เป็นสัตว์ที่อยู่ตัวเดียวในวันข้างหน้าและตายไปอย่างโดดเดี่ยว อย่างคนในห้องเรียนพอจบไปก็จบๆ กันไปไม่มีอะไรมากมายไปกว่านั้น ใช่แล้ว สิ่งที่เรียกว่าเพื่อนฝูงนั้นเป็นเพียงตัวขัดแข้งขัดขาความเจริญของตัวบุคคลเท่านั้น ชวนกันไปเที่ยวในวันหยุดบ้างล่ะชวนกันทำกิจกรรมบ้างล่ะแบ่งกลุ่มกันแบบสองมาตราฐานทั้งนั้น งี่เง่าชะมัด
แล้วอะไรคือสามัญสำนึกของเจ้าพวกนั้นกันล่ะ คงจะเป็นการพูดคุยอย่างสนุกสนาน นินทาชาวบ้านเป็นแก๊ง รังแกคนอ่อนแอ แต่กลับไม่มีความเชื่อใจกันและเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หากมีตัวตนที่อยู่นอกสามัญสำนึกโผล่ออกมาตรงหน้าจะเป็นยังไงกันนะ? คุณจึงควรรักและดูแลตัวของคุณเอง เพราะมันจะอยู่ติดตัวกับคุณไปตลอดชีวิต คุณจึงมีสิทธิ์จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง แต่อย่างน้อยก็อย่าเลยเทิดแล้วกัน
เพราะฉะนั้นไม่มีใครมีสิทธิ์มาว่าความฝันหรือกำหนดของคนอื่นตามใจชอบ เพราะนั่นเป็นแรงผลักดันของมนุษย์อย่างเราๆ ให้ขับเคลื่อนหัวใจต่อไปได้ยังไงล่ะต่อให้เป็นมนุษย์ป้าก็ตาม
สรุปแล้วสิ่งที่คอยค้ำจุลโลกคือสามัญสำนึกแต่สิ่งที่คอยผลักดันโลกนั้นคือสิ่งเหนือสามัญสำนึกทั้งปวง ดั่งเช่นคำพูดที่ว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
แล้วมันเกี่ยวอะไรงั้นเหรอ? นั่นเพราะว่ามีคนๆ หนึ่งที่ยึดมั่นในอุดมคติของตัวเองจนถึงที่สุดอยู่คนหนึ่งที่ผมรู้จักและทำเป้าหมายให้เป็นจริงได้อยู่ยังไงล่ะ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อยู่แล้วก็ตามใช่แล้วล่ะถึงแม้ว่าเรื่องนั้นหากมองในมุมมองของคนอื่นแล้วก็เป็นได้เพียงความเห็นแก่ตัวปกติทั่วไปหากไม่เลือก A ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลือก B ช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ตอนนี้ถูกถักทอเอาไว้ด้วยหลักการที่ว่านี่แหละเป็นแค่ตัวเลือกที่ไม่มีให้เลือกตั้งแต่แรก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ