Heart Project : ปริศนาความทรงจำ
10.0
เขียนโดย PnPn
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 23.40 น.
17 ตอน
0 วิจารณ์
18.06K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 มกราคม พ.ศ. 2562 23.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
10)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ตอนที่ 10
ชิตที่เห็นเอมมีอาการแปลกหลังคุยกับนิสาก็สงสัยเลยถามเอมไป
“เอมเป็นอะไรหรอตัวสั่นเชียว” ชิตถามเอมซึ่งขณะนั้นดรีมที่มองอยู่ก็สงสัยเช่นกัน
“นี่พวกนายคิดยังไงกับผู้ใช้เวทย์มนต์ที่ไม่มีคทาเวทย์แต่ล้มระดับแอลฟาสามตัวได้” เอมตอบชิต
“เห้ยเอมพวกเราก็รู้อยู่แล้วว่านาเดียจังล้มแอลฟาสามตัวได้ แล้วมันผิดอะไรตรงไหนหรอ”ดรีมถามเอมกลับด้วยความงงที่เกิดขึ้นแล้วทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ทันที “เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เอมบอกว่าตอนนั้นนาเดียจังไม่มีคทาเวทย์”
เอมพยักหน้ารับ จนตอนนี้ชิตกับดรีมก็เริ่มหน้าซีดออกมา
“ดรีมโจมตีพร้อมกันเลย” ชิตเรียกให้ดรีมเริ่มทำการโจมตีนาเดียทันที ชิตใช้พลังอัญมณีทำให้การฟันเป็นลำแสงเพื่อใช้โจมตีระยะไกลแล้วปล่อยการโจมตีออกไปผสานกับลำแสงที่ออกมาจากปืนของดรีมเกิดเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงไปยังหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่ยืนอยู่โดยไร้ซึ่งอาวุธ จนทำให้คนที่ดูรู้สึกแปลกใจกับการกระทำนี้
หลังจากเสียงระเบิดอย่างหนักและควันเริ่มจางหายไปปรากฏเป็นกำแพงแสงได้ครอบร่างกายของสาวผมสีน้ำตาลเข้มไว้ จนตอนนี้ผู้ชมก็รู้ในทันทีถึงเหตุผลของของการกระทำของชิตกับดรีมและรู้ได้ทันทีว่าที่จริงแล้วนาเดียคือผู้ใช้กำแพงแสงนั่นเอง
“งั้นจะขอแนะนำตัวอีกครั้งนะคะ ดิชั้น นาเดีย เอลคราว เซชอฟ ปริ้นเซส ออฟ เอโรเนีย เป็นผู้ใช้พลังประเภทกำแพงแสง โพเทนซีของดิชั้นคือเมจิกเชียน...ไม่สิต้องเรียกว่าอัตลักษณ์ของดิชั้นคือเมจิกเชียน ค่ะ” นาเดียกล่าวแนะนำตัว
อัตลักษณ์เป็นสิ่งที่เหนือยิ่งกว่าโพเทนซีซึ่งข้อแตกต่างระหว่างโพเทนซีกับอัตลักษณ์คืออัตลักษณ์เป็นพลังที่มีมาแต่กำเนิดที่ เกิดขึ้นเอง มีความทรงพลังมากและพลังที่เป็นอัตลักษณ์ไม่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมให้ลูกหลานได้ ทำให้มีความจำเพาะสูงมากและหาได้ยากกล่าวกันว่าในหมื่นคนจะมีคนที่มีอัตลักษณ์หนึ่งคนเท่านั้น
หลังจากนาเดียกันการโจมตีของชิตกับดรีมได้กำแพงแสงที่เธอสร้างมาเป็นโล่ก็แตกออกไปทำให้เห็นว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ชิตไม่รอช้าพุ่งเข้าไปโจมตีระยะประชิตทันทีเพราะข้อเสียของผู้ใช้พลงะประเภทกำแพงแสงคือจะมีระยะห่างระหว่างกำแพงแสงที่สร้างขึ้นกับตัวผู้ใช้เล็กน้อยทำให้เป็นจุดอ่อนของผู้ใช้พลังประเภทนี้เพราะถึงจะใช้กำแพงแสงออกมาถ้าการโจมตีถึงบริเวณช่องว่างนั้นก็ป้องกันอะไรไม่ได้แล้ว
แต่ว่า...ภาพที่ทุกคนตอนนี้ได้เห็นคือนาเดียใช้มือเปล่ารับดาบของชิตที่ฟันลงมาถึงมองจากข้างนอกคือการใช้มือเปล่ารับดาบไว้แต่สิ่งที่ชิตเห็นคือนาเดียใช้เกราะแสงหุ้มมือไว้อยู่แล้วทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บจากผลของดาบเลย
“พัฒนาไปถึงเกราะแสงแล้วหรอครับ” ชิตถามขึ้นเมื่อเห็นเกราะแสงที่เคลือบอยู่ที่มือของนาเดีย
“มันมีมากกว่านั้น” นาเดียวตอบกลับ ทันใดนั้นที่เท้าของชิตก็มีเกราะแสงบนฝ่าเท้าเกราะแสงเรื่องแสงขึ้นแล้วกลายสภาพเป็นวงอักขระจากนั้นอักขระก็พลิกมามัดตัวชิดทำให้ชิตขยันไปไม่ได้
“ถึงขั้นแปลงสภาพได้ด้วยหรอ” ชิตที่ถูกมัดอยู่พูดออกมา
ทางด้านดรีมเองเมื่อเห็นชิตถูกอักขระมัดไว้ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือหนึ่งในวิถีผนึกรูปแบบหนึ่งเพียงแค่เขียนอักขระตามรูปแบบแล้วใส่มานาเวทย์ลงไปเท่านี้ก็ใช้ได้แล้วต่อให้ไม่ใช้ผู้ใช้เวทมนต์แต่ถ้ามีมานาก็ใช้ได้แล้ว ส่วนการแก้ผนึกนี้นั้นดรีมเองก็รู้วิธีอยู่แล้วเพราะตระกูลเรนฟอร์ชถนัดการใช้วิชาผนึกในรูปแบบต่างๆมากที่สุด
ดรีบเลยให้เอมกับตนเข้าไปหาชิตพร้อมกันโดยให้เอมรับมือกับนาเดียไว้ส่วนดรีมจะไปคลายผนึกให้ชิตเองเมื่อทั้งสองตกลงกันได้แล้ว ดรีมก็จะวิ่งเข้าไปหาชิตส่วนเอมก็เตรียมเข้าเข้าไปกานาเดียแต่ทั้งสองยังไม่ทันขยับอะไรมากนาเดียที่ยืนอยู่กับชิตที่ถูกผนึกเพียงพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าดรีมเสียแล้ว
“เร็ว...เกินไปแล้ว” ดรีมอุทานออกมา
นาเดียเข้าไปกระซิบข้างหูของดรีม “นี่นายคิดจะมาจับคู่กับชั้นหรอ งั้นนายก็ต้องรับมือกับสิ่งนี้ได้สินะ” นาเดียพูดจบก็ใช้มือแตะไปที่หน้าของดรีม จากนั้นดรีมหยุดนิ่งไป ทางด้านเอมเองก็เห็นสิ่งที่นาเดียทำเลยเข้าไปหมายผลักนาเดียออกไป แต่ก็ช้าไปเสียแล้วดรีมเริ่มตัวสั่นปืนที่ถืออยู่ในมือก็ตกลงมา เขาทรุดตัวลงไป เมื่อเอมจะเข้าถึงตัวดรีมก็ถูกกำแพงแสงของนาเดียผลักออกมา
เอมที่ถูกผลักออกมาพยายามทรงตัวไม่ให้ล้มและพลิกกลับมายืนได้แต่ก็ไม่ได้ทันตั้งหลักดีนาเดียก็มาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว นาเดียกำลังจะใช้มือไปแตะที่หน้าของเอมแบบเดียวกับดรีมแต่ทันใดนั้นไวท์ก็มาหยุดมือของนาเดียเอาไว้ส่วนนิสาก็มาล็อกมืออีกข้างของนาเดียไว้
“พอได้แล้ว” ไวท์พูดขึ้น “เล่นแรงไปหน่อยนะ”
“นี่เธออย่าใช้ของแบบนั้นใช้ในสถานการณ์แบบนี้สิ” นิสาพูด
นาเดียลดมือลงแล้วก็ขอโทษเอมที่ตนอาจทำแรงไปจากนั้นคลายผนึกให้ชิต จากนั้นเอมกับชิตก็ไปพยุงตัวดรีมที่ล้มอยู่ขึ้นมา ส่วนนาเดียก็เดินไปหาดรีมที่ยืนเกาะไหล่ชิตอยู่
“ขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำแรงเกินไป” นาเดียพูดกับดรีม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ดรีมตอบกลับ
นาเดียเดินเข้าไปกระซิบข้างหูดรีม “นายสอบตกนะคะ เอาความรู้สึกนี้กลับไปบอกคุณปูของคุณด้วยค่ะ”
จากนั้นนาเดียก็เดินออกจาสนามฝึกไปพร้อมกับไวท์
ส่วนเอม ชิต ดรีมก็ไปนั่งพักที่สนามพร้อมกับนิสาที่เดินตามไปด้วย
“ดรีมนายเป็นไงบ้างยังตัวสั่นไม่หายเลย” ชิตถามด้วยความเป็นห่วง
“ยังมึนๆหัว” ดรีมเริ่มเล่า “แบบว่าตอนโดนเอามือแตะหน้า ตอนนั้นเหมือนถูกย้ายไปไหนก็ไม่รู้ ภาพที่เห็นตรงหน้า มีคนยืนอยู่ข้างหน้าผม เขามองมาที่ผม ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ร่างกายก็ขยับไม่ได้ เหมือนกำลังจะตาย...กำลังจะถูกฆ่า...ก.ก.กลัว...กลัวมากเลย”
“การโจมตีด้านจิตใจงั้นสินะ” เอมพูดขึ้นมา “นี่นิสา นาเดียมีการโจมตีรูปแบบนี้ด้วยหรอ”
“เออ..ตอนมัธยมก็ไม่เคยเห็นเธอใช้อะไรแบบนั้นเลยด้วย” นิสาตอบเอม “น่าแปลกเหมือนกัน” นิสาทำหน้าสงสัย “งั้น ตอนนี้ก็พักกันก่อนแล้วกัน ชั้นจะไปคุยกับไวท์ก่อนได้เรื่องยังไงแล้วมาบอกนะ”
“ฝากด้วยแล้วกัน” เอมพูด
จากนั้นนิสาก็เดินออกนอกสนามฝึกไปแล้วก็หายไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วก็เดินกลับพร้อมไวท์กับนาเดีย
“พวกนาย...ชั้นขอโทษด้วยอีกครั้งด้วยน้า” นาเดียพูด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนนี้ก็หายมึนหัวแล้ว” ดรีมตอบกลับ
“ทางเราก็พลาดเองด้วยละที่ไม่เตรียมการป้องกันที่ดีพอ นาเดียก็เล่นซะพวกเราดูไม่ได้เลยนะ” ชิตพูดเสริม
เอมเดินเข้าไปหานาเดีย “เป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆเลยนะ” เอมก็ยิ้ม
ถึงพวกเอม ชิต ดรีมจะให้กับนาเดียแบบย่อยยับแต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรเพราะสำหรับคนที่เคยผ่านการรับมือสถานการณ์จริงมาแล้วถือเป็นการบ้านชิ้นใหญ่ที่พวกเข้าต้องผ่านไปให้ได้
“จะว่าไปเออ...คุณนาเดียครับ” ดรีมเดินเข้าไปหานาเดีย “วันเสาร์นี่พอจะ...ว่างไหมครับ ว่าจะชวนไปช็อปปิ้ง...ไปแนะนำเมือง อะไรประมาณนี้นะครับ”
นาเดียยิ้นตอบรับความจริงใจของดรีมพร้อมตอบกลับไป “คุณเข้าใจหาวิธีฆ่าตัวตายนะคะ”
เอม ชิต นิสา ก็คิดในใจเหมือนกัน “ดรีมมันเข้าใจหาวิธีฆ่าตัวตายเนาะ”
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เห็นดรีมทั้งวันเลย(โดนไวท์ลากไปฝึกพิเศษแบบส่วนตัว...)จนตอนเย็นพบร่างของดรีมนอนพึมพำอยู่หน้าสนามฝึก(เอ้ายังไม่ตายอีกหรอ)
ชิตเลยอาสาแบกดรีมกลับหอพัก ส่วนนาเดียก็ไม่แปลกใจที่เธอจะพักอยู่ที่ศูนย์วิจัยอุปกรณ์ทำให้ขากลับทั้งหกคนเลยกลับทางเดียวกัน
“จะว่าไปแล้วคุณนาเดียมีมานาเวทย์สูงมากขนาดนั้นทำไมถึงมาเป็นผู้ใช้กำแพงแสง ถึงพลังในรูปกำแพงแสงจะใช้ภาระของร่างกายที่น้อยกว่ามากจริงแต่พลังเวทย์จะให้ประสิทธิผลที่สูงกว่านะ” ชิตถามนาเดียขณะนั่งบนรถไฟ
“ก็จริงของนายนะ แต่ว่ากำแพงแสงของเราไม่เหมือนคนอื่นหรอกนะ” นาเดียตอบชิต “ดูอย่างยัยนั่นสิ เมื่อก่อนเป็นผู้ใช้สัตว์อัญเชิญเชียวนะ”
“หะ!!” เอวกับชิตได้ฟังถึงกับตกใจ
“พวกนายยังไม่เคยเห็นยัยนี่เรียกอะไรออกมาหรอ” นาเดียถามกลับส่วนเอมกับชิตก็ส่ายหน้า “ดีแล้วละ ถ้าเห็นสัตว์อัญเชิญของยัยนี่ละก็ คงไม่น่าอภิรมย์นักหรอก”
“นี่เธออย่าเผากันสิ ก็แค่ไม่มีเหตุจำเป็นต้องใช้เท่านั้นเอง” นิสาสวนขึ้นมา
“อ๋อหรอ...คงไม่ใช่ว่าถ้าเรียกออกมาแล้ว พี่จ๋าไม่ชอบไม่ใช่หรอ” นาเดียสวนกลับ
“แหม่ๆ ขอโทษทีนะพี่จ๋าของเธอออกจะชอบสไตร์ของชั้นนะ” นิสาตอบกลับ
“นี่พี่จ๋า พี่จ๋าชอบแบบนี้หรอทั้งที่มีน้องอยู่แล้วทั้งคน” นาเดียหันไปอ้อนไวท์
“พอเถียงไม่ออก ก็หันไปซบพี่จ๋า ยังเป็นเด็กได้ตลอดเลยนะเธอ” นิสาเยาะเย้ยนาเดีย
“ว่าไงนะ ใครเป็นเด็กกันยะ ไม่เหมือนเธอหรอกที่เธอมาอ่อยพี่จ๋าอยู่ทุกวัน” นาเดียหันมาว่านิสา
หลังจากนั้นนาเดียกับนิสาก็ทะเลาะกันตลอดทางส่วนเอม ชิตและไวท์ก็ทำได้แค่นั่งมองทั้งคู่ทะเลาะไป ส่วนดรีมก็ตอนนี้ยังไม่ฟื้นก็โดนจับฝึกซะมานาหมด(ก็ทำตัวเองนิ)
“เอมเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ชิตถามเอม “ตั้งแต่บ่ายมาบางครั้งเธอดูเหม่อๆไป”
“ไม่มีไรหรอชิต” นิสาตอบ “ก็แค่สงสัยบางอย่างเท่านั้นเอง กับยังตกใจเรื่องนิสาใช้สัตว์อัญเชิญได้อยู่เลย”
ในเย็นวันนั้น
หลังจากที่แยกกับชิตที่แบกดรีมไปหอพัก นิสากับนาเดียก็ไปที่สนามฝึกของศูนย์วิจัยทันทีส่วนไวท์กับเอมก็ไปที่ห้องพักของตนเพื่อไปเก็บของ แล้วไวท์ก็พาเอมไปที่สนามฝึกซึ่งบอกเอมไว้ว่าจะพาไปดูอะไรดีๆ
ระหว่างทางเอมสังเกตว่าที่สนามฝึกมีแสงออกมารวมถึงเสียงที่ดังมาจากภายใน พอเข้าไปในสนามฝึกไวท์ก็พาไปขึ้นที่ห้องควบคุมชั้นสอง
“ทำไมไวท์ถึงพามาห้องนี้อะ” เอมถามไวท์ “เข้าไปด้านในไม่ได้หรอ”
“จริงๆก็เข้าไปก็ได้นะ...แต่ผมว่ามันอันตรายเกินไปนะสิ” ไวท์ตอบเอม
จากนั้นไวท์ก็พาเข้าไปในห้องควบคุมแล้วก็นั่งอยู่หน้ากระจก ซึ่งตอนนี้นิสากับนาเดียกำลังต่อสู้กันอยู่และทั้งคู่เอาจริงกันด้วยทำให้เอมฉุดคิดได้เลยว่าตอนที่สู้กับนาเดียเมื่อตอนกลางวันเหมือนกับว่านาเดียยังไม่ได้ออกแรงอะไรเลย
“เป็นไงละนี่คือโลกของพวกผมละ” ไวท์พูดออกมา
“นี่คือความลับของพวกนายหรอ” เอมถามกลับ
“ก็ไม่เชิงหรอก แบบว่าพลังของพวกเรามันค่อนข้างจะอันตราย จะใช้อะไรก็ต้องระวังคนรอบข้างเป็นธรรมดา” ไวท์ตอบ “มาแล้ว อยากเห็นไม่ใช่หรอสัตว์อัญเชิญของนิสานะ” ไวท์ชี้ให้เอมดู
เอมลุกขึ้นและเข้าไปเดินที่กระจกเพื่อต้องการเห็นให้ชัด ปรากฏเป็นนกสามตัวขนาดกลางถูกอัญเชิญออกมา ตัวแรกมีสีดำซึ่งมีเปลวไฟสีดำตามลำตัวและปีก นกตัวที่สองมีสีขาวและมีเปลวไฟสีขาวตามลำตัวและปีก นกตัวสุดท้ายเป็นนกอินทรีแต่สภาพครึ่งหนึ่งเป็นเครื่องจักร
“สัตว์อัญเชิญที่เป็นเครื่องจักร” เอมพูดออกมา “หรือว่า.....” เอมต้องตาโตแล้วเธอก็ยิ้มออกมา
หลังจากการต่อสู้ของนิสากับนาเดียจบไวท์ก็ให้เอมไปทานข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร ก่อนออกจากห้องควบคุม
“ไวท์มีอีกอย่างนึง...ขอบคุณนะที่ช่วยชั้นไว้เมื่อตอนกลางวันนะ...” เอมพูดกับไวท์จากนั้นเอมก็รีบวิ่งไปโรงอาหาร ส่วนไวท์ก็มารอนิสากับนาเดียที่หน้าสนามฝึกแล้วก็พาไปที่โรงอาหาร
ในคืนนั้น ที่ห้องของเอมขณะที่เอมกำลังคิดอะไรต่างๆ มันก็ทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาและขณะที่เธอกำลังจะตัดสินใจบางสิ่งเธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เธอจึงไปเปิดประตูก็พบกับนิสายืนอยู่กับนาเดีย
“ขอเข้าไปในห้องได้ไหม” นาเดียถามเอม เอมจึงพาทั้งสองเข้าไปในห้องของเธอ
“ถามจริง เธอสองคนไม่..แบบว่า..ทะเลาะกันตลอดเวลา” เอมที่เห็นนิสากับนาเดียอยู่คู่กันทั้งที่ปรกติจะกัดกันแทบจะตลอดเวลา
“ใครว่าเราทะเลาะกัน เรียกว่าคุยแบบปรกติดีกว่า” นิสาตอบ (แถวบ้านพวกเธอมั้งที่เรียกว่าปรกติ)
“เราก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะห้องนอนของพี่จ๋าพังได้แทบจะทุกวันเลยละ” นาเดียพูด
“แล้วมีอะไรหรอ มาถึงห้องชั้นเลย” เอมถาม
“ก็เราอยากคุยให้มากกว่านี้เท่านั้นเอง” นาเดียตอบ “ก็เธอเห็นหลายๆอย่างไปแล้วนิดังนั้นตอนนี้เราเป็นเพื่อนแล้ว” นาเดียจ้องไปที่หน้าของเอม “เอม รู้จักพี่จ๋าตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ ดูจากที่คุยกับพี่จ๋าเธอใช้คำพูดไมเหมือนกับสองคนนั้นเลย”
“เริ่มยังไงดี...ก็เขาเคยช่วยชีวิตชั้นไว้” เอมเริ่มนิ่ง “มันก็ 2 ปีกว่ามาแล้ว ก่อนจะเข้าวิทยาลัยอีก”
“แล้วเหตุการณ์มันเป็นมายังไงหละ” นิสาถามต่อ
“ก็ตอนนั้นชั้นถูกพวกองค์กรอาร์มเมอร์จับตัวไป แล้วก็โดนพวกมันทรมานไปสักสองสัปดาห์มั้ง จนถึงวันที่ชั้นจะถูกจับไปดัดแปลง ไวท์ก็โผล่มาตอนนั้นชั้นยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใครแต่ก็จำเสียงได้ จำความรู้สึกได้ จนมาเจอกันที่วิทยาลัยนี่หละเลยได้คุยกัน” เอมเล่า
“อืม...แบบนี้นี่เอง ไวท์เคยไปทำอไรแบบนี้ด้วยหรอ” นิสาเสริมขึ้นมา
“นี่นิสาไม่ใช่ว่าเธอตัวติดกับไวท์ตลอดไม่ใช่หรอ ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้” เอมสงสัยนิสา
นาเดียเลยเข้าไปกระซิบเอม “รู้สึกว่าหลังจากที่ชั้นไปต่างประเทศ พี่จ๋ากับเกลจะก่อสงครามเย็นกันนะ ส่วนเหตุผลชั้นไม่รู้หรอ กว่าจะดีกันก็วันเรียนจบม.6นี่หละ” (อย่าเผาสิ : นิสา)
“แล้วนาเดียไปเป็นน้องสาวของไวท์ได้ยังไง ตัวนาเดียเองก็เป็นชาวต่างชาติจริงๆนี่นา” เอมถามนาเดีย
“ก็พ่อแม่แท้ของชั้นกับพี่จ๋าเป็นเพื่อนกัน จนมีปัญหาเกี่ยวกับราชวงศ์ไรนี่ละชั้นเลยต้องลี้ภัยมามาอยู่ไทยโดยปิดฐานะเดิมไว้ เอาจริงๆตอนนั้นมันก็ไม่โอเคเลยนะ แต่ก็ได้พี่จ๋านี่ละที่ทำให้ผ่านไปได้” นาเดียตอบ
“อีกคำถามแล้วเรื่องที่นาเดียกับไวท์หมั่นกัน ยังไงกันแน่” เอมถามต่อ
“ยังไงดีละมันเป็นเรื่องการเมืองเท่านั้นเอง ไม่ต้องสนใจก็ได้ จริงๆแล้วทั้งชั้นและพี่จ๋าก็อยากยกเลิกอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำแต่มันก็ทำไม่ได้...ก็การเมืองนะ ชั้นกับพี่จ๋าเองก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ” นาเดียตอบ
“แต่ก็ทำได้ไม่ใช้หรอไง” นิสาแทรกขึ้นมา“จริงๆถ้าทำซะ มันก็จบไปแล้วแท้ๆ”
“เห้ย...แบบนั้นไม่เอานะ ขืนทำไปเกิดเรื่องใหญ่แน่” นาเดียเบรกนิสา
“ทำเรื่องอะไรงั้นหรอ” เอมถามด้วยความสงสัย
นิสาก็ขำขึ้นมา “เรื่องง่ายๆนะ ก็ทำให้ประเทศเอโรเนียอะไรนั่นหายไปจากแผนที่ก็จบแล้ว....” (ห่ะ!!!!!!!)
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เอมจึงไปเปิดประตูก็พบไวท์มายืนอยู่
“เอม นิสากับน้องจ๋าอยู่ที่นี่ใช่ไหม” ไวท์ถาม ทันใดนั้นนิสากับนาเดียก็เบียดตัวเอมออกมายืนต่อหน้าไวท์แทนเอม
“อยู่ค่า!!!” นิสากันนาเดียพูดพร้อมกัน
“งั้นก็ดีแล้ว” ไวท์พูด จากนั้นก็โยนหมอน กับผ้าห่มจากห้องของนิสากับนาเดียให้กับทั้งสองคน “เอมฝากสองคนนี้ด้วยนะ” ไวท์พูดจบก็ปิดประตูจากนั้นก็สร้างกำแพงแสงกันประตูเอาไว้ทำให้เอม นิสา นาเดียออกมาจากห้องของเอมไม่ได้ “โทษทีน้า...ไม่ต้องห่วงถ้าผมตื่นแล้วจะมาปลดให้”
เอมก็ทำได้แต่มองประตูห้องของถูกกันไว้ และรู้ว่าถ้าไวท์ไม่ทำแบบนี้พรุ่งนี้เช้าคงได้เจอฉากเลิฟซีนแบบทรีซัมแน่นอน
ชิตที่เห็นเอมมีอาการแปลกหลังคุยกับนิสาก็สงสัยเลยถามเอมไป
“เอมเป็นอะไรหรอตัวสั่นเชียว” ชิตถามเอมซึ่งขณะนั้นดรีมที่มองอยู่ก็สงสัยเช่นกัน
“นี่พวกนายคิดยังไงกับผู้ใช้เวทย์มนต์ที่ไม่มีคทาเวทย์แต่ล้มระดับแอลฟาสามตัวได้” เอมตอบชิต
“เห้ยเอมพวกเราก็รู้อยู่แล้วว่านาเดียจังล้มแอลฟาสามตัวได้ แล้วมันผิดอะไรตรงไหนหรอ”ดรีมถามเอมกลับด้วยความงงที่เกิดขึ้นแล้วทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ทันที “เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เอมบอกว่าตอนนั้นนาเดียจังไม่มีคทาเวทย์”
เอมพยักหน้ารับ จนตอนนี้ชิตกับดรีมก็เริ่มหน้าซีดออกมา
“ดรีมโจมตีพร้อมกันเลย” ชิตเรียกให้ดรีมเริ่มทำการโจมตีนาเดียทันที ชิตใช้พลังอัญมณีทำให้การฟันเป็นลำแสงเพื่อใช้โจมตีระยะไกลแล้วปล่อยการโจมตีออกไปผสานกับลำแสงที่ออกมาจากปืนของดรีมเกิดเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงไปยังหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่ยืนอยู่โดยไร้ซึ่งอาวุธ จนทำให้คนที่ดูรู้สึกแปลกใจกับการกระทำนี้
หลังจากเสียงระเบิดอย่างหนักและควันเริ่มจางหายไปปรากฏเป็นกำแพงแสงได้ครอบร่างกายของสาวผมสีน้ำตาลเข้มไว้ จนตอนนี้ผู้ชมก็รู้ในทันทีถึงเหตุผลของของการกระทำของชิตกับดรีมและรู้ได้ทันทีว่าที่จริงแล้วนาเดียคือผู้ใช้กำแพงแสงนั่นเอง
“งั้นจะขอแนะนำตัวอีกครั้งนะคะ ดิชั้น นาเดีย เอลคราว เซชอฟ ปริ้นเซส ออฟ เอโรเนีย เป็นผู้ใช้พลังประเภทกำแพงแสง โพเทนซีของดิชั้นคือเมจิกเชียน...ไม่สิต้องเรียกว่าอัตลักษณ์ของดิชั้นคือเมจิกเชียน ค่ะ” นาเดียกล่าวแนะนำตัว
อัตลักษณ์เป็นสิ่งที่เหนือยิ่งกว่าโพเทนซีซึ่งข้อแตกต่างระหว่างโพเทนซีกับอัตลักษณ์คืออัตลักษณ์เป็นพลังที่มีมาแต่กำเนิดที่ เกิดขึ้นเอง มีความทรงพลังมากและพลังที่เป็นอัตลักษณ์ไม่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมให้ลูกหลานได้ ทำให้มีความจำเพาะสูงมากและหาได้ยากกล่าวกันว่าในหมื่นคนจะมีคนที่มีอัตลักษณ์หนึ่งคนเท่านั้น
หลังจากนาเดียกันการโจมตีของชิตกับดรีมได้กำแพงแสงที่เธอสร้างมาเป็นโล่ก็แตกออกไปทำให้เห็นว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ชิตไม่รอช้าพุ่งเข้าไปโจมตีระยะประชิตทันทีเพราะข้อเสียของผู้ใช้พลงะประเภทกำแพงแสงคือจะมีระยะห่างระหว่างกำแพงแสงที่สร้างขึ้นกับตัวผู้ใช้เล็กน้อยทำให้เป็นจุดอ่อนของผู้ใช้พลังประเภทนี้เพราะถึงจะใช้กำแพงแสงออกมาถ้าการโจมตีถึงบริเวณช่องว่างนั้นก็ป้องกันอะไรไม่ได้แล้ว
แต่ว่า...ภาพที่ทุกคนตอนนี้ได้เห็นคือนาเดียใช้มือเปล่ารับดาบของชิตที่ฟันลงมาถึงมองจากข้างนอกคือการใช้มือเปล่ารับดาบไว้แต่สิ่งที่ชิตเห็นคือนาเดียใช้เกราะแสงหุ้มมือไว้อยู่แล้วทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บจากผลของดาบเลย
“พัฒนาไปถึงเกราะแสงแล้วหรอครับ” ชิตถามขึ้นเมื่อเห็นเกราะแสงที่เคลือบอยู่ที่มือของนาเดีย
“มันมีมากกว่านั้น” นาเดียวตอบกลับ ทันใดนั้นที่เท้าของชิตก็มีเกราะแสงบนฝ่าเท้าเกราะแสงเรื่องแสงขึ้นแล้วกลายสภาพเป็นวงอักขระจากนั้นอักขระก็พลิกมามัดตัวชิดทำให้ชิตขยันไปไม่ได้
“ถึงขั้นแปลงสภาพได้ด้วยหรอ” ชิตที่ถูกมัดอยู่พูดออกมา
ทางด้านดรีมเองเมื่อเห็นชิตถูกอักขระมัดไว้ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือหนึ่งในวิถีผนึกรูปแบบหนึ่งเพียงแค่เขียนอักขระตามรูปแบบแล้วใส่มานาเวทย์ลงไปเท่านี้ก็ใช้ได้แล้วต่อให้ไม่ใช้ผู้ใช้เวทมนต์แต่ถ้ามีมานาก็ใช้ได้แล้ว ส่วนการแก้ผนึกนี้นั้นดรีมเองก็รู้วิธีอยู่แล้วเพราะตระกูลเรนฟอร์ชถนัดการใช้วิชาผนึกในรูปแบบต่างๆมากที่สุด
ดรีบเลยให้เอมกับตนเข้าไปหาชิตพร้อมกันโดยให้เอมรับมือกับนาเดียไว้ส่วนดรีมจะไปคลายผนึกให้ชิตเองเมื่อทั้งสองตกลงกันได้แล้ว ดรีมก็จะวิ่งเข้าไปหาชิตส่วนเอมก็เตรียมเข้าเข้าไปกานาเดียแต่ทั้งสองยังไม่ทันขยับอะไรมากนาเดียที่ยืนอยู่กับชิตที่ถูกผนึกเพียงพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าดรีมเสียแล้ว
“เร็ว...เกินไปแล้ว” ดรีมอุทานออกมา
นาเดียเข้าไปกระซิบข้างหูของดรีม “นี่นายคิดจะมาจับคู่กับชั้นหรอ งั้นนายก็ต้องรับมือกับสิ่งนี้ได้สินะ” นาเดียพูดจบก็ใช้มือแตะไปที่หน้าของดรีม จากนั้นดรีมหยุดนิ่งไป ทางด้านเอมเองก็เห็นสิ่งที่นาเดียทำเลยเข้าไปหมายผลักนาเดียออกไป แต่ก็ช้าไปเสียแล้วดรีมเริ่มตัวสั่นปืนที่ถืออยู่ในมือก็ตกลงมา เขาทรุดตัวลงไป เมื่อเอมจะเข้าถึงตัวดรีมก็ถูกกำแพงแสงของนาเดียผลักออกมา
เอมที่ถูกผลักออกมาพยายามทรงตัวไม่ให้ล้มและพลิกกลับมายืนได้แต่ก็ไม่ได้ทันตั้งหลักดีนาเดียก็มาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว นาเดียกำลังจะใช้มือไปแตะที่หน้าของเอมแบบเดียวกับดรีมแต่ทันใดนั้นไวท์ก็มาหยุดมือของนาเดียเอาไว้ส่วนนิสาก็มาล็อกมืออีกข้างของนาเดียไว้
“พอได้แล้ว” ไวท์พูดขึ้น “เล่นแรงไปหน่อยนะ”
“นี่เธออย่าใช้ของแบบนั้นใช้ในสถานการณ์แบบนี้สิ” นิสาพูด
นาเดียลดมือลงแล้วก็ขอโทษเอมที่ตนอาจทำแรงไปจากนั้นคลายผนึกให้ชิต จากนั้นเอมกับชิตก็ไปพยุงตัวดรีมที่ล้มอยู่ขึ้นมา ส่วนนาเดียก็เดินไปหาดรีมที่ยืนเกาะไหล่ชิตอยู่
“ขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำแรงเกินไป” นาเดียพูดกับดรีม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ดรีมตอบกลับ
นาเดียเดินเข้าไปกระซิบข้างหูดรีม “นายสอบตกนะคะ เอาความรู้สึกนี้กลับไปบอกคุณปูของคุณด้วยค่ะ”
จากนั้นนาเดียก็เดินออกจาสนามฝึกไปพร้อมกับไวท์
ส่วนเอม ชิต ดรีมก็ไปนั่งพักที่สนามพร้อมกับนิสาที่เดินตามไปด้วย
“ดรีมนายเป็นไงบ้างยังตัวสั่นไม่หายเลย” ชิตถามด้วยความเป็นห่วง
“ยังมึนๆหัว” ดรีมเริ่มเล่า “แบบว่าตอนโดนเอามือแตะหน้า ตอนนั้นเหมือนถูกย้ายไปไหนก็ไม่รู้ ภาพที่เห็นตรงหน้า มีคนยืนอยู่ข้างหน้าผม เขามองมาที่ผม ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ร่างกายก็ขยับไม่ได้ เหมือนกำลังจะตาย...กำลังจะถูกฆ่า...ก.ก.กลัว...กลัวมากเลย”
“การโจมตีด้านจิตใจงั้นสินะ” เอมพูดขึ้นมา “นี่นิสา นาเดียมีการโจมตีรูปแบบนี้ด้วยหรอ”
“เออ..ตอนมัธยมก็ไม่เคยเห็นเธอใช้อะไรแบบนั้นเลยด้วย” นิสาตอบเอม “น่าแปลกเหมือนกัน” นิสาทำหน้าสงสัย “งั้น ตอนนี้ก็พักกันก่อนแล้วกัน ชั้นจะไปคุยกับไวท์ก่อนได้เรื่องยังไงแล้วมาบอกนะ”
“ฝากด้วยแล้วกัน” เอมพูด
จากนั้นนิสาก็เดินออกนอกสนามฝึกไปแล้วก็หายไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วก็เดินกลับพร้อมไวท์กับนาเดีย
“พวกนาย...ชั้นขอโทษด้วยอีกครั้งด้วยน้า” นาเดียพูด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนนี้ก็หายมึนหัวแล้ว” ดรีมตอบกลับ
“ทางเราก็พลาดเองด้วยละที่ไม่เตรียมการป้องกันที่ดีพอ นาเดียก็เล่นซะพวกเราดูไม่ได้เลยนะ” ชิตพูดเสริม
เอมเดินเข้าไปหานาเดีย “เป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆเลยนะ” เอมก็ยิ้ม
ถึงพวกเอม ชิต ดรีมจะให้กับนาเดียแบบย่อยยับแต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรเพราะสำหรับคนที่เคยผ่านการรับมือสถานการณ์จริงมาแล้วถือเป็นการบ้านชิ้นใหญ่ที่พวกเข้าต้องผ่านไปให้ได้
“จะว่าไปเออ...คุณนาเดียครับ” ดรีมเดินเข้าไปหานาเดีย “วันเสาร์นี่พอจะ...ว่างไหมครับ ว่าจะชวนไปช็อปปิ้ง...ไปแนะนำเมือง อะไรประมาณนี้นะครับ”
นาเดียยิ้นตอบรับความจริงใจของดรีมพร้อมตอบกลับไป “คุณเข้าใจหาวิธีฆ่าตัวตายนะคะ”
เอม ชิต นิสา ก็คิดในใจเหมือนกัน “ดรีมมันเข้าใจหาวิธีฆ่าตัวตายเนาะ”
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้เห็นดรีมทั้งวันเลย(โดนไวท์ลากไปฝึกพิเศษแบบส่วนตัว...)จนตอนเย็นพบร่างของดรีมนอนพึมพำอยู่หน้าสนามฝึก(เอ้ายังไม่ตายอีกหรอ)
ชิตเลยอาสาแบกดรีมกลับหอพัก ส่วนนาเดียก็ไม่แปลกใจที่เธอจะพักอยู่ที่ศูนย์วิจัยอุปกรณ์ทำให้ขากลับทั้งหกคนเลยกลับทางเดียวกัน
“จะว่าไปแล้วคุณนาเดียมีมานาเวทย์สูงมากขนาดนั้นทำไมถึงมาเป็นผู้ใช้กำแพงแสง ถึงพลังในรูปกำแพงแสงจะใช้ภาระของร่างกายที่น้อยกว่ามากจริงแต่พลังเวทย์จะให้ประสิทธิผลที่สูงกว่านะ” ชิตถามนาเดียขณะนั่งบนรถไฟ
“ก็จริงของนายนะ แต่ว่ากำแพงแสงของเราไม่เหมือนคนอื่นหรอกนะ” นาเดียตอบชิต “ดูอย่างยัยนั่นสิ เมื่อก่อนเป็นผู้ใช้สัตว์อัญเชิญเชียวนะ”
“หะ!!” เอวกับชิตได้ฟังถึงกับตกใจ
“พวกนายยังไม่เคยเห็นยัยนี่เรียกอะไรออกมาหรอ” นาเดียถามกลับส่วนเอมกับชิตก็ส่ายหน้า “ดีแล้วละ ถ้าเห็นสัตว์อัญเชิญของยัยนี่ละก็ คงไม่น่าอภิรมย์นักหรอก”
“นี่เธออย่าเผากันสิ ก็แค่ไม่มีเหตุจำเป็นต้องใช้เท่านั้นเอง” นิสาสวนขึ้นมา
“อ๋อหรอ...คงไม่ใช่ว่าถ้าเรียกออกมาแล้ว พี่จ๋าไม่ชอบไม่ใช่หรอ” นาเดียสวนกลับ
“แหม่ๆ ขอโทษทีนะพี่จ๋าของเธอออกจะชอบสไตร์ของชั้นนะ” นิสาตอบกลับ
“นี่พี่จ๋า พี่จ๋าชอบแบบนี้หรอทั้งที่มีน้องอยู่แล้วทั้งคน” นาเดียหันไปอ้อนไวท์
“พอเถียงไม่ออก ก็หันไปซบพี่จ๋า ยังเป็นเด็กได้ตลอดเลยนะเธอ” นิสาเยาะเย้ยนาเดีย
“ว่าไงนะ ใครเป็นเด็กกันยะ ไม่เหมือนเธอหรอกที่เธอมาอ่อยพี่จ๋าอยู่ทุกวัน” นาเดียหันมาว่านิสา
หลังจากนั้นนาเดียกับนิสาก็ทะเลาะกันตลอดทางส่วนเอม ชิตและไวท์ก็ทำได้แค่นั่งมองทั้งคู่ทะเลาะไป ส่วนดรีมก็ตอนนี้ยังไม่ฟื้นก็โดนจับฝึกซะมานาหมด(ก็ทำตัวเองนิ)
“เอมเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ชิตถามเอม “ตั้งแต่บ่ายมาบางครั้งเธอดูเหม่อๆไป”
“ไม่มีไรหรอชิต” นิสาตอบ “ก็แค่สงสัยบางอย่างเท่านั้นเอง กับยังตกใจเรื่องนิสาใช้สัตว์อัญเชิญได้อยู่เลย”
ในเย็นวันนั้น
หลังจากที่แยกกับชิตที่แบกดรีมไปหอพัก นิสากับนาเดียก็ไปที่สนามฝึกของศูนย์วิจัยทันทีส่วนไวท์กับเอมก็ไปที่ห้องพักของตนเพื่อไปเก็บของ แล้วไวท์ก็พาเอมไปที่สนามฝึกซึ่งบอกเอมไว้ว่าจะพาไปดูอะไรดีๆ
ระหว่างทางเอมสังเกตว่าที่สนามฝึกมีแสงออกมารวมถึงเสียงที่ดังมาจากภายใน พอเข้าไปในสนามฝึกไวท์ก็พาไปขึ้นที่ห้องควบคุมชั้นสอง
“ทำไมไวท์ถึงพามาห้องนี้อะ” เอมถามไวท์ “เข้าไปด้านในไม่ได้หรอ”
“จริงๆก็เข้าไปก็ได้นะ...แต่ผมว่ามันอันตรายเกินไปนะสิ” ไวท์ตอบเอม
จากนั้นไวท์ก็พาเข้าไปในห้องควบคุมแล้วก็นั่งอยู่หน้ากระจก ซึ่งตอนนี้นิสากับนาเดียกำลังต่อสู้กันอยู่และทั้งคู่เอาจริงกันด้วยทำให้เอมฉุดคิดได้เลยว่าตอนที่สู้กับนาเดียเมื่อตอนกลางวันเหมือนกับว่านาเดียยังไม่ได้ออกแรงอะไรเลย
“เป็นไงละนี่คือโลกของพวกผมละ” ไวท์พูดออกมา
“นี่คือความลับของพวกนายหรอ” เอมถามกลับ
“ก็ไม่เชิงหรอก แบบว่าพลังของพวกเรามันค่อนข้างจะอันตราย จะใช้อะไรก็ต้องระวังคนรอบข้างเป็นธรรมดา” ไวท์ตอบ “มาแล้ว อยากเห็นไม่ใช่หรอสัตว์อัญเชิญของนิสานะ” ไวท์ชี้ให้เอมดู
เอมลุกขึ้นและเข้าไปเดินที่กระจกเพื่อต้องการเห็นให้ชัด ปรากฏเป็นนกสามตัวขนาดกลางถูกอัญเชิญออกมา ตัวแรกมีสีดำซึ่งมีเปลวไฟสีดำตามลำตัวและปีก นกตัวที่สองมีสีขาวและมีเปลวไฟสีขาวตามลำตัวและปีก นกตัวสุดท้ายเป็นนกอินทรีแต่สภาพครึ่งหนึ่งเป็นเครื่องจักร
“สัตว์อัญเชิญที่เป็นเครื่องจักร” เอมพูดออกมา “หรือว่า.....” เอมต้องตาโตแล้วเธอก็ยิ้มออกมา
หลังจากการต่อสู้ของนิสากับนาเดียจบไวท์ก็ให้เอมไปทานข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร ก่อนออกจากห้องควบคุม
“ไวท์มีอีกอย่างนึง...ขอบคุณนะที่ช่วยชั้นไว้เมื่อตอนกลางวันนะ...” เอมพูดกับไวท์จากนั้นเอมก็รีบวิ่งไปโรงอาหาร ส่วนไวท์ก็มารอนิสากับนาเดียที่หน้าสนามฝึกแล้วก็พาไปที่โรงอาหาร
ในคืนนั้น ที่ห้องของเอมขณะที่เอมกำลังคิดอะไรต่างๆ มันก็ทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาและขณะที่เธอกำลังจะตัดสินใจบางสิ่งเธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เธอจึงไปเปิดประตูก็พบกับนิสายืนอยู่กับนาเดีย
“ขอเข้าไปในห้องได้ไหม” นาเดียถามเอม เอมจึงพาทั้งสองเข้าไปในห้องของเธอ
“ถามจริง เธอสองคนไม่..แบบว่า..ทะเลาะกันตลอดเวลา” เอมที่เห็นนิสากับนาเดียอยู่คู่กันทั้งที่ปรกติจะกัดกันแทบจะตลอดเวลา
“ใครว่าเราทะเลาะกัน เรียกว่าคุยแบบปรกติดีกว่า” นิสาตอบ (แถวบ้านพวกเธอมั้งที่เรียกว่าปรกติ)
“เราก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะห้องนอนของพี่จ๋าพังได้แทบจะทุกวันเลยละ” นาเดียพูด
“แล้วมีอะไรหรอ มาถึงห้องชั้นเลย” เอมถาม
“ก็เราอยากคุยให้มากกว่านี้เท่านั้นเอง” นาเดียตอบ “ก็เธอเห็นหลายๆอย่างไปแล้วนิดังนั้นตอนนี้เราเป็นเพื่อนแล้ว” นาเดียจ้องไปที่หน้าของเอม “เอม รู้จักพี่จ๋าตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ ดูจากที่คุยกับพี่จ๋าเธอใช้คำพูดไมเหมือนกับสองคนนั้นเลย”
“เริ่มยังไงดี...ก็เขาเคยช่วยชีวิตชั้นไว้” เอมเริ่มนิ่ง “มันก็ 2 ปีกว่ามาแล้ว ก่อนจะเข้าวิทยาลัยอีก”
“แล้วเหตุการณ์มันเป็นมายังไงหละ” นิสาถามต่อ
“ก็ตอนนั้นชั้นถูกพวกองค์กรอาร์มเมอร์จับตัวไป แล้วก็โดนพวกมันทรมานไปสักสองสัปดาห์มั้ง จนถึงวันที่ชั้นจะถูกจับไปดัดแปลง ไวท์ก็โผล่มาตอนนั้นชั้นยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใครแต่ก็จำเสียงได้ จำความรู้สึกได้ จนมาเจอกันที่วิทยาลัยนี่หละเลยได้คุยกัน” เอมเล่า
“อืม...แบบนี้นี่เอง ไวท์เคยไปทำอไรแบบนี้ด้วยหรอ” นิสาเสริมขึ้นมา
“นี่นิสาไม่ใช่ว่าเธอตัวติดกับไวท์ตลอดไม่ใช่หรอ ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้” เอมสงสัยนิสา
นาเดียเลยเข้าไปกระซิบเอม “รู้สึกว่าหลังจากที่ชั้นไปต่างประเทศ พี่จ๋ากับเกลจะก่อสงครามเย็นกันนะ ส่วนเหตุผลชั้นไม่รู้หรอ กว่าจะดีกันก็วันเรียนจบม.6นี่หละ” (อย่าเผาสิ : นิสา)
“แล้วนาเดียไปเป็นน้องสาวของไวท์ได้ยังไง ตัวนาเดียเองก็เป็นชาวต่างชาติจริงๆนี่นา” เอมถามนาเดีย
“ก็พ่อแม่แท้ของชั้นกับพี่จ๋าเป็นเพื่อนกัน จนมีปัญหาเกี่ยวกับราชวงศ์ไรนี่ละชั้นเลยต้องลี้ภัยมามาอยู่ไทยโดยปิดฐานะเดิมไว้ เอาจริงๆตอนนั้นมันก็ไม่โอเคเลยนะ แต่ก็ได้พี่จ๋านี่ละที่ทำให้ผ่านไปได้” นาเดียตอบ
“อีกคำถามแล้วเรื่องที่นาเดียกับไวท์หมั่นกัน ยังไงกันแน่” เอมถามต่อ
“ยังไงดีละมันเป็นเรื่องการเมืองเท่านั้นเอง ไม่ต้องสนใจก็ได้ จริงๆแล้วทั้งชั้นและพี่จ๋าก็อยากยกเลิกอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำแต่มันก็ทำไม่ได้...ก็การเมืองนะ ชั้นกับพี่จ๋าเองก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ” นาเดียตอบ
“แต่ก็ทำได้ไม่ใช้หรอไง” นิสาแทรกขึ้นมา“จริงๆถ้าทำซะ มันก็จบไปแล้วแท้ๆ”
“เห้ย...แบบนั้นไม่เอานะ ขืนทำไปเกิดเรื่องใหญ่แน่” นาเดียเบรกนิสา
“ทำเรื่องอะไรงั้นหรอ” เอมถามด้วยความสงสัย
นิสาก็ขำขึ้นมา “เรื่องง่ายๆนะ ก็ทำให้ประเทศเอโรเนียอะไรนั่นหายไปจากแผนที่ก็จบแล้ว....” (ห่ะ!!!!!!!)
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เอมจึงไปเปิดประตูก็พบไวท์มายืนอยู่
“เอม นิสากับน้องจ๋าอยู่ที่นี่ใช่ไหม” ไวท์ถาม ทันใดนั้นนิสากับนาเดียก็เบียดตัวเอมออกมายืนต่อหน้าไวท์แทนเอม
“อยู่ค่า!!!” นิสากันนาเดียพูดพร้อมกัน
“งั้นก็ดีแล้ว” ไวท์พูด จากนั้นก็โยนหมอน กับผ้าห่มจากห้องของนิสากับนาเดียให้กับทั้งสองคน “เอมฝากสองคนนี้ด้วยนะ” ไวท์พูดจบก็ปิดประตูจากนั้นก็สร้างกำแพงแสงกันประตูเอาไว้ทำให้เอม นิสา นาเดียออกมาจากห้องของเอมไม่ได้ “โทษทีน้า...ไม่ต้องห่วงถ้าผมตื่นแล้วจะมาปลดให้”
เอมก็ทำได้แต่มองประตูห้องของถูกกันไว้ และรู้ว่าถ้าไวท์ไม่ทำแบบนี้พรุ่งนี้เช้าคงได้เจอฉากเลิฟซีนแบบทรีซัมแน่นอน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ