เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) ขอความต้องการของญาติคนนี้ Be the One 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันค่อยๆ หลับตาลงเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าขณะที่เท้ายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ราวกับตุ๊กตาไขลาน
“นี่ คราวนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะขนาดแก่นแท้อย่างผมยังจำไม่ได้เลย เธอพอจะบอกได้รึเปล่า?”
ฉันทำเป็นเมินเสียงของเจ้านั่นเพราะไม่มีค่าจะให้มาต่อล้อต่อเถียงด้วยแม้แต่น้อย
“ครั้งนี้ยื้อเพิ่มจากสถิติเดิมมาได้ตั้ง 6 ชั่วโมงนี่นะไม่นึกเลยว่าหลังกลับบ้านมาแล้วถึงเส้นชัยเลยแบบนี้เนี่ย ก็นะในเมื่อครั้งนี้เธอก็เป็นต้นเหตุให้เขาต้องตายมา 13 ครั้งติดแล้วด้วยสิ”
เท้าของฉันมาหยุดเดินและค่อยลืมตาแหงนมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“อุบัติเหตุ 211 ครั้ง ด้วยโรคภัย 44 ครั้ง ฆ่าตัวตาย 31 ครั้ง เสียสติ 5 ครั้ง และถูกฆ่า 47 ครั้งถ้ารวมกับของเธอด้วยก็จะเป็นถูกฆ่า 70 ครั้งพอดี”
“ถ้าไม่ได้จำผิดแค่นั้นก็ดีไป”
พอเหลือบไปทางต้นเสียงด้านข้างเจ้านั่นแก่นแท้ก็กลายสภาพเป็นเพียงละอองแสงสีเหลืองขาวคล้ายสปอร์และเปลี่ยนอีกครั้งเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ไม่มีหน้าไม่มีผิวหนังเป็นเพียงกลุ่มพลังงานรูปร่างหนึ่งเท่านั้น
“ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ผลลัพธ์ยิ่งเลวร้ายลงขนาดตอนนี้แค่จับตัวเขาก็ยังไม่ได้เลยนี่นาคลื่นพลังงานของเธอกลับมาเสถียรไม่ได้อีกแล้วสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดหากสัมผัสตัวเธอก็จะถูกยัดข้อมูลเข้ามาสำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดแล้วไม่สามารถรับข้อมูลมหาศาลในเวลาอันสั้นได้อยู่แล้ว จะช็อกตาย(สมองล้มเหลว)ก็เป็นธรรมดา”
และคราวนี้ก็กลายสภาพเป็นมนุษย์ด้วยใบหน้าของฉันตั้งแต่ใบหน้าไปถึงชุด
“จิตวิญญาณนั้นกำลังอ่อนล้าขีดจำกัดของเธอมันเลยมานานแล้วแต่ผลลัพธ์กลับดิ่งไปทางตรงข้าม”
เรื่องนั้นฉันก็รู้ดีอยู่เต็มอก ฉันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่การที่ตัวเองกำลังถดถ้อยด้วยความอ่อนล้านั้นฉันเข้าใจได้แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ได้สาบานกับตัวเองไว้แล้วถึงได้มาหยุดอยู่หน้าต้นไม้ที่มีแต่ใบสีแดงไม่เคยผลิบานต้นนี้
ฉันหลับตาอีกครั้งและค่อยนั่งลงช้าๆ ณ ตำแหน่งเดิมไม่ขยับไปไหน
“ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วน่ารำคาญจังเลย”
“ผมจำได้ว่าตอนนั้นครั้งแรกคุณจะขอร้องผมเอาไว้นี่นะว่า ‘อยากบอกลากันให้เรียบร้อย’ น่ะ”
ลืมตาขึ้นอีกครั้งมองไปยังเบื้องหน้าโดยเมินเสียงลมที่พยามรบกวนโสทประสาทจ้องมองไปยังนาฬิกาทรายขนาดใหญ่เบื้องหน้า
“อ้อ จริงสิผมจำได้แล้วล่ะว่าครั้งต่อๆ ไปนี่เองสินะที่เริ่มมีตัวตนแปลกปลอมออกมาเรื่อยๆ น่ะ”
พอรู้ตัวอีกทีเจ้านั่นก็พรางเปิดหนังสือภาพในมือที่เสกออกมาไปด้วย
มันคือภาพของสิ่งมีชีวิตคล้ายเด็กสาวนิสัยร่าเริงแต่กลับไม่ใช่มนุษย์ อีกภาพหนึ่งคือภาพของหญิงสาววัยยี่สิบกว่าๆ ที่มีผมสีขาวสนิท อีกภาพหนึ่งคือภาพของเมืองแห่งหนึ่งที่คนในภาพใช้เวทมนตร์กันอย่างอิสระราวกับเป็นเรื่องปกติ และภาพของกลุ่มเด็กมอปลายที่วิ่งไปมาเพื่อคนอื่น
“นั่นสินะผมคิดว่าจะไม่มีอะไรให้แปลกใจไปกว่านี้อีกแล้วจนมาถึงเรื่องนี้ล่ะนะ”
ฉันหลับตาลงไปข้างหนึ่งและใช้มือข้างหนึ่งยื่นไปยังภาพของนาฬิกาที่อยู่ห่างออกไป
“ใครจะไปคิดว่าจุดศูนย์กลางที่เธอย้อนกลับไปจะเปลี่ยนสภาพตัวเองไปแบบนั้นน่ะ นึกว่าจะมีแค่สภาพแวดล้อมล้อมตัวเขาที่ถูกเปลี่ยนเชื่อมโยงอย่างเดียวซะอีก”
ถัดมาคือภาพที่ถูกแบ่งครึ่งเอาไว้ด้านซ้ายเป็นเด็กสาวและด้านขวาเป็นเด็กหนุ่ม
เจ้านั้นพูดด้วยใบหน้าของฉันด้วยท่าทางตื่นเต้น และยังพูดตอกย้ำต่อไปเรื่อยๆ
“จะให้พอใจได้ยังไงกัน”
และฉันจึงกุมมือคว้ามาไว้ ใช่ตรงตามตัวอักษรและความหมายคือการคว้าเอานาฬิกาทรายที่อยู่ปลายสายตาเอามาไว้ในมือคู่นี้
“เวลาใกล้หมดแล้วงั้นก็มาดูภาพสุดท้ายเตือนความจำกันเถอะ”
“ขอให้เป็นแบบนั้น”
ภาพสุดท้ายเป็นของเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่มีท่าทีแปลกไปเฉพาะจากเส้นเวลาล่าสุดและกำลังยื่นกุญแจสีขาวที่ได้รับมาจากน้องสาวของเด็กหนุ่มคืนให้
“เด็กคนนั้นรู้ด้วยสินะว่ากุญแจนั่นมีแค่สองดอกในโลกผมคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนต่อไปที่จะถูกเปลี่ยนแปลงตัวตนให้เหนือกว่ามนุษย์เป็นคนต่อไป เธอคิดงั้นรึเปล่าล่ะ?”
ฉันใช้มือบิดส่วนบนของนาฬิกาเพื่อเปิดออกและทำเหมือนกับทุกครั้งโดยการเททรายลงพื้นด้านล่าง พอเป็นแบบนั้นผืนดินก็กลายเป็นผืนน้ำล้อมบริเวณโดยรอบใต้ต้นไม้เอาไว้แต่ฉันที่นั่งอยู่กลับไม่จมลงไปนั่นเพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มีอยู่จริงการจะมีบนล่างหรือแรงโน้มถ่วงหรือไม่เป็นเพียงของปลอม
พอก้มมองลงไปก็มองเห็นภาพสะท้อนของกิ่งใบที่มีใบสีชมพูบานสะพรั่งตรงข้ามกับฝั่งนี้โดยสิ้นเชิงไม่ได้กำลังผลิบานแต่กำลังค่อยๆ ร่วงหล่นอยู่บนแอ่งน้ำ
“ไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อให้มีตัวอะไรเพิ่มเข้ามาฉันก็จะทำสิ่งที่ฉันควรทำ ช่วยพี่สาวของฉันเท่านั้น”
ใช่แล้วต่อให้ต้องกลับมาอีกกี่ครั้งต่อให้จิตวิญญาณนี้แหลกสลายต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ถ้าไม่อย่างงั้นฉันจะพอใจได้ยังไงกัน
หลายปีหลังการตายของพี่สาวมันก็พูดยากอยู่เหมือนกันที่คนในครอบครัวเสียชีวิตไปแต่ไม่ว่ายังไงชีวิตคนเรามันต้องไปต่อพี่เองก็มักจะพูดอยู่เสมอๆ ว่าการคัดสรรของธรรมชาติบ้างล่ะบ่วงแห่งอุโรโบรอสบ้างล่ะมีแต่เรื่องที่น่ารำคาญไม่อยากรู้เลยสักนิด ทั้งที่ตัวเองเป็นสาวมอปลายกลับเอาแต่ทำหน้าซังกะตายไม่มีเพื่อนฝูง นั่นคือสิ่งที่พี่เป็นเท่าที่ฉันจำได้
แต่แล้ววันหนึ่งวันที่สิ่งนั้นใช้ร่างของแมวที่เลี้ยงไว้มาสื่อสารกับฉันทำให้ฉันได้รับปาฏิหาริย์ที่ต้องแลกกับความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
กรีดร้องอยู่นานหลายวันเหตุการณ์ ความรู้สึก ความคิด ของทั้งโลกกำลังผ่านตัวฉันทั้งความกลัว ความกล้า ความโกรธ ความเศร้า รวมไปถึงความตายของอาณาจักรสัตว์ทั้งหมดเข้าถาโถมมาที่ฉันอย่างบ้าคลั่งทุกวินาทีแต่เพราะกลายเป็นแค่พลังเป็นแค่อากาศจึงตายไม่ได้ ความเจ็บปวดของตัวเองก็ไม่มีเพราะฉะนั้นสิ่งที่ส่งมาจึงเป็นเหมือนเพียงอากาศเท่านั้น จนในที่สุดฉันก็ชินช้ากับสิ่งนั้นไป
แต่ฉันที่ถึงจะกลายเป็นแบบนั้นก็ยังมีสิ่งที่อยากจะทำ
รู้ดีว่าตัวเองตอนนี้ไม่ใช่คนรู้จักของเขาด้วยซ้ำเพื่อฉันจะสามารถเป็นเพื่อนกับพี่สาวในช่วงเวลานี้เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปได้แต่กว่าเขาจะยอมเปิดใจให้ฉันก็สายไปแล้ว
ครั้งแรก...ไม่สิครั้งที่สองต่างหาก
ฉันจึงย้อนกลับไปอีกครั้งเพื่อช่วยเขาจากสาเหตุครั้งนั้นแต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเขาก็ต้องตายอีกครั้ง
ครั้งที่สาม สี่ ครั้งแล้วครั้งเล่าครั้งแล้วครั้งเล่า ทำได้เพียงแค่ยื้อเวลาตายออกไปเท่านั้น
ทั้งที่มีพลังของแก่นแท้ ทั้งที่ต่อให้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ควบคุมได้แท้ๆ แต่ทำไมกันยิ่งฉันยื้อเวลาไปได้นานแค่ไหนสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ควรจะมีมันกลับมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มันแย่ลง
‘เป็นอะไร หยุดเดินดื้อๆ เธอเองไม่ใช่เหรอที่ชวนมาน่ะ ทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ๆ อยากนอนอยู่บ้านมากกว่าแท้ๆ น้า’
ถ้อยคำนั้นดังขึ้นมาในสมองฉันเป็นตัวอักษรเรียกสติให้กลับมายังตรงหน้าแต่ทำไมกันทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงของคนๆ นี้ทั้งที่คนรอบๆ ยังได้ยินอยู่และที่สำคัญคนๆ นี้เป็นใครกัน
‘ไหนๆ ก็มาแล้วไปขึ้นรถไฟเหาะก่อนเป็นไงจะได้รู้สึกกลัวแทนที่จะมาซึมน่ะ เพราะฉะนั้นรอก่อนเลยเดี๋ยวตามไป’
เด็กสาวคนนั้นแยกตัวออกไปถึงจะไม่ได้ยินเสียงแต่หากอ่านตามความคิดแล้วกำลังไปห้องน้ำ
ฉันรอเธออยู่ที่เดิมไม่ไปไหนไม่แม้แต่จะขยับไปจากจุดเดิมรออยู่หลายนาทีจนกระทั่งบางอย่างในตัวฉันกรีดร้องสิ่งที่กลัวที่สุดจึงเกิดขึ้นเมื่อการเชื่อมตัวของเด็กสาวกับเน็ตเวิร์ก(แก่นแท้) ได้หายไปสัมผัสสุดท้ายของเธอคือด้านหลังคอถูกของบางอย่างเย็นเชียบเสียบ
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุด้วยความว่างเปล่าจึงเห็นร่างของผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีผมสีขาวสนิทกำลังเช็ดมีดด้วยกระดาษทิชชูใบหน้านั้นกำลังชำเลืองมามองฉันเหมือนกำลังเฝ้ารอและหายไปทันทีต่อหน้าต่อตาอย่างไร้ร่องรอยราวกับอากาศธาตุ
ร่างกายจู่ๆ ก็สั่นเทาไปหมดพอได้เห็นร่างที่กองอยู่กับพื้น
“ริน! พี่ริน!”
ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากโดยแม้แต่ตัวเองก็ไม่สามารถเข้าใจความหมายได้ผุดออกมาและเข้าไปโอบอุ้มร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นขึ้นมาวินาทีต่อมาเสียงกรีดร้องจากคนด้านหลังที่เห็นเหตุการณ์จึงดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงฝีเท้าแต่ทั้งเรื่องนั้นหรือเรื่องของหญิงสาวผมขาวตอนนี้มันไม่สำคัญ
ราวกับว่าคนๆ นี้เป็นสิ่งที่ไม่อยากสูญเสีย
ในช่วงเวลาที่ใบหน้าซบอกเด็กสาวอยู่นั้นสัมผัสที่แก้มจึงถูกมือของเธอจับเอาไว้ฉันจึงกุมมือที่แสนแผ่วเบาเอาไว้ราวกับขุมทรัพย์ไว้แน่นขนัด
‘ฮะๆ เธอเนี่ยหน้าเหมือนฉันจริงๆ ด้วยนะ ฉันรู้สึกน่ะตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วว่าตัวเองจะมีเคราะห์ร้ายมาแต่ถ้าฉันตายไปจริงๆ อาจจะดีก็ได้’
ฉันใช้เวทมนตร์รักษาที่ได้มาจากความทรงจำของเอลฟ์รวมกับพยายามเขียนความทรงจำของพี่สาวและใส่เข้าไปใหม่อีกครั้ง
ฉันไม่ยอมรับหรอก
“อย่าพูดนะ ขอร้องล่ะอยู่ต่อด้วยเถอะ”
นึกออกแล้ว คนๆ นี้
‘ก็ความตายนะคือการปลดปล่อย’
รอยยิ้มที่ผุดออกมาหลังจากพร่ามวาจาไร้สาระออกมาเป็นรอยยิ้มที่ดีแท้ๆ แต่กลับทิ่มแทงเหลือเกินทั้งที่ตัวเองกำลังตายแท้ๆ ทำไมถึงยังยิ้มออกมาได้กัน บ้าจริงๆ เป็นคนบ้าจริงๆ สินะ
และสุดท้ายมือที่ฉันกุมก็หมดเรี่ยวแรงลงไป
อา นั่นสินะทำไมถึงลืมไปได้นะ
‘สิ่งที่สูญเสียไปแล้วไม่สามารถนำกลับคืนมาได้’
เมื่อขาดการเชื่อมต่อกับเน็ตเวิร์กไปแล้วครั้งหนึ่งจะไม่สามารถนำกลับมาได้
เวทมนตร์อะไรกัน ปาฏิหาริย์อะไรกัน การคัดสรรอะไรกัน
ฉันก้มมองปากกาเปื้อนเลือดของพี่สาวในมือบนหลังรถพยาบาลที่จอดนิ่งบริเวณที่เกิดเหตุและตัดมองไปที่เจ้าหน้าที่ที่ห้ามเปลที่คลุมผ้าสีขาวเอาไว้ออกมาจากที่เกิดเหตุ
อายุขัยอะไรนั่น สมการแห่งชีวิต
ล้มเหลวสิ้นดี
เธอไม่มีเหตุผลที่ต้องตายด้วยซ้ำ เป็นคนน่าสงสาร ไม่มีคนเข้าใจ เป็นคนขี้เกรงใจแต่ชอบสวมบทแกล้งว่าไม่สนใจใคร ชอบทำให้ตัวเองดูแย่กว่าคนอื่นเพื่อให้คนอื่นเหยียบขึ้นไป และตัวเองที่ชินชากับบาดแผลแบบนั้นน่ะ
คนแบบนั้นน่ะไม่ว่ายังไงฉันจะต้องช่วยให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
“ไม่ไหวเลยน้าทั้งที่รู้ดีแท้ๆ การที่หนึ่งชีวิตดับไปมันไม่ได้สำคัญอะไรเลยแท้ๆ ถึงอย่างนั้นแล้ว ศัตรูของเธอคือใครเหรอ? ผู้ใช้เวทมนตร์ ผู้มาจากต่างโลก จุดเหนือกฎเกณฑ์ ความเป็นจริง สังคมหรือว่าตัวผมล่ะ มือที่เปื้อนเลือดมานักต่อนักนั้นกำลังโอบอุ้มความปรารถนาที่เหลวไหลเห็นแก่ตัวเอาไว้แค่ไหนกันนะ แม้แต่โลกที่มีพันธสัญญาจากต่างโลกว่าห้ามตายเขายังเป็นอัมพาตไม่ก็พิการจนขอตายเลยนาแล้วแบบนี้เธอจะทำยังไงล่ะ? ช่วยได้จริงๆ รึเปล่า?”
“…มันแน่อยู่แล้ว”
“กลับมาอีกแล้วสินะแต่ก็ล้มเหลวตลอดด้วยนี่ตอนนี้แม้แต่ตัวตนของเขาก็บิดเบือนไปแล้วด้วย ผมสงสัยจริงๆ ว่าถ้าสักวันหนึ่งเขาอาจจะกลายเป็นแค่เห็บ ไร เธอจะทำหน้ายังไงกัน”
“หุบปากซะ!”
“…เอาเถอะ ผมจะคอยดูจุดจบก็แล้วกันถึงแม้ว่าเธอเพิ่งฆ่าเขามาก็ตามที จำเอาไว้ล่ะถ้ามีครั้งแรกแล้วมันจะมีอีกไม่รู้จบ”
วินาทีที่ใบสีแดงบนกิ่งสุดท้ายตกลงสู่ผิวน้ำก่อให้เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ตีกันไปมาก็หยุดลงและฉันจึงเอนตัวไปด้านข้างราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสายลงผิวน้ำนอนแนบลงไป
“ไม่รู้จบเหรอ?”
คำพูดนั้นเผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัวพรางมองไปรอบๆ สถานที่ๆ ตัวเองอยู่เพื่อให้แน่ใจว่ามาถึงแล้วจึงใบไม้สีเขียวบนพื้นหญ้าขึ้นมาพลิกกลับไปมา นั่นคือภูเขาหลังโรงเรียนอันคุ้นเคย ทีนี้ก็ได้เวลาตรวจดูแล้วว่ามีอะไรถูกเพิ่มมาบ้าง
ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตพิเศษอื่น
ฉันสับขาลงจากภูเขาเพื่อเริ่มมันอีกครั้ง ผู้คนที่อยู่แถวๆ นั้นจึงมองฉันเป็นบางครั้งบางคราวด้วยสีหน้าสงสัยเหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านๆ มาฉันจึงมองไปทางป้ายประกาศโฆษณาลดราคาสินค้าช่วงโกลเดนวีคด้วยความว่างเปล่า
ณ ปลายทางของสติที่เลื่อนลอย มันเป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะมืดมนชนิดที่ว่าทำให้ซึมไปอีกหลายวันได้ง่ายๆ มันเป็นเหมือนความรู้สึกประมาณว่าซีรี่ย์ที่ติดตามมาตลอดหลายปีได้สิ้นสุดลงจนความรู้สึกของเรื่องนั้นๆ ที่ผ่านมาเข้ามาในหัวให้รู้สึกคิดถึงเล่นแต่พอหลังจากนั้นสักสองสามวันมันก็เลือนหายไปเหมือนไม่เกิดขึ้นแต่ยังคงเหลือว่าเราเคยรู้สึกแบบนี้
สัมผัสบางอย่างกำลังสะกิดใบหน้าอยู่หลายทีจึงตอบสนองกลับไปด้วยการปัดรังขวานทีหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
เพดานอยู่ตรงหน้า ที่นี่ห้องนั่งเล่นในบ้านของตัวเองถูกย้อมไปด้วยแสงจันทร์จากนอกบานเลื่อนที่เปิดค้างเอาไว้จนกลายเป็นสีฟ้าอ่อนๆ
“ตีสี่ยี่สิบ”
เสียงนั้นบอกกับสมองผมที่กำลังชัดเจนขึ้น เป็นน้ำเสียงเรียบๆ เต็มไปด้วยความสงบราวกับกระดิ่งที่ถูกลมพัด
“จะทานอีกรึเปล่า? ข้าวต้ม”
ผมโยกตัวขึ้นมามองไปทางเจ้าของเสียงด้านหลังโซฟา ยัยนั่นนั่งพิงฝาบ้านอยู่บนพื้นตรงกลางระหว่างบานเลื่อนกระจกขณะกำลังหยิบกระดาษขึ้นมาพับนกกองอยู่ข้างๆ แกร๊ก แกร๊ก หลากสีด้วยทรงผมหางม้า
“หรือจะทิ้ง?”
ขณะมองฮัทสึฮารุอย่างไม่ละสายตาตัวนกแตกต่างจากตัวอื่นซึ่งพับได้เหมือนกับของจริงเปี๊ยบจึงบินจากบนพื้นใกล้ๆ ผมเข้าไปเกาะไหล่ของเธอ
“ตีสี่? นี่ฉันเผลอหลับไปเหรอ?”
“ฉันทำให้หลับเพื่อป้องกันเอาไว้”
จากอะไร ก่อนที่คำพูดนั้นจะเอื้อนเอ่ยผมก็ได้กลืนลงไปในท้องว่างๆ แทนข้าวเย็น
“ฉันต้องปรับแก้เคมีในสมองรินนิดหน่อยจึงทำให้หลับเอาไว้”
เธอพูดขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นเดินตรงไปที่โต๊ะอาหารโดยที่นกติดตามกำลังบินไปคาบยางรัดผมด้านหลังเธอและบินลงต่ำนำออกทำให้เส้นผมยาวตรงของเธอกลับมาอีกครั้งและหยิบถ้วยชามหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่บนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะถือถ้วยตะแคงราวกับว่าไม่เคยมีอะไรถูกใส่เอาไว้
“ถ้าหากสิ่งที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงคือหากสัมผัสตัวเธอโดยตรงคนๆ นั้นจะตายใช่ไหม? แม้แต่บนโลกนี้ก็ยังไม่มีจินตนาการแบบนั้นหรอกนะ”
ผมเว้นช่วงหายใจระยะหนึ่ง
“…เธอเป็นใครกันแน่”
แน่นอนว่าไม่ใช่การถามว่าเป็นตัวอะไรมาจากไหนแค่ถามไปตรงๆ ราวกับกำลังถามชื่อของอีกฝ่าย ฮัทสึฮารุเหลือบมามองผมบนโซฟาด้วยหางตาก่อนจะแบมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับนกที่คาบยางรัดผมมาร่อนลงและกลายสภาพเป็นปากกาโปร่งใส่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ